วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2560

เที่ยงวัน..ภายในร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดแห่งหนึ่ง มีลูกค้ามาใช้บริการเพียงสามคน หนึ่งคนแก่ หนึ่งชายหนุ่ม อีกหนึ่งคือผม อาจจะเป็นเพราะลูกค้าเบาบาง หลอดไฟส่องแสงสว่างภายในร้าน จึงไม่ได้เปิดทั้งหมด รู้สึกได้ว่ามันมืดสลัว ผมนั่งอยู่มุมหนึ่ง ใกล้หน้าต่างตามลำพัง ชายหนุ่มในมือถือชามบะหมี่ นั่งกินอยู่โต๊ะ ใกล้ประตู ข้างๆ กันกับคนแก่ ผมสังเกตุเห็นว่า จุดสนใจขของชายหนุ่ม จะไม่ได้อยู่ที่บะหมี่ เพราะว่า สายตาของเขา จับจ้องโทรศัพท์มือถือ ที่วางอยู่บนโต๊ะ ของคนแก่ตลอดเวลา เป็นจริงอย่างที่ผมคาดคิดไว้ ผมเห็นตอนที่คนแก่ลุกขึ้น เพื่อไปเติมน้ำซุบ ชายหนุ่มใช้ความว่องไว ยื่นมือไปที่โทรศัพท์ รีบฉวยใส่เข้ากระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ต จากนั้น บะหมี่ที่ยังกินไม่หมด ก็จากไป หลังจากที่คนแก่กลับมาถึง ก็พบว่า... โทรศัพท์ของตนเองหายไปแล้ว ร่างของเขาสั่นสะท้านนิดๆ แต่สงบลงอย่างรวดเร็ว แล้วหันมองรอบๆ ยามนี้..ชายหนุ่มได้เดินออกจากประตูไปแล้ว คนแก่คล้ายดั่งเข้าใจอะไรบางอย่าง เขารีบก้าวเดินไปที่ชายหนุ่มซึ่งอยู่นอกประตู ผมเป็นห่วงแทนคนแก่เป็นอย่างมาก ผมคิดว่า เขาอายุมาก ร่างกายอ่อนแอ ยากที่จะต่อกรกับชายหนุ่ม ที่ร่างกายกำยำ แข็งแรง ไม่คาดคิด..คนแก่กลับพูดว่า " หนุ่มน้อย..โปรดรอสักครู่ " ชายหนุ่มชะงัก แล้วพูดว่า " ทำไมหรือ ?" " คืออย่างนี้..เมื่อวาน..... เป็นวันเกิดครบรอบเจ็ดสิบปีของผม ลูกสาวผมได้ให้โทรศัพท์มือถือแก่ผม หนึ่งเครื่องเป็นของขวัญ ถึงแม้นผมจะไม่ชื่นชอบโทรศัพท์เครื่องนั้น แต่ทว่า มันเป็นสิ่งที่ลูกสาวผม ให้มาเพื่อแสดงความมีกตัญญู เมื่อครู่ ผมวางอยู่บนโต๊ะ ทว่าตอนนี้ กลับหายไปแล้ว ผมคิดว่า ต้องเป็นเพราะผม ไม่ทันระมัดระวัง ทำหล่นลงพื้น แต่สายตาผมฝ้าฟางและขุ่นมัวมาก อีกทั้ง การโค้งงอเอวสำหรับผมแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายเลย ขอรบกวนเธอ ช่วยผมหาหน่อยได้ไหม ?" ท่าทางตึงเครียดตื่นเต้น ของชายหนุ่มเมื่อครู่ ได้หายไปกลับมาเป็นปกติแล้ว เขาเช็ดเหงื่อ ที่อยู่บนหน้าผาก แล้วพูดกับคนแก่ว่า " อ๋อ..ท่านอย่าเพิ่งกังวล ผมจะช่วยท่านหา ทั้งสองเดินกลับมาที่โต๊ะ ซึ่งคนแก่นั่งอยู่ ก่อนหน้านี้ ชายหนุ่มเดินรอบโต๊ะหนึ่งรอบ แล้วเดินอีกหนึ่งรอบ จากนั้น ยื่นโทรศัพท์ให้คนแก่แล้วพูดว่า " ท่านผู้เฒ่า ท่านดูใช่เครื่องนี้หรือไม่ ?" คนแก่กำมือชายหนุ่มแนบแน่น พูดด้วยความตื่นเต้นว่า " ขอบใจ ขอบใจเธอ เป็นชายหนุ่มที่ดีจริงๆ เธอสามารถไปได้แล้ว....." ผมตะลึงกับฉากที่เห็นอยู่ตรงหน้า รอชายหนุ่มไปไกลแล้ว ผมเดินไปหาคนแก่ แล้วพูดว่า " แท้จริงแล้ว ท่านมั่นใจว่า เขาคือผู้ขโมย โทรศัพท์ไป แต่ทำไมถึงไม่แจ้งตำรวจ " คำตอบของชายชรา ยิ่งทำให้ผมยอมรับนับถือ สติปัญญาความเฉลี่ยวฉลาดของท่านยิ่งขึ้น ท่านพูดว่า " ถึงแม้แจ้งตำรวจ จะสามารถนำโทรศัพท์ กลับคืนมาเหมือนกัน ทว่า... ในเวลาเดียวกันกับที่ผมได้โทรศัพท์คืนมา ก็จะสูญเสียสิ่งหนึ่ง ที่ล้ำค่ากว่าโทรศัพท์ เป็นพันเป็นหมื่นเท่า นั่นก็คือ " ความใจกว้างโอบอ้อมอารี " อีกทั้ง..เพื่อโทรศัพท์หนึ่งเครื่องแล้ว ปล่อยให้ชายหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งนิสัยแท้จริง เป็นคนมีจิตใจที่ดีงาม ต้องจดจำรอยด่างพร้อย ที่ไม่สามารถลบทิ้งไปได้ชั่วชีวิต มันไร้มนุษย์ธรรมเกินไป " บางเวลา..เรื่องราวอาจจะไม่ย่ำแย่อย่างที่เราคิดไว้ ปัญหาอาจจะไม่ยากอย่างที่คาด เป็นเพราะพวกเราคิดมากไปเอง ต้องจำไว้ ไม่ว่าเรื่องราวใด ล้วนมีวิธีแก้ อย่าทำให้ตนเองต้องตกใจกลัวเพราะตัวเราเอง. Cr : Niwat Rungvicha

