วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ขึ้นชื่อว่าชีวิตแล้วตั้งต้นด้วยอวิชชาทั้งนั้น ก็อย่าไปหลงในสิ่งที่เรียกว่าชีวิต เดี๋ยวนี้มันหลงในสิ่งที่เรียกว่าชีวิต ชีวิตของกูแล้วกูจะให้มันดี ให้มันสวย ให้มันอร่อย ให้มันเจริญรุ่งเรือง มันจึงถูกหลอกได้ตลอดเวลา ถูกหลอกไปทุกสิ่งทุกอย่าง นับตั้งแต่เรื่องเก่า เรื่องใหม่ ชีวิตนี้มันจะเอาใหม่ มันจะได้ใหม่ มันจะให้มีความสวยงามอย่างใหม่ อะไรอย่างใหม่ หารู้ไม่ว่านั้นเป็นความเกิดขึ้นแห่งอวิชชา ที่ปรุงชีวิตบ้าๆ บอๆ แปลก ประหลาดต่างๆ นี่ ไม่มีที่สิ้นสุด พุทธทาสภิกขุ ธรรมบรรยายปีใหม่ ๒๕๑๗

ขึ้นชื่อว่าชีวิตแล้วตั้งต้นด้วยอวิชชาทั้งนั้น  ก็อย่าไปหลงในสิ่งที่เรียกว่าชีวิต  เดี๋ยวนี้มันหลงในสิ่งที่เรียกว่าชีวิต ชีวิตของกูแล้วกูจะให้มันดี ให้มันสวย ให้มันอร่อย ให้มันเจริญรุ่งเรือง  มันจึงถูกหลอกได้ตลอดเวลา  ถูกหลอกไปทุกสิ่งทุกอย่าง นับตั้งแต่เรื่องเก่า เรื่องใหม่  ชีวิตนี้มันจะเอาใหม่ มันจะได้ใหม่ มันจะให้มีความสวยงามอย่างใหม่  อะไรอย่างใหม่  หารู้ไม่ว่านั้นเป็นความเกิดขึ้นแห่งอวิชชา  ที่ปรุงชีวิตบ้าๆ บอๆ แปลก ประหลาดต่างๆ นี่ ไม่มีที่สิ้นสุด

พุทธทาสภิกขุ
ธรรมบรรยายปีใหม่ ๒๕๑๗

มันเปลี่ยนกันทั้งโลกก็ว่าได้ คือเปลี่ยนจากความนิยมในเรื่องนามธรรมอันสงบมาเป็นเรื่องของวัตถุอันเร่าร้อน เดี๋ยวนี้คล้ายๆ กับ จะยิ่งนิยมว่า ยิ่งเห็นแก่ตัวนั่นแหละยิ่งดี ถ้าใครไม่เห็นแก่ตัวกลับจะหาว่าเป็นคนเซอะซะ โง่เง่า งมงาย เห็นว่ายิ่งเห็นแก่ตัวนี่ยิ่งดี เป็นสิ่งที่ถูก เป็นสิ่งที่ควรจะทำ ดังนั้น จึงเกิดบุคคลประเภทที่ทำไปด้วยกิเลส คือ ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ พุทธทาสภิกขุ ธรรมบรรยายปีใหม่ ๒๕๑๗

มันเปลี่ยนกันทั้งโลกก็ว่าได้ คือเปลี่ยนจากความนิยมในเรื่องนามธรรมอันสงบมาเป็นเรื่องของวัตถุอันเร่าร้อน  เดี๋ยวนี้คล้ายๆ กับ จะยิ่งนิยมว่า ยิ่งเห็นแก่ตัวนั่นแหละยิ่งดี  ถ้าใครไม่เห็นแก่ตัวกลับจะหาว่าเป็นคนเซอะซะ โง่เง่า งมงาย  เห็นว่ายิ่งเห็นแก่ตัวนี่ยิ่งดี  เป็นสิ่งที่ถูก เป็นสิ่งที่ควรจะทำ  ดังนั้น จึงเกิดบุคคลประเภทที่ทำไปด้วยกิเลส คือ ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ

พุทธทาสภิกขุ
ธรรมบรรยายปีใหม่ ๒๕๑๗

ทำบุญด้วยปาก (ธรรมทาน) ได้บุญมากกว่าทำด้วยของ (วัตถุทาน) แต่คนส่วนมากทำไม่ได้เพราะเต็มอัดอยู่ด้วยความทุกข์ มืดมนท์ยิ่งกว่าตาบอด พูดเรื่องดับทุกข์ไม่เป็น, พูดเป็นแต่เรื่องการจมอยู่ในโลก ซึ่งมิใช่เรื่องธรรมทาน เพื่อให้มีจิตใจอยู่เหนือโลก ทั้งที่กายอยู่ในโลก. ขอให้ทุกคนเลื่อนระดับการทำทานของตน ให้ขึ้นมาอยู่ในระดับที่เรียกว่าธรรมทาน พุทธทาสภิกขุ

ทำบุญด้วยปาก (ธรรมทาน) ได้บุญมากกว่าทำด้วยของ (วัตถุทาน)  แต่คนส่วนมากทำไม่ได้เพราะเต็มอัดอยู่ด้วยความทุกข์  มืดมนท์ยิ่งกว่าตาบอด  พูดเรื่องดับทุกข์ไม่เป็น,  พูดเป็นแต่เรื่องการจมอยู่ในโลก  ซึ่งมิใช่เรื่องธรรมทาน  เพื่อให้มีจิตใจอยู่เหนือโลก ทั้งที่กายอยู่ในโลก. ขอให้ทุกคนเลื่อนระดับการทำทานของตน ให้ขึ้นมาอยู่ในระดับที่เรียกว่าธรรมทาน

พุทธทาสภิกขุ

เสียงธรรม - หลวงพ่อชา ทุกวันนี้เราแสวงหาทำบุญกัน แต่การละบาปนั้น ไม่ค่อยมีใครคิดถึง ในทางที่ดี มันจะต้องละบาปก่อนจึงบำเพ็ญบุญ ถ้าบาปไม่ละ มันจะเอาบุญไปไว้ตรงไหน บุญมันไม่มีที่อยู่ - หลวงพ่อชา

เสียงธรรม - หลวงพ่อชา

ทุกวันนี้เราแสวงหาทำบุญกัน แต่การละบาปนั้น ไม่ค่อยมีใครคิดถึง ในทางที่ดี มันจะต้องละบาปก่อนจึงบำเพ็ญบุญ ถ้าบาปไม่ละ มันจะเอาบุญไปไว้ตรงไหน บุญมันไม่มีที่อยู่ - หลวงพ่อชา

ชีวิตมันก็มีเรื่องให้เลือกอย่างมากมาย แล้วเราก็ไม่ได้เลือก เพราะเราไม่รู้จักเลือก...เพราะเราไม่รู้ว่าเราเกิดมาทำไม (หาก)เราได้รับคำสั่งสอนมาว่าเกิดมาเพื่อได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับก็คงจะง่าย ...โลกมันมีหลายโลกอย่างนี้ และเราเปลี่ยนได้ ถ้ามีความรู้เราเปลี่ยนได้เอง ถ้าไม่มีความรู้มันก็เปลี่ยนตามธรรมชาติ แต่เปลี่ยนตามธรรมชาตินี้ไม่ได้ไปกี่มากน้อย ดูตามธรรมดาสามัญมนุษย์เปลี่ยนได้ไม่กี่มากน้อย มันก็ติดลุ่มหลงอยู่ในกามารมณ์จนตายบ้าง บางรายติดลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติจนตายบ้าง บางรายก็หลงในเกียรติยศชื่อเสียงจนตายบ้าง ไม่มีจิตใจที่โผล่พ้นจากสิ่งเหล่านี้เลย จึงขอให้ทุกคนทราบไว้ว่า ธรรมชาติมีให้เลือกมากมายครบถ้วนอย่างนี้ เราจะเอาอย่างไร เท่าไร เพียงไร ก็คิดดูกันเอาเอง ถ้าคิดว่าเกิดมาชาติหนึ่งต้องได้ชั้นดีที่สุดชั้นเลิศที่สุดละก็ ขอให้เพ่งเล็งอยู่ชั้นโลกุตร ที่มีจิตใจอยู่เหนือการปรุงแต่งของสิ่งใดๆ อะไรๆจะเข้ามาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จะน่ารักหรือน่าเกลียดก็ตามไม่ทำให้เกิดการวิปริตทางจิตใจ มีจิตใจที่คงที่ ไม่ยินดีไม่ยินร้าย ถ้ามีการยินดียินร้ายมันก็จะเป็นดังที่ว่า จะมีความรักบ้าง มีความโกรธบ้าง มีความเกลียดบ้าง มีความกลัวบ้าง มีความวิตกกังวลนอนไม่หลับบ้าง มีความอาลัยอาวรณ์บ้าง มีความอิจฉาริษยาหึงหวงกันไป ไม่มีที่สิ้นสุดนั่นเพราะว่าจิตนั้นมันยังต่ำมากไม่มีธรรมะพอ พุทธทาสภิกขุ

