วันเสาร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

"7 นิสัย" ของคนสำเร็จ (7 Habits of Highly Effective people) ---- นี่คือ หนังสือที่ ผมอยากให้ทุกๆ คน ได้อ่าน เพราะหนังสือเล่มนี้ดีมาก! ขายได้กว่า 25 ล้านเล่มทั่วโลก … จุดที่แตกต่างของเล่มนี้กับเล่มอื่นๆ คือ เล่มอื่นๆจะเน้นพัฒนา "ภายนอก" เช่น ทักษะการคิดบวก, วิธีการพูดโน้มน้าวใจคน, ทักษะการเป็นผู้นำ, ... แต่เล่มนี้เน้นที่ "ภายใน (Inside-out)" ก่อน คือ จะสำเร็จต้องเปลี่ยนที่ “นิสัย” โดยต้องเปลี่ยนที่ Paradigm หรือ พูดง่ายๆ เปลี่ยนที่ระดับ จิตใต้สำนึก! เพราะการเปลี่ยนแบบนี้จะเป็นการเปลี่ยนแบบ "ถาวร" เมื่อเราดีขึ้น เก่งขึ้น ท้ายที่สุด "ความสำเร็จจะถูกดึงดูดเข้ามาหา" วันนี้ผมเอาเล่มนี้มาสรุปเป็น Key หลัก สั้นๆ แบบ ฉีก ซอง เติมน้ำร้อน แล้วกินได้เลย! ------ 7 นิสัยของคนสำเร็จ (7 Habits of Highly Effective people) (จากหนังสือ 7 Habit of Highly Effective people - กลั่นกรองโดย Un+Chirdpong) 1. นิสัย Proactive - เป็นนายความคิดของตนเอง (Be Proactive) ไม่ปล่อยให้สิ่งแวดล้อม, เพื่อนฝูง, ข่าวลบๆ, … เช่น พวก "ตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้" มามีอิทธิพลเหนื่อเราเป็นอันขาด ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ... เราคือผู้เลือก และกำหนดชะตาชีวิตของตัวเอง!!! " กูคือความจริง!!! " (Cr. อ.เฉลิมชัย) *อธิบายเพิ่ม ตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้ คนโบราณสอนไว้อย่าไปโกง แต่ไม่ได้ห้าม ไม่ให้มีเป้าหมาย 2. เริ่มต้นด้วยจุดมุ่งหมายในใจ! (Begin with the end in mind) พูดง่ายๆ มีเป้าหมายในชีวิตนั่นเอง! วิธีที่การ Covey แนะนำ คือ ให้ถามคำถามกับตัวเองว่า... ในวันที่เราตาย เราอยากให้ผู้คนพูดถึงเราว่าอะไร! ? คำตอบที่ได้ นั่นแหละ คือเป้าหมายในชีวิต!!! 3. ทำสิ่งที่สำคัญก่อน (Put First, Thing First) เมื่อเรารู้แล้วว่า "อะไร" สำคัญที่สุดในชีวิต (จากนิสัยข้อ 2) ก็รีบทำมันซะ เป็นสิ่งแรกของวัน! ทำตอนที่ยังทำได้ ทำตอนที่ยังไม่เร่งด่วน! มิเช่นนั้น อาจจะสายเกินไป เช่น ถ้าคุณ "ไม่ลงทุนเวลา" ออกกำลังกายตั้งแต่ตอนนี้ อนาคตได้ "ใช้เวลา" นอนอยู่ในโรงพยาบาลแน่ๆ (เร่งด่วนแน่ๆ ตอนนั้น) *4. คิดแบบ Win-Win (Think win-win) นิสัยนี้สำคัญมาก เราจะต้องปลูกฝังนิสัยต้องหาทางที่ ต้องชนะทั้งคู่ ไม่ใช่เราได้ประโยชน์แต่อีกฝ่ายเสียประโยชน์ เช่น เราออกสินค้าดีๆ - ลูกค้าได้ประโยชน์มาก เราก็ได้ผลตอบแทนเยอะด้วย นอกจากนี้คิดแบบ win-win ยังทำให้ได้ประโยชน์ในการเพิ่มความน่าเชื่อถือหรือ “Trust” และจะทำให้เกิดประโยชน์มหาศาลในการต่อยอดธุรกิจต่อไป *5. เข้าใจผู้อื่นก่อน (Seek First to understand, then to be understood) บทนี้เน้นย้ำในเรื่องของการ “ฟังให้เข้าใจ” มากๆ เพราะโดยปกติ เวลาเราฟัง เรามักจะมีคำตอบอยู่ในใจ แล้วรอเวลาที่เราจะได้พูดคำตอบนั้นออกไป - เวลาที่เราเป็นแบบนี้ เราจะอยู่ในสภาวะ “ปิดหู” ทันที เช่น เวลาลูกบอกไม่อยากไปโรงเรียน …. เรามัก “ตั้งธงไปก่อน” ว่า เพราะลูกไม่ชอบเรียนหนังสือ เราก็เลยมีคำตอบไปเลยอัตโนมัติว่า ลูกต้องตั้งใจเรียนนะ.. จะได้โตขึ้นมีอนาคตที่ดี …. ที่จริงลูกอาจจะรักการเรียนอยู่แล้วแต่มีปัญหาอื่นๆ ก็ได้ เช่น เพื่อนแกล้ง เป็นต้น ฉะนั้น ไม่ว่าจะคุยกับใคร - ลูกน้อง, หัวหน้า, ลูกค้า, เพื่อนร่วมงาน, ในที่ประชุม นิสัยการ “ฟังเพื่อเข้าใจ” จึงจำเป็นมาก ! 6. ประสานพลังความแตกต่าง!! (Synergize) หรือพูดง่ายๆ คือการทำงานเป็นทีม … การมีความคิดที่แตกต่าง มีความสามารถที่แตกต่างกันเป็นสิ่งที่ดี … 1+1 มันจะมากกว่า 2 เสมอ อย่าง เช่นผม กับ Aten+arnon ใครๆ ก็บอก เหมือน หยิน กับ หยางยังไงหยั่งงั้น (ใครหยิน ใครหยางไม่รู้เหมือนกัน) ดูไม่น่าจะมาเข้าคู่กันได้ แต่ปรากฎ กลับเข้ากันได้อย่างดี เพราะต่างคน ต่างเก่งในสิ่งที่อีกคนไม่เก่ง มันเลยเติมพลังแบบพอดิบพอดี! 1+1 มันดันทะลึ่ง = 1,000 แบบช่วยไม่ได้!!! เป็น Mastermind ที่คอยผลักกันให้บินขึ้นสูง (ไม่ใช่คอยเด็ดปีกให้ร่วงแบบทั่วๆ ไป!) 7. ลับเลื่อยให้คมอยู่เสมอ! (Sharpen the Saw) เราไม่สามารถอาบน้ำครั้งเดียว แล้วสะอาดไปเป็นเดือนๆ ได้! เราไม่สามารถ อ่านโพสครั้งเดียว แล้วปลุกพลังไปทั้งปีได้ ! เราไม่สามารถ เรียนจบ แล้วไม่อ่านอะไรใหม่ แล้วความรู้จะทันสมัยไปอีก 10- 20 ปีได้ (ที่จริงสมัยนี้ หยุดเรียนรู้ไปปีเดียว ก็เริ่มตามโลกไม่ทันแล้ว) ลับเลือยให้คมอยู่เสมอ จึงหมายถึง เราต้องพัฒนาตัวเองอย่าต่อเนื่อง สม่ำเสมอ ในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น อาชีพ ความสัมพันธ์ ร่างกาย จิตใจ, .... เพราะ " อะไรที่ไม่โต มันก็จะตาย!!! " เราจึงต้อง "โต" อยู่เสมอ! ----- และนี่ คือ "7 นิสัยหลักของคนสำเร็จ" เน้นการเปลี่ยนจาก “ภายในสู่ภายนอก” (Inside-out) โดยการฝึกทำมันซ้ำๆ จนเป็นนิสัย! แล้วเราจะเปลี่ยน ไปเป็นคนใหม่แบบ "ถาวร" และนี่ คือ 7 habits แบบเนื้อๆ Version ฉีกซอง ต้มน้ำร้อน 3 นาที แล้วเอาไปใช้ได้เลย!!! จัดป่ะ!!! อรุณสวัสดิ์ครับ Un+ Chirdpong (อั๋น เชิดพงษ์) ------------------ PS: เพื่อนๆ ที่สนใจแบบเต็มๆ ติดตามได้จาก "The 7 Habits of Highly Effective People" by Stephen R. Covey (มีฉบับแปลไทยแล้ว) PS: โพสนี้ เขียนตั้งแต่ตอนเปิดเพจใหม่ๆ เอามาให้อ่านกันอีกครั้ง สำหรับคนที่พลาดไปครับ

"7 นิสัย" ของคนสำเร็จ (7 Habits of Highly Effective people)

----

นี่คือ หนังสือที่ ผมอยากให้ทุกๆ คน ได้อ่าน
เพราะหนังสือเล่มนี้ดีมาก! ขายได้กว่า 25 ล้านเล่มทั่วโลก …

จุดที่แตกต่างของเล่มนี้กับเล่มอื่นๆ คือ

เล่มอื่นๆจะเน้นพัฒนา "ภายนอก" เช่น ทักษะการคิดบวก, วิธีการพูดโน้มน้าวใจคน, ทักษะการเป็นผู้นำ, ...

