วันพุธที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2560

เส้นทางชีวิต เส้นทางในชีวิตคนเรามีหลายเส้นทาง แต่มี 2 เส้น ที่เราต้องเดิน เส้นหนึ่งที่อยากเดิน เส้นทางนี้คือ เส้นทางแห่งความฝัน อีกเส้นหนึ่งแม้ไม่อยากเดิน ก็ต้องเดิน นั่นคือเส้นทางแห่งความเป็นจริง ชีวิตคนเรา ไม่ใช่สนามแข่งขันแต่เป็นการเดินทาง ท่องเที่ยว เพราะหากเป็นสนามแข่งขัน คุณต้อง พยายามวิ่งเข้าหาเส้นชัย แต่หากเป็นการท่องเที่ยว คุณจึงเห็นทิวทัศน์งามตาสองข้างทาง ชีวิตคนเราสั้นนัก ไม่มีเวลาให้เรามามัวนั่งเสียใจ หรอก อย่าเสียเวลาให้กับคนหรือเรื่องที่ทำให้คุณ ไม่เป็นสุข เพราะหากสิ่งนี้ไม่ใช่ป้ายสุดท้ายของ ชีวิต เบะปากมองบนแล้วเดินจากไปเถอะ คุณที่ถูกเข้าใจผิดไม่เคยเสียหาย คนที่มองคนอื่น ว่าเสียหายต่างหากที่เป็นคนเสียหาย อย่าเลือกครอบครองบางสิ่ง ณ ตอนนี้ แล้วต้องสูญ เสียทุกสิ่งในวันหน้า และอย่าคิดครอบครองในสิ่งที่ คุณอื่นแทบเอาชีวิตแลกมา เพราะมันจะอยู่กับคุณ ไม่นานแน่นอน ชีวิต.... อาจมีความหวังมากมายที่สุดท้ายต้องผิดหวัง อาจมีความฝันมากมายที่สุดท้ายต้องกลายเป็นความ ว่างเปล่า อาจมีคำพูดมากมายที่สุดท้ายไม่รู้จะบอกใครได้ ที่จริง.... เรื่องบางเรื่อง จับได้แค่เพียงเบาๆ อย่าได้ยึดให้มัน แน่นมากนัก คนบางคน ใส่ใจมากเกินไป ก็ใช่ว่าจะ มีความสุข หากทางที่เดินหากขรุขระ จงให้กำลัง ใจแก่คนร่วมทาง หากชีวิตมากมายด้วยลมฝนกระ หน่ำ จงยิ้มให้กับตัวเอง ชีวิตคนเรา เก็บความสุข ใส่ไว้ในใจ เก็บความทุกข์ใส่ขวดโหลแล้วโยนทิ้ง ไป เก็บไว้ไม่มีประโยชน์ นุสนธิ์บุคส์

เส้นทางชีวิต

เส้นทางในชีวิตคนเรามีหลายเส้นทาง แต่มี 2 เส้น
ที่เราต้องเดิน เส้นหนึ่งที่อยากเดิน เส้นทางนี้คือ
เส้นทางแห่งความฝัน อีกเส้นหนึ่งแม้ไม่อยากเดิน
ก็ต้องเดิน นั่นคือเส้นทางแห่งความเป็นจริง

ชีวิตคนเรา ไม่ใช่สนามแข่งขันแต่เป็นการเดินทาง
ท่องเที่ยว เพราะหากเป็นสนามแข่งขัน คุณต้อง
พยายามวิ่งเข้าหาเส้นชัย แต่หากเป็นการท่องเที่ยว
คุณจึงเห็นทิวทัศน์งามตาสองข้างทาง

ชีวิตคนเราสั้นนัก ไม่มีเวลาให้เรามามัวนั่งเสียใจ
หรอก อย่าเสียเวลาให้กับคนหรือเรื่องที่ทำให้คุณ
ไม่เป็นสุข เพราะหากสิ่งนี้ไม่ใช่ป้ายสุดท้ายของ
ชีวิต เบะปากมองบนแล้วเดินจากไปเถอะ

คุณที่ถูกเข้าใจผิดไม่เคยเสียหาย คนที่มองคนอื่น
ว่าเสียหายต่างหากที่เป็นคนเสียหาย

อย่าเลือกครอบครองบางสิ่ง ณ ตอนนี้ แล้วต้องสูญ
เสียทุกสิ่งในวันหน้า และอย่าคิดครอบครองในสิ่งที่
คุณอื่นแทบเอาชีวิตแลกมา เพราะมันจะอยู่กับคุณ
ไม่นานแน่นอน

ชีวิต....

อาจมีความหวังมากมายที่สุดท้ายต้องผิดหวัง
อาจมีความฝันมากมายที่สุดท้ายต้องกลายเป็นความ
ว่างเปล่า
อาจมีคำพูดมากมายที่สุดท้ายไม่รู้จะบอกใครได้

ที่จริง....

เรื่องบางเรื่อง จับได้แค่เพียงเบาๆ อย่าได้ยึดให้มัน
แน่นมากนัก คนบางคน ใส่ใจมากเกินไป ก็ใช่ว่าจะ
มีความสุข หากทางที่เดินหากขรุขระ จงให้กำลัง
ใจแก่คนร่วมทาง หากชีวิตมากมายด้วยลมฝนกระ
หน่ำ จงยิ้มให้กับตัวเอง ชีวิตคนเรา เก็บความสุข
ใส่ไว้ในใจ เก็บความทุกข์ใส่ขวดโหลแล้วโยนทิ้ง
ไป เก็บไว้ไม่มีประโยชน์

