วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

วิธีฝึกของหลวงพ่อชาท่าน คือ ท่านไม่ให้ได้ตามต้องการ ความปรารถนา จึงจะเรียกว่า การฝึกหัดปฏิบัติ ถ้าได้ตามอยาก ตามปรารถนา นั่นมันไม่ได้เป็นการฝึกนะ หลวงพ่อชาท่านบอก ธรรมชาติของจิตมันดิ้นรนกวัดแกว่ง ถ้าไม่ได้ตามใจตามปรารถนาแล้วมันยิ่งดิ้น นั่นแหละจะทำให้เราเห็นอาการของจิตเวลาไม่ได้ตามปรารถนา มันจะเป็นไปอีกอย่างหนึ่ง ถ้าจะสอนจิตก็ต้องสอนในลักษณะนี้ คือ ทรมานจิตให้มันแสดงออกให้เห็นธาตุแท้ของมัน อันนี้ก็เป็นเรื่องสนุกนะ พอปฏิบัติเอาจริงๆ แล้ว ถึงจะทุกข์แต่ก็สนุกดี แรกๆก็ลำบาก พอทำไปๆ พอจับทางมันได้ เออ ก็เป็นเรื่องสนุกดีเหมือนกัน มันก็แปลกดี อย่างธรรมะที่ท่านเคยพูดให้ฟังก็เริ่มเข้าใจ อย่าง **รบกับกิเลส**ที่ท่านว่า แต่ก่อนนี้ไม่รู้เรื่อง แต่พอฝึกหัดจนทรมานมากขึ้นๆ มันก็รู้เรื่องแล้วทีนี้ เป็นนักรบภายในรบกับข้าศึกคือกิเลสภายใน ต่อสู้กันเถียงกันอยู่ตลอดเวลา เพราะมันไม่ได้ตามปรารถนา เดินไปก็เถียง นั่งอยู่ก็เถียงกัน นั่นแหละท่านเรียกว่านักรบ ต้องดิ้นรนกระวนกระวายเป็นทุกข์ รบกับกิเลสใครอยากจะทำ ท่านบอกว่าไม่มีหรอก ให้ทำลำบากๆใครจะอยากทำ แต่เพราะต้องการที่จะออกไปจากเครื่องร้อยรัด เครื่องพันธนาการ ก็ต้องหาวิธีให้รู้จักมัน เพื่อสู้กับมัน ถ้าไม่ทำอย่างนั้นก็ออกจากมันไม่ได้ หลวงพ่อชาท่านชอบอุปมาให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องปฏิบัติที่ท่านพามาทำนี่ละ ฟังแล้วบางทีก็ขำนะ ท่านพูดคล้ายๆ กับว่า ให้มีกำลังใจทำกัน ทุกข์อยู่แต่ให้มีกำลังใจ แม้ทำจนน้ำมูกน้ำตาไหลแต่ก็ไม่ทิ้ง ยังอยากจะทำต่อไป หลวงพ่อชาท่านอุปมาว่า การปฏิบัติแบบนี้ก็เหมือนกับกินตำส้มมะละกอเผ็ดๆ อร่อยๆ นี่แหละ ถ้าเจ้าไหนอร่อยต้องใส่พริกเผ็ดๆ กินกันจนน้ำมูกน้ำตาไหล มันแซ้บแซ่บ จะวางก็วางไม่ลง ทุกข์อยู่นะตอนกิน แต่ว่าวางไม่ลง แหม มันทั้งเผ็ดทั้งร้อน น้ำมูกน้ำตาไหล แต่เพราะมีรสอร่อยชวนกิน ก็เลยกินอยู่อย่างนั้นไม่ยอมวาง ท่านเปรียบเทียบว่าการปฏิบัติก็ต้องเป็นอย่างนั้น แม้จะทุกข์อยู่แต่ก็ทิ้งไม่ลง วางไม่ลง มันจึงจะเรียกว่าการปฏิบัติ ***************************************** จาก บริษัทของพระพุทธเจ้า –พระอาจารย์จันดี กันตสาโร วัดป่าอัมพวัน ชลบุรี หน้าที่ ๓๔-๓๕ ภาพวัดป่าอัมพวัน ชลบุรี โดยคุณ Paramee Na Prasri

