วันอาทิตย์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2560

ให้เกียรติคนรัก เพิ่มความมั่นคงให้ชีวิตคู่ การมีชีวิตคู่เป็นการตอบสนองความปรารถนาในส่วนลึกของจิตใจในด้านของความรัก การยอมรับ และความรู้สึกว่าตนมีความหมายและมีคุณค่าต่อกันและกัน คู่สมรสที่แต่งงานปรารถนาความรู้สึกนี้ทุกคน การให้เกียรติหมายถึง การแสดงให้อีกฝ่ายหนึ่งรู้ว่าเป็นคนสำคัญสำหรับคุณ เป็นบุคคลที่มีคุณค่ามีความหมาย คุณเคารพในความเป็นเขาทั้งความคิด การกระทำในฐานะบุคคลหนึ่งที่มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และในฐานะคู่ชีวิต การให้เกียรติสามารถกระทำได้หลายวิธี ทั้งความคิด ความรู้สึก คำพูด การกระทำ โดยอาจมีวิธีการดังนี้ - นึกถึงความรู้สึกและความต้องการของคนรักก่อนสิ่งอื่น - ไม่ทำลายความนับถือตนเองของคู่รัก - ไม่แสดงหรือกระทำการใดที่เป็นการดูถูก หรือทำให้คนรักของคุณอาย - รับฟังความคิดเห็น และให้คนรักมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ - กระทำหรือแสดงให้คนรักของคุณรู้สึกว่าเขาเป็นคนสำคัญของคุณ - ยกย่องชมเชยในสิ่งที่คนรักทำ - บอกกล่าวหรือเตือนอย่างสุภาพหากคนรักคุณทำผิด ความรักเป็นเรื่องของการให้เกียรติซึ่งกันและกัน และใส่ใจในความรู้สึกของกันและกันตลอดเวลา โดยทั่วไปผู้ชายได้รับการยอมรับจากสังคมให้เป็นผู้นำครอบครัว ผู้ชายส่วนมากมีความรู้สึกไวหากภรรยากระทำการใดที่เป็นการแสดงให้เห็นถึงการไม่ให้เกียรติเขา เพราะผู้ชายถือเรื่องศักดิ์ศรีเป็นเรื่องสำคัญ ภรรยาที่ฉลาดควรทำให้เขารู้สึกภาคภูมิใจในตนเอง รู้สึกว่าภรรยาให้เกียรติเขา ให้เขารู้ว่าเขาเป็นคนสำคัญ และได้รับการยกย่องในฐานะผู้นำของคุณค่ะ ผู้ชายจะมีความภาคภูมิใจ หากภรรยายกย่องเขาเป็นผู้นำของครอบครัว การเป็นผู้นำของครอบครัวในที่นี้ คือ การเป็นผู้ปกป้องดูแลครอบครัว อย่างไรก็ตาม หากอยู่กันในบ้านตามลำพัง คุณทั้งคู่ควรมีอำนาจพอ ๆ กัน และมีการปรึกษาหารือกัน มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ในบางเรื่องหากผู้หญิงมีความชำนาญมากกว่า เธออาจเป็นผู้ตัดสินใจ และต่างฝ่ายควรรับฟังความคิดเห็นของกันและกัน หากจะมีคำถามว่า ผู้หญิงเป็นผู้นำครอบครัวไม่ได้หรือ สำหรับประเด็นนี้ หากเรากลับไปทบทวนในประเด็นความแตกต่างระหว่างหญิงกับชายก็อาจได้คำตอบที่ชัดเจนขึ้น เพราะโดยธรรมชาติแล้ว ผู้ชายจะถือว่าเกียรติและศักดิ์ศรีเป็นเรื่องสำคัญมาก ผู้หญิงจะถือว่าความรักสำคัญมากกว่าเกียรติยศและศักดิ์ศรี หากภรรยายกย่องและให้เกียรติสามี สามีก็จะตอบสนองด้วยความรักใคร่ ทะนุถนอม และดูแลเอาใจใส่ สิ่งสำคัญที่คู่สามีภรรยาควรทราบก็คือ สามีต้องการรู้ว่าเขาเป็นเพื่อนคู่คิดที่ดีของคุณ และเป็นคู่ชีวิตที่คุณรักใคร่ สำหรับภรรยาก็ต้องการรู้ว่าเธอเป็นบุคคลสำคัญของคุณนั่นเอง ขอบคุณข้อมูลจากคู่มือการเสริมสร้างชีวิตคู่ สำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

ให้เกียรติคนรัก เพิ่มความมั่นคงให้ชีวิตคู่

การมีชีวิตคู่เป็นการตอบสนองความปรารถนาในส่วนลึกของจิตใจในด้านของความรัก การยอมรับ และความรู้สึกว่าตนมีความหมายและมีคุณค่าต่อกันและกัน คู่สมรสที่แต่งงานปรารถนาความรู้สึกนี้ทุกคน

การให้เกียรติหมายถึง การแสดงให้อีกฝ่ายหนึ่งรู้ว่าเป็นคนสำคัญสำหรับคุณ เป็นบุคคลที่มีคุณค่ามีความหมาย คุณเคารพในความเป็นเขาทั้งความคิด การกระทำในฐานะบุคคลหนึ่งที่มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และในฐานะคู่ชีวิต การให้เกียรติสามารถกระทำได้หลายวิธี ทั้งความคิด ความรู้สึก คำพูด การกระทำ โดยอาจมีวิธีการดังนี้

- นึกถึงความรู้สึกและความต้องการของคนรักก่อนสิ่งอื่น
- ไม่ทำลายความนับถือตนเองของคู่รัก
- ไม่แสดงหรือกระทำการใดที่เป็นการดูถูก หรือทำให้คนรักของคุณอาย
- รับฟังความคิดเห็น และให้คนรักมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
- กระทำหรือแสดงให้คนรักของคุณรู้สึกว่าเขาเป็นคนสำคัญของคุณ
- ยกย่องชมเชยในสิ่งที่คนรักทำ
- บอกกล่าวหรือเตือนอย่างสุภาพหากคนรักคุณทำผิด

ความรักเป็นเรื่องของการให้เกียรติซึ่งกันและกัน และใส่ใจในความรู้สึกของกันและกันตลอดเวลา โดยทั่วไปผู้ชายได้รับการยอมรับจากสังคมให้เป็นผู้นำครอบครัว ผู้ชายส่วนมากมีความรู้สึกไวหากภรรยากระทำการใดที่เป็นการแสดงให้เห็นถึงการไม่ให้เกียรติเขา เพราะผู้ชายถือเรื่องศักดิ์ศรีเป็นเรื่องสำคัญ ภรรยาที่ฉลาดควรทำให้เขารู้สึกภาคภูมิใจในตนเอง รู้สึกว่าภรรยาให้เกียรติเขา ให้เขารู้ว่าเขาเป็นคนสำคัญ และได้รับการยกย่องในฐานะผู้นำของคุณค่ะ

