มองหาเศษสตางค์... ว่าด้วยการใช้ชีวิตอย่างมีสาระ
เด็กผู้ชายคนหนึ่ง ขณะเดินกลับบ้านจากโรงเรียนเขาเห็นเหรียญ
ห้าสิบสตางค์ตกอยู่บนทางเท้า เขาเก็บมันขึ้นมาด้วยความดีใจที่
ได้พบโชคโดยบังเอิญ และหลังจากนั้นเป็นต้นมา เขาจะเดินก้ม
หน้ามองหาเศษสตางค์ทุกๆวัน
ตลอดชีวิตของเขา เขาพบเหรียญสลึง 296 อัน เหรียญห้าสิบ
สตางค์ 48 อัน เหรียญบาท 19 อัน แบ็งค์สิบ 12 ใบ แบ็งค์ยี่สิบ
6 ใบ และแบ็งค์ร้อย 2 ใบ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 557 บาท เขาได้มัน
มาฟรี ๆ
แต่เขาพลาดที่จะได้เห็นความงดงามของท้องฟ้า ยามพระอาทิตย์
ทอแสงไป 31,369 ครั้ง
เขาพลาดที่จะได้เห็นสายรุ้งสีสวย ที่ทอดตัวข้ามท้องฟ้าหลังฝน
157 ครั้ง
เขาพลาดเห็นปุยเมฆสีขาวบนฟ้าสีคราม ที่เปลี่ยนรูปไปอย่างน่า
พิศวง
เขาพลาดเห็นใบไม้ที่เพิ่งคลี่ใบสีเขียวอ่อนที่แสนสดชื่น และ
พลาดเห็นรอยยิ้มของผู้คนหลายพันคนที่เดินผ่านเขาไป
คุณเป็นคนหนึ่งหรือเปล่าที่ใช้ชีวิตเช่นชายผู้นี้ คุณก้มหัวแบกภาระ
ของงานด้วยความกลัวความล้มเหลวและคำตำหนิ ซึ่งอาจไม่เคย
เกิดขึ้นเลย เพียงเพื่อจะได้เศษสตางค์เหล่านั้น จนพลาดเห็นสิ่ง
สวยงามในชีวิตหรือเปล่า
คุณอาจจะโต้แย้งว่าภาวะเศรษฐกิจเป็นตัวบังคับให้คุณต้องทำงาน
ชนิดหามรุ่งหามค่ำ แต่คุณถามตัวเองบ้างหรือไม่ว่า อะไรคือสิ่งที่
สำคัญที่สุดในชีวิตของคุณ
หลายปีมาแล้ว เมื่อผู้เขียนได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บริหาร
องค์กรเป็นครั้งแรก รองประธานบริษัทได้เรียกไปแนะนำเรื่องบท
บาทหน้าที่ความรับผิดชอบ คำสอนที่ผู้เขียนไม่มีวันลืม ท่านสอน
ให้ผู้เขียนแบ่งเวลาเป็นสามส่วน ส่วนหนึ่งให้กับงาน ส่วนหนึ่งให้
กับตัวเองและส่วนหนึ่งให้กับครอบครัว
ตั้งแต่นั้นมา ผู้เขียนให้ความเคารพนับถือ ต่อเจ้านายคนนี้ด้วย
ความภักดีอย่างจริงใจ คำแนะนำง่ายๆนั้นแสดงธาตุแท้ของความ
เป็นมนุษย์ที่ไม่เห็นแก่เงิน แต่เห็นคุณค่าของคน ที่ยิ่งใหญ่กว่า
แล้วคุณเล่าให้เวลากับตัวเองและกับครอบครัวเพียงพอหรือไม่?
หรือว่าชีวิตทั้งชีวิตของคุณคือการหาเงินจนลืมไปว่าคุณมีบทบาท
อื่น ๆในชีวิต เช่น เป็นลูกของพ่อแม่ เป็นพ่อหรือแม่ของลูก ลูกที่
ไม่สามารถเติบโตอย่างสมบูรณ์ได้ด้วยเงินเพียงอย่างเดียว แต่ถ้า
หากลูกขาดพื้นฐานของความรักความอบอุ่นจากพ่อแม่ ถูกปล่อย
ไปตามยถากรรม เงินทองทั้งหมดก็ไม่สามารถสร้างความสุข และ
ความสำเร็จของลูกในอนาคตได้
ซ้ำร้ายลูกมีโอกาสที่จะเสียคนได้มาก เพราะมีเวลาออกนอกลู่นอก
ทางโดยที่พ่อแม่ไม่รู้ตัว ลูกอาจติดยา ติดโรคร้าย หรือแม้แต่ก่อ
อาชญากรรมหรือสร้างความเดือดร้อนให้สังคม
ในทางตรงกันข้าม ลูกที่ได้อยู่กับครอบครัวอย่างอบอุ่น มีพ่อแม่
เป็นต้นแบบที่ดีให้ดู แบ่งเวลาให้การอบรมสั่งสอนลูก แม้ไม่ต้องมี
พ่อเป็นประธานบริษัท แม้ไม่ต้องเข้าโรงเรียนชั้นนำของลูกเศรษฐี
แต่เขาจะมีโอกาสใกล้ชิดกับความถูกต้องมากกว่า ลูกย่อมคลุกคลี
คุ้นเคยกับความคิดคำพูดการกระทำที่ดีของพ่อแม่อยู่เป็นปกตินิสัย
และหลอมละลายกลายเป็นความเก่งและความดีที่จะทำให้เขา แต่
เขาจะมีเจตคติทีดีต่อตัวเอง และต่อโลกรอบตัว ซึ่งสามารถส่งผล
ให้เขายืนหยัดในโลกนี้ด้วยตัวเองอย่างมีความสุขและความสำเร็จ
กับชีวิตได้มากกว่า
เราอาจจะใช้เงินเป็นตัววัดความสำเร็จและคุณค่าของตัวเอง แต่
เงินและสิ่งที่มากับเงินเป็นของที่มาแล้วก็ไป พระพุทธเจ้าเรียกสิ่ง
เหล่านี้ว่า “โลกธรรม” คือสิ่งที่มีอยู่ประจำกับชีวิต ที่ทุกคนประสบ
อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม
ที่มา : http://www.pendulumthai.com/article_thamapivan01.html
ภาพ : https://pantip.com/topic/31596240
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น