แต่เล่มนี้เน้นที่ "ภายใน (Inside-out)" ก่อน
คือ จะสำเร็จต้องเปลี่ยนที่ “นิสัย” โดยต้องเปลี่ยนที่ Paradigm หรือ พูดง่ายๆ เปลี่ยนที่ระดับ จิตใต้สำนึก!

เพราะการเปลี่ยนแบบนี้จะเป็นการเปลี่ยนแบบ "ถาวร"
เมื่อเราดีขึ้น เก่งขึ้น ท้ายที่สุด "ความสำเร็จจะถูกดึงดูดเข้ามาหา"

วันนี้ผมเอาเล่มนี้มาสรุปเป็น Key หลัก สั้นๆ แบบ ฉีก ซอง เติมน้ำร้อน แล้วกินได้เลย!

------

7 นิสัยของคนสำเร็จ (7 Habits of Highly Effective people)

(จากหนังสือ 7 Habit of Highly Effective people - กลั่นกรองโดย Un+Chirdpong)

1. นิสัย Proactive - เป็นนายความคิดของตนเอง (Be Proactive)

ไม่ปล่อยให้สิ่งแวดล้อม, เพื่อนฝูง, ข่าวลบๆ, … เช่น พวก "ตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้" มามีอิทธิพลเหนื่อเราเป็นอันขาด

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ...
เราคือผู้เลือก และกำหนดชะตาชีวิตของตัวเอง!!!

" กูคือความจริง!!! " (Cr. อ.เฉลิมชัย)

*อธิบายเพิ่ม
ตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้ คนโบราณสอนไว้อย่าไปโกง แต่ไม่ได้ห้าม ไม่ให้มีเป้าหมาย

2. เริ่มต้นด้วยจุดมุ่งหมายในใจ! (Begin with the end in mind)

พูดง่ายๆ มีเป้าหมายในชีวิตนั่นเอง!

วิธีที่การ Covey แนะนำ คือ ให้ถามคำถามกับตัวเองว่า... ในวันที่เราตาย เราอยากให้ผู้คนพูดถึงเราว่าอะไร! ?

คำตอบที่ได้ นั่นแหละ คือเป้าหมายในชีวิต!!!

3. ทำสิ่งที่สำคัญก่อน (Put First, Thing First)

เมื่อเรารู้แล้วว่า "อะไร" สำคัญที่สุดในชีวิต (จากนิสัยข้อ 2)
ก็รีบทำมันซะ เป็นสิ่งแรกของวัน!

ทำตอนที่ยังทำได้ ทำตอนที่ยังไม่เร่งด่วน! มิเช่นนั้น อาจจะสายเกินไป

เช่น

ถ้าคุณ "ไม่ลงทุนเวลา" ออกกำลังกายตั้งแต่ตอนนี้ อนาคตได้ "ใช้เวลา" นอนอยู่ในโรงพยาบาลแน่ๆ  (เร่งด่วนแน่ๆ ตอนนั้น)

*4. คิดแบบ Win-Win (Think win-win)

นิสัยนี้สำคัญมาก เราจะต้องปลูกฝังนิสัยต้องหาทางที่ ต้องชนะทั้งคู่ ไม่ใช่เราได้ประโยชน์แต่อีกฝ่ายเสียประโยชน์

เช่น เราออกสินค้าดีๆ - ลูกค้าได้ประโยชน์มาก เราก็ได้ผลตอบแทนเยอะด้วย

นอกจากนี้คิดแบบ win-win ยังทำให้ได้ประโยชน์ในการเพิ่มความน่าเชื่อถือหรือ “Trust” และจะทำให้เกิดประโยชน์มหาศาลในการต่อยอดธุรกิจต่อไป

*5. เข้าใจผู้อื่นก่อน (Seek First to understand, then to be understood)

บทนี้เน้นย้ำในเรื่องของการ “ฟังให้เข้าใจ” มากๆ เพราะโดยปกติ เวลาเราฟัง เรามักจะมีคำตอบอยู่ในใจ แล้วรอเวลาที่เราจะได้พูดคำตอบนั้นออกไป - เวลาที่เราเป็นแบบนี้ เราจะอยู่ในสภาวะ “ปิดหู” ทันที

เช่น เวลาลูกบอกไม่อยากไปโรงเรียน …. เรามัก “ตั้งธงไปก่อน” ว่า เพราะลูกไม่ชอบเรียนหนังสือ เราก็เลยมีคำตอบไปเลยอัตโนมัติว่า ลูกต้องตั้งใจเรียนนะ.. จะได้โตขึ้นมีอนาคตที่ดี …. ที่จริงลูกอาจจะรักการเรียนอยู่แล้วแต่มีปัญหาอื่นๆ ก็ได้ เช่น เพื่อนแกล้ง เป็นต้น

ฉะนั้น ไม่ว่าจะคุยกับใคร - ลูกน้อง, หัวหน้า, ลูกค้า, เพื่อนร่วมงาน, ในที่ประชุม นิสัยการ “ฟังเพื่อเข้าใจ” จึงจำเป็นมาก !

6. ประสานพลังความแตกต่าง!! (Synergize)

หรือพูดง่ายๆ คือการทำงานเป็นทีม … การมีความคิดที่แตกต่าง มีความสามารถที่แตกต่างกันเป็นสิ่งที่ดี … 1+1 มันจะมากกว่า 2 เสมอ

อย่าง เช่นผม กับ Aten+arnon

ใครๆ ก็บอก เหมือน หยิน กับ หยางยังไงหยั่งงั้น  (ใครหยิน ใครหยางไม่รู้เหมือนกัน) ดูไม่น่าจะมาเข้าคู่กันได้

แต่ปรากฎ กลับเข้ากันได้อย่างดี เพราะต่างคน ต่างเก่งในสิ่งที่อีกคนไม่เก่ง มันเลยเติมพลังแบบพอดิบพอดี!

1+1 มันดันทะลึ่ง = 1,000 แบบช่วยไม่ได้!!!

เป็น Mastermind ที่คอยผลักกันให้บินขึ้นสูง (ไม่ใช่คอยเด็ดปีกให้ร่วงแบบทั่วๆ ไป!)

7. ลับเลื่อยให้คมอยู่เสมอ! (Sharpen the Saw)

เราไม่สามารถอาบน้ำครั้งเดียว แล้วสะอาดไปเป็นเดือนๆ ได้!
เราไม่สามารถ อ่านโพสครั้งเดียว แล้วปลุกพลังไปทั้งปีได้ !
เราไม่สามารถ เรียนจบ แล้วไม่อ่านอะไรใหม่ แล้วความรู้จะทันสมัยไปอีก 10- 20 ปีได้ (ที่จริงสมัยนี้ หยุดเรียนรู้ไปปีเดียว ก็เริ่มตามโลกไม่ทันแล้ว)

ลับเลือยให้คมอยู่เสมอ จึงหมายถึง

เราต้องพัฒนาตัวเองอย่าต่อเนื่อง สม่ำเสมอ ในทุกๆ ด้าน
ไม่ว่าจะเป็น อาชีพ ความสัมพันธ์ ร่างกาย จิตใจ, ....

เพราะ " อะไรที่ไม่โต มันก็จะตาย!!! "

เราจึงต้อง "โต" อยู่เสมอ!

-----

และนี่ คือ "7 นิสัยหลักของคนสำเร็จ"
เน้นการเปลี่ยนจาก “ภายในสู่ภายนอก” (Inside-out)

โดยการฝึกทำมันซ้ำๆ จนเป็นนิสัย! แล้วเราจะเปลี่ยน ไปเป็นคนใหม่แบบ "ถาวร"

และนี่ คือ 7 habits แบบเนื้อๆ 

Version ฉีกซอง ต้มน้ำร้อน 3 นาที แล้วเอาไปใช้ได้เลย!!!

จัดป่ะ!!!

