วันศุกร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2560

มองหาเศษสตางค์... ว่าด้วยการใช้ชีวิตอย่างมีสาระ เด็กผู้ชายคนหนึ่ง ขณะเดินกลับบ้านจากโรงเรียนเขาเห็นเหรียญ ห้าสิบสตางค์ตกอยู่บนทางเท้า เขาเก็บมันขึ้นมาด้วยความดีใจที่ ได้พบโชคโดยบังเอิญ และหลังจากนั้นเป็นต้นมา เขาจะเดินก้ม หน้ามองหาเศษสตางค์ทุกๆวัน ตลอดชีวิตของเขา เขาพบเหรียญสลึง 296 อัน เหรียญห้าสิบ สตางค์ 48 อัน เหรียญบาท 19 อัน แบ็งค์สิบ 12 ใบ แบ็งค์ยี่สิบ 6 ใบ และแบ็งค์ร้อย 2 ใบ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 557 บาท เขาได้มัน มาฟรี ๆ แต่เขาพลาดที่จะได้เห็นความงดงามของท้องฟ้า ยามพระอาทิตย์ ทอแสงไป 31,369 ครั้ง เขาพลาดที่จะได้เห็นสายรุ้งสีสวย ที่ทอดตัวข้ามท้องฟ้าหลังฝน 157 ครั้ง เขาพลาดเห็นปุยเมฆสีขาวบนฟ้าสีคราม ที่เปลี่ยนรูปไปอย่างน่า พิศวง เขาพลาดเห็นใบไม้ที่เพิ่งคลี่ใบสีเขียวอ่อนที่แสนสดชื่น และ พลาดเห็นรอยยิ้มของผู้คนหลายพันคนที่เดินผ่านเขาไป คุณเป็นคนหนึ่งหรือเปล่าที่ใช้ชีวิตเช่นชายผู้นี้ คุณก้มหัวแบกภาระ ของงานด้วยความกลัวความล้มเหลวและคำตำหนิ ซึ่งอาจไม่เคย เกิดขึ้นเลย เพียงเพื่อจะได้เศษสตางค์เหล่านั้น จนพลาดเห็นสิ่ง สวยงามในชีวิตหรือเปล่า คุณอาจจะโต้แย้งว่าภาวะเศรษฐกิจเป็นตัวบังคับให้คุณต้องทำงาน ชนิดหามรุ่งหามค่ำ แต่คุณถามตัวเองบ้างหรือไม่ว่า อะไรคือสิ่งที่ สำคัญที่สุดในชีวิตของคุณ หลายปีมาแล้ว เมื่อผู้เขียนได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บริหาร องค์กรเป็นครั้งแรก รองประธานบริษัทได้เรียกไปแนะนำเรื่องบท บาทหน้าที่ความรับผิดชอบ คำสอนที่ผู้เขียนไม่มีวันลืม ท่านสอน ให้ผู้เขียนแบ่งเวลาเป็นสามส่วน ส่วนหนึ่งให้กับงาน ส่วนหนึ่งให้ กับตัวเองและส่วนหนึ่งให้กับครอบครัว ตั้งแต่นั้นมา ผู้เขียนให้ความเคารพนับถือ ต่อเจ้านายคนนี้ด้วย ความภักดีอย่างจริงใจ คำแนะนำง่ายๆนั้นแสดงธาตุแท้ของความ เป็นมนุษย์ที่ไม่เห็นแก่เงิน แต่เห็นคุณค่าของคน ที่ยิ่งใหญ่กว่า แล้วคุณเล่าให้เวลากับตัวเองและกับครอบครัวเพียงพอหรือไม่? หรือว่าชีวิตทั้งชีวิตของคุณคือการหาเงินจนลืมไปว่าคุณมีบทบาท อื่น ๆในชีวิต เช่น เป็นลูกของพ่อแม่ เป็นพ่อหรือแม่ของลูก ลูกที่ ไม่สามารถเติบโตอย่างสมบูรณ์ได้ด้วยเงินเพียงอย่างเดียว แต่ถ้า หากลูกขาดพื้นฐานของความรักความอบอุ่นจากพ่อแม่ ถูกปล่อย ไปตามยถากรรม เงินทองทั้งหมดก็ไม่สามารถสร้างความสุข และ ความสำเร็จของลูกในอนาคตได้ ซ้ำร้ายลูกมีโอกาสที่จะเสียคนได้มาก เพราะมีเวลาออกนอกลู่นอก ทางโดยที่พ่อแม่ไม่รู้ตัว ลูกอาจติดยา ติดโรคร้าย หรือแม้แต่ก่อ อาชญากรรมหรือสร้างความเดือดร้อนให้สังคม ในทางตรงกันข้าม ลูกที่ได้อยู่กับครอบครัวอย่างอบอุ่น มีพ่อแม่ เป็นต้นแบบที่ดีให้ดู แบ่งเวลาให้การอบรมสั่งสอนลูก แม้ไม่ต้องมี พ่อเป็นประธานบริษัท แม้ไม่ต้องเข้าโรงเรียนชั้นนำของลูกเศรษฐี แต่เขาจะมีโอกาสใกล้ชิดกับความถูกต้องมากกว่า ลูกย่อมคลุกคลี คุ้นเคยกับความคิดคำพูดการกระทำที่ดีของพ่อแม่อยู่เป็นปกตินิสัย และหลอมละลายกลายเป็นความเก่งและความดีที่จะทำให้เขา แต่ เขาจะมีเจตคติทีดีต่อตัวเอง และต่อโลกรอบตัว ซึ่งสามารถส่งผล ให้เขายืนหยัดในโลกนี้ด้วยตัวเองอย่างมีความสุขและความสำเร็จ กับชีวิตได้มากกว่า เราอาจจะใช้เงินเป็นตัววัดความสำเร็จและคุณค่าของตัวเอง แต่ เงินและสิ่งที่มากับเงินเป็นของที่มาแล้วก็ไป พระพุทธเจ้าเรียกสิ่ง เหล่านี้ว่า “โลกธรรม” คือสิ่งที่มีอยู่ประจำกับชีวิต ที่ทุกคนประสบ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม ที่มา : http://www.pendulumthai.com/article_thamapivan01.html ภาพ : https://pantip.com/topic/31596240