ผู้ชายจะมีความภาคภูมิใจ หากภรรยายกย่องเขาเป็นผู้นำของครอบครัว การเป็นผู้นำของครอบครัวในที่นี้ คือ การเป็นผู้ปกป้องดูแลครอบครัว อย่างไรก็ตาม หากอยู่กันในบ้านตามลำพัง คุณทั้งคู่ควรมีอำนาจพอ ๆ กัน และมีการปรึกษาหารือกัน มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ในบางเรื่องหากผู้หญิงมีความชำนาญมากกว่า เธออาจเป็นผู้ตัดสินใจ และต่างฝ่ายควรรับฟังความคิดเห็นของกันและกัน

หากจะมีคำถามว่า ผู้หญิงเป็นผู้นำครอบครัวไม่ได้หรือ สำหรับประเด็นนี้ หากเรากลับไปทบทวนในประเด็นความแตกต่างระหว่างหญิงกับชายก็อาจได้คำตอบที่ชัดเจนขึ้น เพราะโดยธรรมชาติแล้ว ผู้ชายจะถือว่าเกียรติและศักดิ์ศรีเป็นเรื่องสำคัญมาก ผู้หญิงจะถือว่าความรักสำคัญมากกว่าเกียรติยศและศักดิ์ศรี หากภรรยายกย่องและให้เกียรติสามี สามีก็จะตอบสนองด้วยความรักใคร่ ทะนุถนอม และดูแลเอาใจใส่

สิ่งสำคัญที่คู่สามีภรรยาควรทราบก็คือ สามีต้องการรู้ว่าเขาเป็นเพื่อนคู่คิดที่ดีของคุณ และเป็นคู่ชีวิตที่คุณรักใคร่ สำหรับภรรยาก็ต้องการรู้ว่าเธอเป็นบุคคลสำคัญของคุณนั่นเอง

ขอบคุณข้อมูลจากคู่มือการเสริมสร้างชีวิตคู่
สำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

สิ่งที่คุณต้อง (โคตร) 'ขอบคุณ' ! . 1. เวลาใครบางคน 'ไม่สนใจคุณ' เขากำลัง 'สอน' คุณ ให้ 'อยู่ได้' โดยไม่มีเขา ! . 2. เวลาใครบางคน 'เบื่อคุณ' เขากำลัง 'สอน' คุณ ให้คุณ 'ให้เวลา' ตัวเอง มากกว่าที่ 'ให้เวลา' เขา ! . 3. เวลาใครบางคน 'มองคุณในแง่ลบ' เขากำลัง 'สอน' คุณ ว่ามนุษย์ไม่ได้มองกันที่ 'ตัวตน' จริงๆ แต่ 'ตัดสิน' มั่วๆ แค่มองกันผิวเผิน ! . 4. เวลาใครบางคน 'ทำให้คุณผิดหวัง' เขากำลัง 'สอน' คุณ ว่าอย่า 'คาดหวัง' อะไรจากใครทั้งนั้น ! . 5. เวลาใครบางคน 'ทำร้ายคุณลับหลัง เขากำลัง 'สอน' คุณ ว่าอย่า 'ไว้ใจ' ใครไม่เลือกหน้า ต้องใช้เวลา 'ดู' ให้นานพอ ! . 6. เวลาใครบางคน 'ลืมบุญคุณคุณ' เขากำลัง 'สอน' คุณ ว่าอย่า 'ให้' มากเกินไป กับคนที่ 'ไม่คู่ควร' ! . 7. เวลาใครบางคน 'วิจารณ์คุณเละเทะ' เขากำลัง 'สอน' คุณ ว่าคน 'ไม่มีดี ไม่มีค่า ไม่มีผลงาน' จะ 'ทำลาย' คนอื่นได้มากแค่ไหน ! . 8. เวลาใครบางคน 'หาเรื่องคุณ' เขากำลัง 'สอน' คุณ ให้ 'ใจเย็น' กับคนจิตใจต่ำ และ 'ให้อภัย' คนนิสัยต่ำ ! . 9. เวลาใครบางคน 'เปลี่ยนไป' เขากำลัง 'สอน' คุณ ให้เริ่มทำตัว 'มีค่า' โดยไม่ต้อง 'แคร์' เขาเลย ! . 10. เวลาใครบางคน 'ไม่รักคุณ' เขากำลัง 'สอน' คุณ ให้รู้จัก 'รักตัวเอง' !

สิ่งที่คุณต้อง (โคตร) 'ขอบคุณ' !
.
1. เวลาใครบางคน 'ไม่สนใจคุณ'
เขากำลัง 'สอน' คุณ
ให้ 'อยู่ได้' โดยไม่มีเขา !
.
2. เวลาใครบางคน 'เบื่อคุณ'
เขากำลัง 'สอน' คุณ
ให้คุณ 'ให้เวลา' ตัวเอง
มากกว่าที่ 'ให้เวลา' เขา !
.
3. เวลาใครบางคน 'มองคุณในแง่ลบ'
เขากำลัง 'สอน' คุณ
ว่ามนุษย์ไม่ได้มองกันที่ 'ตัวตน' จริงๆ
แต่ 'ตัดสิน' มั่วๆ แค่มองกันผิวเผิน !
.
4. เวลาใครบางคน 'ทำให้คุณผิดหวัง'
เขากำลัง 'สอน' คุณ
ว่าอย่า 'คาดหวัง' อะไรจากใครทั้งนั้น !
.
5. เวลาใครบางคน 'ทำร้ายคุณลับหลัง
เขากำลัง 'สอน' คุณ
ว่าอย่า 'ไว้ใจ' ใครไม่เลือกหน้า
ต้องใช้เวลา 'ดู' ให้นานพอ !
.
6. เวลาใครบางคน 'ลืมบุญคุณคุณ'
เขากำลัง 'สอน' คุณ
ว่าอย่า 'ให้' มากเกินไป
กับคนที่ 'ไม่คู่ควร' !
.
7. เวลาใครบางคน 'วิจารณ์คุณเละเทะ'
เขากำลัง 'สอน' คุณ
ว่าคน 'ไม่มีดี ไม่มีค่า ไม่มีผลงาน'
จะ 'ทำลาย' คนอื่นได้มากแค่ไหน !
.
8. เวลาใครบางคน 'หาเรื่องคุณ'
เขากำลัง 'สอน' คุณ
ให้ 'ใจเย็น' กับคนจิตใจต่ำ
และ 'ให้อภัย' คนนิสัยต่ำ !
.
9. เวลาใครบางคน 'เปลี่ยนไป'
เขากำลัง 'สอน' คุณ
ให้เริ่มทำตัว 'มีค่า'
โดยไม่ต้อง 'แคร์' เขาเลย !
.
10. เวลาใครบางคน 'ไม่รักคุณ'
เขากำลัง 'สอน' คุณ
ให้รู้จัก 'รักตัวเอง' !

