วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ทำเมืองให้เป็นป่า . “พระเดชพระคุณครับ พระอริยบุคคลในปัจจุบันนี้ยังพอมีอยู่บ้างไหม ?” นายแพทย์สุพจน์ ศิริรัตน์เอ่ยถามท่านขึ้นมาในตอนค่ำวันหนึ่งในพระอุโบสถหลังจากท่านทำวัตรเช้าเย็นตามปกติแล้ว . “มี แต่ท่านไม่ค่อยเข้ามาอยู่ในเมือง” ท่านตอบ “ชอบอยู่ตามป่าตามเขากัน เพราะท่านเหล่านั้นไม่ชอบความวุ่นวาย” . จากคำตอบของท่านดังกล่าวเป็นการยืนยันว่าแม้ในยุคปัจจุบันที่โลกของเราเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวายร้อยแปดพันประการ พระอรหันต์ พระอนาคามี พระสกิทาคามี พระโสดาบัน ซึ่งทางพระพุทธศาสนาถือว่าเป็นพระอริยบุคคลบรรลุธรรมชั้นสูงแล้ว ก็ยังมีอยู่คู่พระศาสนา ซึ่งการได้เป็นดังนี้ตลอดมาทุกยุคทุกสมัย สมดังที่สมเด็จพระบรมศาสดาเคยตรัสไว้ว่า . “บุคคลใดปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์แปดอยู่โดยชอบแล้ว โลกนี้ไม่ว่างจากพระอรหันต์” แต่ท่านเหล่านั้นจะบำเพ็จเพียรจนสามารถบรรลุธรรมขั้นสูงดังกล่าวได้เกือบทั้งหมดจะต้องทิ้งบ้านทิ้งเมือง หนีจากชุมนุมชนอันเต็มไปด้วยความวุ่นวายเข้าอาศัยป่าอันเป็นที่สงบวิเวก เพื่อการบำเพ็ญหรือปฏิบัติธรรมทั้งสิ้น . ปัญหาที่น่าคิดจึงเกิดขึ้นว่า สำหรับท่านธมฺมวิตกฺโกหรือท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ นั้น ทั้ง ๆ ที่ท่านพำนักอยู่ ณ วัดเทพศิรินทราวาสใจกลางกรุง อยู่ใกล้กับโรงภาพยนตร์ใหญ่หลายโรง แวดล้อมไปด้วยความอึกทึกวุ่นวายนานับปการ แต่ทำไมท่านจึงสามารถบำเพ็ญจนสำเร็จธรรมขั้นสูงได้ . คำตอบที่ได้มาก็คือ ท่านทำ “เมือง” ให้เป็น “ป่า” สำหรับตัวท่านนั่นเอง . โดยการ “ตัดโลก” แยกตัวท่านออกมาจากสังคม ไม่ยอมยุ่งเกี่ยวกับสังคมภายนอกเด็ดขาด ถึงขนาดโยมบิดามารดาถึงแก่กรรรมก็ยังไม่ไปเผา ได้แต่สั่งการให้น้องรับไปดำเนินการ ทั้ง ๆ ที่ท่านเป็นผู้ที่มีความเคารพและกตัญญูในผู้มีพระคุณอย่างยอดยิ่ง ท่านไม่ยอมออกจากวัดไปไหนเลยเป็นเวลานานติดต่อกันร่วม 40 ปีเต็ม ๆ . ท่านไม่เคยไปที่กุฏิใครและโดยปกติก็ไม่เคยให้ใครเข้าไปในกุฏิท่าน หากจจะออกจากกุฏิก็ตรงมาโบสถ์เลยทีเดียวเพื่อทำวัตรเช้าเย็นวันละสองเวลาเท่านั้น เสร็จธุระแล้วก็กลับกุฏิ แม้ในสมัยที่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรเถระ) อุปัชฌาย์ยังมีชีวิตอยู่ ท่านก็ไม่เคยไปที่กุฏิสมเด็จเลย สมเด็จฯ จะพบท่านได้ก็เฉพาะแต่ที่พระอุโบสถเท่านั้น เช่นเดียวกับบุคคลอื่น ๆ . ท่านอยู่ของท่านแต่ลำพังโดยโดดเดี่ยวเอกา ไฟฟ้าเครื่องให้แสงสว่างและอุปกรณ์ของใช้ต่าง ๆ อย่างที่เขานิยมใช้กันอยู่ทั่ว ๆ ไปนั้น ท่านก็ไม่มีใช้กับเขาเลย แปลว่าท่านอยู่ของท่านอย่างเหมือนกับอยู่ในป่าดงตามลำพังจริง ๆ ใครมีธุระไปพบท่านก็ไปพบได้แต่เวลาตอนที่ท่านลงโบสถ์ ภายในโบสถ์เท่านั้น ไม่ว่าคนสามัญหรือเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ท่านเคยกล่าวว่า . “คนทั้งหลายที่มาพบนี่ เมื่ออาตมากลับกุฏิแล้ว อาตมาทิ้งหมด ไม่ได้นึกถึงเลย ผีทั้งนั้น” . โดยปฏิปทาของท่านดังนี้เอง จึงทำให้ท่านสามารถบำเพ็ญเพียรจนบรรลุธรรมขั้นสูงได้ . ในระยะแรก ๆ นั้น ท่านเกือบจะไม่รับแขกเลย ทั้งนี้สัญนิษฐานว่าท่านกำลังเพ่งเพียรศึกษาและปฏิบัติธรรมอยู่อย่างขะมักเขม้น จึงไม่ยอมรับแขกมาก แม้เฉพาะแต่ในพระอุโบสถดังได้กล่าวมาแล้วก็ตาม ต่อมาในระยะหลัง ๆ ก่อนท่านสิ้นไม่กี่ปี จึงได้ยอมให้แขกเข้าพบได้มากขึ้น ทั้งนี้อาจเป็นด้วยท่านได้ความรู้มาก ผ่านประสบการณ์มาก สำเร็จธรรมขั้นสูง มีความมั่นใจได้แล้ว จึงได้ให้โอกาสเพื่อโปรดสัตว์โลกบ้างตามสมควร . พระยานรรัตนราชมานิต (ตรึก จินตยานนท์)

ทำเมืองให้เป็นป่า
.
“พระเดชพระคุณครับ พระอริยบุคคลในปัจจุบันนี้ยังพอมีอยู่บ้างไหม ?” นายแพทย์สุพจน์ ศิริรัตน์เอ่ยถามท่านขึ้นมาในตอนค่ำวันหนึ่งในพระอุโบสถหลังจากท่านทำวัตรเช้าเย็นตามปกติแล้ว
.
“มี แต่ท่านไม่ค่อยเข้ามาอยู่ในเมือง” ท่านตอบ “ชอบอยู่ตามป่าตามเขากัน เพราะท่านเหล่านั้นไม่ชอบความวุ่นวาย”
.
จากคำตอบของท่านดังกล่าวเป็นการยืนยันว่าแม้ในยุคปัจจุบันที่โลกของเราเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวายร้อยแปดพันประการ พระอรหันต์ พระอนาคามี พระสกิทาคามี พระโสดาบัน ซึ่งทางพระพุทธศาสนาถือว่าเป็นพระอริยบุคคลบรรลุธรรมชั้นสูงแล้ว ก็ยังมีอยู่คู่พระศาสนา ซึ่งการได้เป็นดังนี้ตลอดมาทุกยุคทุกสมัย สมดังที่สมเด็จพระบรมศาสดาเคยตรัสไว้ว่า
.
“บุคคลใดปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์แปดอยู่โดยชอบแล้ว โลกนี้ไม่ว่างจากพระอรหันต์” แต่ท่านเหล่านั้นจะบำเพ็จเพียรจนสามารถบรรลุธรรมขั้นสูงดังกล่าวได้เกือบทั้งหมดจะต้องทิ้งบ้านทิ้งเมือง หนีจากชุมนุมชนอันเต็มไปด้วยความวุ่นวายเข้าอาศัยป่าอันเป็นที่สงบวิเวก เพื่อการบำเพ็ญหรือปฏิบัติธรรมทั้งสิ้น
.