มองหาเศษสตางค์... ว่าด้วยการใช้ชีวิตอย่างมีสาระ

เด็กผู้ชายคนหนึ่ง ขณะเดินกลับบ้านจากโรงเรียนเขาเห็นเหรียญ
ห้าสิบสตางค์ตกอยู่บนทางเท้า เขาเก็บมันขึ้นมาด้วยความดีใจที่
ได้พบโชคโดยบังเอิญ และหลังจากนั้นเป็นต้นมา  เขาจะเดินก้ม
หน้ามองหาเศษสตางค์ทุกๆวัน

ตลอดชีวิตของเขา   เขาพบเหรียญสลึง 296 อัน   เหรียญห้าสิบ
สตางค์ 48 อัน เหรียญบาท 19 อัน แบ็งค์สิบ 12 ใบ   แบ็งค์ยี่สิบ
6 ใบ และแบ็งค์ร้อย 2 ใบ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 557 บาท เขาได้มัน
มาฟรี ๆ

แต่เขาพลาดที่จะได้เห็นความงดงามของท้องฟ้า ยามพระอาทิตย์
ทอแสงไป 31,369 ครั้ง

เขาพลาดที่จะได้เห็นสายรุ้งสีสวย  ที่ทอดตัวข้ามท้องฟ้าหลังฝน
157 ครั้ง

เขาพลาดเห็นปุยเมฆสีขาวบนฟ้าสีคราม  ที่เปลี่ยนรูปไปอย่างน่า
พิศวง

เขาพลาดเห็นใบไม้ที่เพิ่งคลี่ใบสีเขียวอ่อนที่แสนสดชื่น และ
พลาดเห็นรอยยิ้มของผู้คนหลายพันคนที่เดินผ่านเขาไป

คุณเป็นคนหนึ่งหรือเปล่าที่ใช้ชีวิตเช่นชายผู้นี้ คุณก้มหัวแบกภาระ
ของงานด้วยความกลัวความล้มเหลวและคำตำหนิ  ซึ่งอาจไม่เคย
เกิดขึ้นเลย  เพียงเพื่อจะได้เศษสตางค์เหล่านั้น จนพลาดเห็นสิ่ง
สวยงามในชีวิตหรือเปล่า