ความรักดีดี..... เมื่อ...คนไม่ได้คิดว่ารัก คือ ทุกสิ่งทุกอย่าง รักคือดอกไม้งาม คือของหวาน ไม่ใช่ข้าวปลาอาหารที่ต้องกินมันทุกวัน...ไม่ใช่อากาศที่ขาดไม่ได้ เมื่อ...คนมีความสุขได้ด้วยตัวเอง คนอื่นเป็นแค่โบนัส ไม่ใช่เงินเดือน ไม่ต้องพึ่งพิงขนาดนั้น จะชวนรำคาญ เมื่อ...คนอยากเห็นคนอื่นมีความสุข ไม่คิดถึงแต่ความสุขของตัว คนอื่นเป็นสุข เราควรดีใจ ไม่ใช่อิจฉา ต้องปรารถนาให้คนอื่นเป็นสุข เมื่อ...คนไม่คาดหวังเยอะ คาดหวังมาก โอกาสผิดหวังมีมาก คาดเอาแต่พองาม รักแต่พอดี เมื่อ...คนรับความแตกต่างได้ จะรักดี รักงาม รักง่ายขึ้น คิดไม่ตรงกัน ไม่ได้อย่างใจ ไม่เห็นเป็นไร ปรับตัวไป เมื่อ...คนเข้าใจว่าความเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องธรรมดา มันต้องมีเปลี่ยน ไม่มีอะไรเหมือนเดิมตลอด ทำใจไป เป็นเพื่อนกันไปสบายใจ เมื่อ...คนไม่เห็นแก่ตัว เอาแต่เรื่องที่ตัวเองชอบ ความต้องการของคนอื่นก็สำคัญ เอาใจเขามาใส่ใจเรา เห็นใจกันมากขึ้น เมื่อ...คนรู้จักเกรงใจกัน สนิทมากอย่าคิดว่าทำอะไรก็ได้ อย่าลืมนึกถึงใจคนอื่นบ้าง จะน่ารัก เมื่อ...คนแสดงออกซึ่งความรัก คนอื่นไม่ใช่หมอดูจะได้เดารู้ไปทุกเรื่อง ชอบก็บอก รักก็บอก เอาให้ชัด ไม่ต้องฟอร์มจัด มันเหนื่อย แค่นี้...ความรักก็ดีที่สุดในโลกแล้ว ^_^

ความรักดีดี.....

เมื่อ...คนไม่ได้คิดว่ารัก คือ ทุกสิ่งทุกอย่าง รักคือดอกไม้งาม คือของหวาน ไม่ใช่ข้าวปลาอาหารที่ต้องกินมันทุกวัน...ไม่ใช่อากาศที่ขาดไม่ได้

เมื่อ...คนมีความสุขได้ด้วยตัวเอง คนอื่นเป็นแค่โบนัส ไม่ใช่เงินเดือน ไม่ต้องพึ่งพิงขนาดนั้น จะชวนรำคาญ

เมื่อ...คนอยากเห็นคนอื่นมีความสุข ไม่คิดถึงแต่ความสุขของตัว คนอื่นเป็นสุข เราควรดีใจ ไม่ใช่อิจฉา ต้องปรารถนาให้คนอื่นเป็นสุข

เมื่อ...คนไม่คาดหวังเยอะ คาดหวังมาก โอกาสผิดหวังมีมาก คาดเอาแต่พองาม รักแต่พอดี

เมื่อ...คนรับความแตกต่างได้ จะรักดี รักงาม รักง่ายขึ้น คิดไม่ตรงกัน ไม่ได้อย่างใจ ไม่เห็นเป็นไร ปรับตัวไป

เมื่อ...คนเข้าใจว่าความเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องธรรมดา มันต้องมีเปลี่ยน ไม่มีอะไรเหมือนเดิมตลอด ทำใจไป เป็นเพื่อนกันไปสบายใจ

เมื่อ...คนไม่เห็นแก่ตัว เอาแต่เรื่องที่ตัวเองชอบ ความต้องการของคนอื่นก็สำคัญ เอาใจเขามาใส่ใจเรา เห็นใจกันมากขึ้น

เมื่อ...คนรู้จักเกรงใจกัน สนิทมากอย่าคิดว่าทำอะไรก็ได้ อย่าลืมนึกถึงใจคนอื่นบ้าง จะน่ารัก

เมื่อ...คนแสดงออกซึ่งความรัก คนอื่นไม่ใช่หมอดูจะได้เดารู้ไปทุกเรื่อง ชอบก็บอก รักก็บอก เอาให้ชัด ไม่ต้องฟอร์มจัด มันเหนื่อย

แค่นี้...ความรักก็ดีที่สุดในโลกแล้ว ^_^

ขอปิดท้ายสัปดาห์สิ้นเดือน แบบหวานๆ...หน่อยนะครับ ฉันไม่มั่นใจ..ว่าฉันจะทำให้เธอหายเหนื่อย ได้หรือเปล่า แต่ฉันจะให้ที่พักพิง..ให้เธอยามที่เธอเหนื่อยล้า ทุกครั้งที่เธอต้องการ ฉันไม่มั่นใจ..ว่าฉันจะรักเธอ มากกว่าที่คนอื่นรักเธอ แต่เธอ..จะเป็นคนที่ฉันรักมากกว่าใครๆ ฉันไม่มั่นใจ..ว่าฉันจะรักเธอตลอดไป แต่ฉันจะรักเธอให้มากที่สุด เท่าที่ฉันจะรักใครคนหนึ่งได้.. ความรักของฉันไม่ใช่ความรักที่ไม่หวังผลตอบแทน.. เพราะมันเป็นความรักที่ต้องการความรักของเธอตอบแทน.. ฉันไม่มั่นใจ..ว่าฉันจะดูแลเธอได้ดีกว่าใครๆ แต่ฉันจะดูแลเธอมากกว่าที่ฉันดูแลตัวฉันเอง.. ฉันไม่มั่นใจ..ว่าฉันจะทำให้เธอยิ้มได้ แต่ฉันมั่นใจ..ว่าฉันจะไม่ทำให้เธอร้องไห้. ฉันคงจะไม่บอกรักเธอทุกวัน… แต่ฉันนั้นจะรักเธอทุกวินาที… ฉันจะไม่ขอให้เธอฝันดีทุกคืน เพราะฉันไม่รู้ว่าฝันดีของเธอ จะมีฉันอยู่ในนั้นหรือเปล่า แต่ถ้าคืนไหนที่เธอฝันร้าย ฉันจะเข้าไปช่วยเธอในฝันเสมอ ความรักของฉันมันคงไม่มีค่าอะไร ถ้าหากว่าเธอไม่สนใจมัน ความรักของคนอื่นที่ให้ฉันก็ไม่! มีค่าอะไร เพราะว่ามันไม่ได้มาจากเธอ ฉันไม่ได้ต้องการให้คนรักของฉันดีเสิศเลออะไรมากมาย ฉันขอแค่คนที่ฉันรักนั้นคิดถึงฉันมากกว่าที่เขาคิดถึงคนอื่น และฉันก็คิดถึงเค้ามากกว่าที่ฉันคิดถึงคนอื่นเช่นกัน ความรักของฉันไม่ได้มีมากมายล้นฟ้า เพราะความรักของฉันนั้นมีเพียงพอสำหรับเธอคนเดียว Cr. พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง

ขอปิดท้ายสัปดาห์สิ้นเดือน แบบหวานๆ...หน่อยนะครับ

ฉันไม่มั่นใจ..ว่าฉันจะทำให้เธอหายเหนื่อย
ได้หรือเปล่า
แต่ฉันจะให้ที่พักพิง..ให้เธอยามที่เธอเหนื่อยล้า
ทุกครั้งที่เธอต้องการ

ฉันไม่มั่นใจ..ว่าฉันจะรักเธอ
มากกว่าที่คนอื่นรักเธอ
แต่เธอ..จะเป็นคนที่ฉันรักมากกว่าใครๆ

ฉันไม่มั่นใจ..ว่าฉันจะรักเธอตลอดไป
แต่ฉันจะรักเธอให้มากที่สุด
เท่าที่ฉันจะรักใครคนหนึ่งได้..

