วันจันทร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ในที่สุดรถไฟก็ต้องออกเดินทาง ย้อนหลังไปปี 2550 ผมมีโอกาสได้บวชแทนคุณพ่อแม่ผู้ให้ กำเนิด บวกกับรู้สึกถึงความว้าวุ่นบางอย่างในอดีตที่ผ่านมา จึงตัดสินใจบวชเต็มพรรษาในช่วงเข้าพรรษาของปีนั้น และ ตั้งใจทำตัวเป็นพระดีๆที่จะให้พ่อแม่กราบได้สนิทใจ แถม ตั้งความหวังว่าถ้าสบายใจจริงๆ อาจไม่สึก... ระหว่างพรรษา ทางวัดจัดให้พระบวชใหม่ได้เล่าเรียนทั้งปริ ยัติและบาลี ดังนั้นผมจึงโชคดีที่ได้รับโอกาสนี้ไปด้วย ทำให้ ได้เข้าใจใน "พุทธ" อย่างถ่องแท้มากขึ้น นอกจากนี้ทางวัด และเจ้าคณะอำเภอยังจัดอบรมวิปัสสนากรรมฐานให้อีก1สัป ดาห์เต็ม โดยนิมนต์พระอาจารย์ที่มีดีกรีทั้งทางโลกและทาง ธรรมในระดับสูงมาเป็นผู้สอน ถึง 3 ท่าน แต่ละท่านล้วนเป็น พระที่มีเมตตาสูงมาก ตั้งใจอบรมวิชาของการทำตัวตนให้รู้ จักระลึกรู้ตัวทั่วพร้อมแก่พระใหม่อย่างไม่รู้เหนื่อย หรือเบื่อ หน่ายแต่อย่างใด ใบหน้าของพระอาจารย์เปื้อนยิ้มอย่างใจดี สมเป็นผู้ทรงศีลอยู่ตลอดเวลา วันสุดท้ายของการอบรม พระอาจารย์จึงเอ่ยสอนสัจธรรม ชีวิตก่อนจากให้ผมได้น้ำตาซึม ท่านกล่าวว่า “คนเรามีหน้าที่สุดท้ายในการที่ต้องมาพบกัน ก็คือลาจากกัน ไม่ว่าจะรักกัน เกลียดกันแค่ไหน ท้ายที่สุดแล้ว เราก็ต้องลา จากกัน ต่างกันก็แค่ จากเป็น จากตาย จากร้าย จากดี ไม่ว่า ใครคนใดในโลกใบนี้ ล้วนหนีไม่พ้นสัจธรรมข้อนี้ พ่อแม่แม้ รักลูกเพียงใดวันหนึ่งก็ต้องจากกัน พี่น้องแม้รักกันเพียงใดวัน หนึ่งก็ต้องจากกัน สามีภรรยารักกันเพียงใดวันหนึ่งก็ต้องจาก กัน เพื่อนฝูง คนสนิทรักกันเพียงใด วันหนึ่งก็ต้องจากกัน” ดังนั้นเมื่อเรารู้ว่าเราต้องจากกันในวันหนึ่ง สิ่งที่เราควรทำใน เมื่อมีโอกาสที่ได้พบกันก็คือ ทำหน้าที่ที่มีต่อกันให้ดีที่สุดทำ ตัวให้มีคุณค่าแก่กันและกันอย่างถึงที่สุด เพราะเมื่อวันที่ต้อง จากกันมาถึง เราจะได้ไม่เสียใจว่า มีสิ่งติดค้างต่อกันหรือทำ แต่สิ่งที่ไม่ดีต่อกันทิ้งไว้ ไม่มีใครหยั่งรู้ได้ว่า วันนั้นจะมาถึง เมื่อไหร่ อาจได้อยู่กันไปจนตายจากกันหรือแค่มาพบกันช่วง เวลาสั้นๆ "ดังนั้นอย่าคาดหวังว่าจะเดินข้างกันไปจนวันตาย สิ่งสำคัญ มันอยู่ที่ เราให้อะไรแก่กันไว้ต่างหาก" ผมเคยพูดกับหลายคนว่า ชีวิตก็เหมือนการเดินทางโดยขึ้น รถไฟ เป็นรถไฟสายชีวิตที่ทอดยาวไปจนวันสุดท้าย รถไฟ แล่นไปตามรางถึงสถานีไหนก็จอดให้เราลงไปพบปะทักทาย ทำความรู้จักผู้คน จอดนาน จอดไม่นาน ในที่สุดรถไฟก็ต้อง ออกเดินทาง เราอาจจะแค่ลงไปทักทายกับคนที่สถานี แล้ว แยกย้าย หรือจะชวนคนบางคนโดยสารไปด้วย แล้วค่อยแยก ย้ายในสถานีต่อไป หรือบางคนอาจจะโดยสารกันไปตลอด ชีวิต บางคนอาจพบกันแค่ชั่วครู่ชั่วยาม แต่มอบสิ่งที่ดีที่สุด ตราตรึงไว้เป็นความทรงจำไม่รู้ลืม บางคนแม้มีโอกาสได้ร่วม ทางกันจนแก่เฒ่า กลับมองหาสิ่งดีๆที่ควรมอบให้แก่กันไม่ เจอ อยู่กันไปแค่รอให้วันเวลาพรากจากกันไปให้หมดเวรกรรม แค่นั้น... สำหรับเราทุกคนแล้ว ในที่สุดรถไฟก็ต้องออกเดินทางต่อ วัน นี้สำรวจตัวเองกันบางไหมว่า เราทำหน้าที่ที่ควรทำ ทำสิ่งที่ ควรทำให้กับคนที่เรารักครบถ้วน สมกับได้มีวาสนาได้มาพบ กันครบถ้วนหรือยัง หรือทำแต่สิ่งที่ไม่ควรทำไว้เท่านั้น... เรื่องเล่าจากคุณเสก #ลบเหลี่ยมตู้ไปรษณีย์ อย่างมีสไตล์ ภาพ : https://www.youtube.com/watch?v=alrovQRm5rY

