วันศุกร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2560

"ลูกชาย : พ่อครับ ผมขอถามอะไรหน่อยได้มั้ย ? พ่อ : แน่นอน ได้สิ , ลูกจะถามอะไร ลูกชาย : พ่อครับ ใน 1 ชั่วโมงพ่อหาเงินได้เท่าไหร่เหรอครับ ? พ่อ : มันไม่ใช่ธุระอะไรของลูก ทำไมถึงถามอะไรแบบนี้ ? ลูกชาย : ผมแค่อยากรู้ ได้โปรดบอกผมเถอะครับ ใน 1 ชั่วโมงพ่อหาเงินได้เท่าไหร่เหรอครับ ? พ่อ : ถ้าลูกต้องรู้ให้ได้ พ่อก็จะบอกให้ฟัง ใน 1 ชั่วโมง พ่อหาเงินได้ 100 บาท ลูกชาย : โห !!! (ทำหน้าเศร้าพร้อมกับก้มหน้าลง) ลูกชาย : พ่อครับ ผมขอยืมเงินพ่อ 50 บาทได้มั้ย ? พ่อของเขาโมโหอย่างมาก พ่อ : ถ้าเพราะอยากจะขอยืมเงินพ่อ เพื่อไปซื้อของเล่นห่วยๆ หรือ สิ่งของไร้สาระพวกนั้น ลูกควรกลับไปที่ห้องและเข้านอน ทำไมลูกถึงเป็นคนเห็นแก่ตัวแบบนี้ พ่อทำงานหนักทุกวัน เพื่อเลี้ยงลูกที่มีนิสัยอย่างนี้เหรอ เด็กชายตัวน้อย เงียบลง และค่อยๆเดินขึ้นไปที่ห้องของเขาและปิดประตูลง พ่อนั่งลงด้วยความโมโห นึกย้อนคิดถึงคำถามของลูกชาย เขากล้าถามกับเราอย่างนั้นได้อย่างไร ผ่านไป 1 ชั่วโมง... อารมณ์ของพ่อเริ่มสงบลง และเริ่มคิดได้ว่า บางทีอาจจะมีบางสิ่งที่มีราคา 50 บาท ซึ่งลูกอยากได้จริงๆและความจริงแล้ว เขาก็ไม่เคยถาม หรือ ขอเงินเรามาก่อนเลย ดังนั้นเอง พ่อจึงตัดสินใจเดินขึ้นไปหาลูกน้อยที่ห้องนอน พ่อ : ยังไม่นอนอีกเหรอลูก ? ลูก : ไม่ครับพ่อ ผมยังไม่นอน พ่อ : พ่อมาคิดดูแล้ว บางทีพ่อคงทำงานจนเหนื่อยเกินไป ถึงได้พูดกับลูกแรงขนาดนั้น นี่เงิน 50 บาทที่ลูกขอยืมพ่อ เอาไปสิ หนุ่มน้อยฉีกยิ้มด้วยความดีใจ พร้อมกับลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเอง เขาก็รีบดึงแบงค์ยับๆจำนวนหนึ่ง และเศษเหรียญเล็กๆน้อยๆ ออกมาจากใต้หมอนของเขา เขานั่งบรรจงนับมันอย่างช้าๆ แล้วค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองพ่อ ขณะเดียวกันกับที่พ่อเริ่มจะโมโหขึ้นอีกรอบ เพราะเห็นลูกชายซ่อนเงินจำนวนหนึ่งไว้ใต้หมอน พ่อ : ลูกจะเอาเงินเยอะแยะขนาดนี้ไปทำอะไร ในเมื่อลูกก็มีมันอยู่มากแล้ว (พ่อถามด้วยอารมณ์เริ่มโกรธ) ลูกชาย : เพราะผมมีไม่พอครับพ่อ แต่ตอนนี้ผมมีครบแล้ว พ่อครับ นี่เงิน 100 บาท ผมขอซื้อเวลาทำงานของพ่อ 1 ชั่วโมง.. พ่อครับ พรุ่งนี้ตอนเย็น พ่อช่วยกลับบ้านมาหาผมเร็วๆนะครับ..ผมเพียงแค่อยากจะทานข้าวเย็นกับพ่อครับ พ่อหยุดนิ่งไปชั่วขณะ เพราะความเจ็บปวดที่หน้าอก รู้สึกเหมือนดวงใจของเขา มันจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ พ่อรีบคุกเข่าลง โผเข้ากอดลูกชายทั้งน้ำตา พร้อมกับขอให้ลูกชายสุดที่รักยกโทษให้ตัวเขา นี่เป็นเพียงเรื่องสั้นๆ ที่อยากเตือนให้คุณคิดว่า เราไม่ควรปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างไร้ความหมาย พรุ่งนี้ หากคุณตายลงที่ทำงานของคุณ ก็สามารถหาคนมาทำงานแทนที่ช่วงเวลาของคุณได้อย่างง่ายดาย แต่สำหรับครอบครัวและคนที่คุณรัก พวกเขาเหล่านั้น ไม่สามารถหาใครมาแทนที่ช่วงเวลาที่สูญเสียไปจากคุณได้"

"ลูกชาย : พ่อครับ ผมขอถามอะไรหน่อยได้มั้ย ?
พ่อ : แน่นอน ได้สิ , ลูกจะถามอะไร
ลูกชาย : พ่อครับ ใน 1 ชั่วโมงพ่อหาเงินได้เท่าไหร่เหรอครับ ?
พ่อ : มันไม่ใช่ธุระอะไรของลูก ทำไมถึงถามอะไรแบบนี้ ?
ลูกชาย : ผมแค่อยากรู้ ได้โปรดบอกผมเถอะครับ
ใน 1 ชั่วโมงพ่อหาเงินได้เท่าไหร่เหรอครับ ?
พ่อ : ถ้าลูกต้องรู้ให้ได้ พ่อก็จะบอกให้ฟัง
ใน 1 ชั่วโมง พ่อหาเงินได้ 100 บาท
ลูกชาย : โห !!! (ทำหน้าเศร้าพร้อมกับก้มหน้าลง)
ลูกชาย : พ่อครับ ผมขอยืมเงินพ่อ 50 บาทได้มั้ย ?

พ่อของเขาโมโหอย่างมาก

พ่อ : ถ้าเพราะอยากจะขอยืมเงินพ่อ เพื่อไปซื้อของเล่นห่วยๆ หรือ สิ่งของไร้สาระพวกนั้น ลูกควรกลับไปที่ห้องและเข้านอน ทำไมลูกถึงเป็นคนเห็นแก่ตัวแบบนี้ พ่อทำงานหนักทุกวัน เพื่อเลี้ยงลูกที่มีนิสัยอย่างนี้เหรอ

เด็กชายตัวน้อย เงียบลง
และค่อยๆเดินขึ้นไปที่ห้องของเขาและปิดประตูลง

พ่อนั่งลงด้วยความโมโห นึกย้อนคิดถึงคำถามของลูกชาย
เขากล้าถามกับเราอย่างนั้นได้อย่างไร

ผ่านไป 1 ชั่วโมง... อารมณ์ของพ่อเริ่มสงบลง และเริ่มคิดได้ว่า บางทีอาจจะมีบางสิ่งที่มีราคา 50 บาท ซึ่งลูกอยากได้จริงๆและความจริงแล้ว เขาก็ไม่เคยถาม หรือ ขอเงินเรามาก่อนเลย ดังนั้นเอง พ่อจึงตัดสินใจเดินขึ้นไปหาลูกน้อยที่ห้องนอน

พ่อ : ยังไม่นอนอีกเหรอลูก ?
ลูก : ไม่ครับพ่อ ผมยังไม่นอน
พ่อ : พ่อมาคิดดูแล้ว บางทีพ่อคงทำงานจนเหนื่อยเกินไป
ถึงได้พูดกับลูกแรงขนาดนั้น
นี่เงิน 50 บาทที่ลูกขอยืมพ่อ เอาไปสิ

หนุ่มน้อยฉีกยิ้มด้วยความดีใจ พร้อมกับลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเอง เขาก็รีบดึงแบงค์ยับๆจำนวนหนึ่ง และเศษเหรียญเล็กๆน้อยๆ ออกมาจากใต้หมอนของเขา เขานั่งบรรจงนับมันอย่างช้าๆ แล้วค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองพ่อ

ขณะเดียวกันกับที่พ่อเริ่มจะโมโหขึ้นอีกรอบ
เพราะเห็นลูกชายซ่อนเงินจำนวนหนึ่งไว้ใต้หมอน

พ่อ : ลูกจะเอาเงินเยอะแยะขนาดนี้ไปทำอะไร
ในเมื่อลูกก็มีมันอยู่มากแล้ว (พ่อถามด้วยอารมณ์เริ่มโกรธ)

ลูกชาย : เพราะผมมีไม่พอครับพ่อ แต่ตอนนี้ผมมีครบแล้ว
พ่อครับ นี่เงิน 100 บาท ผมขอซื้อเวลาทำงานของพ่อ 1 ชั่วโมง..