อรุณสวัสดิ์ครับ
Un+ Chirdpong (อั๋น เชิดพงษ์)

------------------
PS: เพื่อนๆ ที่สนใจแบบเต็มๆ ติดตามได้จาก "The 7 Habits of Highly Effective People" by Stephen R. Covey (มีฉบับแปลไทยแล้ว)

PS: โพสนี้ เขียนตั้งแต่ตอนเปิดเพจใหม่ๆ เอามาให้อ่านกันอีกครั้ง สำหรับคนที่พลาดไปครับ

"5 โรค" ที่ต้องรีบรักษา ก่อนที่มันจะเรื้อรัง 1. โรค "เดี๋ยว" เดี๋ยวพรุ่งนี้จะทำ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะลุย เดี๋ยวเอาไว้ว่างก่อน เดี๋ยวๆๆๆ แล้วสุดท้าย ก็ไม่เคยได้ทำซะที วิธีแก้ คือ เปลี่ยนจาก เดี๋ยวก่อน เป็น เดี๋ยวนี้! อยากเดี๋ยวนัก! ได้เลย แต่ขอเป็น เดี๋ยวนี้! 2. โรค "อ้าง" ฉันไม่มีเส้นสาย ฉันเกิดมาแบบนี้ แข่งบุญวาสนาคงไม่ได้ คนนั้นเก่งกว่ากว่า คนนู้นเก่งกว่า ฉันคงไปสู้อะไรพวกเค้าไม่ได้ วิธีรักษาคือ จำคำของ Bill Gates ไว้ ถ้าคุณเกิดมาจนไม่ใช่ความผิดใคร แต่คุณตายจน นั่นแหละความผิดคุณ รับผิดชอบชีวิตตัวเอง เลิกอ้าง แล้วลุยเอาให้สุดๆ! 3. โรค "รอ" รอให้พร้อมก่อน รอให้มีเงินก่อน รอให้มีนั้นมีนี่ก่อน ถึงจะลุย ถึงจะเอาจริงเอาจัง แล้วสุดท้ายคุณก็ไม่เคยพร้อม แล้วก็ รอ รอ รอ แล้วก็รอ ต่อไป วิธีรักษาก็คือ ททท - ทำทันที ! *ย้ำตรงนี้ ลงมือทำ อย่างมีสติ! ไม่ใช่ บอกให้ทำทันที ก็เอาเงินไปลงหุ้นหมดทั้งๆ ที่ไม่มีความรู้ เอาเงินไปลงธุรกิจหมดทั้งๆ ที่ไม่มีประสบการณ์อะไรเลย อ่านหนังสือ / ออกไปหาประสบการณ์ / ลงทุนทำด้วยจำนวนเงินน้อยๆ มันมีอะไรหลายๆ อย่างมากที่เราสามารถลงมือทำได้วันนี้! อย่ามีข้ออ้าง! 4. โรค "ลังเล" มีคนบอกว่า คนสำเร็จมาก ตัดสินใจเร็ว เปลี่ยนแปลงยาก (จนกว่าจะมีข้อมูลใหม่จริงๆ) คนสำเร็จ (น้อย) ตัดสินใจช้า เปลี่ยนแปลงเร็ว ผมโคตรจะเห็นด้วย ตัดสินใจเอาอันนี้! พรุ่งนี้เปลี่ยนเอาอีกอัน วันนี้เลือกอย่าง! พรุ่งนี้เอาอีกอย่าง วันนี้บอกอยากเป็นนักกอล์ฟ พรุ่งนี้บอกอยากเป็นนักธุรกิจ อีกวันบอก ไม่เอาแล้ว อยากอยู่ ชิวๆ Slow life ไม่แน่ไม่นอนสักอย่าง Focus อะไรไม่ได้ ผมไม่ได้บอกว่า เป้าหมายเปลี่ยนไม่ได้ มันเปลี่ยนได้ เมื่อคุณลุยไปสักพักแล้วเจออะไรใหม่ๆ ที่ดีกว่า เจ๋งกว่า! ไม่ใช่ลังเล เปลี่ยนไปเปลี่ยนมารายวันแบบนี้ วิธีรักษาคือ คุณต้อง "ตัดสินใจ" เอาให้แน่ เอาให้ชัด อยากได้อะไร แล้วลุย! อย่าลังเล! เอาให้สุดก้อน สุดท้ายถ้ามันไม่ใช่จริงๆ ก็มาว่ากัน 5. โรค "ท้อง่าย" เจออะไรนิดก็ท้อ เจออะไรหน่อยก็ถอย อยากเป็นนักเขียน เขียนไปได้อาทิตย์เดียว บอกคนไม่อ่านก็ท้อ อยากลุงทุน อ่านหนังสือ เริ่มลงทุนแค่เดือนเดียว เจอปัญหานิดหน่อย ก็ท้อ อยากรวย อยากมีธุรกิจ ลงมือทำไปนิดหน่อย เจอปัญหานู่นนี่นั่นหน่อย ก็ท้อ ตั้งเป้าซะใหญ่ แต่ท้อโคตรง่าย ใจไม่ใหญ่ ตามเป้าที่ตั้งเลย วิธีแก้ คือ คุณต้องยืนหยัด - Persistence ถ้าคุณมั่นใจว่าสิ่งที่คุณตัดสินใจมาแล้วว่ามันใช่! จงยืนหยัด! อะไรไม่ work เปลี่ยนวิธีไปเรื่อยๆ และลุยจนกว่าจะสำเร็จ! --- และนี้คือ 5 โรค พร้อมยารักษา ใครเป็นข้อไหน ชอบยาชนิดไหน เอาไปใช้ได้! จัด! Un+Chirdpong (อั๋น เชิดพงษ์) Hit 2016 (Extended edition)

"5 โรค" ที่ต้องรีบรักษา ก่อนที่มันจะเรื้อรัง

1. โรค "เดี๋ยว"

เดี๋ยวพรุ่งนี้จะทำ
เดี๋ยวพรุ่งนี้จะลุย
เดี๋ยวเอาไว้ว่างก่อน
เดี๋ยวๆๆๆ

แล้วสุดท้าย ก็ไม่เคยได้ทำซะที
วิธีแก้ คือ
เปลี่ยนจาก เดี๋ยวก่อน เป็น เดี๋ยวนี้!

อยากเดี๋ยวนัก! ได้เลย
แต่ขอเป็น เดี๋ยวนี้!

2. โรค "อ้าง"

ฉันไม่มีเส้นสาย
ฉันเกิดมาแบบนี้ แข่งบุญวาสนาคงไม่ได้
คนนั้นเก่งกว่ากว่า  คนนู้นเก่งกว่า
ฉันคงไปสู้อะไรพวกเค้าไม่ได้

วิธีรักษาคือ
จำคำของ Bill Gates ไว้
ถ้าคุณเกิดมาจนไม่ใช่ความผิดใคร
แต่คุณตายจน นั่นแหละความผิดคุณ

รับผิดชอบชีวิตตัวเอง
เลิกอ้าง แล้วลุยเอาให้สุดๆ!

3. โรค "รอ"

รอให้พร้อมก่อน
รอให้มีเงินก่อน
รอให้มีนั้นมีนี่ก่อน
ถึงจะลุย ถึงจะเอาจริงเอาจัง
แล้วสุดท้ายคุณก็ไม่เคยพร้อม
แล้วก็ รอ รอ รอ แล้วก็รอ ต่อไป

วิธีรักษาก็คือ
ททท - ทำทันที !

*ย้ำตรงนี้
ลงมือทำ อย่างมีสติ!
ไม่ใช่ บอกให้ทำทันที ก็เอาเงินไปลงหุ้นหมดทั้งๆ ที่ไม่มีความรู้
เอาเงินไปลงธุรกิจหมดทั้งๆ ที่ไม่มีประสบการณ์อะไรเลย

อ่านหนังสือ / ออกไปหาประสบการณ์ / ลงทุนทำด้วยจำนวนเงินน้อยๆ มันมีอะไรหลายๆ อย่างมากที่เราสามารถลงมือทำได้วันนี้!

อย่ามีข้ออ้าง!

4. โรค "ลังเล"

มีคนบอกว่า
คนสำเร็จมาก ตัดสินใจเร็ว เปลี่ยนแปลงยาก (จนกว่าจะมีข้อมูลใหม่จริงๆ)
คนสำเร็จ (น้อย) ตัดสินใจช้า เปลี่ยนแปลงเร็ว
ผมโคตรจะเห็นด้วย

ตัดสินใจเอาอันนี้! พรุ่งนี้เปลี่ยนเอาอีกอัน
วันนี้เลือกอย่าง! พรุ่งนี้เอาอีกอย่าง
วันนี้บอกอยากเป็นนักกอล์ฟ
พรุ่งนี้บอกอยากเป็นนักธุรกิจ
อีกวันบอก ไม่เอาแล้ว อยากอยู่ ชิวๆ Slow life

ไม่แน่ไม่นอนสักอย่าง
Focus อะไรไม่ได้

ผมไม่ได้บอกว่า เป้าหมายเปลี่ยนไม่ได้
มันเปลี่ยนได้ เมื่อคุณลุยไปสักพักแล้วเจออะไรใหม่ๆ ที่ดีกว่า เจ๋งกว่า!
ไม่ใช่ลังเล เปลี่ยนไปเปลี่ยนมารายวันแบบนี้

วิธีรักษาคือ
คุณต้อง "ตัดสินใจ"
เอาให้แน่
เอาให้ชัด
อยากได้อะไร

แล้วลุย! อย่าลังเล!
เอาให้สุดก้อน

สุดท้ายถ้ามันไม่ใช่จริงๆ ก็มาว่ากัน

5. โรค "ท้อง่าย"
เจออะไรนิดก็ท้อ
เจออะไรหน่อยก็ถอย

อยากเป็นนักเขียน
เขียนไปได้อาทิตย์เดียว บอกคนไม่อ่านก็ท้อ

อยากลุงทุน
อ่านหนังสือ เริ่มลงทุนแค่เดือนเดียว เจอปัญหานิดหน่อย ก็ท้อ

อยากรวย อยากมีธุรกิจ
ลงมือทำไปนิดหน่อย เจอปัญหานู่นนี่นั่นหน่อย ก็ท้อ

ตั้งเป้าซะใหญ่
แต่ท้อโคตรง่าย
ใจไม่ใหญ่ ตามเป้าที่ตั้งเลย

วิธีแก้ คือ
คุณต้องยืนหยัด - Persistence
ถ้าคุณมั่นใจว่าสิ่งที่คุณตัดสินใจมาแล้วว่ามันใช่!
จงยืนหยัด! อะไรไม่ work เปลี่ยนวิธีไปเรื่อยๆ
และลุยจนกว่าจะสำเร็จ!