ในที่สุดรถไฟก็ต้องออกเดินทาง

ย้อนหลังไปปี 2550 ผมมีโอกาสได้บวชแทนคุณพ่อแม่ผู้ให้
กำเนิด บวกกับรู้สึกถึงความว้าวุ่นบางอย่างในอดีตที่ผ่านมา
จึงตัดสินใจบวชเต็มพรรษาในช่วงเข้าพรรษาของปีนั้น และ
ตั้งใจทำตัวเป็นพระดีๆที่จะให้พ่อแม่กราบได้สนิทใจ แถม
ตั้งความหวังว่าถ้าสบายใจจริงๆ อาจไม่สึก...

ระหว่างพรรษา   ทางวัดจัดให้พระบวชใหม่ได้เล่าเรียนทั้งปริ
ยัติและบาลี ดังนั้นผมจึงโชคดีที่ได้รับโอกาสนี้ไปด้วย ทำให้
ได้เข้าใจใน "พุทธ" อย่างถ่องแท้มากขึ้น   นอกจากนี้ทางวัด
และเจ้าคณะอำเภอยังจัดอบรมวิปัสสนากรรมฐานให้อีก1สัป
ดาห์เต็ม โดยนิมนต์พระอาจารย์ที่มีดีกรีทั้งทางโลกและทาง
ธรรมในระดับสูงมาเป็นผู้สอน ถึง 3 ท่าน แต่ละท่านล้วนเป็น
พระที่มีเมตตาสูงมาก   ตั้งใจอบรมวิชาของการทำตัวตนให้รู้
จักระลึกรู้ตัวทั่วพร้อมแก่พระใหม่อย่างไม่รู้เหนื่อย    หรือเบื่อ
หน่ายแต่อย่างใด ใบหน้าของพระอาจารย์เปื้อนยิ้มอย่างใจดี
สมเป็นผู้ทรงศีลอยู่ตลอดเวลา

วันสุดท้ายของการอบรม     พระอาจารย์จึงเอ่ยสอนสัจธรรม
ชีวิตก่อนจากให้ผมได้น้ำตาซึม  ท่านกล่าวว่า