นุสนธิ์บุคส์

ปีใหม่นี้ ลองมอบของขวัญให้ครอบครัวตนเองกันไหม.... ของขวัญที่ว่าคือ " 4 ให้".. 1. ให้เวลา เพราะฐานของทุกสิ่งทุกอย่าง ต้องมาจากการมีเวลาให้แก่กัน ในครอบครัวควรมีเวลาทำกิจกรรมร่วมกัน เพื่อส่งเสริมความแน่นแฟ้นของความสัมพันธ์ ความสัมพันธ์ครอบครัวแข็งแรงจะช่วยให้ทุกคนฝ่าปัญหาในชีวิตได้สำเร็จ 2. ให้คำชื่นชม คำชื่นชมจากคนในครอบครัวจะทำให้สมาชิกครอบครัวรู้สึกว่ามีฉันในบ้านนี้ ฉันมีค่า ทำให้เกิดความสุขใจ อบอุ่นใจ มีความมั่นคงทางจิตใจ 3. ให้อภัย เรื่องนี้สำคัญเพราะถ้าทำได้ก็จะเป็นผลบวกทั้ง 2 ฝ่าย ถ้าทำไม่ได้ก็จะเป็นผลลบทั้ง 2 ฝ่าย อย่างกรณีที่ฝ่ายหนึ่งทำผิด แต่เมื่อสำนึกแล้ว อีกฝ่ายไม่ให้อภัย ก็ยังอยู่ในความทุกข์ ทั้ง 2 ฝ่าย ฝ่ายที่ทำผิดก็รู้สึกไม่ดี ไม่มีกำลังใจที่จะแก้ไขสิ่งที่ผิดให้ดีขึ้น ส่วนฝ่ายที่ไม่ให้อภัยก็มีความทุกข์เพราะมีความโกรธอยู่ในใจ ทำให้มีอารมณ์ลบ ความขุ่นมัว มีความเครียด มันก็ไม่ได้ถูกเอาออกจากตัวเรา อารมณ์มันก็ขุ่นมัวอยู่เรื่อยๆ ดังนั้นเราทุกคนควรฝึกการโกรธให้ยากขึ้น ให้อภัยให้ง่ายขึ้น ทุกคนจะมีความสุขง่ายขึ้น มีความทุกข์ยากขึ้น 4. ให้กำลังใจ ทุกชีวิตต้องเผชิญอุปสรรค แต่ถ้ามีคนเข้าใจและให้กำลังใจก็จะมีแรงต่อสู้ปัญหานั้นๆ ได้ คำพูดสั้นๆ เช่น ไม่เป็นไร เอาใหม่ ลองอีกที ฉันเชื่อมั่นว่าเธอทำได้ สามารถทำให้คนที่หมดกำลังใจลุกขึ้นมาเดินหน้าต่อได้.. นพ.ไกรสิทธิ์ นฤขัตพิชัย

ปีใหม่นี้ ลองมอบของขวัญให้ครอบครัวตนเองกันไหม.... ของขวัญที่ว่าคือ " 4 ให้"..

1. ให้เวลา
เพราะฐานของทุกสิ่งทุกอย่าง ต้องมาจากการมีเวลาให้แก่กัน ในครอบครัวควรมีเวลาทำกิจกรรมร่วมกัน เพื่อส่งเสริมความแน่นแฟ้นของความสัมพันธ์ ความสัมพันธ์ครอบครัวแข็งแรงจะช่วยให้ทุกคนฝ่าปัญหาในชีวิตได้สำเร็จ

2. ให้คำชื่นชม
คำชื่นชมจากคนในครอบครัวจะทำให้สมาชิกครอบครัวรู้สึกว่ามีฉันในบ้านนี้ ฉันมีค่า ทำให้เกิดความสุขใจ อบอุ่นใจ มีความมั่นคงทางจิตใจ

3. ให้อภัย
เรื่องนี้สำคัญเพราะถ้าทำได้ก็จะเป็นผลบวกทั้ง 2 ฝ่าย ถ้าทำไม่ได้ก็จะเป็นผลลบทั้ง 2 ฝ่าย อย่างกรณีที่ฝ่ายหนึ่งทำผิด แต่เมื่อสำนึกแล้ว อีกฝ่ายไม่ให้อภัย ก็ยังอยู่ในความทุกข์ ทั้ง 2 ฝ่าย ฝ่ายที่ทำผิดก็รู้สึกไม่ดี ไม่มีกำลังใจที่จะแก้ไขสิ่งที่ผิดให้ดีขึ้น ส่วนฝ่ายที่ไม่ให้อภัยก็มีความทุกข์เพราะมีความโกรธอยู่ในใจ ทำให้มีอารมณ์ลบ ความขุ่นมัว มีความเครียด มันก็ไม่ได้ถูกเอาออกจากตัวเรา อารมณ์มันก็ขุ่นมัวอยู่เรื่อยๆ

ดังนั้นเราทุกคนควรฝึกการโกรธให้ยากขึ้น ให้อภัยให้ง่ายขึ้น ทุกคนจะมีความสุขง่ายขึ้น มีความทุกข์ยากขึ้น

4. ให้กำลังใจ
ทุกชีวิตต้องเผชิญอุปสรรค แต่ถ้ามีคนเข้าใจและให้กำลังใจก็จะมีแรงต่อสู้ปัญหานั้นๆ ได้ คำพูดสั้นๆ เช่น ไม่เป็นไร เอาใหม่ ลองอีกที ฉันเชื่อมั่นว่าเธอทำได้ สามารถทำให้คนที่หมดกำลังใจลุกขึ้นมาเดินหน้าต่อได้..