---

และนี้คือ 5 โรค
พร้อมยารักษา

ใครเป็นข้อไหน
ชอบยาชนิดไหน
เอาไปใช้ได้!

จัด!
Un+Chirdpong (อั๋น เชิดพงษ์)

Hit 2016
(Extended edition)

"5 ประโยค" ที่อยู่ในใจผม และ มันอาจจะเปลี่ยนชีวิตคุณ ด้วยเช่นกัน 1. "You don't have to be great to start, but you have to start to be great" Zig Ziglar "คุณไม่จำเป็นต้องเจ๋ง เพื่อที่จะเริ่ม แต่คุณจำเป็นต้องเริ่ม เพื่อที่จะเจ๋ง!" เพราะฉะนั้น อย่ารอให้พร้อม อย่ารอให้ perfect ลุยเลย แล้วคุณจะเจ๋ง! 2. "Learn to work hard on yourself than you do on your job" Jim Rohn "เรียนรู้ที่จะพัฒนาตัวเอง ให้มากกว่างานปัจจุบันที่ทำอยู่" ประโยคนี้ผมตกผลึกอยู่หลายปี Key คือ จงพัฒนาตัวเอง ให้หนักกว่า งาน (Job) ที่ทำอยู่ปัจจุบัน เช่น ปัจจุบัน เป็นพนักงานเสริฟ พัฒนาตัวเองให้เป็นผู้จัดการสาขา ถ้าคุณเป็นผู้จัดการสาขา พัฒนาตัวเองให้ขึ้นเป็นผู้บริหาร ถ้าคุณเป็นผู้บริหาร พัฒนาตัวเองให้เป็น CEO หรือ เป็นเจ้าของธุรกิจเอง Key คือ ไม่ใช่ พัฒนาตัวเองในงานที่ทำอยู่ "แต่พัฒนาตัวเอง ให้สูงขึ้นไปอีก" นี่คือ ความลับของการโตแบบก้าวกระโดด! 3. "The opposite of courage in our society is not cowardice... it is conformity." Earl Nightingale "สิ่งที่ตรงกันข้ามของความกล้าหาญ ไม่ใช่ความขี้ขลาด แต่มันคือ ความเหมือนๆ กันไปทั้งหมด" วันนี้ที่เราไม่ยกมือถาม เพราะเพื่อนๆ ในห้องไม่มีใครถาม วันนี้เราไม่กล้าคิดต่าง เพราะไม่มีใครเคยคิด วันนี้เราไม่กล้าตั้งเป้าหมายให้สูง เพราะเพื่อนรอบข้าง บอกว่าเราทำไม่ได้ ไม่มีใครเคยทำ ความเหมือนกันไปซะหมด ทำให้เราไม่กล้า ทำให้เราไม่โต เด็กที่เดินได้ เพราะเค้าเห็นทุกคนเดินได้ เลย ล้ม แล้ว ลุก ล้มแล้ว ลุก ไม่เลิก เพราะฉะนั้น จงเอาตัวไปอยู่ท่ามกลางคนสำเร็จ เพราะเรามีแนวโน้มที่จะสำเร็จได้แบบเค้า 4. "Dig Your Well Before You're Thirsty" "จนขุดบ่อก่อนที่ จะกระหายน้ำ" ฝึกภาษา ตอนที่เรายังไม่จำเป็น อ่านหนังสือ ในเรื่องที่ยังไม่ได้ใช้ ออกกำลังกาย ในตอนที่ยังไม่ป่วย ขุดบ่อ ตอนที่ยังไม่หิวน้ำ เพราะว่า ตอนที่คุณหิวน้ำ ไปขุดตอนนั้น มันสายเกินไปแล้ว 5. "My life will never be the Same again" ... Tony Robbins ชีวิตฉัน ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป นี่คือคำพูดที่ผมใช้ประจำ และ "ขนลุก" ทุกครั้ง ที่พูด ผมจะใช้มัน ตอนที่จะทำอะไรยากๆ ผมจะใช้มัน ตอนที่จะทำอะไรที่แตกต่าง คนอื่นไม่เห็นด้วย ผมจะใช้มัน ตอนที่ผมถูกใครๆ ดับฝัน "My life will never be the Same again" ถ้าผมทำมัน ชีวิตผม จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป... แค่พิมพ์ ก็อินล่ะ! และนี่คือ 5 ประโยค 5 คำคม ที่ซ่อนความหมายที่สำคัญ ใครชอบข้อไหน เอาไปใช้ได้ จัด! Un+Chirdpong (อั๋น เชิดพงษ์)

"5 ประโยค" ที่อยู่ในใจผม
และ มันอาจจะเปลี่ยนชีวิตคุณ ด้วยเช่นกัน

1. "You don't have to be great to start, but you have to start to be great" Zig Ziglar

"คุณไม่จำเป็นต้องเจ๋ง เพื่อที่จะเริ่ม
แต่คุณจำเป็นต้องเริ่ม เพื่อที่จะเจ๋ง!"

เพราะฉะนั้น
อย่ารอให้พร้อม อย่ารอให้ perfect
ลุยเลย แล้วคุณจะเจ๋ง!

2. "Learn to work hard on yourself than you do on your job" Jim Rohn

"เรียนรู้ที่จะพัฒนาตัวเอง ให้มากกว่างานปัจจุบันที่ทำอยู่"

ประโยคนี้ผมตกผลึกอยู่หลายปี
Key คือ จงพัฒนาตัวเอง ให้หนักกว่า งาน (Job) ที่ทำอยู่ปัจจุบัน

เช่น ปัจจุบัน เป็นพนักงานเสริฟ พัฒนาตัวเองให้เป็นผู้จัดการสาขา
ถ้าคุณเป็นผู้จัดการสาขา พัฒนาตัวเองให้ขึ้นเป็นผู้บริหาร
ถ้าคุณเป็นผู้บริหาร พัฒนาตัวเองให้เป็น CEO หรือ เป็นเจ้าของธุรกิจเอง

Key คือ ไม่ใช่ พัฒนาตัวเองในงานที่ทำอยู่
"แต่พัฒนาตัวเอง ให้สูงขึ้นไปอีก"

นี่คือ ความลับของการโตแบบก้าวกระโดด!

3. "The opposite of courage in our society is not cowardice... it is conformity." Earl Nightingale

"สิ่งที่ตรงกันข้ามของความกล้าหาญ ไม่ใช่ความขี้ขลาด
แต่มันคือ ความเหมือนๆ กันไปทั้งหมด"

วันนี้ที่เราไม่ยกมือถาม เพราะเพื่อนๆ ในห้องไม่มีใครถาม
วันนี้เราไม่กล้าคิดต่าง เพราะไม่มีใครเคยคิด
วันนี้เราไม่กล้าตั้งเป้าหมายให้สูง เพราะเพื่อนรอบข้าง บอกว่าเราทำไม่ได้ ไม่มีใครเคยทำ

ความเหมือนกันไปซะหมด
ทำให้เราไม่กล้า ทำให้เราไม่โต

เด็กที่เดินได้
เพราะเค้าเห็นทุกคนเดินได้
เลย ล้ม แล้ว ลุก ล้มแล้ว ลุก ไม่เลิก

เพราะฉะนั้น
จงเอาตัวไปอยู่ท่ามกลางคนสำเร็จ
เพราะเรามีแนวโน้มที่จะสำเร็จได้แบบเค้า

4. "Dig Your Well Before You're Thirsty"

"จนขุดบ่อก่อนที่ จะกระหายน้ำ"

ฝึกภาษา ตอนที่เรายังไม่จำเป็น
อ่านหนังสือ ในเรื่องที่ยังไม่ได้ใช้
ออกกำลังกาย ในตอนที่ยังไม่ป่วย

ขุดบ่อ ตอนที่ยังไม่หิวน้ำ
เพราะว่า ตอนที่คุณหิวน้ำ
ไปขุดตอนนั้น มันสายเกินไปแล้ว

5. "My life will never be the Same again" ... Tony Robbins

ชีวิตฉัน ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

นี่คือคำพูดที่ผมใช้ประจำ
และ "ขนลุก" ทุกครั้ง ที่พูด

ผมจะใช้มัน ตอนที่จะทำอะไรยากๆ
ผมจะใช้มัน ตอนที่จะทำอะไรที่แตกต่าง คนอื่นไม่เห็นด้วย
ผมจะใช้มัน ตอนที่ผมถูกใครๆ ดับฝัน

"My life will never be the Same again"
ถ้าผมทำมัน
ชีวิตผม จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป...

แค่พิมพ์ ก็อินล่ะ!

และนี่คือ 5 ประโยค
5 คำคม ที่ซ่อนความหมายที่สำคัญ

ใครชอบข้อไหน
เอาไปใช้ได้

จัด!

