วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

พระอริยะกับผู้วิเศษต่างกันอย่างไร ? . ถ้าเราเข้าใจข้อนี้แล้ว เราก็จะอยู่ในสถานการณ์ปัจจุบันได้ดีขึ้น เพราะประชาชนในปัจจุบันนี้สับสนมาก มักเอาความเป็นผู้วิเศษกับความเป็นพระอริยะเป็นอันเดียวกันเสีย ถ้าอย่างนี้แล้วหลักพระศาสนาก็จะสับสนแล้วก็เสื่อมด้วย . ผู้วิเศษ คืออะไร เรามักจะเรียกคนมีฤทธิ์นั่นเองว่าเป็นผู้วิเศษ เช่น โยคี ฤาษี ดาบส ก่อนพุทธกาล ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นก็มีโยค ฤาษี ดาบน เยอะ อยู่ในป่า ได้ฌานสมาบัติ ได้โลกียอภิญญา มีฤทธิ์ มีปาฏิหาริย์ หูทิพย์ ตาทิพย์ อะไรต่าง ๆ เหล่านี้ เราเรียกได้ว่าเป็นผู้วิเศษ คือ ผู้มีฤทธิ์นั่นเอง . ลองมาดูความหมายของ พระอริยะ ว่าคืออะไร ? . พระอริยะ คือ ท่านผู้ไกลจากิเลส เป็นผู้ประเสริฐ เพราะไกลจากกิเลส ไกลจากิเลสก็คือ หมดจากโลภะ โทสะ โมหะ หรือว่ากำจัดความโลภ โกรธ หลง ให้ลดน้อยเบาบางลง กิเลสน้อยลงไป ๆ จนกระทั่งว่าเป็นอริยะ อย่างสูงสุดคือเป็นพระอรหันต์ ซึ่งหมดจากกิเลส ทั้ง 3 อย่าง คือ โลภะ โทสะ โมหะ เป็นผู้บริสุทธิ์ ประเสริฐสูงสุด . อย่างนี้แยกได้รึยัง ? . ผู้วิเศษไม่จำเป็นต้องเป็นอริยะ . ผู้วิเศษอาจจะมีฤทธิ์มีความสามารถ เช่นอย่างโยคีก่อนพุทธกาล ก็ไม่ได้เป็นอริยะกันเลย พระพุทธเจ้าทรงเข้าไปเรียนไปศึกษาในสำนักของพวกโยคี ไปสำนักของอาฬารดาบส ได้ฌานสมาบัติ ถึงขั้นอรูปฌาน ชั้นอากิญจัญญายตนสมาบัติ เห็นว่าน้อยไป ไม่จบ ก็เข้าสำนักของอุททกดาบสรามบุตร ได้สมาบัติขั้นสูงสุดเป็นอรูปฌาน ชั้น เนวสัญญานาสัญญายตนะ จบความรู้ที่มีของพวกนักพรตนักบวชสมัยนั้นพระองค์ก็เห็นว่าไม่ใช่ทางที่ถูกต้องจึงได้ละออกไปแล้วก็ไปแสวงหาหนทางของพระองค์เอง ได้บำเพ็ญตามมัชฌิมาปฏิปทา จนกระทั่งได้ตรัสรู้ แล้วพระองค์ก็ทรงชี้ให้เห็นว่าทางที่นำมาสู่ความเป็นผู้วิเศษมีฤทธิ์ปาฏิหาริย์ต่างๆเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง คือ มันไม่ช่วยให้หมดกิเลส . สิ่งที่สำคัญก็คือการมีปัญญารู้แจ้งสัจธรรม รู้สภาวะ รู้เท่าทันความจริงของสังขารคือโลกและชีวิต ทำจิตใจให้เป็นอิสระได้หมดทุกได้ หมดกิเลสได้ อันนี้จึงจะเป็นวิถีทางของพระอริยะ . แต่ก็มีพระอริยะหลายองค์ พระอรหันต์หลายองค์ที่ท่านได้ฤทธิ์ ได้ฌานได้สมาบัติ . ถ้าท่านได้ฤทธิ์ได้ฌานได้สมบัติ ได้อภิญญาจำพวกโลกีย์ เช่นหูทิพย์ตาทิพย์ด้วย ก็เป็นความรู้พิเศษหรือคุณสมบัติพิเศษของท่าน เป็นความสามารถพิเศษที่เอามาใช้ประโยชน์ในการประกาศพระศาสนาได้ . พวกฤทธิ์นั้นเทียบได้ว่าเหมือนเทคโนโลยี เทคโนโลยีก็เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ถ้าใช้เป็น . เทคโนโลยีถ้าคนชั่วใช้ก็เป็นโทษ เอาไปฆ่าไปฟันคนหรือเอาไปทำร้ายก่อเหตุที่ทำให้เกิดความพินาศแก่สังคมมนุษย์ได้ เช่นอาจจะทำลูกระเบิดก็ได้ เทคโนโลยีนั้นถ้าคนชั่วใช้ก็เป็นโทษ ถ้าคนดีใช้ก็กลายเป็นประโยชน์ เช่น คอมพิวเตอร์ ถ้าใช้ในทางสร้างสรรค์ก็เป็นประโยชน์ได้เยอะ จึงเป็นความสามารถพิเศษ ข้อสำคัญอยู่ที่ว่าจะใช้อย่างไร ซึ่งขึ้นอยู่กับผู้ใช้ว่าจะเป็นคนดีหรือคนชั่ว . พวกฤทธิ์หรือความวิเศษนี้ก็เหมือนกัน ถ้าไปอยู่กับคนชั่วก็ใช้ในทางร้าย เอาไปหาลาภสักการะเพื่อตน เอาไปทำร้ายเบียดเบียนผู้อื่น เอาไปหลอกลวงประชาชน . ถ้าเป็นคนดี ท่านก็เอามาใช้ในการทำงานพระศาสนา เรื่องนี้จะดีหรือชั่วจึงอยู่ที่ผู้ใช้และเจตนาที่ใช้ ----------------------------------------- ความวิเศษเช่นมีฤทธิ์เป็นต้น ไม่ใช่เครื่องตัดสินความเป็นพระอรหันต์หรือความเป็นพระอริยะ อย่างที่บอกแล้วผู้มีฤทธิ์มากมายก็เป็นมนุษย์ปุถุชนอย่างพระเทวทัตซึ่งมีกิเลสมากมาย ถ้าหากหลงใหลในความวิเศษหรือในฤทธิ์เหล่านี้ ต่อไปก็จะเสื่อมจากฤทธิ์นั้นด้วย เพราะกิเลสนั้นจะเป็นเครื่องบังปัญญา ทำให้เกิดความหลงมัวเมา ----------------------------------------- เพราะฉะนั้น พระอริยะ หรือพระอรหันต์ บางท่านหลายท่าน ท่านไม่มีหรอกเรื่องความวิเศษที่จะให้โยมได้เห็นฤทธิ์อะไร เวลาท่านไปไหนท่านก็ไปธรรมดาๆ โยมก็ไม่ตื่นเต้นถ้าได้เห็นพระอริยะ แม้แต่พระอรหันต์แล้วอาจไม่ตื่นเต้นอะไรเลย ตรงกันข้ามกับเห็นผู้วิเศษ ดังนั้นจึงต้องแยกกันให้ถูกใครคือผู้วิเศษ ใครคือพระอริยะ ถ้ารู้หลักพระศาสนาแล้วก็แยกได้ ก็จะหมดปัญหา . พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) จากหนังสือ ปฏิบัติธรรมให้ถูกทาง http://www.watnyanaves.net/uploads/File/books/pdf/practising_dhamma_the_right_way.pdf

พระอริยะกับผู้วิเศษต่างกันอย่างไร ?
.