นพ.ไกรสิทธิ์ นฤขัตพิชัย

วันพุธที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2560

เงาบนผืนทราย เช้าวันท้องฟ้าสดใส ก้อนหินน้อยๆก้อนหนึ่งยืนดูเงาของมัน ด้วยแววตาเศร้าสร้อย มันเอ่ยถามแม่ของมันว่า "แม่ครับ ทำไมผมไม่มีเงาที่ยาวสวยงามแบบแม่หล่ะครับ" แม่ของก้อนหินน้อยหันมามองลูกของมันอย่างเอ็นดู ก่อนที่จะบอกว่า " ลูกรัก หนูยังเด็กอยู่ เงาของหนูก็ยังคงสั้นอยู่แหละจ๊ะ " แม่หินปลอบใจลูกน้อย " แต่แม่ครับ พี่ทะเลบอกผมว่าผมจะไม่มีวันที่ตัวโตกว่านี้แล้วนี่ครับ " เจ้าก้อนหินน้อยพูดกับแม่ของมัน ก่อนที่จะพยายามบิดตัวของมันเพื่อให้คลื่นทะเลซัดมันเข้าไปใกล้ๆแม่ของมัน " งั้นผมไปอยู่ข้างหลังแม่ดีกว่า ผมจะได้มีเงาที่ยาวสวยงามเท่ากับแม่ " ก้อนหินน้อยพูดขณะรอคลื่นทะเลซัดมันเข้าหาแม่ของมัน แม่ของเจ้าหินน้อยเห็นเช่นนั้นก็เอ่ยปากห้ามลูกน้อยของตน " ลูกรัก หนูไม่ควรทำแบบนี้นะจ๊ะ การที่หนูมีเงาของหนูเองถึงจะไม่ได้ทอดยาวเหมือนของคนอื่นแต่ก็ไม่ได้ทำให้หนูมีคุณค่าน้อยกว่าคนอื่นหรอกนะจ๊ะ" แม่หินสอนลูกของมัน "ครับแม่" ก้อนหินน้อยยิ้มรับคำสอนของแม่หิน มันเอี้ยวตัวหลบคลื่นลูกเล็กๆที่พัดเข้าหามัน "แต่แม่ครับรูปร่างเงาของผมไม่ก็เห็นจะสวยเหมือนของคนอื่นเลยนี่ครับ" ก้อนหินน้อยยังพูดต่อด้วยน้ำเสียงสั่นเคลือ "ลูกพูดถูกอย่างหนึ่ง เงาของหนูไม่เหมือนเงาของคนอื่น แต่ลูกรู้ไม๊ว่าลูกมีเงาของลูกที่สวยงามตามรูปร่างของลูก ที่ไม่มีก้อนหินก้อนไหนเหมือนลูกเช่นกันนะจ๊ะ" แม่ของก้อนหินน้อยพูด " เงาของลูกก็มีแต่ลูกเท่านั้น ไม่มีใครจะมาลอกเลียนแบบเงาของลูกได้หรอกจ๊ะ หนูควรภูมิใจในความเป็นหนูและรู้จักบิดตัวรับแสงแดดยามเช้าเพื่อสร้างที่แสงเงาที่สวยงามของลูกเอง แทนที่หนูจะมากังวลในความเป็นหนูนะจ๊ะ" แม่ก้อนหินน้อยพูดพลางเหลือบตามองดูคลื่นน้ำที่ซัดเข้าหาฝั่ง ก่อนที่จะหันไปบอกลูกน้อยของมัน "ลูกจ๋า หนูจำไว้นะ วันหนึ่งหนูอาจจะต้องอยู่ท่ามกลางก้อนหินที่มีเงาทอดยาวที่ต่างกัน แต่เค้าเหล่านั้นไม่ได้แตกต่างจากหนูหรอกนะ หรือถ้าวันหนึ่งหนูต้องอยู่อย่างเดียวดายท่ามกลางผืนทราย มันก็ไม่ได้ทำให้คุณค่าของหนูแตกต่างไปจากเดิมนะลูกรัก แม่รักและภูมิใจในตัวหนู หนูก็ควรจะรักและภูมิใจในตัวหนูเองเช่นกัน" แม่ก้อนหินน้อยยิ้มให้ลูกของมัน ก้อนหินน้อยยิ้มตอบให้แม่ ก่อนที่จะหันไปมองเงาของมันเองที่ทอดยาวไปบนผืนทราย และเป็นครั้งแรกที่มันเห็นเงาของมัน......สวยงาม คืนนั้นคลื่นลมแรงมากกว่าวันไหนๆของปี ช่วงฤดูมรสุมกำลังจะเข้ามา คลื่นระลอกแล้วระลอกเล่าซัดผ่านโขดหินและผืนทรายอย่างแรง ก้อนหินน้อยเหลือบตามองแม่ของมันที่กำลังหันมามองดูมันเช่นกัน แววตาของมันมุ่งมั่นเข้มแข็ง คลื่นระลอกใหญ่ซัดกระหน่ำโขดหินอย่างรุนแรงท่วมโขดหินจนมิด ก้อนหินน้อยหันมายิ้มให้แม่ของมัน ก่อนที่จะพูดว่า " ไม่ว่าผมจะอยู่ที่ไหนอย่างไร ผมจะเป็นก้อนหินที่มีเงาที่สวยงามที่สุดในแบบของผมนะครับแม่" คลื่นลมในช่วงต้นฤดูมรสุมยังคงพัดผ่านชายหาดตลอดทั้งคืน ก้อนหินน้อยหลับตาลงอย่างอารมณ์ดี รอคอยแสงแดดยามเช้าของวันพรุ่งนี้ ....ไม่ว่ามันจะอยู่ที่ไหนและอยู่ท่ามกลางสิ่งใดก็ตาม ชีวิตนี้ดีจัง

เงาบนผืนทราย

เช้าวันท้องฟ้าสดใส ก้อนหินน้อยๆก้อนหนึ่งยืนดูเงาของมัน ด้วยแววตาเศร้าสร้อย มันเอ่ยถามแม่ของมันว่า
"แม่ครับ ทำไมผมไม่มีเงาที่ยาวสวยงามแบบแม่หล่ะครับ"
แม่ของก้อนหินน้อยหันมามองลูกของมันอย่างเอ็นดู ก่อนที่จะบอกว่า
" ลูกรัก หนูยังเด็กอยู่ เงาของหนูก็ยังคงสั้นอยู่แหละจ๊ะ " แม่หินปลอบใจลูกน้อย
" แต่แม่ครับ พี่ทะเลบอกผมว่าผมจะไม่มีวันที่ตัวโตกว่านี้แล้วนี่ครับ " เจ้าก้อนหินน้อยพูดกับแม่ของมัน ก่อนที่จะพยายามบิดตัวของมันเพื่อให้คลื่นทะเลซัดมันเข้าไปใกล้ๆแม่ของมัน
" งั้นผมไปอยู่ข้างหลังแม่ดีกว่า ผมจะได้มีเงาที่ยาวสวยงามเท่ากับแม่ " ก้อนหินน้อยพูดขณะรอคลื่นทะเลซัดมันเข้าหาแม่ของมัน
แม่ของเจ้าหินน้อยเห็นเช่นนั้นก็เอ่ยปากห้ามลูกน้อยของตน
" ลูกรัก หนูไม่ควรทำแบบนี้นะจ๊ะ การที่หนูมีเงาของหนูเองถึงจะไม่ได้ทอดยาวเหมือนของคนอื่นแต่ก็ไม่ได้ทำให้หนูมีคุณค่าน้อยกว่าคนอื่นหรอกนะจ๊ะ"
แม่หินสอนลูกของมัน 
"ครับแม่" ก้อนหินน้อยยิ้มรับคำสอนของแม่หิน มันเอี้ยวตัวหลบคลื่นลูกเล็กๆที่พัดเข้าหามัน
"แต่แม่ครับรูปร่างเงาของผมไม่ก็เห็นจะสวยเหมือนของคนอื่นเลยนี่ครับ" ก้อนหินน้อยยังพูดต่อด้วยน้ำเสียงสั่นเคลือ
"ลูกพูดถูกอย่างหนึ่ง เงาของหนูไม่เหมือนเงาของคนอื่น แต่ลูกรู้ไม๊ว่าลูกมีเงาของลูกที่สวยงามตามรูปร่างของลูก ที่ไม่มีก้อนหินก้อนไหนเหมือนลูกเช่นกันนะจ๊ะ" แม่ของก้อนหินน้อยพูด

" เงาของลูกก็มีแต่ลูกเท่านั้น ไม่มีใครจะมาลอกเลียนแบบเงาของลูกได้หรอกจ๊ะ หนูควรภูมิใจในความเป็นหนูและรู้จักบิดตัวรับแสงแดดยามเช้าเพื่อสร้างที่แสงเงาที่สวยงามของลูกเอง แทนที่หนูจะมากังวลในความเป็นหนูนะจ๊ะ"
แม่ก้อนหินน้อยพูดพลางเหลือบตามองดูคลื่นน้ำที่ซัดเข้าหาฝั่ง ก่อนที่จะหันไปบอกลูกน้อยของมัน
"ลูกจ๋า หนูจำไว้นะ วันหนึ่งหนูอาจจะต้องอยู่ท่ามกลางก้อนหินที่มีเงาทอดยาวที่ต่างกัน แต่เค้าเหล่านั้นไม่ได้แตกต่างจากหนูหรอกนะ หรือถ้าวันหนึ่งหนูต้องอยู่อย่างเดียวดายท่ามกลางผืนทราย มันก็ไม่ได้ทำให้คุณค่าของหนูแตกต่างไปจากเดิมนะลูกรัก
แม่รักและภูมิใจในตัวหนู
หนูก็ควรจะรักและภูมิใจในตัวหนูเองเช่นกัน" แม่ก้อนหินน้อยยิ้มให้ลูกของมัน