พ่อครับ พรุ่งนี้ตอนเย็น พ่อช่วยกลับบ้านมาหาผมเร็วๆนะครับ..ผมเพียงแค่อยากจะทานข้าวเย็นกับพ่อครับ

พ่อหยุดนิ่งไปชั่วขณะ เพราะความเจ็บปวดที่หน้าอก
รู้สึกเหมือนดวงใจของเขา มันจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
พ่อรีบคุกเข่าลง โผเข้ากอดลูกชายทั้งน้ำตา
พร้อมกับขอให้ลูกชายสุดที่รักยกโทษให้ตัวเขา

นี่เป็นเพียงเรื่องสั้นๆ ที่อยากเตือนให้คุณคิดว่า
เราไม่ควรปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างไร้ความหมาย
พรุ่งนี้ หากคุณตายลงที่ทำงานของคุณ
ก็สามารถหาคนมาทำงานแทนที่ช่วงเวลาของคุณได้อย่างง่ายดาย แต่สำหรับครอบครัวและคนที่คุณรัก พวกเขาเหล่านั้น ไม่สามารถหาใครมาแทนที่ช่วงเวลาที่สูญเสียไปจากคุณได้"

วันพฤหัสบดีที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2560

ทรงลาดหญ้าประทับเป็นโพธิบัลลังก์ ตกเย็นพระยามารก็กรีฑาพลมาขับไล่ เหตุการณ์ที่เกิดกับพระมหาบุรุษตอนนี้เรียกว่า “มารผจญ” ซึ่งเกิดขึ้นในวันเพ็ญเดือน ๖ ก่อนตรัสรู้ไม่กี่ชั่งโมง พระอาทิตย์กำลังอัสดงลงลับทิวไม้ สัตว์สี่เท้าที่กำลังจะใช้งาทิ่มแทงพระมหาบุรุษนั้นมีชื่อว่า “นาราคีรีเมขล์” เป็นช้างทรงของพระยาวัสสวดีมารซึ่งเป็นจอมทัพ สตรีที่กำลังบีบมวยผมนั้นคือ “พระนางธรณี” มีชื่อจริงว่า “สุนธรีวนิดา” พระยามารตนนี้เคยผจญพระมหาบุรุษมาครั้งหนึ่งแล้ว คือ เมื่อคราวเสด็จออกจากเมือง แต่คราวนี้เป็นการผจญชิงชัยกับพระมหาบุรุษยิ่งใหญ่กว่าทุกคราว กำลังพลที่พระยามารยกมาครั้งนี้มืดฟ้ามัวดิน มาทั้งบนเวหา บนดิน และใต้บาดาล ขนาดเทพเจ้าที่มาเฝ้ารักษาพระมหาบุรุษต่างเผ่นหนีกลับวิมานกันหมดเพราะเกรงกลัวมาร ปฐมสมโพธิพรรณนาภาพพลมารตอนนี้ไว้ว่า “...บางจำพวกก็หน้าแดงกายเขียว บางจำพวกก็หน้าเขียวกายแดง บางเหล่าจำแลงกายขาวหน้าเหลือง...บางหมู่กายลายพร้อยหน้าดำ...บางพวกกายท่อน ล่างเป็นนาค กายท่อนต่ำเป็นมนุษย์...” ส่วนตัว พระยามาร เนรมิตพาหาคือแขนซ้ายและขวาข้างละหนึ่งพันแขน แต่ละแขนถืออาวุธต่างๆ เช่น ดาบ หอก ธนู ศร โตมร (หอกซัด) จักรสังข์ อังกัส (ของ้าวเหล็ก) คทา ก้อนศิลา หลาว เหล็ก ครกเหล็ก ขวานถาก ขวานผ่า ตรีศูล (หลาวสามง่าม) ฯลฯ เหตุที่พระยามารมาผจญพระมหาบุรุษทุกครั้ง เพราะพระยามารมีนิสัยไม่อยากเห็นใครดีเกินหน้าตน เมื่อพระมหาบุรุษจะทรงพยายามเพื่อเป็นคนดีที่สุดในโลก จึงขัดขวางไว้ แต่ก็พ่ายแพ้พระมหาบุรุษทุกครั้ง ครั้งนี้เมื่อเริ่มยกแรกก็แพ้ แพ้แล้วก็ใช้เล่ห์ คือ กล่าวตู่พระมหาบุรุษว่ามายึดเอา “โพธิบัลลังก์” คือตรงที่พระมหาบุรุษประทับนั่ง ซึ่งพระยามารตู่เป็นที่ของตน พระยามารอ้างพยานบุคคลคือพวกพ้องของตน ฝ่ายพระมหาบุรุษทรงมองหาใครเป็นพยานไม่ได้ เทพเจ้าเล่าก็เปิดหนีกันหมด จึงทรงเหยียดพระหัตถ์ขวาออกจากชายจีวร แล้วทรงชี้พระดัชนีลงยังพื้นพระธรณี พระนางธรณีจึงผุดขึ้นตอนนี้เพื่อเป็นพยาน แม่พระธรณีบิดพระเกศา เกิดเป็นสมุทรธารา พระยามารก็พ่ายแพ้แก่พระบารมี สถานที่ที่พระมหาบุรุษประทับนั่งพื่อทรงบำเพ็ญเพียรทางใจ แสวงหาทางตรัสรู้ ซึ่งอยู่ที่โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์นั้น เรียกว่า “โพธิบัลลังก์” พระยามารกล่าวตู่ว่าเป็นสมบัติของตน ส่วนพระมหาบุรุษทรงกล่าวแก้ว่า บังเกิดขึ้นด้วยผลแห่งบุญบารมีที่พระองค์ทรงบำเพ็ญมาแต่ชาติปางก่อน แล้วทรงอ้างพระนางธรณีเป็นพยาน ปฐมสมโพธิว่า “พระธรณีก็มิอาจดำรงกายอยู่ได้...ก็อุบัติบันดาลเป็นรูปนารี ผุดขึ้นจากพื้นปฐพี...” แล้วกล่าวเป็นพยานพระมหาบุรุษ พร้อมกับบีบน้ำออกจากมวยผม น้ำนั้นคือสิ่งที่เรียกว่า “ทักษิโณทก” อันได้แก่ น้ำที่พระมหาบุรุษทรงกรวดทุกครั้งที่ทรงบำเพ็ญบุญบารมีแต่ชาติปางก่อนเป็นลำดับมา ซึ่งแม่พระธรณีเก็บไว้ที่มวยผม เมื่อนางบีบก็หลั่งไหลออกมา ปฐมสมโพธิว่า “เป็นท่อธารมหามหรรณพ นองท่วมไปในประเทศทั้งปวง ประดุจห้วงมหาสาครสมุทร...หมู่มารเสนาทั้งหลายมิอาจดำรงกายอยู่ได้ ก็ลอยไปตามกระแสน้ำ ปลาสนาการไปสิ้น ส่วนคิรีเมขลคชินทร ที่นั่งทรงองค์พระยาวัสสวดี ก็มีบาทาอันพลาด มิอาจตั้งกายตรงอยู่ได้ ก็ลอยตามชลธารไปตราบเท่าถึงมหาสาคร...พระยามารก็พ่ายแพ้ไปในที่สุด” บารมีนั้นคือความดี พระมหาบุรุษท่านทรงรำพึงว่า ชีวิต ดวงหทัย นัยน์เนตรที่ท่านทรงบริจาคให้เป็นกุศลผลทานมาก่อนนั้น ถ้าจะเก็บรวมไว้ก็จะมากกว่าผลาผลไม้ในป่า มากกว่าดวงดาราในท้องฟ้า ความดีที่ทำไว้นั้นไม่หนีไปไหน ถึงใครไม่เห็น ฟ้าดินก็เห็น ดินคือแม่พระธรณี