เที่ยงวัน..ภายในร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดแห่งหนึ่ง
มีลูกค้ามาใช้บริการเพียงสามคน
หนึ่งคนแก่ หนึ่งชายหนุ่ม อีกหนึ่งคือผม

อาจจะเป็นเพราะลูกค้าเบาบาง
หลอดไฟส่องแสงสว่างภายในร้าน
จึงไม่ได้เปิดทั้งหมด รู้สึกได้ว่ามันมืดสลัว

ผมนั่งอยู่มุมหนึ่ง ใกล้หน้าต่างตามลำพัง
ชายหนุ่มในมือถือชามบะหมี่ นั่งกินอยู่โต๊ะ
ใกล้ประตู ข้างๆ กันกับคนแก่

ผมสังเกตุเห็นว่า จุดสนใจขของชายหนุ่ม
จะไม่ได้อยู่ที่บะหมี่ เพราะว่า สายตาของเขา
จับจ้องโทรศัพท์มือถือ ที่วางอยู่บนโต๊ะ
ของคนแก่ตลอดเวลา

เป็นจริงอย่างที่ผมคาดคิดไว้
ผมเห็นตอนที่คนแก่ลุกขึ้น เพื่อไปเติมน้ำซุบ
ชายหนุ่มใช้ความว่องไว ยื่นมือไปที่โทรศัพท์
รีบฉวยใส่เข้ากระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ต
จากนั้น บะหมี่ที่ยังกินไม่หมด ก็จากไป

หลังจากที่คนแก่กลับมาถึง ก็พบว่า...
โทรศัพท์ของตนเองหายไปแล้ว
ร่างของเขาสั่นสะท้านนิดๆ
แต่สงบลงอย่างรวดเร็ว แล้วหันมองรอบๆ

ยามนี้..ชายหนุ่มได้เดินออกจากประตูไปแล้ว
คนแก่คล้ายดั่งเข้าใจอะไรบางอย่าง
เขารีบก้าวเดินไปที่ชายหนุ่มซึ่งอยู่นอกประตู

ผมเป็นห่วงแทนคนแก่เป็นอย่างมาก
ผมคิดว่า เขาอายุมาก ร่างกายอ่อนแอ
ยากที่จะต่อกรกับชายหนุ่ม ที่ร่างกายกำยำ
แข็งแรง

ไม่คาดคิด..คนแก่กลับพูดว่า
" หนุ่มน้อย..โปรดรอสักครู่ "
ชายหนุ่มชะงัก แล้วพูดว่า
" ทำไมหรือ ?"