ก้อนหินน้อยยิ้มตอบให้แม่
ก่อนที่จะหันไปมองเงาของมันเองที่ทอดยาวไปบนผืนทราย
และเป็นครั้งแรกที่มันเห็นเงาของมัน......สวยงาม

คืนนั้นคลื่นลมแรงมากกว่าวันไหนๆของปี ช่วงฤดูมรสุมกำลังจะเข้ามา
คลื่นระลอกแล้วระลอกเล่าซัดผ่านโขดหินและผืนทรายอย่างแรง

ก้อนหินน้อยเหลือบตามองแม่ของมันที่กำลังหันมามองดูมันเช่นกัน แววตาของมันมุ่งมั่นเข้มแข็ง
คลื่นระลอกใหญ่ซัดกระหน่ำโขดหินอย่างรุนแรงท่วมโขดหินจนมิด

ก้อนหินน้อยหันมายิ้มให้แม่ของมัน ก่อนที่จะพูดว่า
" ไม่ว่าผมจะอยู่ที่ไหนอย่างไร ผมจะเป็นก้อนหินที่มีเงาที่สวยงามที่สุดในแบบของผมนะครับแม่"

คลื่นลมในช่วงต้นฤดูมรสุมยังคงพัดผ่านชายหาดตลอดทั้งคืน ก้อนหินน้อยหลับตาลงอย่างอารมณ์ดี รอคอยแสงแดดยามเช้าของวันพรุ่งนี้

....ไม่ว่ามันจะอยู่ที่ไหนและอยู่ท่ามกลางสิ่งใดก็ตาม

ชีวิตนี้ดีจัง

เจมส์ อาร์รูด้า เฮนรี่ : นักเขียนชายชราผู้เคยอ่านหนังสือไม่ออก ชายผู้นี้พิสูจน์แล้วว่า “ไม่มีคำว่าสายเกินไป” เขาผ่านชีวิตมานานกว่า 90 ปีโดยไม่รู้หนังสือ แต่สุดท้ายเขากลายเป็นนักเขียนได้สำเร็จในวัยใกล้ร้อยปี เจมส์ อาร์รูด้า เฮนรี่ (James Arruda Henry) ชาวอเมริกันเชื้อสายโปรตุเกส เป็นกัปตันเรือจับกุ้งล็อบสเตอร์ที่ชอบช่วยเหลือชุมชน เขามีเพื่อนฝูงมากมายแต่กลับรู้สึกราวกับว่าตนเองไม่เคยมีตัวตนเพราะต้องคอยปกปิดความจริงตลอดเวลาว่า “เป็นคนไม่รู้หนังสือ” พ่อของเขาติดเหล้า ชอบทุบตี และบังคับให้ออกจากโรงเรียนตั้งแต่อายุ 9 ขวบ ตั้งแต่นั้นเจมส์ต้องทำงานหนักสารพัด เมื่อถึงวัย 20 ปีต้น ๆ เขาแต่งงานกับภรรยาซึ่งเป็นคนเดียวที่รู้ความลับนี้ เจมส์ต้องเอาตัวรอดเพื่อไม่ให้ใครรู้เวลาไปร้านอาหาร เขาต้องรอให้คนอื่นสั่งอาหารก่อนแล้วจึงสั่งตาม เมื่อถึงเวลาเช็กบิลก็จะแกล้งทำเป็นอ่านหนังสือพิมพ์ แล้วใช้วิธีถามเด็กเสิร์ฟว่ามื้อนี้ราคาเท่าไหร่ แม้สามารถเซ็นชื่อของตัวเองได้ แต่เขาก็รู้สึกทรมานใจทุกครั้งที่ต้องเซ็นชื่อลงบนเอกสารที่ตัวเองอ่านไม่ออก เขาทนกล้ำกลืนเก็บความลับนี้ไว้กับตัวมาตลอด กระทั่งอายุได้ราว 92 ปี ภรรยาของเขาล้มป่วย หลานสาวจึงอ่านหนังสือเรื่อง Life Is So Good ให้ฟัง ซึ่งเจมส์ก็ได้ฟังด้วย หนังสือเล่มนี้เล่าเรื่องชีวิตจริงของชายผิวดำชื่อ จอร์จ ดอว์สัน (George Dawson) ชายชราที่มีปู่เป็นทาส เริ่มเรียนเขียนอ่านตอนอายุ 98 ปี และเขียนหนังสือเล่มนี้ตอนอายุ 101 ปี เมื่อเจมส์ได้ฟังก็เกิดแรงบันดาลใจ จึงพยายามหัดอ่านหนังสือด้วยตัวเอง โดยเริ่มจากการพลิกดูหนังสือภาพ พจนานุกรม และหนังสือแบบเรียนสำหรับเด็ก เขาพยายามเรียนรู้อยู่เป็นปี แต่กลับถอดใจเมื่อภรรยาเสียชีวิต กระทั่งวันหนึ่งเจมส์ประสบอุบัติเหตุหกล้มสะโพกหัก ต้องย้ายไปอยู่บ้านพักคนชราที่สอนให้ผู้สูงอายุทำกิจกรรมที่ตัวเองสนใจ เขาตัดสินใจหัดอ่านหัดเขียนอย่างจริงจังอีกครั้ง โดยมีผู้ช่วยคือ มาร์ก โฮแกน (Mark Hogan) ครูสอนภาษาอังกฤษที่เกษียณอายุแล้วมาเป็นอาสาสมัครสอนหนังสือ เจมส์ได้รับกำลังใจจากครูอาสาและลูกหลาน จนในที่สุดเขาก็อ่านเขียนได้คล่องตอนอายุ 96 ปี อีกสองปีต่อมาเขาสามารถเขียนเล่าเรื่องราวของตัวเองในหนังสือเรื่อง In a Fisherman’s Language เป็นหนังสือที่โรงเรียนประถมทั่วสหรัฐอเมริกาคัดเลือกให้มีไว้ในห้องสมุด เขากลายเป็นคนดังระดับประเทศในวัยเหยียบร้อยปี ปี 2013 เจมส์ อาร์รูด้า เฮนรี่ จากไปอย่างสงบในวัย 99 ปี กลายเป็นอีกบุคคลในตำนานที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้เด็ก ๆ เข้าใจความสำคัญของการอ่านเขียน และพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่า “ไม่มีใครแก่เกินเรียน” อย่าปล่อยให้เวลาทำลายความตั้งใจ ไม่มีคำว่าสายเกินไปสำหรับผู้ที่มีความพยายาม ขอขอบคุณภาพและข้อมูล www fishermanslanguage com