ความรักของฉันไม่ใช่ความรักที่ไม่หวังผลตอบแทน..
เพราะมันเป็นความรักที่ต้องการความรักของเธอตอบแทน..

ฉันไม่มั่นใจ..ว่าฉันจะดูแลเธอได้ดีกว่าใครๆ
แต่ฉันจะดูแลเธอมากกว่าที่ฉันดูแลตัวฉันเอง..

ฉันไม่มั่นใจ..ว่าฉันจะทำให้เธอยิ้มได้
แต่ฉันมั่นใจ..ว่าฉันจะไม่ทำให้เธอร้องไห้.

ฉันคงจะไม่บอกรักเธอทุกวัน…
แต่ฉันนั้นจะรักเธอทุกวินาที…

ฉันจะไม่ขอให้เธอฝันดีทุกคืน
เพราะฉันไม่รู้ว่าฝันดีของเธอ
จะมีฉันอยู่ในนั้นหรือเปล่า
แต่ถ้าคืนไหนที่เธอฝันร้าย
ฉันจะเข้าไปช่วยเธอในฝันเสมอ

ความรักของฉันมันคงไม่มีค่าอะไร
ถ้าหากว่าเธอไม่สนใจมัน
ความรักของคนอื่นที่ให้ฉันก็ไม่! มีค่าอะไร
เพราะว่ามันไม่ได้มาจากเธอ

ฉันไม่ได้ต้องการให้คนรักของฉันดีเสิศเลออะไรมากมาย
ฉันขอแค่คนที่ฉันรักนั้นคิดถึงฉันมากกว่าที่เขาคิดถึงคนอื่น
และฉันก็คิดถึงเค้ามากกว่าที่ฉันคิดถึงคนอื่นเช่นกัน

ความรักของฉันไม่ได้มีมากมายล้นฟ้า
เพราะความรักของฉันนั้นมีเพียงพอสำหรับเธอคนเดียว

Cr. พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง

เก็บหิน ชาย 2 คนนัดกันไปเก็บหินบนเขา แก้วเก็บหินได้เต็มตะกร้า ส่วน คำมีหินอยู่ในตะกร้าเพียงก้อนเดียว “ทำไมนายเก็บก้อนหินมาเพียงก้อนเดียวล่ะ?” แก้วถามคำแล้วก็หัวเราะ “หินสวยแม้จะมีมากมายเต็มไปหมด แต่เราเลือกหินที่สวยพิเศษ ที่สุดก้อนเดียวก็พอ!” คำตอบออกไป แก้วได้ฟังก็หัวเราะเสียงดังกว่าเดิม จากนั้นก็พากันลงเขา ยิ่งทางลงชันเท่าใด แก้วก็รู้สึกว่าหินที่อยู่บนบ่ายิ่งมีหนักมากขึ้น เท่านั้น แก้วจึงคัดเอาก้อนหินที่ไม่ค่อยสวยปาทิ้งลงข้างทางไป ทีละก้อนๆ เมื่อลงมาถึงเชิงเขา แก้วก็เหลือก้อนหินอยู่ในตะกร้า เพียงก้อนเดียว ไม่ต่างอะไรกับคำเลย ………………................................................................... ในชีวิตคนเรา ก่อนที่เราจะปีนไปสู่ยอดเขา เราพยายามหาสิ่ง ของมากมายเก็บไว้ในตะกร้า เมื่อวันหนึ่งต้องลงจากเขา เราจะ รู้สึกว่าของบางสิ่งไม่ได้มีประโยชน์อะไรต่อชีวิตเลย ณ เวลานั้น เสียใจก็สายไปเสียแล้ว หลายสิ่งในชีวิตบางสิ่งสมควรรักษาไว้เพราะมันมีทั้งคุณค่าและ ความหมาย บางสิ่งคุณควรเลือกที่จะทิ้งเพราะมันไม่ได้มีคุณค่า และความหมายในชีวิตเลย แบกไปก็ไร้ประโยชน์! นำเสนอโดย เรื่องดีๆมีข้อคิด > http://bit.ly/2iFE1x4 Line : ts2502 Instagram : th.thamma ที่่มา : https://www.facebook.com/NusonBooks/photos/a.286417594859673. 1073741828.286409091527190/438868536281244/?type=1

เก็บหิน

ชาย 2 คนนัดกันไปเก็บหินบนเขา แก้วเก็บหินได้เต็มตะกร้า ส่วน
คำมีหินอยู่ในตะกร้าเพียงก้อนเดียว
“ทำไมนายเก็บก้อนหินมาเพียงก้อนเดียวล่ะ?”
แก้วถามคำแล้วก็หัวเราะ
“หินสวยแม้จะมีมากมายเต็มไปหมด  แต่เราเลือกหินที่สวยพิเศษ
ที่สุดก้อนเดียวก็พอ!”
คำตอบออกไป
แก้วได้ฟังก็หัวเราะเสียงดังกว่าเดิม จากนั้นก็พากันลงเขา

ยิ่งทางลงชันเท่าใด แก้วก็รู้สึกว่าหินที่อยู่บนบ่ายิ่งมีหนักมากขึ้น
เท่านั้น แก้วจึงคัดเอาก้อนหินที่ไม่ค่อยสวยปาทิ้งลงข้างทางไป
ทีละก้อนๆ เมื่อลงมาถึงเชิงเขา แก้วก็เหลือก้อนหินอยู่ในตะกร้า
เพียงก้อนเดียว ไม่ต่างอะไรกับคำเลย

………………...................................................................
ในชีวิตคนเรา  ก่อนที่เราจะปีนไปสู่ยอดเขา   เราพยายามหาสิ่ง
ของมากมายเก็บไว้ในตะกร้า  เมื่อวันหนึ่งต้องลงจากเขา  เราจะ
รู้สึกว่าของบางสิ่งไม่ได้มีประโยชน์อะไรต่อชีวิตเลย ณ เวลานั้น
เสียใจก็สายไปเสียแล้ว

หลายสิ่งในชีวิตบางสิ่งสมควรรักษาไว้เพราะมันมีทั้งคุณค่าและ
ความหมาย บางสิ่งคุณควรเลือกที่จะทิ้งเพราะมันไม่ได้มีคุณค่า
และความหมายในชีวิตเลย แบกไปก็ไร้ประโยชน์!