" คืออย่างนี้..เมื่อวาน.....
เป็นวันเกิดครบรอบเจ็ดสิบปีของผม
ลูกสาวผมได้ให้โทรศัพท์มือถือแก่ผม
หนึ่งเครื่องเป็นของขวัญ

ถึงแม้นผมจะไม่ชื่นชอบโทรศัพท์เครื่องนั้น
แต่ทว่า มันเป็นสิ่งที่ลูกสาวผม ให้มาเพื่อแสดงความมีกตัญญู

เมื่อครู่ ผมวางอยู่บนโต๊ะ ทว่าตอนนี้
กลับหายไปแล้ว ผมคิดว่า ต้องเป็นเพราะผม
ไม่ทันระมัดระวัง ทำหล่นลงพื้น
แต่สายตาผมฝ้าฟางและขุ่นมัวมาก

อีกทั้ง การโค้งงอเอวสำหรับผมแล้ว
ก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายเลย ขอรบกวนเธอ
ช่วยผมหาหน่อยได้ไหม ?"

ท่าทางตึงเครียดตื่นเต้น ของชายหนุ่มเมื่อครู่
ได้หายไปกลับมาเป็นปกติแล้ว เขาเช็ดเหงื่อ
ที่อยู่บนหน้าผาก แล้วพูดกับคนแก่ว่า
" อ๋อ..ท่านอย่าเพิ่งกังวล ผมจะช่วยท่านหา

ทั้งสองเดินกลับมาที่โต๊ะ ซึ่งคนแก่นั่งอยู่
ก่อนหน้านี้ ชายหนุ่มเดินรอบโต๊ะหนึ่งรอบ
แล้วเดินอีกหนึ่งรอบ
จากนั้น ยื่นโทรศัพท์ให้คนแก่แล้วพูดว่า
" ท่านผู้เฒ่า ท่านดูใช่เครื่องนี้หรือไม่ ?"

คนแก่กำมือชายหนุ่มแนบแน่น
พูดด้วยความตื่นเต้นว่า
" ขอบใจ ขอบใจเธอ เป็นชายหนุ่มที่ดีจริงๆ
เธอสามารถไปได้แล้ว....."

ผมตะลึงกับฉากที่เห็นอยู่ตรงหน้า
รอชายหนุ่มไปไกลแล้ว ผมเดินไปหาคนแก่
แล้วพูดว่า
" แท้จริงแล้ว ท่านมั่นใจว่า เขาคือผู้ขโมย
โทรศัพท์ไป แต่ทำไมถึงไม่แจ้งตำรวจ "

คำตอบของชายชรา ยิ่งทำให้ผมยอมรับนับถือ
สติปัญญาความเฉลี่ยวฉลาดของท่านยิ่งขึ้น
ท่านพูดว่า

" ถึงแม้แจ้งตำรวจ จะสามารถนำโทรศัพท์
กลับคืนมาเหมือนกัน ทว่า... 
ในเวลาเดียวกันกับที่ผมได้โทรศัพท์คืนมา

ก็จะสูญเสียสิ่งหนึ่ง ที่ล้ำค่ากว่าโทรศัพท์
เป็นพันเป็นหมื่นเท่า นั่นก็คือ
" ความใจกว้างโอบอ้อมอารี "

อีกทั้ง..เพื่อโทรศัพท์หนึ่งเครื่องแล้ว
ปล่อยให้ชายหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งนิสัยแท้จริง
เป็นคนมีจิตใจที่ดีงาม ต้องจดจำรอยด่างพร้อย
ที่ไม่สามารถลบทิ้งไปได้ชั่วชีวิต
มันไร้มนุษย์ธรรมเกินไป "

บางเวลา..เรื่องราวอาจจะไม่ย่ำแย่อย่างที่เราคิดไว้
ปัญหาอาจจะไม่ยากอย่างที่คาด

เป็นเพราะพวกเราคิดมากไปเอง
ต้องจำไว้ ไม่ว่าเรื่องราวใด ล้วนมีวิธีแก้
อย่าทำให้ตนเองต้องตกใจกลัวเพราะตัวเราเอง.

Cr : Niwat Rungvicha

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น