ทรงลาดหญ้าประทับเป็นโพธิบัลลังก์ ตกเย็นพระยามารก็กรีฑาพลมาขับไล่

เหตุการณ์ที่เกิดกับพระมหาบุรุษตอนนี้เรียกว่า “มารผจญ” ซึ่งเกิดขึ้นในวันเพ็ญเดือน ๖ ก่อนตรัสรู้ไม่กี่ชั่งโมง พระอาทิตย์กำลังอัสดงลงลับทิวไม้ สัตว์สี่เท้าที่กำลังจะใช้งาทิ่มแทงพระมหาบุรุษนั้นมีชื่อว่า “นาราคีรีเมขล์” เป็นช้างทรงของพระยาวัสสวดีมารซึ่งเป็นจอมทัพ สตรีที่กำลังบีบมวยผมนั้นคือ “พระนางธรณี” มีชื่อจริงว่า “สุนธรีวนิดา”

พระยามารตนนี้เคยผจญพระมหาบุรุษมาครั้งหนึ่งแล้ว คือ เมื่อคราวเสด็จออกจากเมือง แต่คราวนี้เป็นการผจญชิงชัยกับพระมหาบุรุษยิ่งใหญ่กว่าทุกคราว กำลังพลที่พระยามารยกมาครั้งนี้มืดฟ้ามัวดิน มาทั้งบนเวหา บนดิน และใต้บาดาล ขนาดเทพเจ้าที่มาเฝ้ารักษาพระมหาบุรุษต่างเผ่นหนีกลับวิมานกันหมดเพราะเกรงกลัวมาร

ปฐมสมโพธิพรรณนาภาพพลมารตอนนี้ไว้ว่า “...บางจำพวกก็หน้าแดงกายเขียว บางจำพวกก็หน้าเขียวกายแดง บางเหล่าจำแลงกายขาวหน้าเหลือง...บางหมู่กายลายพร้อยหน้าดำ...บางพวกกายท่อน ล่างเป็นนาค กายท่อนต่ำเป็นมนุษย์...”

ส่วนตัว พระยามาร เนรมิตพาหาคือแขนซ้ายและขวาข้างละหนึ่งพันแขน แต่ละแขนถืออาวุธต่างๆ เช่น ดาบ หอก ธนู ศร โตมร (หอกซัด) จักรสังข์ อังกัส (ของ้าวเหล็ก) คทา ก้อนศิลา หลาว เหล็ก ครกเหล็ก ขวานถาก ขวานผ่า ตรีศูล (หลาวสามง่าม) ฯลฯ

เหตุที่พระยามารมาผจญพระมหาบุรุษทุกครั้ง เพราะพระยามารมีนิสัยไม่อยากเห็นใครดีเกินหน้าตน เมื่อพระมหาบุรุษจะทรงพยายามเพื่อเป็นคนดีที่สุดในโลก จึงขัดขวางไว้ แต่ก็พ่ายแพ้พระมหาบุรุษทุกครั้ง ครั้งนี้เมื่อเริ่มยกแรกก็แพ้ แพ้แล้วก็ใช้เล่ห์ คือ กล่าวตู่พระมหาบุรุษว่ามายึดเอา “โพธิบัลลังก์” คือตรงที่พระมหาบุรุษประทับนั่ง ซึ่งพระยามารตู่เป็นที่ของตน พระยามารอ้างพยานบุคคลคือพวกพ้องของตน ฝ่ายพระมหาบุรุษทรงมองหาใครเป็นพยานไม่ได้ เทพเจ้าเล่าก็เปิดหนีกันหมด จึงทรงเหยียดพระหัตถ์ขวาออกจากชายจีวร แล้วทรงชี้พระดัชนีลงยังพื้นพระธรณี พระนางธรณีจึงผุดขึ้นตอนนี้เพื่อเป็นพยาน

แม่พระธรณีบิดพระเกศา เกิดเป็นสมุทรธารา พระยามารก็พ่ายแพ้แก่พระบารมี

สถานที่ที่พระมหาบุรุษประทับนั่งพื่อทรงบำเพ็ญเพียรทางใจ แสวงหาทางตรัสรู้ ซึ่งอยู่ที่โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์นั้น เรียกว่า “โพธิบัลลังก์” พระยามารกล่าวตู่ว่าเป็นสมบัติของตน ส่วนพระมหาบุรุษทรงกล่าวแก้ว่า บังเกิดขึ้นด้วยผลแห่งบุญบารมีที่พระองค์ทรงบำเพ็ญมาแต่ชาติปางก่อน แล้วทรงอ้างพระนางธรณีเป็นพยาน

ปฐมสมโพธิว่า “พระธรณีก็มิอาจดำรงกายอยู่ได้...ก็อุบัติบันดาลเป็นรูปนารี ผุดขึ้นจากพื้นปฐพี...” แล้วกล่าวเป็นพยานพระมหาบุรุษ พร้อมกับบีบน้ำออกจากมวยผม น้ำนั้นคือสิ่งที่เรียกว่า “ทักษิโณทก” อันได้แก่ น้ำที่พระมหาบุรุษทรงกรวดทุกครั้งที่ทรงบำเพ็ญบุญบารมีแต่ชาติปางก่อนเป็นลำดับมา ซึ่งแม่พระธรณีเก็บไว้ที่มวยผม เมื่อนางบีบก็หลั่งไหลออกมา

ปฐมสมโพธิว่า “เป็นท่อธารมหามหรรณพ นองท่วมไปในประเทศทั้งปวง ประดุจห้วงมหาสาครสมุทร...หมู่มารเสนาทั้งหลายมิอาจดำรงกายอยู่ได้ ก็ลอยไปตามกระแสน้ำ ปลาสนาการไปสิ้น ส่วนคิรีเมขลคชินทร ที่นั่งทรงองค์พระยาวัสสวดี ก็มีบาทาอันพลาด มิอาจตั้งกายตรงอยู่ได้ ก็ลอยตามชลธารไปตราบเท่าถึงมหาสาคร...พระยามารก็พ่ายแพ้ไปในที่สุด”

บารมีนั้นคือความดี พระมหาบุรุษท่านทรงรำพึงว่า ชีวิต ดวงหทัย นัยน์เนตรที่ท่านทรงบริจาคให้เป็นกุศลผลทานมาก่อนนั้น ถ้าจะเก็บรวมไว้ก็จะมากกว่าผลาผลไม้ในป่า มากกว่าดวงดาราในท้องฟ้า