คุณอาจจะโต้แย้งว่าภาวะเศรษฐกิจเป็นตัวบังคับให้คุณต้องทำงาน
ชนิดหามรุ่งหามค่ำ   แต่คุณถามตัวเองบ้างหรือไม่ว่า อะไรคือสิ่งที่
สำคัญที่สุดในชีวิตของคุณ

หลายปีมาแล้ว     เมื่อผู้เขียนได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บริหาร
องค์กรเป็นครั้งแรก   รองประธานบริษัทได้เรียกไปแนะนำเรื่องบท
บาทหน้าที่ความรับผิดชอบ  คำสอนที่ผู้เขียนไม่มีวันลืม ท่านสอน
ให้ผู้เขียนแบ่งเวลาเป็นสามส่วน  ส่วนหนึ่งให้กับงาน ส่วนหนึ่งให้
กับตัวเองและส่วนหนึ่งให้กับครอบครัว

ตั้งแต่นั้นมา   ผู้เขียนให้ความเคารพนับถือ   ต่อเจ้านายคนนี้ด้วย
ความภักดีอย่างจริงใจ คำแนะนำง่ายๆนั้นแสดงธาตุแท้ของความ
เป็นมนุษย์ที่ไม่เห็นแก่เงิน  แต่เห็นคุณค่าของคน   ที่ยิ่งใหญ่กว่า
แล้วคุณเล่าให้เวลากับตัวเองและกับครอบครัวเพียงพอหรือไม่?

หรือว่าชีวิตทั้งชีวิตของคุณคือการหาเงินจนลืมไปว่าคุณมีบทบาท
อื่น ๆในชีวิต  เช่น  เป็นลูกของพ่อแม่ เป็นพ่อหรือแม่ของลูก ลูกที่
ไม่สามารถเติบโตอย่างสมบูรณ์ได้ด้วยเงินเพียงอย่างเดียว  แต่ถ้า
หากลูกขาดพื้นฐานของความรักความอบอุ่นจากพ่อแม่   ถูกปล่อย
ไปตามยถากรรม  เงินทองทั้งหมดก็ไม่สามารถสร้างความสุข และ
ความสำเร็จของลูกในอนาคตได้

ซ้ำร้ายลูกมีโอกาสที่จะเสียคนได้มาก เพราะมีเวลาออกนอกลู่นอก
ทางโดยที่พ่อแม่ไม่รู้ตัว  ลูกอาจติดยา  ติดโรคร้าย  หรือแม้แต่ก่อ
อาชญากรรมหรือสร้างความเดือดร้อนให้สังคม

ในทางตรงกันข้าม   ลูกที่ได้อยู่กับครอบครัวอย่างอบอุ่น   มีพ่อแม่
เป็นต้นแบบที่ดีให้ดู แบ่งเวลาให้การอบรมสั่งสอนลูก  แม้ไม่ต้องมี
พ่อเป็นประธานบริษัท แม้ไม่ต้องเข้าโรงเรียนชั้นนำของลูกเศรษฐี
แต่เขาจะมีโอกาสใกล้ชิดกับความถูกต้องมากกว่า ลูกย่อมคลุกคลี
คุ้นเคยกับความคิดคำพูดการกระทำที่ดีของพ่อแม่อยู่เป็นปกตินิสัย
และหลอมละลายกลายเป็นความเก่งและความดีที่จะทำให้เขา แต่
เขาจะมีเจตคติทีดีต่อตัวเอง และต่อโลกรอบตัว ซึ่งสามารถส่งผล
ให้เขายืนหยัดในโลกนี้ด้วยตัวเองอย่างมีความสุขและความสำเร็จ
กับชีวิตได้มากกว่า

เราอาจจะใช้เงินเป็นตัววัดความสำเร็จและคุณค่าของตัวเอง   แต่
เงินและสิ่งที่มากับเงินเป็นของที่มาแล้วก็ไป พระพุทธเจ้าเรียกสิ่ง
เหล่านี้ว่า “โลกธรรม”  คือสิ่งที่มีอยู่ประจำกับชีวิต ที่ทุกคนประสบ
อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม

ที่มา : http://www.pendulumthai.com/article_thamapivan01.html
ภาพ : https://pantip.com/topic/31596240

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น