Un+Chirdpong (อั๋น เชิดพงษ์)

ธรรมะจากหลวงปู่พวง เรื่อง 3/ พรรษา 2560 "รักของแม่" ตามที่เราเล่าให้ฟังในตอนก่อนแล้วว่า หลวงปู่ชอบสอน เรื่องบุญคุณของพ่อแม่มาก สอนเรื่องนี้อยู่บ่อยๆ เช้านี้ก็เช่นกัน ขณะกำลังฉันเช้า ก็มีเสียงไก่ร้อง เสียงกระพือปีก มีเสียงหม้อตกกระแทกพื้น หลวงปู่ก็ถามว่า เกิดอะไรขึ้น โยมเขาก็ตอบว่า แม่ไก่มันไล่แมว แมวมันไปขโมยกินไข่ ที่แม่ไก่กำลังฟัก หลวงปู่ก็บอกว่า เออ แม่มันก็รักก็หวงลูกมัน ทั้งนั้น พอฉันข้าวเสร็จ หลวงปู่ก็คุยเรื่องนี้ต่อ หลวงปู่บอกว่า ความรักของแม่นั้นยิ่งใหญ่ หาอะไรเปรียบไม่ได้ ไม่ว่าคน ไม่ว่าสัตว์ รักของแม่นั้น แม่ยอมตายแทนลูกได้เสมอ วัดที่หลวงปู่อยู่ เป็นวัดในป่า อยู่บนเขา มีสัตว์มากมาย หลวงปู่สอนธรรมะง่ายๆจากสิ่งที่เห็นรอบตัว อย่างเมื่อเช้านี้ เรื่องความรักของแม่ หลวงปู่เล่าให้ฟังว่า เคยออกไปธุระกับโยม โยมขับรถไป แล้วเจอเก้งตัวหนึ่งอยู่กลางถนน ยืนเก้เก้กังกัง กลางถนน ไม่ยอมไปไหน ถ้าเป็นรถคันอื่นอาจบีบแตรไล่ หรือไม่ก็ขับชน เพื่อเอาเนื้อไปกิน แต่หลวงปู่ให้โยมจอดรถดู จอดอยู่พักนึง เก้งตัวนั้นก็ยังเดินวนๆอยู่กลางถนน ตาก็มองมาที่รถบ้าง แต่ก็ไม่หลบ สักพักมีลูกเก้งตัวเล็กๆ วิ่งออกจากป่า แล้วข้ามถนนไป เก้งตัวใหญ่จึงวิ่งตามออกจากถนน เก้งตัวนั้นเป็นแม่เก้ง ที่คงจะห่วงลูก ยอมที่จะเสี่ยงชีวิตอยู่กลางถนน เพื่อรอให้ลูกข้ามไปอย่างปลอดภัย อีกเรื่องที่หลวงปู่เล่าเมื่อเช้าคือ กระแต กับแย้ หลวงปู่เดินอยู่ในวัด ซึ่งวัดก็ต้นไม้เยอะ แล้วเห็นกระแตตัวหนึ่ง กำลังสู้กับอะไรสักอย่าง เลยเดินเข้าไปดู ปรากฏว่า เป็นแม่กระแตที่เพิ่งคลอดลูก กำลังสู้กับงู ที่จะเข้าไปกินลูกกระแต แต่แม่กระแตสู้ไม่ได้ โดนงูรัดจนตาย เรียกว่ายอมตายเพื่อปกป้องลูก ส่วนแย้ หลวงปู่เห็นแย้ โผล่ออกมาจากรู แล้วไม่ยอมกลับเข้าหลวงปู่จึงลองเดินไปใกล้ๆ แย้ก็ไม่หนีลงรู ลองเอื้อมมือไปจับ แย้ก็ไม่หนี เอาแต่มองหาอะไร หลวงปู่บอกกับแย้ว่า เอ็งอย่ายอมให้คนอื่นจับอย่างนี้นา เขาจะเอาไปกินนะ สักพัก มีลูกแย้วิ่งกลับมาแล้วมุดลงรูไป แม่แย้จึงนอมกลับเข้ารู มันคงห่วงลูก รอลูกอยู่ หลวงปู่สอนว่า ไม่ว่าคนหรือสัตว์ รักของแม่ ก็เป็นรักแท้ รักบริสุทธิ์ ไม่มีรักไหนเทียบได้ แม่ยอมทุกอย่างได้เพื่อลูก เสี่ยงชีวิตเพื่อลูก อดทนทุกอย่างเพื่อลูก และแม่รักลูกตลอดไป คนอื่นอาจจะรักเราแค่ครั้งคราว แต่แม่รักเราตลอดชีวิต ดังนั้นอย่าลืมแม่ อย่าลืมรักของแม่ที่มีให้เรา หลวงปู่ตบท้ายว่า สัตว์ทุกตัวมันก็รักลูกมัน เหมือนแม่เรา รักเรานั่นหล่ะ เมื่อเช้า เรานั่งฟังหลวงปู่ เราก็คิดถึงแม่นะ แม่เราก็ต้องอดทนกับเรามาก เพราะเราเกเร มากๆ แม่อาจจะดุ จะว่า จะสอน เพื่อให้เราเป็นคนดี แต่แม่ก็รัก และให้อภัยเสมอ แม้เราจะทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม่ก็อภัยตลอด ตอนโตมา เราติดเพื่อน ติดแฟน จนลืมแม่ แต่แม่ก็ไม่โกรธ แม่ยังรอเรากลับบ้านเสมอ ช่วงติดเพื่อน ติดแฟน เราก็ลืมแม่ไปเลย ทั้งชีวิตก็ทุ่มเทให้คนอื่น แต่พอมีเรื่องกับเพื่อน หรือเลิกกับแฟน ก็ไม่มีใครสนใจเราเลย มีแต่แม่คนเดียว ที่ให้อภัยเสมอ รักเราเสมอ ฟังหลวงปู่แล้วนอกจากเราจะคิดถึงแม่มากขึ้น แล้วเรายังเข้าใจธรรมะของหลวงปู่มากขึ้นด้วย เพราะ ท่านสอนธรรมจากสิ่งรอบตัวที่ท่านเห็นอยู่ทุกวัน ธรรมนั้นจึงเป็นธรรมที่เข้าใจได้ง่าย เรียบง่าย แต่ก็ชัดเจน

ธรรมะจากหลวงปู่พวง
เรื่อง 3/ พรรษา 2560
"รักของแม่"

ตามที่เราเล่าให้ฟังในตอนก่อนแล้วว่า หลวงปู่ชอบสอน เรื่องบุญคุณของพ่อแม่มาก สอนเรื่องนี้อยู่บ่อยๆ

เช้านี้ก็เช่นกัน ขณะกำลังฉันเช้า ก็มีเสียงไก่ร้อง เสียงกระพือปีก มีเสียงหม้อตกกระแทกพื้น หลวงปู่ก็ถามว่า เกิดอะไรขึ้น

โยมเขาก็ตอบว่า แม่ไก่มันไล่แมว  แมวมันไปขโมยกินไข่ ที่แม่ไก่กำลังฟัก

หลวงปู่ก็บอกว่า เออ แม่มันก็รักก็หวงลูกมัน ทั้งนั้น

พอฉันข้าวเสร็จ หลวงปู่ก็คุยเรื่องนี้ต่อ

หลวงปู่บอกว่า ความรักของแม่นั้นยิ่งใหญ่ หาอะไรเปรียบไม่ได้
ไม่ว่าคน ไม่ว่าสัตว์ รักของแม่นั้น แม่ยอมตายแทนลูกได้เสมอ

วัดที่หลวงปู่อยู่ เป็นวัดในป่า อยู่บนเขา มีสัตว์มากมาย หลวงปู่สอนธรรมะง่ายๆจากสิ่งที่เห็นรอบตัว

อย่างเมื่อเช้านี้ เรื่องความรักของแม่ หลวงปู่เล่าให้ฟังว่า เคยออกไปธุระกับโยม โยมขับรถไป แล้วเจอเก้งตัวหนึ่งอยู่กลางถนน ยืนเก้เก้กังกัง กลางถนน ไม่ยอมไปไหน  ถ้าเป็นรถคันอื่นอาจบีบแตรไล่ หรือไม่ก็ขับชน เพื่อเอาเนื้อไปกิน แต่หลวงปู่ให้โยมจอดรถดู

จอดอยู่พักนึง  เก้งตัวนั้นก็ยังเดินวนๆอยู่กลางถนน ตาก็มองมาที่รถบ้าง แต่ก็ไม่หลบ สักพักมีลูกเก้งตัวเล็กๆ วิ่งออกจากป่า แล้วข้ามถนนไป เก้งตัวใหญ่จึงวิ่งตามออกจากถนน

เก้งตัวนั้นเป็นแม่เก้ง ที่คงจะห่วงลูก ยอมที่จะเสี่ยงชีวิตอยู่กลางถนน เพื่อรอให้ลูกข้ามไปอย่างปลอดภัย

อีกเรื่องที่หลวงปู่เล่าเมื่อเช้าคือ กระแต กับแย้

หลวงปู่เดินอยู่ในวัด ซึ่งวัดก็ต้นไม้เยอะ แล้วเห็นกระแตตัวหนึ่ง กำลังสู้กับอะไรสักอย่าง เลยเดินเข้าไปดู ปรากฏว่า เป็นแม่กระแตที่เพิ่งคลอดลูก กำลังสู้กับงู ที่จะเข้าไปกินลูกกระแต 