นำเสนอโดย
เรื่องดีๆมีข้อคิด > http://bit.ly/2iFE1x4
Line : ts2502
Instagram : th.thamma

ที่่มา : https://www.facebook.com/NusonBooks/photos/a.286417594859673.
1073741828.286409091527190/438868536281244/?type=1

กว่าเราจะเจอ กว่าเราจะเรียนรู้ กว่าเราจะรัก และคบกันได้ มันไม่ง่าย และใช้เวลาเพียงนิดเดียวนะ #ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้ช่วยรักษาเอาไว้ . . . อยากให้เห็นคุณค่า ของวันที่เราตัดสินใจคบกัน ไม่ว่าจากวันนั้นจนถึงปัจจุบัน จะผ่านอะไรมา อย่าลืมว่ารักกันเพราะอะไร อาจจะมีบางวันที่หึงหวงเกินไป งอแงเกินไป เพราะว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่คนเรา ไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับของที่เรารัก . . . สุดท้าย #ไม่มีใครอยากเริ่มต้นใหม่บ่อยๆหรอก ถ้าตัดสินใจเริ่มต้นเดินมาด้วยกันแล้วก็ไปให้สุดนะ. #คิดในใจ @meynsp - Yotsaphon Nuea-on - Photo : helena

กว่าเราจะเจอ กว่าเราจะเรียนรู้
กว่าเราจะรัก และคบกันได้
มันไม่ง่าย และใช้เวลาเพียงนิดเดียวนะ
#ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้ช่วยรักษาเอาไว้
. . .
อยากให้เห็นคุณค่า ของวันที่เราตัดสินใจคบกัน
ไม่ว่าจากวันนั้นจนถึงปัจจุบัน จะผ่านอะไรมา
อย่าลืมว่ารักกันเพราะอะไร

อาจจะมีบางวันที่หึงหวงเกินไป งอแงเกินไป
เพราะว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่คนเรา
ไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับของที่เรารัก
. . .
สุดท้าย
#ไม่มีใครอยากเริ่มต้นใหม่บ่อยๆหรอก
ถ้าตัดสินใจเริ่มต้นเดินมาด้วยกันแล้วก็ไปให้สุดนะ.

#คิดในใจ @meynsp
- Yotsaphon Nuea-on -
Photo : helena

ชีวิตที่อยู่เพื่อเงิน คุณจะต้องทุกข์มาก ชีวิตที่อยู่เพื่อลูก คุณจะต้องเหนื่อยมาก ชีวิตที่อยู่เพื่อความรัก คุณจะต้องเจ็บปวดมาก ชีวิตที่ต้องเปรียบเทียบแข่งขัน คุณจะรู้สึกยิ่งต้อยต่ำ ชีวิตที่อยู่ด้วยความดี คุณจะอยู่อย่างไม่เห็นแก่ตัว ชีวิตที่อยู่กับปัจจุบันขณะ คุณจะอยู่อย่างโปร่งเบาสบาย ชีวิตที่อยู่อย่างใจกว้างให้อภัย คุณจะอยู่อย่างมีความสุข ชีวิตที่อยู่ด้วยความเมตตา คุณจะอยู่อย่างเบิกบานแจ่มใส ชีวิตที่อยู่อย่างพอเพียง คุณจะอยู่อย่างคนมั่งมีร่ำรวย

ชีวิตที่อยู่เพื่อเงิน คุณจะต้องทุกข์มาก
ชีวิตที่อยู่เพื่อลูก
คุณจะต้องเหนื่อยมาก
ชีวิตที่อยู่เพื่อความรัก
คุณจะต้องเจ็บปวดมาก
ชีวิตที่ต้องเปรียบเทียบแข่งขัน
คุณจะรู้สึกยิ่งต้อยต่ำ
ชีวิตที่อยู่ด้วยความดี
คุณจะอยู่อย่างไม่เห็นแก่ตัว
ชีวิตที่อยู่กับปัจจุบันขณะ
คุณจะอยู่อย่างโปร่งเบาสบาย
ชีวิตที่อยู่อย่างใจกว้างให้อภัย
คุณจะอยู่อย่างมีความสุข
ชีวิตที่อยู่ด้วยความเมตตา
คุณจะอยู่อย่างเบิกบานแจ่มใส
ชีวิตที่อยู่อย่างพอเพียง
คุณจะอยู่อย่างคนมั่งมีร่ำรวย

วันเสาร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2560

วิธีปลูกสติ บทความดีๆ จาก พระราชญาณกวี (ท่านปิยโสภณ)  By Noomnim - 20 February 201702073 วิธีปลูกสติ วิธีปลูกสติ บทความดีๆ จาก พระราชญาณกวี (ท่านปิยโสภณ) เราทุกคนคงเคยได้ยินคำสอนที่ว่า ให้มีสติ อย่าใจลอย ตั้งใจฟัง ตั้งใจทำ อย่าทำเล่น ระวัง อย่าประมาท เดินให้ดีขับรถให้ดี นั่งให้ดี สิ่งเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ของการบ่มเพาะสติ สติคืออะไร คือความระมัดระวังมิให้เกิดความผิดพลาด ความผิดพลาดบางอย่างพอแก้ไขได้ บางอย่างผิดแล้วผิดเลย แก้ไขอีกไม่ได้ ต้องไปรอเกิดเป็นคนใหม่ในชาติหน้า สติกับความไม่ประมาทเป็นของคู่กัน ชีวิตของเราทั้งชีวิต รวมลงที่ความประมาท เราเห็นคนทำอะไรได้ดี ตรงเวลา แต่งตัวเรียบร้อย เรียนหนังสือเก่ง มีความพร้อมสูง นั่นเพราะเขาไม่ประมาท คือ พร้อมเสมอที่จะอยู่ จะไป จะทำ เราเรียนหนังสือเพื่ออะไร ก็เพื่อให้ชีวิตเรามีความพร้อมที่จะอยู่บนโลกใบนี้ มีหลายท่านถามว่า แล้วจะฝึกสติอย่างไร ข้าพเจ้าตอบสั้น ๆ ว่า ชีวิตเริ่มต้นจากลมหายใจ อยากมีสติ ต้องกลับมาดูลมหายใจของตัวเอง การฝึกสติคือการฝึกจิตไม่ให้ฟุ้งซ่าน ให้อยู่กับตัว เช่น ไม่ส่งจิตออกนอก คิดอยู่ภายใน ไม่ดูความคิดของใคร ดูแต่ใจตนเอง ไม่วิจารณ์ใครแต่วิจัยอารมณ์ของตัวเอง ไม่กำหนดสิ่งใด กำหนดใจที่กำลังคิด กำหนดดูลมหายใจเข้า-ออกได้อะไร ได้ความนิ่ง ได้ความเย็น ได้ความสงบ ได้พลังงานทุกครั้งที่รู้สึกฟุ้งซ่าน ขาดสติ ให้กลับมากำหนดปลูกสติที่การดูลมหายใจ นั่งสงบนิ่ง หลับตา กำหนดปลายจมูก ไม่ส่งจิตออกไปนอก ไม่สนใจเรื่องอื่นใด ทำใจให้เบา ๆ ตามความรู้สึกกลับมาอยู่ภายใน ไม่ว่าเสียงอะไร กลิ่นอะไรจะเกิด เราไม่ต้องสนใจ แม้การออกกำลังขณะเคลื่อนไหวร่างกาย ก็กำหนดรู้ตามไปด้วย การฝึกสติเช่นนี้จะทำให้จิตได้พัก สมองมีกำลัง คนส่วนมากที่ขาดสติ เพราะเครื่องยนต์คือสมอง และคนทำงานคือสติ ไม่ยอมหยุดพักงาน ในที่สุดก็จะเกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ง่าย ๆ วิธีการง่าย ๆ เหล่านี้เป็นการฝึกเบื้องต้นสำหรับท่านผู้อ่านที่พยายามมานานหลายวิธีแล้ว แต่ยังไม่เห็นผล เชิญลองฝึกวิธีง่าย ๆ ตามที่ข้าพเจ้าแนะนำนี้ดูก่อน