เจมส์ อาร์รูด้า เฮนรี่ : นักเขียนชายชราผู้เคยอ่านหนังสือไม่ออก

ชายผู้นี้พิสูจน์แล้วว่า “ไม่มีคำว่าสายเกินไป” เขาผ่านชีวิตมานานกว่า 90 ปีโดยไม่รู้หนังสือ แต่สุดท้ายเขากลายเป็นนักเขียนได้สำเร็จในวัยใกล้ร้อยปี

เจมส์ อาร์รูด้า เฮนรี่ (James Arruda Henry) ชาวอเมริกันเชื้อสายโปรตุเกส เป็นกัปตันเรือจับกุ้งล็อบสเตอร์ที่ชอบช่วยเหลือชุมชน เขามีเพื่อนฝูงมากมายแต่กลับรู้สึกราวกับว่าตนเองไม่เคยมีตัวตนเพราะต้องคอยปกปิดความจริงตลอดเวลาว่า “เป็นคนไม่รู้หนังสือ”

พ่อของเขาติดเหล้า ชอบทุบตี และบังคับให้ออกจากโรงเรียนตั้งแต่อายุ 9 ขวบ ตั้งแต่นั้นเจมส์ต้องทำงานหนักสารพัด เมื่อถึงวัย 20 ปีต้น ๆ เขาแต่งงานกับภรรยาซึ่งเป็นคนเดียวที่รู้ความลับนี้

เจมส์ต้องเอาตัวรอดเพื่อไม่ให้ใครรู้เวลาไปร้านอาหาร เขาต้องรอให้คนอื่นสั่งอาหารก่อนแล้วจึงสั่งตาม เมื่อถึงเวลาเช็กบิลก็จะแกล้งทำเป็นอ่านหนังสือพิมพ์ แล้วใช้วิธีถามเด็กเสิร์ฟว่ามื้อนี้ราคาเท่าไหร่ แม้สามารถเซ็นชื่อของตัวเองได้ แต่เขาก็รู้สึกทรมานใจทุกครั้งที่ต้องเซ็นชื่อลงบนเอกสารที่ตัวเองอ่านไม่ออก เขาทนกล้ำกลืนเก็บความลับนี้ไว้กับตัวมาตลอด

กระทั่งอายุได้ราว 92 ปี ภรรยาของเขาล้มป่วย หลานสาวจึงอ่านหนังสือเรื่อง Life Is So Good ให้ฟัง ซึ่งเจมส์ก็ได้ฟังด้วย หนังสือเล่มนี้เล่าเรื่องชีวิตจริงของชายผิวดำชื่อ จอร์จ ดอว์สัน (George Dawson) ชายชราที่มีปู่เป็นทาส เริ่มเรียนเขียนอ่านตอนอายุ 98 ปี และเขียนหนังสือเล่มนี้ตอนอายุ 101 ปี

เมื่อเจมส์ได้ฟังก็เกิดแรงบันดาลใจ จึงพยายามหัดอ่านหนังสือด้วยตัวเอง โดยเริ่มจากการพลิกดูหนังสือภาพ พจนานุกรม และหนังสือแบบเรียนสำหรับเด็ก เขาพยายามเรียนรู้อยู่เป็นปี แต่กลับถอดใจเมื่อภรรยาเสียชีวิต

กระทั่งวันหนึ่งเจมส์ประสบอุบัติเหตุหกล้มสะโพกหัก ต้องย้ายไปอยู่บ้านพักคนชราที่สอนให้ผู้สูงอายุทำกิจกรรมที่ตัวเองสนใจ เขาตัดสินใจหัดอ่านหัดเขียนอย่างจริงจังอีกครั้ง โดยมีผู้ช่วยคือ มาร์ก โฮแกน (Mark Hogan) ครูสอนภาษาอังกฤษที่เกษียณอายุแล้วมาเป็นอาสาสมัครสอนหนังสือ

เจมส์ได้รับกำลังใจจากครูอาสาและลูกหลาน จนในที่สุดเขาก็อ่านเขียนได้คล่องตอนอายุ 96 ปี อีกสองปีต่อมาเขาสามารถเขียนเล่าเรื่องราวของตัวเองในหนังสือเรื่อง In a Fisherman’s Language เป็นหนังสือที่โรงเรียนประถมทั่วสหรัฐอเมริกาคัดเลือกให้มีไว้ในห้องสมุด เขากลายเป็นคนดังระดับประเทศในวัยเหยียบร้อยปี

ปี 2013 เจมส์ อาร์รูด้า เฮนรี่ จากไปอย่างสงบในวัย 99 ปี กลายเป็นอีกบุคคลในตำนานที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้เด็ก ๆ เข้าใจความสำคัญของการอ่านเขียน และพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่า “ไม่มีใครแก่เกินเรียน”
                อย่าปล่อยให้เวลาทำลายความตั้งใจ ไม่มีคำว่าสายเกินไปสำหรับผู้ที่มีความพยายาม

ขอขอบคุณภาพและข้อมูล

www fishermanslanguage com

รูปที่แขวนอยู่บนผนังห้องทำงานของเซอร์ อเล็ก เฟอร์กูสัน ยอดผู้จัดการทีมตลอดกาลของทีมฟุตบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นั่นคือรูปของคนงาน 11 คนนั่งอยู่บนคานเหล็ก กำลังกินอาหารเที่ยงด้วยกันโดยไม่มีอุปกรณ์กันตกเลยสักชิ้นเดียว ทุกครั้งที่มีเด็กใหม่เข้ามาในสโมสร เฟอร์กี้จะถามนักเตะคนนั้นว่าคิดอย่างไรกับภาพๆนี้ แน่นอนว่านักเตะที่ถูกถามคำถามนี้ มักจะตื่นเต้นเสมอๆเพราะว่าเขาไม่แน่ใจว่า เฟอร์กี้จะมาไม้ไหนกันแน่ และเฟอร์กี้จะเฉลยเสมอว่า "ภาพนี้มีคนอยู่ 11 คนเท่ากับจำนวนผู้เล่นในสนาม พวกเขากำลังสร้างตึกร็อกกี้เฟลเลอร์ ซึ่งเป็นของมหาเศรษฐีผู้ใจบุญในสหรัฐอเมริกา ในการก่อสร้างมีผู้เสียชีวิตด้วยและมีผู้เสียชีวิตจากการพยายามช่วยเพื่อนที่จะตกลงไป เฟอร์กี้บอกคนใหม่ๆเสมอว่า นี่คือสิ่งที่ทีมควรทำ ทีมควรสามัคคีกัน ทำงานร่วมกัน ถ้าเราหวังจะได้แชมป์มาครอง" ไม่แปลกใจว่าสปิริตของทีมมาจากไหน ทุกครั้งที่ทีมต้องการประตู ต้องการแชมป์ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดมักจะทำได้เสมอๆ ในช่วงเวลาการคุมทีมของเขา #เรื่องนี้ดี