“คนเรามีหน้าที่สุดท้ายในการที่ต้องมาพบกัน ก็คือลาจากกัน
ไม่ว่าจะรักกัน เกลียดกันแค่ไหน   ท้ายที่สุดแล้ว เราก็ต้องลา
จากกัน ต่างกันก็แค่ จากเป็น จากตาย จากร้าย จากดี   ไม่ว่า
ใครคนใดในโลกใบนี้ ล้วนหนีไม่พ้นสัจธรรมข้อนี้   พ่อแม่แม้
รักลูกเพียงใดวันหนึ่งก็ต้องจากกัน พี่น้องแม้รักกันเพียงใดวัน
หนึ่งก็ต้องจากกัน สามีภรรยารักกันเพียงใดวันหนึ่งก็ต้องจาก
กัน เพื่อนฝูง คนสนิทรักกันเพียงใด วันหนึ่งก็ต้องจากกัน”

ดังนั้นเมื่อเรารู้ว่าเราต้องจากกันในวันหนึ่ง สิ่งที่เราควรทำใน
เมื่อมีโอกาสที่ได้พบกันก็คือ ทำหน้าที่ที่มีต่อกันให้ดีที่สุดทำ
ตัวให้มีคุณค่าแก่กันและกันอย่างถึงที่สุด เพราะเมื่อวันที่ต้อง
จากกันมาถึง เราจะได้ไม่เสียใจว่า มีสิ่งติดค้างต่อกันหรือทำ
แต่สิ่งที่ไม่ดีต่อกันทิ้งไว้ ไม่มีใครหยั่งรู้ได้ว่า   วันนั้นจะมาถึง
เมื่อไหร่ อาจได้อยู่กันไปจนตายจากกันหรือแค่มาพบกันช่วง
เวลาสั้นๆ
"ดังนั้นอย่าคาดหวังว่าจะเดินข้างกันไปจนวันตาย  สิ่งสำคัญ
มันอยู่ที่ เราให้อะไรแก่กันไว้ต่างหาก"

ผมเคยพูดกับหลายคนว่า    ชีวิตก็เหมือนการเดินทางโดยขึ้น
รถไฟ  เป็นรถไฟสายชีวิตที่ทอดยาวไปจนวันสุดท้าย   รถไฟ
แล่นไปตามรางถึงสถานีไหนก็จอดให้เราลงไปพบปะทักทาย
ทำความรู้จักผู้คน จอดนาน จอดไม่นาน ในที่สุดรถไฟก็ต้อง
ออกเดินทาง   เราอาจจะแค่ลงไปทักทายกับคนที่สถานี แล้ว
แยกย้าย หรือจะชวนคนบางคนโดยสารไปด้วย แล้วค่อยแยก
ย้ายในสถานีต่อไป    หรือบางคนอาจจะโดยสารกันไปตลอด
ชีวิต  บางคนอาจพบกันแค่ชั่วครู่ชั่วยาม   แต่มอบสิ่งที่ดีที่สุด
ตราตรึงไว้เป็นความทรงจำไม่รู้ลืม บางคนแม้มีโอกาสได้ร่วม
ทางกันจนแก่เฒ่า     กลับมองหาสิ่งดีๆที่ควรมอบให้แก่กันไม่
เจอ อยู่กันไปแค่รอให้วันเวลาพรากจากกันไปให้หมดเวรกรรม
แค่นั้น...

สำหรับเราทุกคนแล้ว ในที่สุดรถไฟก็ต้องออกเดินทางต่อ วัน
นี้สำรวจตัวเองกันบางไหมว่า  เราทำหน้าที่ที่ควรทำ ทำสิ่งที่
ควรทำให้กับคนที่เรารักครบถ้วน  สมกับได้มีวาสนาได้มาพบ
กันครบถ้วนหรือยัง  หรือทำแต่สิ่งที่ไม่ควรทำไว้เท่านั้น...

เรื่องเล่าจากคุณเสก #ลบเหลี่ยมตู้ไปรษณีย์ อย่างมีสไตล์
ภาพ : https://www.youtube.com/watch?v=alrovQRm5rY

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น