วันศุกร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2560

เรื่องจริง!! ^ กรรมของคนโกหก ^ เรื่องนี้ผมได้ฟังมาตั้งแต่ผมยังเด็ก เป็นเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นมา ร่วม 100 ปี สมัยนั้นราวปี พ.ศ 2459 เป็นยุคสมัยของรัชกาลที่ 6 พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีชายชราวัยราว 60 ปีเศษผมเผ้าขาวโพลน แกชอบนั่งเหม่อลอย อยู่ในศาลาวัดเทพศิรินทราวาส วัดที่รัชกาลที่ 5 พระปิยะมหาราช เป็นผู้ทรงสร้าง แกไม่มีบ้าน ไม่มีลูกเมีย แต่เมื่อดูจากหน่วยก้าน ชายชราผู้นี้ถือว่าไม่ธรรมดา เพราะเมื่อครั้งวัยหนุ่มแกเป็นทหาร มหาดเล็กหลวงของรัชกาลที่ 5 มีหน้าที่เฝ้าเวรยามที่พระราชวัง สวนดุสิต ชายชราเล่าความหลังด้วยแววตาเศร้าสร้อย ผมไม่ทราบว่าใครเป็นคนสัมภาษณ์แก แต่เรื่องนี้ผมฟังมาจากปู่ ของผม ถึงที่มาที่ไปทำไมทหารมหาดเล็กหลวงถึงมีสภาพในชีวิต บั้นปลายอย่างนี้..... ชายชราเล่าให้ฟังว่า เมื่อครั้งสมัยหนุ่ม แกมีชีวิตที่รุ่งเรือง มีเงิน ทอง มีหน้าที่การงานที่ดี และมีคนรักที่เกือบจะได้แต่งงานกันอยู่ แล้วเชียว แต่.ชีวิตแกต้องเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเพราะคำ โกหก!! แค่คำโกหกทำให้ชีวิตเปลี่ยนได้เพียงนี้เลยหรือ ลองฟัง เรื่องนี้ดูครับ คืนนั้นเวลาราวตี 2 ชายชรายามนั้นเป็นทหารเล็กรักษาพระองค์ ของรัชกาลที่ 5 ได้เข้าเวรในกะดึกเมื่อถึงเวลาดึกสงัดทหาiมหาด เล็กนึกว่าไม่มีใครรู้ใครเห็นเกิดอาการง่วงหาวนอน จึงแกะกัญชา ที่แอบห่อไว้มาพันเป็นยาสูบ สูบพ่นควันปุ๋ย ๆ เป็นโชคร้ายของ ทหารมหาดเล็ก ที่ว่ายามนั้นปกติเป็นเวลาบรรทมของรัชการที่ 5 ก็จริง แต่คืนนั้นท่านยังไม่ได้นอนเนื่องจากทรงงานจนดึกดื่น เกิด อาการเมื่อยล้าจึงออกมาเดินเล่น และพระองค์ได้กลิ่นของกัญชา ลอยมาจากทางทิศใต้ของพระราชวัง พระองค์จึงเดินตามกลิ่นไป จนพบต้นตอ.. ทหารมหาดเล็กไหวตัวทัน รีบเหยียบบุหรี่ยัดไส้กัญชา ยืนตัวตรง ประหนึ่งกำลังปฎิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัด พระบาทสมเด็จพระปิย มหาราชหรือ ร.5 ท่านถามทหารมหาเล็กว่า "เจ้าสูบกัญชาหรือ? " ทหารกลัวความผิดจึงตอบไปว่า "ข้าพเจ้าไม่ได้สูบพระเจ้าข้า" รัชการที่ 5 ทรงล้วงกระเป๋าเสื้อราชปะแตนของทหารมหาดเล็ก ก็ พบห่อกัญชา!! พระองค์ไม่ทรงว่ากล่าวใดๆ เพียงตรัสคำเดียวว่า "ริยำ" แล้วหันหลังเดินจากไป............ ชายชราเล่าเรื่องราวด้วยน้ำตานองใบหน้า แกบอกว่าถ้าคืนนั้น.ถ้า แกไม่โกหก แกยอมรับผิด ชีวิตแกก็คงไม่เป็นแบบนี้ เพราะคำตรัส ของผู้มีบารมีอย่างเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินนั้นเป็นวาจาสิทธิ์ หลังจาก เหตุการณ์นั้นชีวิตแกก็มีอันเป็นไปต่างๆนาเป็นไปในทางตกต่ำ มี เรื่องมีราวจนต้องออกจากราชการทหาร มาทำมาค้าขายก็ขาดทุน ย่อยยับ มีครอบครัวก็แตกแยกทะเลาะทุกวี่ทุกวัน หาความสุขไม่ ได้ ชีวิตมีแต่ความตกต่ำเลวระยำลงไม่มีที่สิ้นสุด.. ชายชราปาดน้ำตาอีกครั้ง แกบอกว่า ณ วันนี้แกสำนึกในบาปกรรม ที่แกก่อแล้ว หากแกโกหกกับคนธรรมดาสามัญ ผลกรรมคงไม่รุน แรงขนาดนี้ แต่การที่แกโกหกกับผู้มีบารมีบุญญาธิการอย่างรัชการ ที่ 5 แม้พระองค์จะไม่ได้ลงโทษใดๆ แค่เพียงคำตำหนิว่า "ริยำ" ชีวิตของชายชราก็ตกต่ำเลวลงจนเป็นแบบทุกวันนี้ เรื่องนี้ผมอยากเล่าให้ฟังเป็นอุทาหรณ์นะครับ การโกหกเป็นการ ผิดศีลข้อ มุสาวาทาเวรมนี ทุกวันนี้คนบางคนโกหกจนเกิดความ เคยชิน บางคนคิดว่า การโกหกเป็นหนทางเอาตัวรอดในสังคม ปัจจุบัน พึงสังวรณ์ไว้เถิดครับ เวรกรรมมีจริงเพียงแต่ความแรง ของกรรมต่างกัน ผลของกรรมก็ต่างกันไป เช่น โกหกพ่อแม่ ผล กรรมก็อาจทำให้ขาดความเป็นคนน่าเชื่อถือ ทำงานที่ไหนก็ไม่มี คนเชื่อฝีมือ ขาดความศรัทธา หรือผลกรรมนั้นอาจส่งไปถึงรุ่นลูก เราเคยโกหกพ่อแม่ พ่อแม่ไม่ว่าอะไร แต่เรามีลูกเมื่อไหร่ ลูกก็จะ กลับมาโกหกเราเป็นกงกรรมกงเกียวนดังนี้แล ขอขอบคุณ เรื่องเล่าของคุณ I_am_free จากเว็บพลังจิต ภาพ : http://club.sanook.com/