รูปที่แขวนอยู่บนผนังห้องทำงานของเซอร์ อเล็ก เฟอร์กูสัน ยอดผู้จัดการทีมตลอดกาลของทีมฟุตบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

นั่นคือรูปของคนงาน 11 คนนั่งอยู่บนคานเหล็ก กำลังกินอาหารเที่ยงด้วยกันโดยไม่มีอุปกรณ์กันตกเลยสักชิ้นเดียว ทุกครั้งที่มีเด็กใหม่เข้ามาในสโมสร

เฟอร์กี้จะถามนักเตะคนนั้นว่าคิดอย่างไรกับภาพๆนี้ แน่นอนว่านักเตะที่ถูกถามคำถามนี้ มักจะตื่นเต้นเสมอๆเพราะว่าเขาไม่แน่ใจว่า เฟอร์กี้จะมาไม้ไหนกันแน่ และเฟอร์กี้จะเฉลยเสมอว่า

"ภาพนี้มีคนอยู่ 11 คนเท่ากับจำนวนผู้เล่นในสนาม พวกเขากำลังสร้างตึกร็อกกี้เฟลเลอร์ ซึ่งเป็นของมหาเศรษฐีผู้ใจบุญในสหรัฐอเมริกา ในการก่อสร้างมีผู้เสียชีวิตด้วยและมีผู้เสียชีวิตจากการพยายามช่วยเพื่อนที่จะตกลงไป เฟอร์กี้บอกคนใหม่ๆเสมอว่า นี่คือสิ่งที่ทีมควรทำ ทีมควรสามัคคีกัน ทำงานร่วมกัน ถ้าเราหวังจะได้แชมป์มาครอง"

ไม่แปลกใจว่าสปิริตของทีมมาจากไหน ทุกครั้งที่ทีมต้องการประตู ต้องการแชมป์ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดมักจะทำได้เสมอๆ ในช่วงเวลาการคุมทีมของเขา

#เรื่องนี้ดี

การเดินทางของเงิน 1,000 เหรียญ ยามบ่ายที่ร้อนอบอ้าว ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง บนถนนไร้ผู้คน ไร้ซึ่งชีวิตชีวา เนื่องจากเศรษฐกิจซบเซามานาน ชาวบ้านชาวช่องหรือพ่อค้าต่างมีหนี้สินล้นพ้นตัว อาศัยการติดหนี้ติดสินประคองตัวรอดไปวันๆ ในเวลานั้น มีนักท่องเที่ยวท่าทางร่ำรวยเดินเข้ามาในโรงแรม แกหยิบธนบัตรฉบับหนึ่งพันเหรียญออกมาวางบนเค้าเตอร์ บอกเจ้าของโรงแรมว่าจะมาหาห้องนอนค้างแรม แต่ก่อนอื่นต้องขอแกขึ้นไปเดินสำรวจหาห้องนอนที่ถูกใจก่อน พอพนักงานพาแขกขึ้นไปเลือกห้อง เจ้าของโรงแรมรีบนำเงินพันเหรียญตรงไปร้านขายหมูที่อยู่ติดกับโรงแรม เพื่อชำระหนี้ค่าเนื้อหมูที่ติดค้างกันไว้ พ่อค้าขายหมูพอได้รับเงิน ก็รีบเดินข้ามถนนไปชำระหนี้พันเหรียญที่ติดค้างกับคนเลี้ยงหมู คนเลี้ยงหมูพอได้รับเงินก็รีบตรงไปร้านขายอาหารสัตว์ไปชำระหนี้ คนขายอาหารสัตว์เมื่อได้เงินก็ไม่รอช้า รีบนำเงินไปจ่ายค่าตัวผู้หญิงหากินที่ยังค้างหนี้หล่อนอยู่ เหตุเพราะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ต่อเนื่องกันมานาน ธุรกิจทุกรูปแบบจึงต้องยอมอนุโลมซื้อขายกันเป็นเงินเชื่อทั้งนั้น สุดท้ายผู้หญิงหากินคนนั้นก็หยิบเงินพันเหรียญตรงไปจ่ายค่าห้องที่ติดหนี้โรงแรมไว้ ในเวลาถัดมา แขกที่เดินขึ้นไปสำรวจห้องพักก็เดินลงมาจากชั้นบน แกบอกเจ้าของโรงแรมว่าไม่มีห้องที่แกถูกใจ ว่าแล้วแกก็ขอเงินคืนก่อนเดินออกจากโรงแรมไป เหตุการณ์ในวันนั้น ไม่มีใครขายสินค้าหรือบริการอะไรได้เลย และก็ไม่มีใครได้รับสินค้าหรือใช้บริการใดๆจากใครทั้งนั้น แต่ทุกคนก็ได้จ่ายหนี้จ่ายสินไปเรียบร้อยหมด ต่างโล่งอกกันถ้วนหน้า นิทานเรื่องนี้บอกให้รู้ว่า เงินทองต้องมีการหมุนเวียน จึงจะเกิดมูลค่า และเศรษฐกิจจะดีได้ก็ต้องมีการบริหารที่มีประสิทธิภาพ "ขจรศักดิ์"

การเดินทางของเงิน 1,000 เหรียญ

ยามบ่ายที่ร้อนอบอ้าว  ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง บนถนนไร้ผู้คน ไร้ซึ่งชีวิตชีวา เนื่องจากเศรษฐกิจซบเซามานาน ชาวบ้านชาวช่องหรือพ่อค้าต่างมีหนี้สินล้นพ้นตัว  อาศัยการติดหนี้ติดสินประคองตัวรอดไปวันๆ