แต่แม่กระแตสู้ไม่ได้ โดนงูรัดจนตาย  เรียกว่ายอมตายเพื่อปกป้องลูก

ส่วนแย้  หลวงปู่เห็นแย้ โผล่ออกมาจากรู แล้วไม่ยอมกลับเข้าหลวงปู่จึงลองเดินไปใกล้ๆ แย้ก็ไม่หนีลงรู ลองเอื้อมมือไปจับ แย้ก็ไม่หนี เอาแต่มองหาอะไร

หลวงปู่บอกกับแย้ว่า  เอ็งอย่ายอมให้คนอื่นจับอย่างนี้นา เขาจะเอาไปกินนะ

สักพัก มีลูกแย้วิ่งกลับมาแล้วมุดลงรูไป แม่แย้จึงนอมกลับเข้ารู  มันคงห่วงลูก รอลูกอยู่

หลวงปู่สอนว่า ไม่ว่าคนหรือสัตว์ รักของแม่ ก็เป็นรักแท้ รักบริสุทธิ์ ไม่มีรักไหนเทียบได้

แม่ยอมทุกอย่างได้เพื่อลูก เสี่ยงชีวิตเพื่อลูก อดทนทุกอย่างเพื่อลูก และแม่รักลูกตลอดไป คนอื่นอาจจะรักเราแค่ครั้งคราว แต่แม่รักเราตลอดชีวิต

ดังนั้นอย่าลืมแม่ อย่าลืมรักของแม่ที่มีให้เรา

หลวงปู่ตบท้ายว่า สัตว์ทุกตัวมันก็รักลูกมัน เหมือนแม่เรา รักเรานั่นหล่ะ

เมื่อเช้า เรานั่งฟังหลวงปู่ เราก็คิดถึงแม่นะ แม่เราก็ต้องอดทนกับเรามาก เพราะเราเกเร มากๆ แม่อาจจะดุ จะว่า จะสอน เพื่อให้เราเป็นคนดี แต่แม่ก็รัก และให้อภัยเสมอ แม้เราจะทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม่ก็อภัยตลอด

ตอนโตมา เราติดเพื่อน ติดแฟน จนลืมแม่ แต่แม่ก็ไม่โกรธ แม่ยังรอเรากลับบ้านเสมอ

ช่วงติดเพื่อน ติดแฟน เราก็ลืมแม่ไปเลย ทั้งชีวิตก็ทุ่มเทให้คนอื่น แต่พอมีเรื่องกับเพื่อน หรือเลิกกับแฟน ก็ไม่มีใครสนใจเราเลย  มีแต่แม่คนเดียว ที่ให้อภัยเสมอ รักเราเสมอ

ฟังหลวงปู่แล้วนอกจากเราจะคิดถึงแม่มากขึ้น แล้วเรายังเข้าใจธรรมะของหลวงปู่มากขึ้นด้วย เพราะ ท่านสอนธรรมจากสิ่งรอบตัวที่ท่านเห็นอยู่ทุกวัน ธรรมนั้นจึงเป็นธรรมที่เข้าใจได้ง่าย เรียบง่าย แต่ก็ชัดเจน

หลวงพี่รูปหนึ่งนั่งสมาธิอยู่ริมน้ำ ได้ยินเสียงดิ้นรนในน้ำก็ลืมตาขึ้น เห็นแมงป่องตกอยู่ในน้ำ. ท่านก็ใช้มือช้อนมันขึ้นมา ขณะเดียวกันแมงป่องก็ชูหางขึ้นแล้วต่อยไปที่มือท่าน ท่านปล่อยแมงป่องลงที่ฝั่ง แล้วหลับตาทำสมาธิต่อ. ผ่านไปสักครู่ก็ได้ยินเสียงดิ้นรนในน้ำอีก ท่านลืมตาขึ้น เห็นแมงป่องตกลงไปในน้ำอีก ก็เอามือช้อนมันขึ้นมาอีก แน่นอนแมงป่องก็ต่อยไปที่มือท่านอีก ท่านก็หลับตาทำสมาธิต่อ ผ่านไปสักครู่ เหตุการณ์ก็ได้เกิดขึ้นซ้ำอีก หลวงตาที่อยู่ข้างๆก็พูดขึ้น "ท่านไม่รู้หรือว่าแมงป่องมันต่อยคน?" หลวงพี่ตอบว่า "รู้ โดนมันต่อยสามครั้งแล้ว" หลวงตาพูดว่า "แล้วท่านทำไมยังจะช่วยมันอีก" หลวงพี่ตอบว่า "การต่อยคนเป็นสัญชาตญาณของมัน. แต่ความเมตตาเป็นสัญชาตญาณของเรา. สัญชาตญาณของมันไม่สามารถมาเปลี่ยนสัญชาตญาณของเรา" ขณะนั้นเองก็ได้ยินเสียงดิ้นรนในน้ำอีก แมงป่องตัวเดิมนั่นแหละ หลวงพี่ไม่รีรอ เตรียมที่จะนำมือที่บวมเป่ง ยื่นไปช่วยมัน ขณะเดียวกัน หลวงตาก็ยื่นกิ่งไม้ให้กับหลวงพี่. ท่านก็นำกิ่งไม้ช้อนแมงป่องขึ้นมา หลวงตายิ้มและพูดว่า "ความเมตตานั้นดี ในเมื่อมีความเมตตาต่อแมงป่องก็ต้องมีความเมตตาต่อตัวเองด้วย ฉะนั้นความเมตตาต้องมีวิธีการของความเมตตา ต้องดูแลตัวเองให้ดี ถึงจะมีสิทธิไปช่วยผู้อื่น" เรื่องนี้ทำให้ได้คิดถึงประโยคหนึ่งที่ผู้คนชอบพูดกันในปัจจุบันนี้ว่า "เดี๋ยวนี้จะทำตัวเป็นคนดีนั้นยาก" ใช่แล้ว สัญชาตญาณของคนดีคือทำความดี. แต่ผู้ถูกช่วยอาจจะไม่ใช่คนดี และผลของการช่วยคนก็อาจจะไม่เกิดผลที่ดี. แล้วทำไมจึงเป็นเช่นนี้? เหมือนกับที่หลวงตาพูดไว้ "เมตตาต้องมีวิธีการของความเมตตา". "ความเมตตานั้นดี ในเมื่อจะเมตตาต่อแมงป่องก็ต้องเมตตาต่อตัวเองด้วย" ความเป็นจริงเตือนเราว่า ต้องรู้จักรับผิดชอบต่อตัวเองก่อน ถึงจะสามารถรับผิดชอบต่อผู้อื่นได้อย่างแท้จริง. คนที่ไม่สามารถรับผิดชอบต่อตัวเอง แล้วจะไปรับผิดชอบต่อผู้อื่น จะเป็นไปได้ไหม? ต้องดูแลตัวเองให้ดีก่อน ถึงจะมีสิทธิ์ไปดูแลผู้อื่น และประโยคนี้ก็ชอบมาก "สัญชาตญาณของแมงป่องนั้นต่อยคน แต่สัญชาตญาณของเราคือความเมตตา สัญชาตญาณของมันจะไม่สามรถมาเปลี่ยนสัญชาตญาณของเรา" "ความเมตตานั้นดี ในเมื่อจะเมตตาต่อแมงป่องก็ต้องเมตตาต่อตัวเองด้วย และต้องมีวิธีการของความเมตตาด้วย" จะไม่ให้ความเลวของผู้อื่นมามีอิทธิพลกับความดีของเรา จะไม่ยอมให้การกระทำและวาจาของผู้อื่นมามีผลต่อจิตใจและการกระทำของเรา ผู้ที่มีปัญญาสามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้. แต่ผู้โง่เขลาเบาปัญญานั้น อารมณ์ของตนจะขึ้นอยู่กับพฤติกรรมและวาจาของผู้อื่น "จงอย่าทอดที้งความดีของเราเพราะความเลวของผู้อื่น" "โยนิโสมนสิการ". เจริญพร.

หลวงพี่รูปหนึ่งนั่งสมาธิอยู่ริมน้ำ ได้ยินเสียงดิ้นรนในน้ำก็ลืมตาขึ้น เห็นแมงป่องตกอยู่ในน้ำ. ท่านก็ใช้มือช้อนมันขึ้นมา ขณะเดียวกันแมงป่องก็ชูหางขึ้นแล้วต่อยไปที่มือท่าน ท่านปล่อยแมงป่องลงที่ฝั่ง แล้วหลับตาทำสมาธิต่อ.

ผ่านไปสักครู่ก็ได้ยินเสียงดิ้นรนในน้ำอีก ท่านลืมตาขึ้น เห็นแมงป่องตกลงไปในน้ำอีก ก็เอามือช้อนมันขึ้นมาอีก
แน่นอนแมงป่องก็ต่อยไปที่มือท่านอีก ท่านก็หลับตาทำสมาธิต่อ

ผ่านไปสักครู่ เหตุการณ์ก็ได้เกิดขึ้นซ้ำอีก

หลวงตาที่อยู่ข้างๆก็พูดขึ้น "ท่านไม่รู้หรือว่าแมงป่องมันต่อยคน?"