Home  ธรรมะ  Dhamma Daily
วิธีปลูกสติ บทความดีๆ จาก พระราชญาณกวี (ท่านปิยโสภณ) 
By Noomnim - 20 February 201702073
   
วิธีปลูกสติ
วิธีปลูกสติ บทความดีๆ จาก พระราชญาณกวี (ท่านปิยโสภณ)

เราทุกคนคงเคยได้ยินคำสอนที่ว่า ให้มีสติ อย่าใจลอย ตั้งใจฟัง ตั้งใจทำ อย่าทำเล่น ระวัง อย่าประมาท เดินให้ดีขับรถให้ดี นั่งให้ดี สิ่งเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ของการบ่มเพาะสติ


สติคืออะไร คือความระมัดระวังมิให้เกิดความผิดพลาด ความผิดพลาดบางอย่างพอแก้ไขได้ บางอย่างผิดแล้วผิดเลย แก้ไขอีกไม่ได้ ต้องไปรอเกิดเป็นคนใหม่ในชาติหน้า

สติกับความไม่ประมาทเป็นของคู่กัน ชีวิตของเราทั้งชีวิต รวมลงที่ความประมาท เราเห็นคนทำอะไรได้ดี ตรงเวลา แต่งตัวเรียบร้อย เรียนหนังสือเก่ง มีความพร้อมสูง นั่นเพราะเขาไม่ประมาท คือ พร้อมเสมอที่จะอยู่ จะไป จะทำ เราเรียนหนังสือเพื่ออะไร ก็เพื่อให้ชีวิตเรามีความพร้อมที่จะอยู่บนโลกใบนี้

มีหลายท่านถามว่า แล้วจะฝึกสติอย่างไร

ข้าพเจ้าตอบสั้น ๆ ว่า ชีวิตเริ่มต้นจากลมหายใจ อยากมีสติ ต้องกลับมาดูลมหายใจของตัวเอง การฝึกสติคือการฝึกจิตไม่ให้ฟุ้งซ่าน ให้อยู่กับตัว เช่น ไม่ส่งจิตออกนอก คิดอยู่ภายใน ไม่ดูความคิดของใคร ดูแต่ใจตนเอง ไม่วิจารณ์ใครแต่วิจัยอารมณ์ของตัวเอง ไม่กำหนดสิ่งใด กำหนดใจที่กำลังคิด

กำหนดดูลมหายใจเข้า-ออกได้อะไร

ได้ความนิ่ง ได้ความเย็น ได้ความสงบ ได้พลังงานทุกครั้งที่รู้สึกฟุ้งซ่าน ขาดสติ ให้กลับมากำหนดปลูกสติที่การดูลมหายใจ นั่งสงบนิ่ง หลับตา กำหนดปลายจมูก ไม่ส่งจิตออกไปนอก ไม่สนใจเรื่องอื่นใด ทำใจให้เบา ๆ ตามความรู้สึกกลับมาอยู่ภายใน ไม่ว่าเสียงอะไร กลิ่นอะไรจะเกิด เราไม่ต้องสนใจ แม้การออกกำลังขณะเคลื่อนไหวร่างกาย ก็กำหนดรู้ตามไปด้วย

การฝึกสติเช่นนี้จะทำให้จิตได้พัก สมองมีกำลัง คนส่วนมากที่ขาดสติ เพราะเครื่องยนต์คือสมอง และคนทำงานคือสติ ไม่ยอมหยุดพักงาน ในที่สุดก็จะเกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ง่าย ๆ

วิธีการง่าย ๆ เหล่านี้เป็นการฝึกเบื้องต้นสำหรับท่านผู้อ่านที่พยายามมานานหลายวิธีแล้ว แต่ยังไม่เห็นผล

เชิญลองฝึกวิธีง่าย ๆ ตามที่ข้าพเจ้าแนะนำนี้ดูก่อน

เด็กขัดรองเท้า

15 ปีที่แล้ว ตอนที่ผมลงทุนทำธุรกิจ ผมต้องเดินทางไปดูงานที่เมืองๆ หนึ่งหลังจากพูดคุยเรื่องธุรกิจเสร็จแล้ว ผมได้เข้าไปซื้อของขวัญในห้างสรรพสินค้า ซึ่งปกติเวลาที่ผมเดินห้างฯ ผมชอบพกเหรียญติดตัวไปด้วย เพราะแถวนั้นมักมีขอทานอยู่ ผมมักจะให้เงินเขาเหล่านั้นทีละเหรียญสองเหรียญ แค่นี้ผมก็รู้สึกเป็นสุขใจแล้ว

วันนี้ก็เหมือนกัน ในกระเป๋าของผมก็มีเศษเหรียญอยู่มากพอที่จะให้ขอทานได้หลายๆคน
หลังจากที่ผมได้เดินเลือกซื้อของอยู่หลายร้าน ผมก็เจอของขวัญที่ถูกใจมาชิ้นหนึ่ง จากนั้นผมจึงออกจาห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ แล้วจู่ๆ สายตาของผมก็พลันเหลือบไปเห็นเด็กชายคนหนึ่ง ในมือของแกถืออะไรสักอย่างและกำลังมองมาทางผมสายตาของเด็กคนนั้นทำให้ผมต้องเดินเข้าไปหา

เด็กน้อยคนนี้อายุน่าจะประมาณ 13-14ปี แต่งตัวดูสะอาดเรียบร้อย ผมเผ้าก็หวีเข้ารูปเข้าทรง แต่ที่แตกต่างจากเด็กอื่นๆ ก็คือ ในมือเด็กคนนั้นถือป้ายภาพอันหนึ่งแทนที่จะเป็นไอศกรีมซักแท่ง แต่กลับเป็นภาพเด็กน้อยคนหนึ่งกำลังขัดรองเท้าอยู่ และมีข้อความเขียนว่า