ในเวลานั้น มีนักท่องเที่ยวท่าทางร่ำรวยเดินเข้ามาในโรงแรม แกหยิบธนบัตรฉบับหนึ่งพันเหรียญออกมาวางบนเค้าเตอร์  บอกเจ้าของโรงแรมว่าจะมาหาห้องนอนค้างแรม แต่ก่อนอื่นต้องขอแกขึ้นไปเดินสำรวจหาห้องนอนที่ถูกใจก่อน พอพนักงานพาแขกขึ้นไปเลือกห้อง เจ้าของโรงแรมรีบนำเงินพันเหรียญตรงไปร้านขายหมูที่อยู่ติดกับโรงแรม เพื่อชำระหนี้ค่าเนื้อหมูที่ติดค้างกันไว้ พ่อค้าขายหมูพอได้รับเงิน ก็รีบเดินข้ามถนนไปชำระหนี้พันเหรียญที่ติดค้างกับคนเลี้ยงหมู คนเลี้ยงหมูพอได้รับเงินก็รีบตรงไปร้านขายอาหารสัตว์ไปชำระหนี้ คนขายอาหารสัตว์เมื่อได้เงินก็ไม่รอช้า รีบนำเงินไปจ่ายค่าตัวผู้หญิงหากินที่ยังค้างหนี้หล่อนอยู่ เหตุเพราะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ต่อเนื่องกันมานาน ธุรกิจทุกรูปแบบจึงต้องยอมอนุโลมซื้อขายกันเป็นเงินเชื่อทั้งนั้น สุดท้ายผู้หญิงหากินคนนั้นก็หยิบเงินพันเหรียญตรงไปจ่ายค่าห้องที่ติดหนี้โรงแรมไว้ 

ในเวลาถัดมา แขกที่เดินขึ้นไปสำรวจห้องพักก็เดินลงมาจากชั้นบน แกบอกเจ้าของโรงแรมว่าไม่มีห้องที่แกถูกใจ ว่าแล้วแกก็ขอเงินคืนก่อนเดินออกจากโรงแรมไป

เหตุการณ์ในวันนั้น ไม่มีใครขายสินค้าหรือบริการอะไรได้เลย และก็ไม่มีใครได้รับสินค้าหรือใช้บริการใดๆจากใครทั้งนั้น แต่ทุกคนก็ได้จ่ายหนี้จ่ายสินไปเรียบร้อยหมด ต่างโล่งอกกันถ้วนหน้า

นิทานเรื่องนี้บอกให้รู้ว่า
เงินทองต้องมีการหมุนเวียน จึงจะเกิดมูลค่า และเศรษฐกิจจะดีได้ก็ต้องมีการบริหารที่มีประสิทธิภาพ

"ขจรศักดิ์"

อุทาหรณ์สอนใจหญิง #เครื่องปรุง วันหนึ่งสมัยอาม่ายังอยู่ ช่ากลับมาจากที่ทำงาน พึ่งทะเลาะกับแฟนรุ่นพี่เรื่องเบี้ยวนัดเพราะติดงาน นอยแดก พอถึงบ้านนั่งลงที่ครัวกำลังจะหาข้าวกิน อาม่าก็เดินมาพอดี อาม่า : กินอะไรมายังลูก? ช่า : ยังอะม่า...มีไรกินมะ อาม่า : มีเกาเหลาอยู่นะกินมะ? ช่า : เอาๆ อาม่าเดินไปตักเกาเหลามาหนึ่งชาม อาม่า : รสได้มะลองชิม ไม่ได้เดี๋ยวปรุงให้ใหม่ ช่า : (ตักกินแบบเนือยๆ)....จืดอะ อาม่า : งั้นเดี๋ยวม่าปรุงให้แปปนึง อาม่าหยิบถ้วยน้ำปลา น้ำส้ม น้ำตาลออกมาปรุง อาม่า : ดียัง? ช่า : (ซดน้ำ)อืม.....ดีละม่า อาม่า : ................... ช่า : ............................(เคี้ยว) อาม่า : ...............เป็นอะไร? ช่า : หืม? หนูเหรอ? อาม่า : เออเป็นอะไร ช่า : (ถอนหายใจ)ทะเลาะกับแฟนอะอาม่า อาม่า : อ้าว ทำไมอะ? ช่า : มันไม่มีเวลาเล้ย ทำแต่งาน จะดูหนังซักเรื่องยังลำบาก อาม่า : เค้าก็ทำงานไม่ใช่ไง ช่า : ก็ทำงานน่ะแหละแต่ก็แบบ.....นี่เริ่มเซ็งแล้วอะ อาม่า : เรื่องแค่นี้อะนะ ช่า : มันไม่แค่นี้น่ะสิ มันประปรายเรื่องเล็กๆน้อยๆอะ เรื่องเวลาบ้าง เรื่องขับรถบ้าง เรื่องบอกอะไรแล้วชอบลืมทำบ้าง บลาๆๆ อาม่า : หยุมหยิมจัง? ช่า : หยุมหยิมเนี่ยแหละตัวดีเลย อาม่า : แล้วรักมันมั้ยล่ะ? ช่า : ไอ้รักก็รัก..... จริงๆมันไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกม่า แต่มันน่าหงุดหงิดอะ น่ามคาน อาม่า : แล้วอยากเลิกมั้ย? ช่า : (มองอาม่า) เปล่า....ไม่ได้อยากเลิก....ไม่ได้มีความคิดว่าจะเลิกอะไรหรอก แต่แบบ...ไม่ได้ดั่งใจอะ ม่านึกออกมะ? อาม่า : ..................... ช่า : ......................เงียบทำไม ให้กำลังใจหน่อยสิ อาม่าไถถ้วยน้ำตาลมาที่หน้าช่า ช่า : หืม(มองถ้วย)......ไม่ปรุงแล้วม่า....รสดีแล้ว อาม่า : ไม่ได้ให้ปรุง ให้กิน ช่า : หืม?...กินน้ำตาล? อาม่า : เออ....กิน ช่า : มันทำไมอะ? (ตักน้ำตาลมาจิบกิน) ก็หวานปกตินี่ มีไรเหรอ? อาม่า : (ไถถ้วยน้ำปลามาทางช่า) กิน ช่า : กินน้ำปลา? อาม่า : อืม ช่า : นี่เริ่มหลงลืมแล้วถูกมะ? อาม่า : ไม่กินงั้นกินนี่ (ไถถ้วยน้ำส้มสายชูมาที่หน้าช่า) ช่า : ไม่กิ๊นน....เป็นอะไรวันนี้เอาดีๆ? อาม่า : ทำไมไม่กินอะ? ช่า : ใครเค้ากินเครื่องปรุงกันเปล่าๆล่ะ อาม่า : (ชี้ไปที่ถ้วยเกาเหลา)แล้วตอนแรกเกาเหลาชามนี้รสมันเป็นยังไง? ช่า : จืด อาม่า : แล้วมันอร่อยได้เพราะอะไร? ช่า : ....................เครื่องปรุง อาม่า : เออ.... ผัวแกก็เหมือนกันน่ะแหละ ช่า : ................... อาม่า : สันดานคนมันก็เหมือนเครื่องปรุงแหละ กินได้บ้างกินไม่ได้บ้าง ไม่มีใครที่ดีครบกินได้ไปทุกอย่างหรอก ช่า : (ถอนหายใจ).....งืม อาม่า : ถามจริง คบกับมันแกมีความสุขมั้ย? ช่า : .......(พยักหน้า) มี จริงๆมันก็มีข้อดีอยู่เยอะแหละม่า อาม่า : เออ....มองกว้างๆสิ อย่าไปมองแต่ว่าอันนี้เค็มอันนี้เปรี้ยว ทุกอย่างมันต้องผสมกัน บางคนเลือกใส่แต่น้ำตาลผลสุดท้ายเป็นไง แดกไม่ได้ ช่า : งืมม.... อาม่า : ถ้ารวมๆแล้วรสมันดี มันก็คือส่วนผสมที่ดี แกจะไปหวังให้คนคนนึงเกิดมามีแต่รสอร่อยๆเลยไม่ได้หรอก มันก็ต้องมีทั้งน้ำปลาน้ำตาลทั้งนั้นแหละ แกเองก็เหมือนกัน เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ทุกส่วนผสมใน Relationship มีหลากรสเสมอ รัก ช่า บันทึกของตุ๊ด