เรื่องจริง!! ^ กรรมของคนโกหก ^

เรื่องนี้ผมได้ฟังมาตั้งแต่ผมยังเด็ก  เป็นเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นมา
ร่วม 100 ปี  สมัยนั้นราวปี พ.ศ 2459 เป็นยุคสมัยของรัชกาลที่ 6 พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

มีชายชราวัยราว 60 ปีเศษผมเผ้าขาวโพลน แกชอบนั่งเหม่อลอย
อยู่ในศาลาวัดเทพศิรินทราวาส วัดที่รัชกาลที่ 5 พระปิยะมหาราช
เป็นผู้ทรงสร้าง  แกไม่มีบ้าน ไม่มีลูกเมีย   แต่เมื่อดูจากหน่วยก้าน
ชายชราผู้นี้ถือว่าไม่ธรรมดา     เพราะเมื่อครั้งวัยหนุ่มแกเป็นทหาร
มหาดเล็กหลวงของรัชกาลที่ 5    มีหน้าที่เฝ้าเวรยามที่พระราชวัง
สวนดุสิต ชายชราเล่าความหลังด้วยแววตาเศร้าสร้อย

ผมไม่ทราบว่าใครเป็นคนสัมภาษณ์แก    แต่เรื่องนี้ผมฟังมาจากปู่
ของผม ถึงที่มาที่ไปทำไมทหารมหาดเล็กหลวงถึงมีสภาพในชีวิต
บั้นปลายอย่างนี้.....

ชายชราเล่าให้ฟังว่า   เมื่อครั้งสมัยหนุ่ม   แกมีชีวิตที่รุ่งเรือง มีเงิน
ทอง มีหน้าที่การงานที่ดี   และมีคนรักที่เกือบจะได้แต่งงานกันอยู่
แล้วเชียว แต่.ชีวิตแกต้องเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเพราะคำ
โกหก!! แค่คำโกหกทำให้ชีวิตเปลี่ยนได้เพียงนี้เลยหรือ   ลองฟัง
เรื่องนี้ดูครับ