ปัญหาที่น่าคิดจึงเกิดขึ้นว่า สำหรับท่านธมฺมวิตกฺโกหรือท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ นั้น ทั้ง ๆ ที่ท่านพำนักอยู่ ณ วัดเทพศิรินทราวาสใจกลางกรุง อยู่ใกล้กับโรงภาพยนตร์ใหญ่หลายโรง แวดล้อมไปด้วยความอึกทึกวุ่นวายนานับปการ แต่ทำไมท่านจึงสามารถบำเพ็ญจนสำเร็จธรรมขั้นสูงได้
.
คำตอบที่ได้มาก็คือ ท่านทำ “เมือง” ให้เป็น “ป่า” สำหรับตัวท่านนั่นเอง
.
โดยการ “ตัดโลก” แยกตัวท่านออกมาจากสังคม ไม่ยอมยุ่งเกี่ยวกับสังคมภายนอกเด็ดขาด ถึงขนาดโยมบิดามารดาถึงแก่กรรรมก็ยังไม่ไปเผา ได้แต่สั่งการให้น้องรับไปดำเนินการ ทั้ง ๆ ที่ท่านเป็นผู้ที่มีความเคารพและกตัญญูในผู้มีพระคุณอย่างยอดยิ่ง ท่านไม่ยอมออกจากวัดไปไหนเลยเป็นเวลานานติดต่อกันร่วม 40 ปีเต็ม ๆ
.
ท่านไม่เคยไปที่กุฏิใครและโดยปกติก็ไม่เคยให้ใครเข้าไปในกุฏิท่าน หากจจะออกจากกุฏิก็ตรงมาโบสถ์เลยทีเดียวเพื่อทำวัตรเช้าเย็นวันละสองเวลาเท่านั้น เสร็จธุระแล้วก็กลับกุฏิ แม้ในสมัยที่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรเถระ) อุปัชฌาย์ยังมีชีวิตอยู่ ท่านก็ไม่เคยไปที่กุฏิสมเด็จเลย สมเด็จฯ จะพบท่านได้ก็เฉพาะแต่ที่พระอุโบสถเท่านั้น เช่นเดียวกับบุคคลอื่น ๆ
.
ท่านอยู่ของท่านแต่ลำพังโดยโดดเดี่ยวเอกา ไฟฟ้าเครื่องให้แสงสว่างและอุปกรณ์ของใช้ต่าง ๆ อย่างที่เขานิยมใช้กันอยู่ทั่ว ๆ ไปนั้น ท่านก็ไม่มีใช้กับเขาเลย แปลว่าท่านอยู่ของท่านอย่างเหมือนกับอยู่ในป่าดงตามลำพังจริง ๆ ใครมีธุระไปพบท่านก็ไปพบได้แต่เวลาตอนที่ท่านลงโบสถ์ ภายในโบสถ์เท่านั้น ไม่ว่าคนสามัญหรือเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ท่านเคยกล่าวว่า
.
“คนทั้งหลายที่มาพบนี่ เมื่ออาตมากลับกุฏิแล้ว อาตมาทิ้งหมด ไม่ได้นึกถึงเลย ผีทั้งนั้น”
.
โดยปฏิปทาของท่านดังนี้เอง จึงทำให้ท่านสามารถบำเพ็ญเพียรจนบรรลุธรรมขั้นสูงได้
.
ในระยะแรก ๆ นั้น ท่านเกือบจะไม่รับแขกเลย ทั้งนี้สัญนิษฐานว่าท่านกำลังเพ่งเพียรศึกษาและปฏิบัติธรรมอยู่อย่างขะมักเขม้น จึงไม่ยอมรับแขกมาก แม้เฉพาะแต่ในพระอุโบสถดังได้กล่าวมาแล้วก็ตาม ต่อมาในระยะหลัง ๆ ก่อนท่านสิ้นไม่กี่ปี จึงได้ยอมให้แขกเข้าพบได้มากขึ้น ทั้งนี้อาจเป็นด้วยท่านได้ความรู้มาก ผ่านประสบการณ์มาก สำเร็จธรรมขั้นสูง มีความมั่นใจได้แล้ว จึงได้ให้โอกาสเพื่อโปรดสัตว์โลกบ้างตามสมควร
.
พระยานรรัตนราชมานิต (ตรึก จินตยานนท์)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น