หลวงพี่ตอบว่า "รู้ โดนมันต่อยสามครั้งแล้ว"

หลวงตาพูดว่า "แล้วท่านทำไมยังจะช่วยมันอีก"

หลวงพี่ตอบว่า "การต่อยคนเป็นสัญชาตญาณของมัน.
แต่ความเมตตาเป็นสัญชาตญาณของเรา.
สัญชาตญาณของมันไม่สามารถมาเปลี่ยนสัญชาตญาณของเรา"

ขณะนั้นเองก็ได้ยินเสียงดิ้นรนในน้ำอีก แมงป่องตัวเดิมนั่นแหละ

หลวงพี่ไม่รีรอ เตรียมที่จะนำมือที่บวมเป่ง ยื่นไปช่วยมัน

ขณะเดียวกัน หลวงตาก็ยื่นกิ่งไม้ให้กับหลวงพี่. ท่านก็นำกิ่งไม้ช้อนแมงป่องขึ้นมา

หลวงตายิ้มและพูดว่า

"ความเมตตานั้นดี ในเมื่อมีความเมตตาต่อแมงป่องก็ต้องมีความเมตตาต่อตัวเองด้วย ฉะนั้นความเมตตาต้องมีวิธีการของความเมตตา   ต้องดูแลตัวเองให้ดี ถึงจะมีสิทธิไปช่วยผู้อื่น"

เรื่องนี้ทำให้ได้คิดถึงประโยคหนึ่งที่ผู้คนชอบพูดกันในปัจจุบันนี้ว่า "เดี๋ยวนี้จะทำตัวเป็นคนดีนั้นยาก"

ใช่แล้ว สัญชาตญาณของคนดีคือทำความดี. แต่ผู้ถูกช่วยอาจจะไม่ใช่คนดี และผลของการช่วยคนก็อาจจะไม่เกิดผลที่ดี. แล้วทำไมจึงเป็นเช่นนี้?

เหมือนกับที่หลวงตาพูดไว้ "เมตตาต้องมีวิธีการของความเมตตา". "ความเมตตานั้นดี ในเมื่อจะเมตตาต่อแมงป่องก็ต้องเมตตาต่อตัวเองด้วย"

ความเป็นจริงเตือนเราว่า ต้องรู้จักรับผิดชอบต่อตัวเองก่อน ถึงจะสามารถรับผิดชอบต่อผู้อื่นได้อย่างแท้จริง. คนที่ไม่สามารถรับผิดชอบต่อตัวเอง แล้วจะไปรับผิดชอบต่อผู้อื่น จะเป็นไปได้ไหม? ต้องดูแลตัวเองให้ดีก่อน ถึงจะมีสิทธิ์ไปดูแลผู้อื่น

และประโยคนี้ก็ชอบมาก
"สัญชาตญาณของแมงป่องนั้นต่อยคน แต่สัญชาตญาณของเราคือความเมตตา สัญชาตญาณของมันจะไม่สามรถมาเปลี่ยนสัญชาตญาณของเรา"

"ความเมตตานั้นดี ในเมื่อจะเมตตาต่อแมงป่องก็ต้องเมตตาต่อตัวเองด้วย และต้องมีวิธีการของความเมตตาด้วย"

จะไม่ให้ความเลวของผู้อื่นมามีอิทธิพลกับความดีของเรา
จะไม่ยอมให้การกระทำและวาจาของผู้อื่นมามีผลต่อจิตใจและการกระทำของเรา

ผู้ที่มีปัญญาสามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้.
แต่ผู้โง่เขลาเบาปัญญานั้น อารมณ์ของตนจะขึ้นอยู่กับพฤติกรรมและวาจาของผู้อื่น

"จงอย่าทอดที้งความดีของเราเพราะความเลวของผู้อื่น"

"โยนิโสมนสิการ". เจริญพร.

วันอาทิตย์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

เกร็ดประวัติศาสตร์ - ครั้งหนึ่งทัพขงเบ้งกับสุมาอี้เผชิญหน้ากันโดยมีแม่น้ำเชี่ยวกราดขวางกั้น เสียงแม่น้ำดังเสียจนกลบเสียงพูดคุยหมด . สุมาอี้ชูมือขวาขึ้นเอานิ้วโป้งกับนิ้วชี้จรดกันเป็นวงกลม ขงเบ้งก็ทำเช่นนั้นบ้างแต่เอานิ้วชี้ซ้ายสอดเข้าไปในวงกลมนั้นด้วย สุมาอี้เห็นดังนั้นก็ตกใจจึงรีบกางมือออกให้เห็นทั้งห้านิ้ว แต่ขงเบ้งกลับส่ายหน้าแล้วชูขึ้นมาแค่นิ้วเดียว สุมาอี้ยิ่งตกใจมากขึ้นจึงรีบยกนิ้วโป้งขึ้นมาแล้วทำปากขมุบขมิบ ขงเบ้งเห็นดังนั้นก็โกรธมากกำหมัดชูมือแล้วเหวี่ยงเป็นวงกลม สุมาอี้ตกใจแทบสิ้นสติ รีบสั่งให้ถอยทัพทันทีท่ามกลางความมึนงงของบุตรทั้งสอง . พอถอยห่างจากแม่น้ำได้สักระยะหนึ่งสุมาสูสุมาเจียวจึงเร่งม้าขึ้นมาถามสุมาอี้ว่าเมื่อกี้ท่านพ่อคุยอะไรกับขงเบ้ง ทำไมถึงต้องรีบสั่งให้ถอยทัพด้วย สุมาอี้จึงตอบว่าตอนแรกพ่อทำนิ้วเป็นวงกลมตั้งใจจะขู่ขงเบ้งว่าเราล้อมไว้หมดแล้ว แต่ขงเบ้งไม่กลัว เขาเอานิ้วชี้แทงทะลุวงกลมแสดงให้เห็นว่าจะฝ่าวงล้อมออกไป พ่อตกใจยกนิ้วขู่ว่าทัพเรามากันห้าสิบหมื่นนะ ขงเบ้งก็ไม่กลัวอีกชูนิ้วเดียวบอกว่าเขาคนเดียวจะถล่มให้ดู เห็นดังนั้นพ่อเลยต้องทำปากบอกว่าให้ขงเบ้งใจเย็นๆมาเจรจากันก่อน แต่ขงเบ้งกลับแสดงท่าทีโมโหบอกว่าจะรบกันอย่างเดียว พ่อเลยยิ่งเกรงว่าขงเบ้งจะมีแผนอะไรจึงรีบให้ถอนทัพออกมาก่อนดังนี้ บุตรทั้งสองของสุมาอี้ได้ฟังเช่นนั้นจึงว่าท่านพ่อนี้ฉลาดรอบคอบจริง . ฝั่งขงเบ้งพอเห็นทัพสุมาอี้ถอยไปแล้วก็กลับมาเข้าค่าย เกียงอุยเห็นจึงถามว่ากุนซือท่านไปเจรจาอันใดจึงทำให้สุมาอี้ถอยไปได้ ขงเบ้งจึงตอบว่าเราก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนแรกสุมาอี้ทำมือเป็นวงกลมเราก็นึกว่าจะถามเรื่องอย่างว่า เราเลยตอบไปว่าเมื่อคืนเรียบร้อยแล้ว สุมาอี้เลยยกห้านิ้วบอกว่าเมื่อคืนเขาเสร็จไปห้าครั้ง เราเลยชูนิ้วเดียวส่ายหน้าบอกว่าเราแก่แล้วครั้งเดียวก็พอ สุมาอี้ก็ทำปากขมุบขมิบด่าว่าเราไม่มีน้ำยา เราเลยโมโหชูหมัดขึ้นบอกว่าเราจะไปชกหน้ามัน แล้วสุมาอี้ก็ถอยทัพไปเลย คงกลัวเราจะไปอัดมันกระมัง เกียงอุยได้ฟังเช่นนั้นจึงชื่นชมขงเบ้งว่ากุนซือท่านมีความกล้าหาญจริงๆ... /ขงเบ้งไม่ได้กล่าวไว้