วิธีฝึกของหลวงพ่อชาท่าน คือ ท่านไม่ให้ได้ตามต้องการ ความปรารถนา จึงจะเรียกว่า การฝึกหัดปฏิบัติ

ถ้าได้ตามอยาก ตามปรารถนา นั่นมันไม่ได้เป็นการฝึกนะ หลวงพ่อชาท่านบอก

ธรรมชาติของจิตมันดิ้นรนกวัดแกว่ง ถ้าไม่ได้ตามใจตามปรารถนาแล้วมันยิ่งดิ้น นั่นแหละจะทำให้เราเห็นอาการของจิตเวลาไม่ได้ตามปรารถนา มันจะเป็นไปอีกอย่างหนึ่ง ถ้าจะสอนจิตก็ต้องสอนในลักษณะนี้ คือ ทรมานจิตให้มันแสดงออกให้เห็นธาตุแท้ของมัน อันนี้ก็เป็นเรื่องสนุกนะ

พอปฏิบัติเอาจริงๆ แล้ว ถึงจะทุกข์แต่ก็สนุกดี แรกๆก็ลำบาก พอทำไปๆ พอจับทางมันได้ เออ ก็เป็นเรื่องสนุกดีเหมือนกัน มันก็แปลกดี

อย่างธรรมะที่ท่านเคยพูดให้ฟังก็เริ่มเข้าใจ อย่าง **รบกับกิเลส**ที่ท่านว่า แต่ก่อนนี้ไม่รู้เรื่อง แต่พอฝึกหัดจนทรมานมากขึ้นๆ มันก็รู้เรื่องแล้วทีนี้ เป็นนักรบภายในรบกับข้าศึกคือกิเลสภายใน ต่อสู้กันเถียงกันอยู่ตลอดเวลา เพราะมันไม่ได้ตามปรารถนา เดินไปก็เถียง นั่งอยู่ก็เถียงกัน นั่นแหละท่านเรียกว่านักรบ ต้องดิ้นรนกระวนกระวายเป็นทุกข์ รบกับกิเลสใครอยากจะทำ ท่านบอกว่าไม่มีหรอก ให้ทำลำบากๆใครจะอยากทำ แต่เพราะต้องการที่จะออกไปจากเครื่องร้อยรัด เครื่องพันธนาการ ก็ต้องหาวิธีให้รู้จักมัน เพื่อสู้กับมัน ถ้าไม่ทำอย่างนั้นก็ออกจากมันไม่ได้

หลวงพ่อชาท่านชอบอุปมาให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องปฏิบัติที่ท่านพามาทำนี่ละ ฟังแล้วบางทีก็ขำนะ ท่านพูดคล้ายๆ กับว่า ให้มีกำลังใจทำกัน ทุกข์อยู่แต่ให้มีกำลังใจ แม้ทำจนน้ำมูกน้ำตาไหลแต่ก็ไม่ทิ้ง ยังอยากจะทำต่อไป

หลวงพ่อชาท่านอุปมาว่า การปฏิบัติแบบนี้ก็เหมือนกับกินตำส้มมะละกอเผ็ดๆ อร่อยๆ นี่แหละ

ถ้าเจ้าไหนอร่อยต้องใส่พริกเผ็ดๆ กินกันจนน้ำมูกน้ำตาไหล มันแซ้บแซ่บ  จะวางก็วางไม่ลง ทุกข์อยู่นะตอนกิน แต่ว่าวางไม่ลง แหม มันทั้งเผ็ดทั้งร้อน น้ำมูกน้ำตาไหล แต่เพราะมีรสอร่อยชวนกิน ก็เลยกินอยู่อย่างนั้นไม่ยอมวาง

ท่านเปรียบเทียบว่าการปฏิบัติก็ต้องเป็นอย่างนั้น แม้จะทุกข์อยู่แต่ก็ทิ้งไม่ลง วางไม่ลง มันจึงจะเรียกว่าการปฏิบัติ
*****************************************
จาก บริษัทของพระพุทธเจ้า –พระอาจารย์จันดี กันตสาโร วัดป่าอัมพวัน ชลบุรี หน้าที่ ๓๔-๓๕

ภาพวัดป่าอัมพวัน ชลบุรี โดยคุณ Paramee Na Prasri

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น