อุทาหรณ์สอนใจหญิง #เครื่องปรุง

วันหนึ่งสมัยอาม่ายังอยู่ ช่ากลับมาจากที่ทำงาน พึ่งทะเลาะกับแฟนรุ่นพี่เรื่องเบี้ยวนัดเพราะติดงาน นอยแดก พอถึงบ้านนั่งลงที่ครัวกำลังจะหาข้าวกิน อาม่าก็เดินมาพอดี

อาม่า : กินอะไรมายังลูก?
ช่า : ยังอะม่า...มีไรกินมะ
อาม่า : มีเกาเหลาอยู่นะกินมะ?
ช่า : เอาๆ

อาม่าเดินไปตักเกาเหลามาหนึ่งชาม

อาม่า : รสได้มะลองชิม ไม่ได้เดี๋ยวปรุงให้ใหม่
ช่า : (ตักกินแบบเนือยๆ)....จืดอะ
อาม่า : งั้นเดี๋ยวม่าปรุงให้แปปนึง

อาม่าหยิบถ้วยน้ำปลา น้ำส้ม น้ำตาลออกมาปรุง

อาม่า : ดียัง?
ช่า : (ซดน้ำ)อืม.....ดีละม่า
อาม่า : ...................
ช่า : ............................(เคี้ยว)
อาม่า : ...............เป็นอะไร?
ช่า : หืม? หนูเหรอ?
อาม่า : เออเป็นอะไร
ช่า : (ถอนหายใจ)ทะเลาะกับแฟนอะอาม่า
อาม่า : อ้าว ทำไมอะ?
ช่า : มันไม่มีเวลาเล้ย ทำแต่งาน จะดูหนังซักเรื่องยังลำบาก
อาม่า : เค้าก็ทำงานไม่ใช่ไง
ช่า : ก็ทำงานน่ะแหละแต่ก็แบบ.....นี่เริ่มเซ็งแล้วอะ
อาม่า : เรื่องแค่นี้อะนะ
ช่า : มันไม่แค่นี้น่ะสิ มันประปรายเรื่องเล็กๆน้อยๆอะ เรื่องเวลาบ้าง เรื่องขับรถบ้าง เรื่องบอกอะไรแล้วชอบลืมทำบ้าง บลาๆๆ
อาม่า : หยุมหยิมจัง?
ช่า : หยุมหยิมเนี่ยแหละตัวดีเลย
อาม่า : แล้วรักมันมั้ยล่ะ?
ช่า : ไอ้รักก็รัก..... จริงๆมันไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกม่า แต่มันน่าหงุดหงิดอะ น่ามคาน
อาม่า : แล้วอยากเลิกมั้ย?
ช่า : (มองอาม่า) เปล่า....ไม่ได้อยากเลิก....ไม่ได้มีความคิดว่าจะเลิกอะไรหรอก แต่แบบ...ไม่ได้ดั่งใจอะ ม่านึกออกมะ?
อาม่า : .....................
ช่า : ......................เงียบทำไม ให้กำลังใจหน่อยสิ

อาม่าไถถ้วยน้ำตาลมาที่หน้าช่า

ช่า : หืม(มองถ้วย)......ไม่ปรุงแล้วม่า....รสดีแล้ว
อาม่า : ไม่ได้ให้ปรุง ให้กิน
ช่า : หืม?...กินน้ำตาล?
อาม่า : เออ....กิน
ช่า : มันทำไมอะ? (ตักน้ำตาลมาจิบกิน) ก็หวานปกตินี่ มีไรเหรอ?
อาม่า : (ไถถ้วยน้ำปลามาทางช่า) กิน
ช่า : กินน้ำปลา?
อาม่า : อืม
ช่า : นี่เริ่มหลงลืมแล้วถูกมะ?
อาม่า : ไม่กินงั้นกินนี่ (ไถถ้วยน้ำส้มสายชูมาที่หน้าช่า)
ช่า : ไม่กิ๊นน....เป็นอะไรวันนี้เอาดีๆ?
อาม่า : ทำไมไม่กินอะ?
ช่า : ใครเค้ากินเครื่องปรุงกันเปล่าๆล่ะ
อาม่า : (ชี้ไปที่ถ้วยเกาเหลา)แล้วตอนแรกเกาเหลาชามนี้รสมันเป็นยังไง?
ช่า : จืด
อาม่า : แล้วมันอร่อยได้เพราะอะไร?
ช่า : ....................เครื่องปรุง
อาม่า : เออ....

ผัวแกก็เหมือนกันน่ะแหละ

ช่า : ...................
อาม่า : สันดานคนมันก็เหมือนเครื่องปรุงแหละ กินได้บ้างกินไม่ได้บ้าง ไม่มีใครที่ดีครบกินได้ไปทุกอย่างหรอก
ช่า : (ถอนหายใจ).....งืม
อาม่า : ถามจริง คบกับมันแกมีความสุขมั้ย?
ช่า : .......(พยักหน้า) มี จริงๆมันก็มีข้อดีอยู่เยอะแหละม่า
อาม่า : เออ....มองกว้างๆสิ อย่าไปมองแต่ว่าอันนี้เค็มอันนี้เปรี้ยว ทุกอย่างมันต้องผสมกัน บางคนเลือกใส่แต่น้ำตาลผลสุดท้ายเป็นไง แดกไม่ได้
ช่า : งืมม....
อาม่า : ถ้ารวมๆแล้วรสมันดี มันก็คือส่วนผสมที่ดี แกจะไปหวังให้คนคนนึงเกิดมามีแต่รสอร่อยๆเลยไม่ได้หรอก

มันก็ต้องมีทั้งน้ำปลาน้ำตาลทั้งนั้นแหละ

แกเองก็เหมือนกัน

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

ทุกส่วนผสมใน Relationship มีหลากรสเสมอ

รัก

ช่า บันทึกของตุ๊ด