ความดีที่ทำไว้นั้นไม่หนีไปไหน ถึงใครไม่เห็น ฟ้าดินก็เห็น ดินคือแม่พระธรณี

วันศุกร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2560

“หมู่บ้านยิ้มแย้ม” ณ หมู่บ้านยิ้มแย้ม ทุกชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ไม่มีโจร ไม่มี ผู้ร้าย ทุกคนในหมู่บ้านรักใคร่ปรองดองกัน ถ้อยทีถ้อยอาศัย มีแต่ รอยยิ้มให้แก่กันและกันตลอดมา จนหมู่บ้านนี้ เป็นที่กล่าวขาน เลื่องลือไปทั่ว ว่าเป็นหมู่บ้านยิ้มแย้มที่มี่แต่ความสุข อยู่มาวันหนึ่ง หัวหน้าหมู่บ้านหวาดระแวงก็ได้ข่าวความน่าอภิรมย์ ของหมู่บ้านยิ้มแย้ม และต้องการที่จะแผ่ขยายอาณานิคมของตน เข้าไปยังหมู่บ้านยิ้มแย้ม ดังนั้นหัวหน้าหมู่บ้านหวาดระแวงจึงส่ง สายลับชื่อ ยุยงเข้าไปสอดแนมว่าทำไมคนในหมู่บ้านย้มแย้มจึงมี แต่รอยยิ้มให้แก่กันและกัน และอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขมาโดย ตลอด หลังจากที่ สายลับยุยงเข้าไปสอดแนมในหมู่บ้านยิ้มแย้มได้ไม่ นาน ก็สังเกตเห็นว่า ผู้คนในหมู่บ้ายยิ้มแย้มนั้น เมื่อเจอะเจอกัน นอกเหนือจากการยิ้มแย้มทักทายกันและกันแล้ว ก็จะมีการมอบตัว ยิ้มแย้มให้แก่กันเสมอ วันหนึ่งสายลับยุยงซึ่งแฝงตัวอยู่ข้างมุมตึก สังเกตเห็น ชายวัย กลางคนชายหมู่บ้านยิ้มแย้มคนหนึ่ง กำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้หน้าตึก ขณะนั้นเองก็มีชายหนุ่มชาวหมู่บ้านยิ้มแย้มเดินผ่านมา ทั้งคู่ทัก ทายและยิ้มแย้มให้แก่กัน และไม่ลืมที่จะมอบตัวยิ้มแย้มให้แก่กัน และกันก่อนกล่าวคำอำลา หลังจากที่ชายหนุ่มชาวหมู่บ้านยิ้มแย้ม เดินผ่านชายวัยกลางคน มาได้ไม่นาน สายลับยุยงก็เดินออกจากข้างมุมตึกเข้าประกบชาย หนุ่ม "ท่านรู้จักชายวัยกลางคนผู้นั้นหรือ" สายลับยุยงเปิดการสนทนา "ไม่หรอกจ๊ะ เราไม่รู้จักกัน แต่ที่หมู่บ้านยิ้มแย้มนี้ทุกคนคือเพื่อน ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม เราปฏิบัติตัวต่อกันอย่างนี้ มาตั้งนมนาน แล้วหละจ๊ะ" ชายหนุ่มตอบพร้อมกับยิ้มให้อย่างเป็นมิตร จากนั้นก็ส่งตัวยิ้มแย้ม ให้กับสายลับยุยงตามประเพณีที่ถือปฏิบัติกันมาในหมู่บ้านยิ้มแย้ม "เอ...นี่อะไร" สายลับยุยงแกล้งถาม "ตัวยิ้มแย้มไงจ๊ะ ตัวยิ้มแย้มคือตัวแทนของความดีและมิตรภาพ ฉันให้น้าจ๊ะ ตัวยิ้มแย้มนี้จะทำให้น้ามีแต่ความสุขและชีวิตก็จะเต็ม ไปด้วยความสดชื่น น้ารับเอาไว้ซิจ๊ะ" เมื่อได้ฟังดังนั้น สายลับยุยงก็เริ่มแผนการยุยงของตนทันทีด้วย คำพูดที่ว่า "ถ้าตัวยิ้มแย้มสรรพคุณเลอเลิศอย่างที่เจ้าว่าจริง ๆ แล้วเจ้าไม่ กลัวหรอกหรือว่า การที่เจ้าแจกตัวยิ้มแย้มให้กับทุกคนที่เจ้าเจอะ เจอ จะทำให้ตัวยิ้มแย้มของเจ้าหมดไป แล้วเมื่อนั้นความสุขความ สดชื่นก็จะหายไปจากตัวเจ้า โอ้...ช่างเป็นเรื่องที่น่ากลัวจริงๆ ข้า เห็นใจเจ้าเหลือเกินพ่อหนุ่ม" เมื่อชายหนุ่มชาวหมู่บ้านยิ้มแย้มได้ฟังดังนั้น ก็เริ่มคิดตามและสี หน้าที่เคยยิ้มแย้มก็กลับหม่นหมองลง เปลี่ยนจากความยิ้มแย้ม เป็นความวิตกกังวลและเดินจากไปโดยไม่ร่ำลา ระหว่างทางขณะ ที่ชายหน่มมุ่งหน้ากลับบ้าน ก็ได้พบกับหญิงสาวของหมู่บ้านยิ้ม แย้ม หญิงสาวหยุดทักทายและส่งยิ้มให้ตามปรกติ แต่ชายหนุ่ม กลับไม่ยิ้มตอบและเมื่อหญิงสาวส่งตัวยิ้มแย้มให้ ชายหนุ่มก็รับไว้ แล้วพูดว่า "ขอบใจ แต่ฉันไม่มีตัวยิ้มแย้มให้กับเธอหรอกนะ เพราะถ้าฉันให้ ตัวยิ้มแย้มกับเธอ สักวันหนึ่งตัวยิ้มแย้มก็จะหมดไปจากตัวฉันและ เมื่อนั้นชีวิตของฉันก็จะไม่มีความสุข และความสดชื่นในชีวิตก็จะ มลายหายไปด้วย..." หญิงสาวได้ฟังก็เริ่มได้คิด แล้วทั้งคู่ก็จากกันไป ข่าวเรื่องการให้ ตัวยิ้มแย้มแก่กันแล้วจะทำให้ตัวยิ้มแย้มที่มีร่อยหรอ ทำให้ความ สุขและความสดชื่นในชีวิตหายไป แพร่กระจายไปในหมู่บ้านยิ้ม แย้มอย่างรวดเร็ว แล้วนับแต่นั้นมา ชาวหมู่บ้านยิ้มแย้มก็มีพฤติ กรรมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีรอยยิ้มให้แก่กัน ไม่ ทักทายกันเหมือนเช่นเดิม เพราะไม่ต้องการเสียตัวยิ้มแย้มให้แก่ กัน และเมื่อต้องทักทายกัน ก็ไม่มีการแจกตัวยิ้มแย้มให้แก่กันอีก ต่อไป เพราะกลัวว่าความสุขและความสดชื่นจะหายไปจากตัวเอง ชายหมู่บ้านยิ้มแย้มบางคนถึงกับทำตัวยิ้มแย้มปลอมออกจำหน่าย แต่ก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น ในทางกลับกัน กลับทำให้เหตุการณ์ เลวรายลงจากเดิม ตัวยิ้มแย้มปลอมไม่มีสรรพคุณเหมือนกับตัว ยิ้มแย้มจริง และยังทำให้ผู้ที่ได้รับตัวยิ้มแย้มปลอมไป เสียความรู้ สึกเกิดเป็นความไม่ไว้ใจกันและกัน ไม่เชื่อกันเหมือนดังแต่ก่อน บัดนี้หมู่บ้านยิ้มแย้มไม่หลงเหลืออีกต่อไปแล้ว ความสุข ความสด ชื่นในชีวิตก็เหือดแห้งไปด้วย ช่างเสียดายเสียเหลือเกิน.... บัดนี้ หมู่บ้านยิ้มแย้มได้เปลี่ยนชื่อจากหมู่บ้านยิ้มแย้มเป็นหมู่บ้านหวาด ระแวงไปเสียแล้ว! อ่านนิทานเรื่องนี้จบแล้วท่านมีความคิดเห็นอย่างไรครับ “หมู่บ้านยิ้มแย้ม” นั้นเปรียบเสมือนสังคมเล็กๆ ไม่ว่าจะเป็นครอบ ครัว, กลุ่มเพื่อนหรือ ชุมชน “ตัวยิ้มแย้ม” คือตัวแทนของความจริงใจ, ความดีและมิตรภาพซึ่ง ทำให้ทั้งผู้ให้และผู้รับมีแต่ความสุขและชีวิตก็จะเต็มไปด้วยความ สดชื่น ทีสำคัญคือตัวยิ้มแย้มนี้จริงๆ แล้วไม่มีวันหมด “สายลับยุยง” คือความหวาดระแวง บ่อเกิดของความไม่ไว้ใจกัน และกัน ไม่เชื่อกัน และหมายรวมถึงบุคคลที่ชอบทำให้คนเราขาด ความเชื่อใจกัน “ตัวยิ้มแย้มปลอม” คือตัวแทนของ การหลอกลวง, การเห็นแก่ได้ และการเอาเปรียบกัน ผมไม่ขอตีความนิทานเรื่องนี้ แต่อยากจะให้ท่านผู้อ่านค่อยๆค้น หาความหมายของนิทานเรื่องนี้กันเอง เพราะหากท่านเข้าใจมัน อย่างถ่องแท้แล้วท่านทั้งหลายก็จะรักษาความเป็นหมู่บ้านยิ้มแย้ม ของสังคมหน่วยเล็กๆของท่านไว้ ได้อย่างมีความสุข ที่มา : http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=deeplove&month 14-04-2008&group=8&gblog=1

“หมู่บ้านยิ้มแย้ม”

ณ หมู่บ้านยิ้มแย้ม ทุกชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ไม่มีโจร ไม่มี
ผู้ร้าย ทุกคนในหมู่บ้านรักใคร่ปรองดองกัน ถ้อยทีถ้อยอาศัย  มีแต่
รอยยิ้มให้แก่กันและกันตลอดมา    จนหมู่บ้านนี้   เป็นที่กล่าวขาน
เลื่องลือไปทั่ว ว่าเป็นหมู่บ้านยิ้มแย้มที่มี่แต่ความสุข