ถ้าเราเข้าใจข้อนี้แล้ว เราก็จะอยู่ในสถานการณ์ปัจจุบันได้ดีขึ้น เพราะประชาชนในปัจจุบันนี้สับสนมาก มักเอาความเป็นผู้วิเศษกับความเป็นพระอริยะเป็นอันเดียวกันเสีย ถ้าอย่างนี้แล้วหลักพระศาสนาก็จะสับสนแล้วก็เสื่อมด้วย
.
ผู้วิเศษ คืออะไร เรามักจะเรียกคนมีฤทธิ์นั่นเองว่าเป็นผู้วิเศษ เช่น โยคี ฤาษี ดาบส ก่อนพุทธกาล ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นก็มีโยค ฤาษี ดาบน เยอะ อยู่ในป่า ได้ฌานสมาบัติ ได้โลกียอภิญญา มีฤทธิ์ มีปาฏิหาริย์ หูทิพย์ ตาทิพย์ อะไรต่าง ๆ เหล่านี้ เราเรียกได้ว่าเป็นผู้วิเศษ คือ ผู้มีฤทธิ์นั่นเอง
.
ลองมาดูความหมายของ พระอริยะ ว่าคืออะไร ?
.
พระอริยะ คือ ท่านผู้ไกลจากิเลส เป็นผู้ประเสริฐ เพราะไกลจากกิเลส ไกลจากิเลสก็คือ หมดจากโลภะ โทสะ โมหะ หรือว่ากำจัดความโลภ โกรธ หลง ให้ลดน้อยเบาบางลง กิเลสน้อยลงไป ๆ จนกระทั่งว่าเป็นอริยะ อย่างสูงสุดคือเป็นพระอรหันต์ ซึ่งหมดจากกิเลส ทั้ง 3 อย่าง คือ โลภะ โทสะ โมหะ เป็นผู้บริสุทธิ์ ประเสริฐสูงสุด
.
อย่างนี้แยกได้รึยัง ?
.
ผู้วิเศษไม่จำเป็นต้องเป็นอริยะ
.
ผู้วิเศษอาจจะมีฤทธิ์มีความสามารถ  เช่นอย่างโยคีก่อนพุทธกาล  ก็ไม่ได้เป็นอริยะกันเลย  พระพุทธเจ้าทรงเข้าไปเรียนไปศึกษาในสำนักของพวกโยคี  ไปสำนักของอาฬารดาบส  ได้ฌานสมาบัติ  ถึงขั้นอรูปฌาน  ชั้นอากิญจัญญายตนสมาบัติ    เห็นว่าน้อยไป  ไม่จบ  ก็เข้าสำนักของอุททกดาบสรามบุตร  ได้สมาบัติขั้นสูงสุดเป็นอรูปฌาน  ชั้น  เนวสัญญานาสัญญายตนะ  จบความรู้ที่มีของพวกนักพรตนักบวชสมัยนั้นพระองค์ก็เห็นว่าไม่ใช่ทางที่ถูกต้องจึงได้ละออกไปแล้วก็ไปแสวงหาหนทางของพระองค์เอง  ได้บำเพ็ญตามมัชฌิมาปฏิปทา  จนกระทั่งได้ตรัสรู้  แล้วพระองค์ก็ทรงชี้ให้เห็นว่าทางที่นำมาสู่ความเป็นผู้วิเศษมีฤทธิ์ปาฏิหาริย์ต่างๆเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง  คือ  มันไม่ช่วยให้หมดกิเลส
.
สิ่งที่สำคัญก็คือการมีปัญญารู้แจ้งสัจธรรม  รู้สภาวะ  รู้เท่าทันความจริงของสังขารคือโลกและชีวิต  ทำจิตใจให้เป็นอิสระได้หมดทุกได้  หมดกิเลสได้  อันนี้จึงจะเป็นวิถีทางของพระอริยะ
.