“ผมอยากได้อุปกรณ์ขัดรองเท้า”
ในเมื่อยังพอมีเวลาอยู่ ผมจึงได้เดินเข้าไปคุยกับเด็กชายคนนี้ แล้วถามเด็กคนนี้ไปว่า
“อุปกรณ์ขัดรองเท้าราคาเท่าไหร่เจ้าหนู?”
“130 เหรียญครับ” เด็กชายมองมาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวัง
“ฉันว่ามันแพงเกินไปนะ” พูดเสร็จผมก็ส่ายหน้า
“ไม่เลยครับ ผมสอบถามร้านค้าส่งในตลาดมา 4 รอบแล้ว ไม่มีร้านไหนขายได้ถูกกว่านี้แล้วครับ ”เด็กชายเล่าอย่างตั้งใจ
ผมเห็นความตั้งใจของเด็กคนนี้ และพิจารณาแล้วว่า เด็กคนนี้ไม่น่าจะหลอกผมเป็นแน่ ผมจึงถามแกไปว่า
“แล้วตอนนี้เธอมีเงินอยู่ในมือเท่าไหร่?”
เด็กน้อยล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง
“30 เหรียญครับ ผมขาดเงินอยู่อีก 100 เหรียญ!”
ผมเปิดกระเป๋า แล้วหยิบเงินออกมา 100 เหรียญ แล้วก็บอกเด็กไปว่า

“เงิน 100 เหรียญนี้ฉันให้เธอ คิดซะว่าฉันร่วมลงทุนกับเธอก็แล้วกัน แต่ฉันมีข้อแม้อยู่ว่า เมื่อเธอเริ่มมีรายได้ เธอจะต้องหักเงินออกมาคืนให้ฉัน ซึ่งฉันจะอยู่ที่เมืองนี้อีก 5 วัน ภายใน 5 วันนี้เธอต้องคืนเงินให้ฉันจนครบ และฉันขอดอกเบี้ยจากเธอ 1 เหรียญ หากเธอตกลง เงิน 100 เหรียญนี้ก็จะเป็นของเธอ!”
เด็กชายร้อง “เย้!” จากนั้นก็โค้งคำนับและกล่าวตกลงพร้อมกับขอบคุณผมเป็นการใหญ่
เด็กน้อยเล่าให้ผมฟังว่า เขาเรียนอยู่ชั้นประถม 6 แต่ไปโรงเรียนเพียงแค่อาทิตย์ละ 3 วัน ส่วนวันที่เหลือจะต้องช่วยแม่เลี้ยงวัว และทำงานในนา แต่การเรียนไม่เคยตกจากอันดับที่ 3 เลย แถมยังอวดว่าตนเองอีกว่าเป็นคนเก่งที่สุดอีกด้วย

ผมถามเขาว่าทำไมต้องซื้ออุปกรณ์ขัดรองเท้า เด็กชายบอกผมว่า
“บ้านผมยากจน ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอม ผมก็เลยขอแม่เข้ามาอยู่ในตลาด เพื่อหาเงินให้แม่และเป็นค่าเล่าเรียนของผม”
ผมมองเขาด้วยสายตาสุดทึ่งในความคิด จากนั้นผมจึงเดินเป็นเพื่อนเด็กคนนี้ไปซื้ออุปกรณ์ขัดรองเท้า
เด็กชายแบกกล่องอุปกรณ์ขัดรองเท้าออกมาจากร้านค้าส่งและเดินตรงไปยังหน้าห้างฯที่แกยืนอยู่เมื่อครู่นี้

ผมเรียกเด็กคนนี้พร้อมกับบอกว่า “ในเมื่อตอนนี้เราสองคนได้ทำธุรกิจร่วมกันแล้ว ฉันอยากจะแนะนำเธอว่า เธอไม่ควรที่จะยื่นอยู่หน้าห้างนี้นะ เพราะว่าในห้างนี้มีบริการขัดรองเท้าฟรี และคนที่มาเดินห้างนี้ก็รู้กันว่ามีบริการนี้อยู่”
“ถ้าแบบนั้นผมไปตั้งร้านแถวหน้าโรงแรมดีไหมครับ” เด็กน้อยถาม
“เป็นความคิดที่ไม่เลวนะ เพราะแถวนั้นมีนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจมาพักเยอะอยู่เหมือนกัน เมื่อพวกเขาเห็นเธอให้บริการรับขัดรองเท้า พวกเขาคงจะสนใจมาใช้บริการกับเธอนะ เธอนี่รู้จักเลือกที่ทำเลในการทำธุรกิจเหมือนกันนะ” ผมพูดพร้อมยกนิ้วให้กับเด็กน้อย
เด็กน้อยจึงเดินเข้าไปใกล้บริเวณโรงแรม แล้ววางเก้าอี้พลาสติกและคว่ำกล่องขัดรองเท้าไว้กับพื้น เมื่อจัดสถานที่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เด็กน้อยก็มองไปรอบๆ จากนั้นก็มองมายังผม
เด็กน้อยพูดขึ้นว่า “ทำไมคุณไม่ให้ผมจ่ายดอกเบี้ยให้คุณก่อนครับ เพราะคุณก็รู้ดีนะว่าผมให้บริการดีขนาดไหน” ผมได้ยินจึงหัวเราะออกมา เด็กน้อย เธอจะขัดรองเท้าให้ฉันเพื่อแลกกับดอกเบี้ย 1 เหรียญนี่นะ” ผมได้ยินเด็กคนนี้พูดรู้สึกทึ่งกับความคิดของเด็กน้อยเป็นครั้งที่ 2 ดังนั้นผมจึงนั่งลงที่เก้าอี้ พร้อมกับยกเท้าขึ้นเหยียบกล่องเพื่อให้เด็กน้อยขัดรองเท้า
“ดังนั้นหากฉันให้เธอขัดรองเท้าให้ฉัน แล้วเธอขัดรองเท้าไม่มันวาว ฉันจะถือว่าเธอนั้นโกหก และฉันก็กำลังลงทุนกับคนที่ไม่มีความซื้อสัตย์ นั่นแปลว่าฉันล้มเหลวกับการทำธุรกิจนี้นะ”

เด็กน้อยก้มหัวขัดรองเท้าให้ผม พร้อมกับชมตัวเองว่า เขาเป็นคนเก่งที่สุดแล้ว “คุณรู้หรือเปล่า ว่าผมนั้นฝึกขัดรองเท้าหนังที่บ้านมา 1 เดือนแล้ว คุณก็รู้ว่าแถวนี้มีคนใส่รองเท้าหนังไม่กี่คู่หรอก ผมไปขอขัดรองเท้าเขามาหมดแล้ว” เด็กน้อยพูดไปพร้อมกับขัดรองเท้าไปด้วย
เวลาผ่านไปไม่กี่นาที เด็กน้อยขัดรองเท้าให้ผมเสร็จสิ้น รองเท้าของผมมันเงาตามคำอวดจริงๆ ผมรู้สึกพอใจเป็นอย่างยิ่ง ผมจึงหยิบกุญแจรูปหมีออกมาแล้วเขียนคำว่า “เก่งมาก” แล้วส่งให้เด็กน้อย เด็กน้อยรับเอาไว้ด้วยความดีใจ