อยู่มาวันหนึ่ง หัวหน้าหมู่บ้านหวาดระแวงก็ได้ข่าวความน่าอภิรมย์
ของหมู่บ้านยิ้มแย้ม   และต้องการที่จะแผ่ขยายอาณานิคมของตน
เข้าไปยังหมู่บ้านยิ้มแย้ม   ดังนั้นหัวหน้าหมู่บ้านหวาดระแวงจึงส่ง
สายลับชื่อ ยุยงเข้าไปสอดแนมว่าทำไมคนในหมู่บ้านย้มแย้มจึงมี
แต่รอยยิ้มให้แก่กันและกัน   และอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขมาโดย
ตลอด

หลังจากที่     สายลับยุยงเข้าไปสอดแนมในหมู่บ้านยิ้มแย้มได้ไม่
นาน ก็สังเกตเห็นว่า  ผู้คนในหมู่บ้ายยิ้มแย้มนั้น   เมื่อเจอะเจอกัน
นอกเหนือจากการยิ้มแย้มทักทายกันและกันแล้ว ก็จะมีการมอบตัว
ยิ้มแย้มให้แก่กันเสมอ

วันหนึ่งสายลับยุยงซึ่งแฝงตัวอยู่ข้างมุมตึก   สังเกตเห็น   ชายวัย
กลางคนชายหมู่บ้านยิ้มแย้มคนหนึ่ง    กำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้หน้าตึก
ขณะนั้นเองก็มีชายหนุ่มชาวหมู่บ้านยิ้มแย้มเดินผ่านมา    ทั้งคู่ทัก
ทายและยิ้มแย้มให้แก่กัน    และไม่ลืมที่จะมอบตัวยิ้มแย้มให้แก่กัน
และกันก่อนกล่าวคำอำลา

หลังจากที่ชายหนุ่มชาวหมู่บ้านยิ้มแย้ม  เดินผ่านชายวัยกลางคน
มาได้ไม่นาน สายลับยุยงก็เดินออกจากข้างมุมตึกเข้าประกบชาย
หนุ่ม

"ท่านรู้จักชายวัยกลางคนผู้นั้นหรือ"
สายลับยุยงเปิดการสนทนา
"ไม่หรอกจ๊ะ  เราไม่รู้จักกัน   แต่ที่หมู่บ้านยิ้มแย้มนี้ทุกคนคือเพื่อน
ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม    เราปฏิบัติตัวต่อกันอย่างนี้  มาตั้งนมนาน
แล้วหละจ๊ะ"
ชายหนุ่มตอบพร้อมกับยิ้มให้อย่างเป็นมิตร จากนั้นก็ส่งตัวยิ้มแย้ม
ให้กับสายลับยุยงตามประเพณีที่ถือปฏิบัติกันมาในหมู่บ้านยิ้มแย้ม

"เอ...นี่อะไร"
สายลับยุยงแกล้งถาม
"ตัวยิ้มแย้มไงจ๊ะ    ตัวยิ้มแย้มคือตัวแทนของความดีและมิตรภาพ
ฉันให้น้าจ๊ะ ตัวยิ้มแย้มนี้จะทำให้น้ามีแต่ความสุขและชีวิตก็จะเต็ม
ไปด้วยความสดชื่น น้ารับเอาไว้ซิจ๊ะ"

เมื่อได้ฟังดังนั้น   สายลับยุยงก็เริ่มแผนการยุยงของตนทันทีด้วย
คำพูดที่ว่า
"ถ้าตัวยิ้มแย้มสรรพคุณเลอเลิศอย่างที่เจ้าว่าจริง ๆ     แล้วเจ้าไม่
กลัวหรอกหรือว่า   การที่เจ้าแจกตัวยิ้มแย้มให้กับทุกคนที่เจ้าเจอะ
เจอ จะทำให้ตัวยิ้มแย้มของเจ้าหมดไป แล้วเมื่อนั้นความสุขความ
สดชื่นก็จะหายไปจากตัวเจ้า โอ้...ช่างเป็นเรื่องที่น่ากลัวจริงๆ ข้า
เห็นใจเจ้าเหลือเกินพ่อหนุ่ม"

เมื่อชายหนุ่มชาวหมู่บ้านยิ้มแย้มได้ฟังดังนั้น   ก็เริ่มคิดตามและสี
หน้าที่เคยยิ้มแย้มก็กลับหม่นหมองลง    เปลี่ยนจากความยิ้มแย้ม
เป็นความวิตกกังวลและเดินจากไปโดยไม่ร่ำลา ระหว่างทางขณะ
ที่ชายหน่มมุ่งหน้ากลับบ้าน   ก็ได้พบกับหญิงสาวของหมู่บ้านยิ้ม
แย้ม  หญิงสาวหยุดทักทายและส่งยิ้มให้ตามปรกติ   แต่ชายหนุ่ม
กลับไม่ยิ้มตอบและเมื่อหญิงสาวส่งตัวยิ้มแย้มให้ ชายหนุ่มก็รับไว้
แล้วพูดว่า

"ขอบใจ  แต่ฉันไม่มีตัวยิ้มแย้มให้กับเธอหรอกนะ  เพราะถ้าฉันให้
ตัวยิ้มแย้มกับเธอ สักวันหนึ่งตัวยิ้มแย้มก็จะหมดไปจากตัวฉันและ
เมื่อนั้นชีวิตของฉันก็จะไม่มีความสุข และความสดชื่นในชีวิตก็จะ
มลายหายไปด้วย..."

หญิงสาวได้ฟังก็เริ่มได้คิด  แล้วทั้งคู่ก็จากกันไป ข่าวเรื่องการให้
ตัวยิ้มแย้มแก่กันแล้วจะทำให้ตัวยิ้มแย้มที่มีร่อยหรอ    ทำให้ความ
สุขและความสดชื่นในชีวิตหายไป   แพร่กระจายไปในหมู่บ้านยิ้ม
แย้มอย่างรวดเร็ว   แล้วนับแต่นั้นมา   ชาวหมู่บ้านยิ้มแย้มก็มีพฤติ
กรรมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด  ไม่มีรอยยิ้มให้แก่กัน   ไม่
ทักทายกันเหมือนเช่นเดิม   เพราะไม่ต้องการเสียตัวยิ้มแย้มให้แก่
กัน   และเมื่อต้องทักทายกัน ก็ไม่มีการแจกตัวยิ้มแย้มให้แก่กันอีก
ต่อไป เพราะกลัวว่าความสุขและความสดชื่นจะหายไปจากตัวเอง

ชายหมู่บ้านยิ้มแย้มบางคนถึงกับทำตัวยิ้มแย้มปลอมออกจำหน่าย
แต่ก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น   ในทางกลับกัน  กลับทำให้เหตุการณ์
เลวรายลงจากเดิม     ตัวยิ้มแย้มปลอมไม่มีสรรพคุณเหมือนกับตัว
ยิ้มแย้มจริง  และยังทำให้ผู้ที่ได้รับตัวยิ้มแย้มปลอมไป เสียความรู้
สึกเกิดเป็นความไม่ไว้ใจกันและกัน  ไม่เชื่อกันเหมือนดังแต่ก่อน

บัดนี้หมู่บ้านยิ้มแย้มไม่หลงเหลืออีกต่อไปแล้ว ความสุข ความสด
ชื่นในชีวิตก็เหือดแห้งไปด้วย  ช่างเสียดายเสียเหลือเกิน.... บัดนี้
หมู่บ้านยิ้มแย้มได้เปลี่ยนชื่อจากหมู่บ้านยิ้มแย้มเป็นหมู่บ้านหวาด
ระแวงไปเสียแล้ว!