แต่ก็มีพระอริยะหลายองค์  พระอรหันต์หลายองค์ที่ท่านได้ฤทธิ์  ได้ฌานได้สมาบัติ
.
ถ้าท่านได้ฤทธิ์ได้ฌานได้สมบัติ  ได้อภิญญาจำพวกโลกีย์  เช่นหูทิพย์ตาทิพย์ด้วย  ก็เป็นความรู้พิเศษหรือคุณสมบัติพิเศษของท่าน  เป็นความสามารถพิเศษที่เอามาใช้ประโยชน์ในการประกาศพระศาสนาได้
.
พวกฤทธิ์นั้นเทียบได้ว่าเหมือนเทคโนโลยี  เทคโนโลยีก็เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ถ้าใช้เป็น
.
เทคโนโลยีถ้าคนชั่วใช้ก็เป็นโทษ  เอาไปฆ่าไปฟันคนหรือเอาไปทำร้ายก่อเหตุที่ทำให้เกิดความพินาศแก่สังคมมนุษย์ได้ เช่นอาจจะทำลูกระเบิดก็ได้ เทคโนโลยีนั้นถ้าคนชั่วใช้ก็เป็นโทษ ถ้าคนดีใช้ก็กลายเป็นประโยชน์ เช่น คอมพิวเตอร์ ถ้าใช้ในทางสร้างสรรค์ก็เป็นประโยชน์ได้เยอะ จึงเป็นความสามารถพิเศษ ข้อสำคัญอยู่ที่ว่าจะใช้อย่างไร ซึ่งขึ้นอยู่กับผู้ใช้ว่าจะเป็นคนดีหรือคนชั่ว
.
พวกฤทธิ์หรือความวิเศษนี้ก็เหมือนกัน  ถ้าไปอยู่กับคนชั่วก็ใช้ในทางร้าย  เอาไปหาลาภสักการะเพื่อตน  เอาไปทำร้ายเบียดเบียนผู้อื่น  เอาไปหลอกลวงประชาชน
.
ถ้าเป็นคนดี  ท่านก็เอามาใช้ในการทำงานพระศาสนา  เรื่องนี้จะดีหรือชั่วจึงอยู่ที่ผู้ใช้และเจตนาที่ใช้

-----------------------------------------
ความวิเศษเช่นมีฤทธิ์เป็นต้น  ไม่ใช่เครื่องตัดสินความเป็นพระอรหันต์หรือความเป็นพระอริยะ  อย่างที่บอกแล้วผู้มีฤทธิ์มากมายก็เป็นมนุษย์ปุถุชนอย่างพระเทวทัตซึ่งมีกิเลสมากมาย  ถ้าหากหลงใหลในความวิเศษหรือในฤทธิ์เหล่านี้  ต่อไปก็จะเสื่อมจากฤทธิ์นั้นด้วย  เพราะกิเลสนั้นจะเป็นเครื่องบังปัญญา  ทำให้เกิดความหลงมัวเมา

-----------------------------------------
เพราะฉะนั้น  พระอริยะ  หรือพระอรหันต์  บางท่านหลายท่าน  ท่านไม่มีหรอกเรื่องความวิเศษที่จะให้โยมได้เห็นฤทธิ์อะไร  เวลาท่านไปไหนท่านก็ไปธรรมดาๆ  โยมก็ไม่ตื่นเต้นถ้าได้เห็นพระอริยะ  แม้แต่พระอรหันต์แล้วอาจไม่ตื่นเต้นอะไรเลย  ตรงกันข้ามกับเห็นผู้วิเศษ    ดังนั้นจึงต้องแยกกันให้ถูกใครคือผู้วิเศษ  ใครคือพระอริยะ  ถ้ารู้หลักพระศาสนาแล้วก็แยกได้  ก็จะหมดปัญหา
.
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)
จากหนังสือ ปฏิบัติธรรมให้ถูกทาง

http://www.watnyanaves.net/uploads/File/books/pdf/practising_dhamma_the_right_way.pdf

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น