เหตุผลเพื่อเอาชนะ หรือยอมรับผิด
วันนี้เห็นลูกน้อง 2 คนเถียงกัน
ต่างคนต่างบอกว่าอีกฝ่ายเป็นต้นเหตุที่ทำให้ไม่เวิร์ค
เถียงกันอยู่พักใหญ่ก็หาจุดลงเอยไม่ได้
เพราะต่างคนต่างหาความถูกให้ตัวเอง
และหาความผิดให้คนอื่น
ผมนั่งขบน้ำแข็งฟังบทสนทนานั้น
แล้วนึกในใจว่ามนุษย์หนอมนุษย์จะหาจุดจบลงตรงไหน
ผมก็เลยมองแก้วที่วางอยู่ระหว่างทั้งสองคน
แล้วตัดสินใจคว่ำแก้วจนน้ำหกลงบนโต๊ะ
ผมบอกเค้าทั้งสองคนว่า...
" สมมุติว่า A นั่งเขย่าขาแล้วโต๊ะสั่นจนแก้วนี้ล้ม
แล้ว B ก็มัวแต่เล่นมือถือไม่ทันคว้าแก้วนั้นทัน
ไหนทั้ง 2 คนลองเถียงให้พี่ฟังหน่อยว่า
ใครพูดให้อีกฝ่ายเป็นคนผิดที่ทำแก้วนี้ล้มได้เป็นฝ่ายชนะ? "
ทั้งสองคนต่างหาเหตุผล
ให้อีกคนผิดได้อย่างออกอรรถรส
ต่างคนต่างคานกันได้อย่างออกรสออกชาติ
แต่สุดท้ายกลับไร้ทางออกในเรื่องแก้วใบนี้
เพราะไม่สามารถที่จะหาคนหนึ่งคนใด
ที่ผิดคนเดียวได้อย่างแท้จริง
ผมจึงบอกโจทย์ใหม่ให้เค้าพูดใหม่
"" สมมุติว่า A นั่งเขย่าขาแล้วโต๊ะสั่นจนแก้วนี้ล้ม
แล้ว B ก็มัวแต่เล่นมือถือไม่ทันคว้าแก้วนั้นทัน
ไหนทั้ง 2 คนลองเถียงให้พี่ฟังหน่อยว่า
ใครพูดให้ตัวเองรับเป็นต้นเหตุที่ทำให้แก้วนี้ล้มได้เป็นผู้ชนะ "
ทั้งสองคนพูดตะกุกตะกักเพราะไม่ถนัดปาก
ในธรรมชาติที่สมองของคนจะคิดเห็นแต่ความผิดของคนอื่น
แต่แทบจะสมองรวนทันทีที่ต้องหาความผิดของตนเอง
แต่สิ่งที่น่าทึ่งเมื่อแต่ละคนหาเหตุผลให้ตนเองรับเป็นต้นเหตุ
ที่ตัวเองทำให้แก้วล้ม
พลังงานของความเข้าอกเข้าใจเกิดขึ้นระหว่างกัน
ความผิดที่แต่ละคนดึงเข้าใส่ตัวเองนั้น
กลายเป็นความรับผิดชอบที่ต่างคนต่างรับ 100%
จุดจบของเรื่องจึงไม่ใช่ใครทำแก้วล้ม
แต่เป็นจุดที่มนุษย์สองคนเข้าใจกันและกัน
ว่าเราต่างมีความบกพร่องที่เราต่างช่วยกันได้
ในการที่จะป้องกันไม่ให้แก้วล้มในครั้งต่อไป
ผมจับแก้วตั้งขึ้นพร้อมกับรอยร้าว
ในความรู้สึกของทั้งสองคนที่หายไป
แล้วคิดในใจว่าเราจะทำเช่นไร
ที่โครงสร้างแบบนี้จะเกิดขึ้นอัตโนมัติกับมนุษย์
ที่จะหาบทสรุปที่ลงเอยกันได้ด้วยดีได้โดยที่ไม่ต้องมีเรา
ที่มา โค๊ชพล
ภาพ : https://th.jobsdb.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น