อ่านนิทานเรื่องนี้จบแล้วท่านมีความคิดเห็นอย่างไรครับ

“หมู่บ้านยิ้มแย้ม”  นั้นเปรียบเสมือนสังคมเล็กๆ ไม่ว่าจะเป็นครอบ
ครัว, กลุ่มเพื่อนหรือ ชุมชน

“ตัวยิ้มแย้ม” คือตัวแทนของความจริงใจ, ความดีและมิตรภาพซึ่ง
ทำให้ทั้งผู้ให้และผู้รับมีแต่ความสุขและชีวิตก็จะเต็มไปด้วยความ
สดชื่น ทีสำคัญคือตัวยิ้มแย้มนี้จริงๆ แล้วไม่มีวันหมด

“สายลับยุยง”  คือความหวาดระแวง  บ่อเกิดของความไม่ไว้ใจกัน
และกัน ไม่เชื่อกัน และหมายรวมถึงบุคคลที่ชอบทำให้คนเราขาด
ความเชื่อใจกัน

“ตัวยิ้มแย้มปลอม”  คือตัวแทนของ การหลอกลวง, การเห็นแก่ได้
และการเอาเปรียบกัน

ผมไม่ขอตีความนิทานเรื่องนี้    แต่อยากจะให้ท่านผู้อ่านค่อยๆค้น
หาความหมายของนิทานเรื่องนี้กันเอง    เพราะหากท่านเข้าใจมัน
อย่างถ่องแท้แล้วท่านทั้งหลายก็จะรักษาความเป็นหมู่บ้านยิ้มแย้ม
ของสังคมหน่วยเล็กๆของท่านไว้ ได้อย่างมีความสุข

ที่มา : http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=deeplove&month
14-04-2008&group=8&gblog=1

โชคดีหรือโชคร้าย มีชายชราคนหนึ่ง เขาทำงานหนักมาตลอดทั้งชีวิต แต่เขานั้นก็ นับได้ว่าเป็นผู้ที่เพรียบพร้อม เขามีลูกชายที่ดีและแข็งแรง และมี ม้าที่ดีอยู่ 1 ตัว ม้าตัวนี้สามารถทำงานได้ทุกอย่าง ทั้งเดินทาง ขนของ แม้กระทั่งทำนา เพื่อนบ้านของเขาต่างก็ชื่นชมชายชรา ที่มีพร้อมสรรพ อยู่มาวันหนึ่ง จู่ๆม้าที่แสนจะรู้ใจ และทำงานได้สารพัดอย่างได้ เตลิดหนีไปจากคอกของชายชรา แน่นอนว่า เมื่อม้าหายไป ชาย ชราก็ไม่มีม้าเหลือเลยสักตัว เมื่อเพื่อนบ้านของเขาทราบข่าว ก็ มาหาชายชรา และกล่าวว่า "ท่านนี้ช่างโชคร้ายจริงๆ อยู่ดีๆม้าก็มาหายไปเช่นนี้" ชายชราได้ยินก็บอกว่า "ท่านรู้ได้อย่างไรว่ามันเป็นโชคร้าย" หลังจากม้าหายไป 1 สัปดาห์ ม้าของชายชราก็กลับมามันหิวโหย ไม่ถนัดอยู่ในป่า และได้พาเพื่อนม้ามาอีกถึง 12 ตัว ชายชราจึงมี ม้าเลี้ยงเพิ่มขึ้นจากตัวเดียวเป็น 13 ตัวเลยทีเดียว แน่นอนว่า พอเพื่อนบ้านทราบข่าวก็มายินดีกับชายชรา "ท่านนี้ช่างโชคดีเสียเหลือเกิน" ชายชราก็ถามเพื่อนบ้านกลับว่า "ท่านรู้ได้อย่างไรว่าโชคดี" 2 เดือนต่อมา บุตรชายคนเดียวของชายชรา กำลังจะขี่ม้าไปซื้อ ของยังเมืองข้างๆ เมื่อออกจากป่า ม้าก็สะบัดบุตรชายของเขาตก จากหลังม้า ขาหักและชายหนุ่มต้องขาพิการตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้น มา เมื่อเพื่อนบ้านทราบข่าว ต่างก็มาแสดงความเสียใจกับชายชรา เพราะเป็นบุตรชายคนเดียวและเป็นที่พึ่งของชายชรา "ท่านนี่ช่างโชคร้ายเสียจริงๆ" ชายชราก็ถามเพื่อนบ้านด้วยประโยคเดิมว่า "ท่านรู้ได้อย่างไรว่านี่คือโชคร้าย" เวลาผ่านไป 1 ปี มีประกาศเกณฑ์กำลังพลคนหนุ่มไปเป็นทหาร ไปรบกับข้าศึก ชายหนุ่มในหมู่บ้านถูกเกณฑ์ไปจนหมด เหลือ เพียงเด็กคนแก่และผู้หญิง คนหนุ่มคนเดียวที่ไม่ถูกเกณฑ์ไปรบ ก็คือ บุตรชายขาพิการของชายชรานั่นเอง ครั้งนั้นทัพจีนพ่ายแพ้ ทำให้ชายหนุ่มที่ถูกเกณฑ์ไปรบต้องเสียชีวิตทั้งหมด สร้างความ เศร้าโศกเสียใจให้กับคนในหมู่บ้านเป็นยิ่งนัก เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จะเป็นโชคดีหรือเป็นโชคร้าย จริงๆ แล้วทุก อย่างเกิดจาก "ทัศนคติ ที่เรามีต่อสิ่งนั้น" ถ้าเรามองในแง่ลบ ทุกอย่างรอบตัวก็แย่ไปหมด แต่ถ้าเรามองใน แง่บวก บางครั้งในสถานการณ์ที่แย่ที่สุด อาจจะมีสิ่งดีๆซ่อนอยู่ ในนั้นก็เป็นได้ครับ ที่มา : http://www.oknation.net/blog/print.php?id=567111

โชคดีหรือโชคร้าย

มีชายชราคนหนึ่ง  เขาทำงานหนักมาตลอดทั้งชีวิต  แต่เขานั้นก็
นับได้ว่าเป็นผู้ที่เพรียบพร้อม เขามีลูกชายที่ดีและแข็งแรง และมี
ม้าที่ดีอยู่ 1 ตัว   ม้าตัวนี้สามารถทำงานได้ทุกอย่าง  ทั้งเดินทาง
ขนของ แม้กระทั่งทำนา  เพื่อนบ้านของเขาต่างก็ชื่นชมชายชรา
ที่มีพร้อมสรรพ

อยู่มาวันหนึ่ง   จู่ๆม้าที่แสนจะรู้ใจ และทำงานได้สารพัดอย่างได้
เตลิดหนีไปจากคอกของชายชรา แน่นอนว่า เมื่อม้าหายไป ชาย
ชราก็ไม่มีม้าเหลือเลยสักตัว เมื่อเพื่อนบ้านของเขาทราบข่าว  ก็
มาหาชายชรา และกล่าวว่า
"ท่านนี้ช่างโชคร้ายจริงๆ อยู่ดีๆม้าก็มาหายไปเช่นนี้"
ชายชราได้ยินก็บอกว่า
"ท่านรู้ได้อย่างไรว่ามันเป็นโชคร้าย"
หลังจากม้าหายไป 1 สัปดาห์ ม้าของชายชราก็กลับมามันหิวโหย
ไม่ถนัดอยู่ในป่า และได้พาเพื่อนม้ามาอีกถึง 12 ตัว  ชายชราจึงมี
ม้าเลี้ยงเพิ่มขึ้นจากตัวเดียวเป็น 13 ตัวเลยทีเดียว

แน่นอนว่า พอเพื่อนบ้านทราบข่าวก็มายินดีกับชายชรา
"ท่านนี้ช่างโชคดีเสียเหลือเกิน"
ชายชราก็ถามเพื่อนบ้านกลับว่า
"ท่านรู้ได้อย่างไรว่าโชคดี"
2 เดือนต่อมา  บุตรชายคนเดียวของชายชรา กำลังจะขี่ม้าไปซื้อ
ของยังเมืองข้างๆ เมื่อออกจากป่า ม้าก็สะบัดบุตรชายของเขาตก
จากหลังม้า ขาหักและชายหนุ่มต้องขาพิการตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้น
มา

เมื่อเพื่อนบ้านทราบข่าว   ต่างก็มาแสดงความเสียใจกับชายชรา
เพราะเป็นบุตรชายคนเดียวและเป็นที่พึ่งของชายชรา
"ท่านนี่ช่างโชคร้ายเสียจริงๆ"
ชายชราก็ถามเพื่อนบ้านด้วยประโยคเดิมว่า
"ท่านรู้ได้อย่างไรว่านี่คือโชคร้าย"
เวลาผ่านไป 1 ปี  มีประกาศเกณฑ์กำลังพลคนหนุ่มไปเป็นทหาร
ไปรบกับข้าศึก    ชายหนุ่มในหมู่บ้านถูกเกณฑ์ไปจนหมด  เหลือ
เพียงเด็กคนแก่และผู้หญิง  คนหนุ่มคนเดียวที่ไม่ถูกเกณฑ์ไปรบ
ก็คือ บุตรชายขาพิการของชายชรานั่นเอง ครั้งนั้นทัพจีนพ่ายแพ้
ทำให้ชายหนุ่มที่ถูกเกณฑ์ไปรบต้องเสียชีวิตทั้งหมด  สร้างความ
เศร้าโศกเสียใจให้กับคนในหมู่บ้านเป็นยิ่งนัก