เกร็ดประวัติศาสตร์ - ครั้งหนึ่งทัพขงเบ้งกับสุมาอี้เผชิญหน้ากันโดยมีแม่น้ำเชี่ยวกราดขวางกั้น เสียงแม่น้ำดังเสียจนกลบเสียงพูดคุยหมด
.
สุมาอี้ชูมือขวาขึ้นเอานิ้วโป้งกับนิ้วชี้จรดกันเป็นวงกลม ขงเบ้งก็ทำเช่นนั้นบ้างแต่เอานิ้วชี้ซ้ายสอดเข้าไปในวงกลมนั้นด้วย
สุมาอี้เห็นดังนั้นก็ตกใจจึงรีบกางมือออกให้เห็นทั้งห้านิ้ว แต่ขงเบ้งกลับส่ายหน้าแล้วชูขึ้นมาแค่นิ้วเดียว
สุมาอี้ยิ่งตกใจมากขึ้นจึงรีบยกนิ้วโป้งขึ้นมาแล้วทำปากขมุบขมิบ ขงเบ้งเห็นดังนั้นก็โกรธมากกำหมัดชูมือแล้วเหวี่ยงเป็นวงกลม
สุมาอี้ตกใจแทบสิ้นสติ รีบสั่งให้ถอยทัพทันทีท่ามกลางความมึนงงของบุตรทั้งสอง
.
พอถอยห่างจากแม่น้ำได้สักระยะหนึ่งสุมาสูสุมาเจียวจึงเร่งม้าขึ้นมาถามสุมาอี้ว่าเมื่อกี้ท่านพ่อคุยอะไรกับขงเบ้ง ทำไมถึงต้องรีบสั่งให้ถอยทัพด้วย
สุมาอี้จึงตอบว่าตอนแรกพ่อทำนิ้วเป็นวงกลมตั้งใจจะขู่ขงเบ้งว่าเราล้อมไว้หมดแล้ว แต่ขงเบ้งไม่กลัว เขาเอานิ้วชี้แทงทะลุวงกลมแสดงให้เห็นว่าจะฝ่าวงล้อมออกไป
พ่อตกใจยกนิ้วขู่ว่าทัพเรามากันห้าสิบหมื่นนะ ขงเบ้งก็ไม่กลัวอีกชูนิ้วเดียวบอกว่าเขาคนเดียวจะถล่มให้ดู
เห็นดังนั้นพ่อเลยต้องทำปากบอกว่าให้ขงเบ้งใจเย็นๆมาเจรจากันก่อน แต่ขงเบ้งกลับแสดงท่าทีโมโหบอกว่าจะรบกันอย่างเดียว
พ่อเลยยิ่งเกรงว่าขงเบ้งจะมีแผนอะไรจึงรีบให้ถอนทัพออกมาก่อนดังนี้ บุตรทั้งสองของสุมาอี้ได้ฟังเช่นนั้นจึงว่าท่านพ่อนี้ฉลาดรอบคอบจริง
.
ฝั่งขงเบ้งพอเห็นทัพสุมาอี้ถอยไปแล้วก็กลับมาเข้าค่าย เกียงอุยเห็นจึงถามว่ากุนซือท่านไปเจรจาอันใดจึงทำให้สุมาอี้ถอยไปได้
ขงเบ้งจึงตอบว่าเราก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนแรกสุมาอี้ทำมือเป็นวงกลมเราก็นึกว่าจะถามเรื่องอย่างว่า เราเลยตอบไปว่าเมื่อคืนเรียบร้อยแล้ว
สุมาอี้เลยยกห้านิ้วบอกว่าเมื่อคืนเขาเสร็จไปห้าครั้ง เราเลยชูนิ้วเดียวส่ายหน้าบอกว่าเราแก่แล้วครั้งเดียวก็พอ
สุมาอี้ก็ทำปากขมุบขมิบด่าว่าเราไม่มีน้ำยา เราเลยโมโหชูหมัดขึ้นบอกว่าเราจะไปชกหน้ามัน
แล้วสุมาอี้ก็ถอยทัพไปเลย คงกลัวเราจะไปอัดมันกระมัง เกียงอุยได้ฟังเช่นนั้นจึงชื่นชมขงเบ้งว่ากุนซือท่านมีความกล้าหาญจริงๆ...
/ขงเบ้งไม่ได้กล่าวไว้

วันเสาร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

+++ อ่านเถอะ ดีมาก ๆ +++ เขียนได้ดีมาก... คนอยู่บนสวรรค์ เงินอยู่ในธนาคาร ; ความจริงที่โหดร้าย โทรศัพท์ที่ทันสมัย1เครื่อง, 70%ของฟังก์ชั่นในโทรศัพท์นั้นไม่มีประโยชน์ รถหรูๆ 1 คัน , 70%ของความเร็วนั้นเหลือใช้ บ้านหรูๆ 1 หลัง, 70%ของพื้นที่นั้นว่างเปล่า ในมหาวิทยาลัยสักแห่ง , 70% ของศาสตราจารย์เป็นพวกไร้สาระ กิจกรรมทางสังคมหลายอย่าง , 70% เป็นกิจกรรมที่น่าเบื่อ เสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ในบ้าน , 70% ไม่ได้ใช้ ไร้ประโยชน์ เงินที่หามาทั้งชีวิต , 70% ก็ทิ้งไว้ให้ผู้อื่นใช้ สรุป: ชีวิตที่เรียบง่าย ให้สนุกกับการใช้ชีวิต 30% ที่เป็นของคุณ.. ไม่เจ็บปวด... แต่ก็ต้องบำรุง ไม่กระหาย... แต่ก็ต้องดื่มน้ำ ว้าวุ่นแค่ไหน... ก็ต้องปล่อยวาง มีเหตุมีผล... แต่ก็ต้องยอมคน มีอำนาจ... แต่ก็ต้องรู้จักถ่อมตน ไม่เหนื่อย... แต่ก็ต้องพักผ่อน ไม่รวย... แต่ก็ต้องรู้จักพอเพียง ธุระยุ่งแค่ไหน... ก็ต้องรู้จักพักผ่อน หมั่นเตือนตน: ชีวิตนี้สั้นนัก หากเวลาของคุณยังมีเหลือเฟือ ส่งต่อข้อความเหล่านี้ต่อให้เพื่อนของคุณ ให้เพื่อนได้อ่านบ้าง เพื่อจะได้ใส่ใจตัวเองบ้าง ดังนั้น.. อยากกิน...กิน, อยากเที่ยว....เที่ยว เรื่องกลุ้มอย่าเก็บไว้, สุขสบายทุกเพลา, เวลาที่ยังจับมือไหว ให้เชิญเพื่อนมาสังสรรค์, เวลาที่ยังกอดไหว ให้โอบกอดให้ชื่นใจ, ทำหน้าที่พ่อ แม่ ลูก สามี ภรรยา พี่ น้อง เพื่อนที่ดีต่อไป, เวลาที่อยู่ด้วยกัน อย่าได้โกรธกันง่ายๆ... ... ท่านสามารถติดตามสาระดี ๆ จากคุณครูผอ.อดิศร เสลานอก และทีมงานได้ที่ เพจ “ เตรียมสอบดอทคอม ” ( เฟสบุ๊ค ) ( กดไลค์กดติดตาม / กดไลค์ ตัวเพจนะครับ มิใช่เพียงกดไลค์โพสต์ของเพจเพียงอย่างเดียว )

+++ อ่านเถอะ ดีมาก ๆ +++

เขียนได้ดีมาก...
คนอยู่บนสวรรค์ เงินอยู่ในธนาคาร ;

ความจริงที่โหดร้าย
โทรศัพท์ที่ทันสมัย1เครื่อง,
70%ของฟังก์ชั่นในโทรศัพท์นั้นไม่มีประโยชน์

รถหรูๆ 1 คัน ,
70%ของความเร็วนั้นเหลือใช้

บ้านหรูๆ 1 หลัง,
70%ของพื้นที่นั้นว่างเปล่า

ในมหาวิทยาลัยสักแห่ง ,
70% ของศาสตราจารย์เป็นพวกไร้สาระ

กิจกรรมทางสังคมหลายอย่าง ,
70% เป็นกิจกรรมที่น่าเบื่อ

เสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ในบ้าน ,
70% ไม่ได้ใช้ ไร้ประโยชน์

เงินที่หามาทั้งชีวิต ,
70% ก็ทิ้งไว้ให้ผู้อื่นใช้

สรุป: ชีวิตที่เรียบง่าย
ให้สนุกกับการใช้ชีวิต 30% ที่เป็นของคุณ..

ไม่เจ็บปวด... แต่ก็ต้องบำรุง
ไม่กระหาย... แต่ก็ต้องดื่มน้ำ
ว้าวุ่นแค่ไหน... ก็ต้องปล่อยวาง
มีเหตุมีผล... แต่ก็ต้องยอมคน
มีอำนาจ... แต่ก็ต้องรู้จักถ่อมตน
ไม่เหนื่อย... แต่ก็ต้องพักผ่อน
ไม่รวย... แต่ก็ต้องรู้จักพอเพียง
ธุระยุ่งแค่ไหน... ก็ต้องรู้จักพักผ่อน

หมั่นเตือนตน: ชีวิตนี้สั้นนัก
หากเวลาของคุณยังมีเหลือเฟือ ส่งต่อข้อความเหล่านี้ต่อให้เพื่อนของคุณ ให้เพื่อนได้อ่านบ้าง เพื่อจะได้ใส่ใจตัวเองบ้าง

ดังนั้น..

อยากกิน...กิน,
อยากเที่ยว....เที่ยว

เรื่องกลุ้มอย่าเก็บไว้,
สุขสบายทุกเพลา,

เวลาที่ยังจับมือไหว
ให้เชิญเพื่อนมาสังสรรค์,

เวลาที่ยังกอดไหว
ให้โอบกอดให้ชื่นใจ,

ทำหน้าที่พ่อ แม่ ลูก สามี ภรรยา พี่ น้อง เพื่อนที่ดีต่อไป,

เวลาที่อยู่ด้วยกัน
อย่าได้โกรธกันง่ายๆ...

... ท่านสามารถติดตามสาระดี ๆ จากคุณครูผอ.อดิศร เสลานอก และทีมงานได้ที่ เพจ “ เตรียมสอบดอทคอม ” ( เฟสบุ๊ค )

( กดไลค์กดติดตาม / กดไลค์ ตัวเพจนะครับ มิใช่เพียงกดไลค์โพสต์ของเพจเพียงอย่างเดียว )