สักครู่ ก็มีรถนักท่องเที่ยวมาจอดหน้าโรงแรม เด็กน้อยถือกล่องอุปกรณ์และเก้าอี้วิ่งเข้าไปยังนักท่องเที่ยว
“ให้บริการขัดรองเท้าครับ ผมสามารถขัดรองเท้าของคุณให้มันวาวเหมือนกระจกได้นะครับ” มีนักท่องเที่ยวคนหนึ่งเดินเข้า
พอเช้ารุ่งขึ้นผมได้แวะเข้าไปหน้าเด็กน้อยคนนี้ที่หน้าโรงแรม เมื่อเด็กน้อยเห็นผม แกได้เล่าให้ผมฟังด้วยอาการที่ใจดีว่า “เมื่อวานผมขัดร้องเท้าได้ตั้ง 60 เหรียญ เด็กน้อยหักเงินคืนผม 20 เหรียญ ค่าอาหาร 4 เหรียญ จึงมีเงินเหลืออยู่ 36 เหรียญ
ผมจึงตบบ่าเด็กคนนี้พร้อมกับชมแกไปว่า “เก่งมาก”

เด็กน้อยบอกผมว่า “เมื่อวานแกได้นอนห้องที่โรงแรมเป็นห้องนอนรวม ไม่ได้นอนใต้สะพาน แถมยังไม่ได้จ่ายค่าห้อง 5 เหรียญอีกด้วย” ผมสงสัยจึงถามเด็กคนนี้ว่า ทำไม่ถึงไม่ได้จ่ายค่าห้องพัก”
แกจึงตอบผมด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและพอใจว่า “ผมช่วยขัดรองเท้าให้กับเจ้าของโรงแรม 10 กว่าคู่ ซึ่งเย็นนี้ผมก็ไม่ต้องจ่ายค่าห้องเช่นกัน”
ระยะเวลา 5 วันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ถึงเวลาที่ผมจะต้องเดินทางกลับ เด็กคนนี้คืนเงินผมวันละ 20 เหรียญจนครบ 100 เหรียญในวันสุดท้าย

เด็กน้อยรู้ว่าผมเป็นผู้จัดการบริษัทที่ ปักกิ่ง และได้บอกผมว่า หากเขาเรียนจบปริญญาตรีเขาจะไปตามหาผมที่ปักกิ่ง พร้อมกับยื่นมือดำๆ ของเขามาให้ผมจับ ผมจับมือเด็กน้อยเอาไว้แน่น
ผมได้ทำงานอยู่บริษัทในปักกิ่งหลายปี จนได้ออกมาเปิดบริษัทเทรดดิ้งเอง วันนี้ผมวุ่นวายแต่เช้าเนื่องจากบริษัท ประสบปัญหาขาดทุนเยอะพอสมควร ผมไปขอกู้เงินจากเพื่อนๆ และธนาคารหลายแห่ง แต่ไม่มีใครสามารถที่จะช่วยผมได้

หลังจากที่ผมวางสารโทรศัพท์ลง เลขาเข้ามารายงานกับผมว่า กลางวันนี้มีนักธุรกิจหนุ่มท่านหนึ่งจะเข้ามาพบและนัดรับประทานอาหารกลางวัน ผมมัวแต่ยุ่งๆ กับบัญชีรายจ่ายเพื่อหาทางหาทางแก้ไขมัน โดยไม่ได้มองหรือถามเลขาว่านักธุรกิจหนุ่มท่านนั้นเป็นใคร จนเลขาได้ยื่นเอาพวงกุญแจอันหนึ่งมาวางที่โต๊ะให้ผม ผมมองกุญแจอันนั้นด้วยความตกตะลึง ซึ่งที่กุญแจมีอักษรคำว่า “ผมเก่งมาก” อยู่ตรงรูปหมี

ผมนึกขึ้นได้ว่าได้เอากุญแจอันนี้ให้กับเด็กขัดรองเท้าเอาไว้ เมื่อ 15 ปีก่อน และได้เขียนอักษรบนหมีว่า “เก่งมาก” ซึ่งเวลาผ่านไปเด็กคนนี้คงจะเขียนอักษรเพิ่มเป็น “ผมเก่งมาก” อยู่บนรูปหมี
เมื่อถึงเวลาที่เด็กคนนั้นนัดผมเอาไว้เที่ยง ณ ห้องอาหารในโรงแรมแห่งหนึ่ง
ผมเดินเข้าไปยังโต๊ะที่จองเอาไว้ ผมเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ใส่สูทยืนขึ้นพร้อมกับโค้งคำนับและยิ้มให้กับผม
ในรอยยิ้มและสายตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ทำให้ผมนึกถึงภาพเด็กน้อยเมื่อ 15 ปีที่ผ่านมา

ผมและเด็กหนุ่มรับประทานอาหารร่วมกันพูดคุยกันอย่างสนุกสนานและถูกคอ เมื่อรับประทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อย ชายหนุ่มได้ยื่นเช็คให้ผมระบุจำนวนเงิน 5 ล้านเหรียญพร้อมกับพูดกับผมว่า
“ผมอยากจะร่วมลงทุนกับคุณ ในเวลา 5 ปี คุณต้องคืนทุนให้กับผม”

“โห 5 ล้านเหรียญ” ผมพูดออกมาด้วยความตกใจ ซึ่งจำนวนเงินนี้สามารถแก้ปัญหาธุรกิจของผมได้
เด็กหนุ่มเล่าต่อไปว่า

“เมื่อ 15 ปีก่อน คุณเคยสอนให้ผมมีชีวิตอยู่รอด นับจากวันนั้นผมจึงได้มุ่งมั่นที่จะสร้างฐานะ ผมได้แต่เก็บเงินออมจนตอนนี้ผมมีบริษัทเป็นของตัวเอง สำหรับเงิน 5 ล้านเหรียญที่ผมให้คุณ ผมจะขอดอกเบี้ยประมาณหนึ่ง”
ผมจึงถามเด็กหนุ่มว่า จำนวนเงินที่ว่านั้นเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่”
ชายหนุ่มตอบผมว่า “1 เหรียญครับ”

ผมได้ฟังแล้วรู้สึกซาบซึ้งและดีใจเป็นอย่างมาก 100 เหรียญที่ผมได้ให้เด็กคนนั้นไปลงทุนไป 15 ปีก่อนโดยไม่ได้ตั้งใจนั้น กลับจะส่งผลให้ผมได้รับเงินตั้ง 5 ล้านเหรียญในวันนี้ นี่คงเป็นการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนอย่างมหาศาลที่ชีวิตผมจะได้รับเป็นแน่

#บทความดีๆ เรื่อง เด็กขัดรองเท้า

Cr. https://pantip.com/topic/33668738