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จะเป็นโชคดีหรือเป็นโชคร้าย  จริงๆ แล้วทุก
อย่างเกิดจาก
"ทัศนคติ ที่เรามีต่อสิ่งนั้น"
ถ้าเรามองในแง่ลบ ทุกอย่างรอบตัวก็แย่ไปหมด  แต่ถ้าเรามองใน
แง่บวก   บางครั้งในสถานการณ์ที่แย่ที่สุด อาจจะมีสิ่งดีๆซ่อนอยู่
ในนั้นก็เป็นได้ครับ

ที่มา : http://www.oknation.net/blog/print.php?id=567111

กำลังใจจากพลังความเชื่อมั่นของเธอ ชายคนหนึ่งเรียนมหาวิทยาลัยไม่จบ พ่อแม่ก็เลยจัดการหาภรรยา ให้ เมื่อแต่งงานแล้ว เขาก็สมัครเป็นครูสอนหนังสือในโรงเรียน ประถมใกล้บ้าน เพราะไม่มีประสบการณ์การสอน สอนได้ไม่ถึงอา ทิตย์เขาก็ถูกโห่ไล่จากเด็กนักเรียน ''เมื่อกลับถึงบ้าน''' ภรรยาปลอบใจเขาว่า... “แม้เราจะมีภูมิอยู่เต็มท้อง บางคนเอาออกเป็น บางคนเอาออกไม่ เป็น อย่าได้โศกเศร้าเสียใจให้มากไป อาจมีงานที่เหมาะสมกว่านี้ รอคุณอยู่'' ต่อมาเขาก็ไปทำงานรับจ้าง ก็ถูกเถ้าแก่ไล่กลับบ้านเพราะเขาทำ อะไรช้ายืดยาด ครั้งนี้ภรรยาของเขาปลอบใจเขาว่า “คนเรามือไม้ช้าเร็วต่างกัน คนอื่นเขาทำมาเป็นสิบๆ ปี คุณเรียน หนังสือมาตลอด จะให้ทำเร็วเหมือนคนอื่นได้ยังไง" เขาไปทำงานอีกหลายอย่าง.. แต่ผลลัพธ์ก็ไม่ต่างกัน มักจะเลิก ล้มกลางคันอยู่เสมอ ทุกครั้งที่เป็นเช่นนี้ ภรรยาก็จะคอยปลอบใจ ไม่เคยตำหนิหรือว่ากล่าวอะไรไลย ตอนที่เขาอายุได้ 30 กว่าปี ด้วยความสามารถด้านภาษาเขาเลย สมัครเป็นครูผู้ช่วยในโรงเรียนโสตศึกษา ต่อมาเมื่อมีประสบการณ์ การสอนเขาก็ออกมาเปิดโรงเรียนโสตศึกษาของตัวเอง จากนั้น เขาก็ได้เปิดร้านขายผลิตภัณฑ์จากผู้พิการหลายแห่งในเมืองต่างๆ จากชายผู้ไม่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ตอนนี้เขากลาย เป็นเศรษฐีย่อมๆเสียแล้ว!! อยู่มาวันหนึ่ง เขาได้ถามภรรยาของเขาว่า “แม้แต่ตัวผมยังรู้สึกอับจนไร้หนทาง เพราะอะไรคุณจึงมั่นใจใน ตัวผม” ภรรยาของเขาตอบว่า... “ดินดี แต่หากไม่เหมาะกับการปลูกข้าวบาร์เลย์ก็ลองปลูกถั่ว หาก ไม่เหมาะกับการปลูกถั่วก็ลองปลูกแตง หากไม่เหมาะกับการปลูก แตงก็ลองปลูกดอกไม้ ฯลฯ จะต้องมีเมล็ดพันธุ์อย่างหนึ่งที่เหมาะ กับดินชนิดนี้ เมื่อได้เมล็ดพันธุ์ที่เหมาะกับมันก็ย่อมเจริญงอกงาม ได้ผลเก็บเกี่ยวเต็มที่” เมื่อฟังภรรยาพูดจบ เขาถึงกับหลั่งน้ำตา “ขอบคุณความรักความอดทนและความเชื่อมั่นที่คุณมีต่อผม คุณ คือเมล็ดพันธุ์ที่ทรงพลังแข็งแกร่งและทรหดอดทนมาก” โลกใบนี้ ไม่มีใครที่ไร้ประโยชน์ เพียงแต่มันผิดที่ผิดทางก็เท่านั้น คนที่ไม่รู้จักถนอมรักษา ต่อให้อยู่บนภูเขาเงินภูเขาทองเขาก็ไม่มี ความสุข!! คนที่ไม่รู้จักให้อภัยใจกว้าง ต่อให้ผูกมิตรสหายไว้มากมายสุดท้าย ก็หลีกลี้หนีหาย!! คนที่ไม่รู้จักสำนึกคุณ ต่อให้ยอดเยี่ยมมากความสามารถอย่างไร ก็ยากประสบความสำเร็จ คนที่ไม่รู้ลงมือกระทำ ต่อให้ฉลาดปราดเปรื่องอย่างไร ความฝันก็ ไม่อาจสำเร็จเป็นจริงได้ คนที่ไม่รู้จักให้ความร่วมมือ ต่อให้สู้จนสุดชีวิต ก็ยากที่จะสำเร็จสู่ ความยิ่งใหญ่ได้ คนที่ไม่รู้จักเก็บออม ต่อให้มีเงินทองมากมาย ก็ไม่อาจเป็นเศรษฐี ได้ คนที่ไม่รู้จักพอ ต่อให้ร่ำรวยปานใด ก็ยากที่จะมีความผาสุก คนที่ไม่รู้จักดูแลร่างกาย ต่อให้มียาดีมากมาย ก็ยากอายุยืนได้ และที่สำคัญอย่ากลัวว่าเรียนยาก ที่กลัวคือไม่อยากเรียน อย่ากลัวสายตาของคนอื่น ที่กลัวคือตัวเองไม่รักดี อย่ากลัวไม่มีเงิน ที่กลัวคือมีแล้วไม่รู้จักใช้ กลายเป็นทาสของเงิน ต่างหาก จงใช้สตางค์อย่างมีสติ อย่าสิ้นสติเพราะสตางค์ ขอเป็นอีก 1 กำลังใจให้กับผู้ที่ท้อแท้ ล้มลุกคลุกคลาน ขอให้สู้ ต่อไป ต้องมีสักวันที่เป็นวันของเรา ^_^ Man Makii ผู้บ่าวริมคลอง ภาพ : http://debtclub.consumerthai.org/

กำลังใจจากพลังความเชื่อมั่นของเธอ

ชายคนหนึ่งเรียนมหาวิทยาลัยไม่จบ พ่อแม่ก็เลยจัดการหาภรรยา
ให้   เมื่อแต่งงานแล้ว  เขาก็สมัครเป็นครูสอนหนังสือในโรงเรียน
ประถมใกล้บ้าน เพราะไม่มีประสบการณ์การสอน  สอนได้ไม่ถึงอา
ทิตย์เขาก็ถูกโห่ไล่จากเด็กนักเรียน
''เมื่อกลับถึงบ้าน'''
ภรรยาปลอบใจเขาว่า...
“แม้เราจะมีภูมิอยู่เต็มท้อง บางคนเอาออกเป็น บางคนเอาออกไม่
เป็น อย่าได้โศกเศร้าเสียใจให้มากไป อาจมีงานที่เหมาะสมกว่านี้
รอคุณอยู่''

ต่อมาเขาก็ไปทำงานรับจ้าง ก็ถูกเถ้าแก่ไล่กลับบ้านเพราะเขาทำ
อะไรช้ายืดยาด
ครั้งนี้ภรรยาของเขาปลอบใจเขาว่า
“คนเรามือไม้ช้าเร็วต่างกัน  คนอื่นเขาทำมาเป็นสิบๆ ปี คุณเรียน
หนังสือมาตลอด จะให้ทำเร็วเหมือนคนอื่นได้ยังไง"

เขาไปทำงานอีกหลายอย่าง..  แต่ผลลัพธ์ก็ไม่ต่างกัน  มักจะเลิก
ล้มกลางคันอยู่เสมอ ทุกครั้งที่เป็นเช่นนี้ ภรรยาก็จะคอยปลอบใจ
ไม่เคยตำหนิหรือว่ากล่าวอะไรไลย

ตอนที่เขาอายุได้ 30 กว่าปี ด้วยความสามารถด้านภาษาเขาเลย
สมัครเป็นครูผู้ช่วยในโรงเรียนโสตศึกษา ต่อมาเมื่อมีประสบการณ์
การสอนเขาก็ออกมาเปิดโรงเรียนโสตศึกษาของตัวเอง   จากนั้น
เขาก็ได้เปิดร้านขายผลิตภัณฑ์จากผู้พิการหลายแห่งในเมืองต่างๆ
จากชายผู้ไม่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ตอนนี้เขากลาย
เป็นเศรษฐีย่อมๆเสียแล้ว!!