คืนนั้นเวลาราวตี 2   ชายชรายามนั้นเป็นทหารเล็กรักษาพระองค์
ของรัชกาลที่ 5 ได้เข้าเวรในกะดึกเมื่อถึงเวลาดึกสงัดทหาiมหาด
เล็กนึกว่าไม่มีใครรู้ใครเห็นเกิดอาการง่วงหาวนอน   จึงแกะกัญชา
ที่แอบห่อไว้มาพันเป็นยาสูบ  สูบพ่นควันปุ๋ย ๆ   เป็นโชคร้ายของ
ทหารมหาดเล็ก  ที่ว่ายามนั้นปกติเป็นเวลาบรรทมของรัชการที่ 5
ก็จริง แต่คืนนั้นท่านยังไม่ได้นอนเนื่องจากทรงงานจนดึกดื่น เกิด
อาการเมื่อยล้าจึงออกมาเดินเล่น  และพระองค์ได้กลิ่นของกัญชา
ลอยมาจากทางทิศใต้ของพระราชวัง  พระองค์จึงเดินตามกลิ่นไป
จนพบต้นตอ..

ทหารมหาดเล็กไหวตัวทัน  รีบเหยียบบุหรี่ยัดไส้กัญชา ยืนตัวตรง
ประหนึ่งกำลังปฎิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัด พระบาทสมเด็จพระปิย
มหาราชหรือ ร.5 ท่านถามทหารมหาเล็กว่า
"เจ้าสูบกัญชาหรือ? "
ทหารกลัวความผิดจึงตอบไปว่า
"ข้าพเจ้าไม่ได้สูบพระเจ้าข้า"

รัชการที่ 5 ทรงล้วงกระเป๋าเสื้อราชปะแตนของทหารมหาดเล็ก ก็
พบห่อกัญชา!! พระองค์ไม่ทรงว่ากล่าวใดๆ  เพียงตรัสคำเดียวว่า
"ริยำ"
แล้วหันหลังเดินจากไป............

ชายชราเล่าเรื่องราวด้วยน้ำตานองใบหน้า แกบอกว่าถ้าคืนนั้น.ถ้า
แกไม่โกหก แกยอมรับผิด ชีวิตแกก็คงไม่เป็นแบบนี้ เพราะคำตรัส
ของผู้มีบารมีอย่างเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินนั้นเป็นวาจาสิทธิ์   หลังจาก
เหตุการณ์นั้นชีวิตแกก็มีอันเป็นไปต่างๆนาเป็นไปในทางตกต่ำ  มี
เรื่องมีราวจนต้องออกจากราชการทหาร มาทำมาค้าขายก็ขาดทุน
ย่อยยับ  มีครอบครัวก็แตกแยกทะเลาะทุกวี่ทุกวัน  หาความสุขไม่
ได้  ชีวิตมีแต่ความตกต่ำเลวระยำลงไม่มีที่สิ้นสุด..

ชายชราปาดน้ำตาอีกครั้ง แกบอกว่า ณ วันนี้แกสำนึกในบาปกรรม
ที่แกก่อแล้ว   หากแกโกหกกับคนธรรมดาสามัญ ผลกรรมคงไม่รุน
แรงขนาดนี้ แต่การที่แกโกหกกับผู้มีบารมีบุญญาธิการอย่างรัชการ
ที่ 5 แม้พระองค์จะไม่ได้ลงโทษใดๆ   แค่เพียงคำตำหนิว่า  "ริยำ"
ชีวิตของชายชราก็ตกต่ำเลวลงจนเป็นแบบทุกวันนี้

เรื่องนี้ผมอยากเล่าให้ฟังเป็นอุทาหรณ์นะครับ   การโกหกเป็นการ
ผิดศีลข้อ มุสาวาทาเวรมนี  ทุกวันนี้คนบางคนโกหกจนเกิดความ
เคยชิน   บางคนคิดว่า  การโกหกเป็นหนทางเอาตัวรอดในสังคม
ปัจจุบัน  พึงสังวรณ์ไว้เถิดครับ    เวรกรรมมีจริงเพียงแต่ความแรง
ของกรรมต่างกัน  ผลของกรรมก็ต่างกันไป  เช่น  โกหกพ่อแม่ ผล
กรรมก็อาจทำให้ขาดความเป็นคนน่าเชื่อถือ   ทำงานที่ไหนก็ไม่มี
คนเชื่อฝีมือ ขาดความศรัทธา  หรือผลกรรมนั้นอาจส่งไปถึงรุ่นลูก
เราเคยโกหกพ่อแม่  พ่อแม่ไม่ว่าอะไร  แต่เรามีลูกเมื่อไหร่  ลูกก็จะ
กลับมาโกหกเราเป็นกงกรรมกงเกียวนดังนี้แล

ขอขอบคุณ เรื่องเล่าของคุณ I_am_free จากเว็บพลังจิต
ภาพ : http://club.sanook.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น