อยู่มาวันหนึ่ง เขาได้ถามภรรยาของเขาว่า
“แม้แต่ตัวผมยังรู้สึกอับจนไร้หนทาง    เพราะอะไรคุณจึงมั่นใจใน
ตัวผม”
ภรรยาของเขาตอบว่า...
“ดินดี แต่หากไม่เหมาะกับการปลูกข้าวบาร์เลย์ก็ลองปลูกถั่ว หาก
ไม่เหมาะกับการปลูกถั่วก็ลองปลูกแตง   หากไม่เหมาะกับการปลูก
แตงก็ลองปลูกดอกไม้ ฯลฯ  จะต้องมีเมล็ดพันธุ์อย่างหนึ่งที่เหมาะ
กับดินชนิดนี้  เมื่อได้เมล็ดพันธุ์ที่เหมาะกับมันก็ย่อมเจริญงอกงาม
ได้ผลเก็บเกี่ยวเต็มที่”
เมื่อฟังภรรยาพูดจบ เขาถึงกับหลั่งน้ำตา
“ขอบคุณความรักความอดทนและความเชื่อมั่นที่คุณมีต่อผม   คุณ
คือเมล็ดพันธุ์ที่ทรงพลังแข็งแกร่งและทรหดอดทนมาก”

โลกใบนี้ ไม่มีใครที่ไร้ประโยชน์  เพียงแต่มันผิดที่ผิดทางก็เท่านั้น
คนที่ไม่รู้จักถนอมรักษา  ต่อให้อยู่บนภูเขาเงินภูเขาทองเขาก็ไม่มี
ความสุข!!

คนที่ไม่รู้จักให้อภัยใจกว้าง ต่อให้ผูกมิตรสหายไว้มากมายสุดท้าย
ก็หลีกลี้หนีหาย!!

คนที่ไม่รู้จักสำนึกคุณ   ต่อให้ยอดเยี่ยมมากความสามารถอย่างไร
ก็ยากประสบความสำเร็จ

คนที่ไม่รู้ลงมือกระทำ ต่อให้ฉลาดปราดเปรื่องอย่างไร ความฝันก็
ไม่อาจสำเร็จเป็นจริงได้

คนที่ไม่รู้จักให้ความร่วมมือ ต่อให้สู้จนสุดชีวิต  ก็ยากที่จะสำเร็จสู่
ความยิ่งใหญ่ได้

คนที่ไม่รู้จักเก็บออม ต่อให้มีเงินทองมากมาย ก็ไม่อาจเป็นเศรษฐี
ได้

คนที่ไม่รู้จักพอ  ต่อให้ร่ำรวยปานใด ก็ยากที่จะมีความผาสุก

คนที่ไม่รู้จักดูแลร่างกาย ต่อให้มียาดีมากมาย ก็ยากอายุยืนได้

และที่สำคัญอย่ากลัวว่าเรียนยาก  ที่กลัวคือไม่อยากเรียน

อย่ากลัวสายตาของคนอื่น  ที่กลัวคือตัวเองไม่รักดี

อย่ากลัวไม่มีเงิน ที่กลัวคือมีแล้วไม่รู้จักใช้ กลายเป็นทาสของเงิน
ต่างหาก

จงใช้สตางค์อย่างมีสติ อย่าสิ้นสติเพราะสตางค์

ขอเป็นอีก 1 กำลังใจให้กับผู้ที่ท้อแท้  ล้มลุกคลุกคลาน   ขอให้สู้
ต่อไป ต้องมีสักวันที่เป็นวันของเรา  ^_^

Man Makii ผู้บ่าวริมคลอง
ภาพ : http://debtclub.consumerthai.org/

เรื่องเล่า..จาก "กะลามะพร้าว" เมื่อคราวที่ฉันเป็นเด็ก ไม่ว่าอยากกินอะไร ด้วยความรักของแม่ ลำบากแค่ไหน..แม่จะหามาให้ เมื่อฉันโต .แม่ก็เข้าสู่วัยชรา ถึงวันหยุดกลับบ้าน..แม่อยากกินอะไร ฉันก็จะรีบหามาให้ ทำเหมือนที่แม่เคยทำให้ฉันตอนเด็กๆ หลายปีก่อน แม่อยากกินมะพร้าวเนื้ออ่อน ฉันเดินไปเอาจากต้นเตี้ยๆหลังบ้าน ปอกเปลือกแล้วผ่า คว้านเอาเนื้อให้แม่กิน แม่ถามฉันว่า "หนูไม่กินเหรอลูก" ฉันบอกว่า "แม่กินเถอะหนูยังไม่อยากกิน" ฉันคอยมองดู เมื่อกินหมด แม่ส่งกะลามะพร้าวมาให้ฉันแล้วพูดว่า "เอามั้ยลูก เห็นชอบทำงานฝีมือ " ฉันมองกะลาที่ถูกผ่าด้วยมือที่ไม่ชำนาญของฉัน มันไม่ได้ผ่าครึ่ง แต่แตก และแหว่งไม่สวยเลย ฉันบอกแม่ว่า "เอาค่ะ อะไรที่แม่ให้หนูเอาหมดค่ะ" แม่หัวเราะแล้วพูดว่า "แต่มันไม่สวยนะ เอาอันใหม่มั้ยสวยๆเยอะแยะ" ฉันบอกว่า "ไม่เอาค่ะ หนูจะเอาอันนี้แหละ สวยแล้ว" ฉันหยิบกะลาขึ้นมาแล้วพูดกับตัวเองว่า "แม่ไม่ได้ยื่นแค่กะลาให้หนู แต่แม่ยื่นความรักให้หนูต่างหากค่ะ" ที่มา : https://www.facebook.com/permalink.php?id=440584392628245&story_fbid=562342847119065 ภาพ : http://www.manyum.com/

เรื่องเล่า..จาก "กะลามะพร้าว"

เมื่อคราวที่ฉันเป็นเด็ก ไม่ว่าอยากกินอะไร
ด้วยความรักของแม่ ลำบากแค่ไหน..แม่จะหามาให้

เมื่อฉันโต .แม่ก็เข้าสู่วัยชรา

ถึงวันหยุดกลับบ้าน..แม่อยากกินอะไร ฉันก็จะรีบหามาให้
ทำเหมือนที่แม่เคยทำให้ฉันตอนเด็กๆ

หลายปีก่อน แม่อยากกินมะพร้าวเนื้ออ่อน
ฉันเดินไปเอาจากต้นเตี้ยๆหลังบ้าน ปอกเปลือกแล้วผ่า
คว้านเอาเนื้อให้แม่กิน
แม่ถามฉันว่า
"หนูไม่กินเหรอลูก"
ฉันบอกว่า
"แม่กินเถอะหนูยังไม่อยากกิน"

ฉันคอยมองดู เมื่อกินหมด แม่ส่งกะลามะพร้าวมาให้ฉันแล้วพูดว่า
"เอามั้ยลูก เห็นชอบทำงานฝีมือ "

ฉันมองกะลาที่ถูกผ่าด้วยมือที่ไม่ชำนาญของฉัน
มันไม่ได้ผ่าครึ่ง แต่แตก และแหว่งไม่สวยเลย

ฉันบอกแม่ว่า
"เอาค่ะ อะไรที่แม่ให้หนูเอาหมดค่ะ"

แม่หัวเราะแล้วพูดว่า
"แต่มันไม่สวยนะ เอาอันใหม่มั้ยสวยๆเยอะแยะ"

ฉันบอกว่า
"ไม่เอาค่ะ หนูจะเอาอันนี้แหละ สวยแล้ว"

ฉันหยิบกะลาขึ้นมาแล้วพูดกับตัวเองว่า

"แม่ไม่ได้ยื่นแค่กะลาให้หนู แต่แม่ยื่นความรักให้หนูต่างหากค่ะ"

ที่มา : https://www.facebook.com/permalink.php?id=440584392628245&story_fbid=562342847119065
ภาพ : http://www.manyum.com/