ชีวิตมันก็มีเรื่องให้เลือกอย่างมากมาย แล้วเราก็ไม่ได้เลือก เพราะเราไม่รู้จักเลือก...เพราะเราไม่รู้ว่าเราเกิดมาทำไม (หาก)เราได้รับคำสั่งสอนมาว่าเกิดมาเพื่อได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับก็คงจะง่าย

...โลกมันมีหลายโลกอย่างนี้ และเราเปลี่ยนได้ ถ้ามีความรู้เราเปลี่ยนได้เอง ถ้าไม่มีความรู้มันก็เปลี่ยนตามธรรมชาติ แต่เปลี่ยนตามธรรมชาตินี้ไม่ได้ไปกี่มากน้อย ดูตามธรรมดาสามัญมนุษย์เปลี่ยนได้ไม่กี่มากน้อย มันก็ติดลุ่มหลงอยู่ในกามารมณ์จนตายบ้าง บางรายติดลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติจนตายบ้าง บางรายก็หลงในเกียรติยศชื่อเสียงจนตายบ้าง ไม่มีจิตใจที่โผล่พ้นจากสิ่งเหล่านี้เลย จึงขอให้ทุกคนทราบไว้ว่า ธรรมชาติมีให้เลือกมากมายครบถ้วนอย่างนี้ เราจะเอาอย่างไร เท่าไร เพียงไร ก็คิดดูกันเอาเอง

ถ้าคิดว่าเกิดมาชาติหนึ่งต้องได้ชั้นดีที่สุดชั้นเลิศที่สุดละก็ ขอให้เพ่งเล็งอยู่ชั้นโลกุตร ที่มีจิตใจอยู่เหนือการปรุงแต่งของสิ่งใดๆ อะไรๆจะเข้ามาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จะน่ารักหรือน่าเกลียดก็ตามไม่ทำให้เกิดการวิปริตทางจิตใจ มีจิตใจที่คงที่ ไม่ยินดีไม่ยินร้าย ถ้ามีการยินดียินร้ายมันก็จะเป็นดังที่ว่า จะมีความรักบ้าง มีความโกรธบ้าง มีความเกลียดบ้าง มีความกลัวบ้าง มีความวิตกกังวลนอนไม่หลับบ้าง มีความอาลัยอาวรณ์บ้าง มีความอิจฉาริษยาหึงหวงกันไป ไม่มีที่สิ้นสุดนั่นเพราะว่าจิตนั้นมันยังต่ำมากไม่มีธรรมะพอ

พุทธทาสภิกขุ

เด็กทุกวันนี้ถูกสอนให้เป็นฝ่ายรับตลอดเวลา ตั้งแต่เล็กจนโต มีคนเอาน้ำ เอาอาหาร หรือเอาอะไรต่ออะไรมาบริการถึงที่ ถึงวันเกิดก็มีแต่คนเอาของขวัญมาให้ คนไทยสมัยก่อนถึงวันเกิดเขาไม่ได้เป็นผู้รับ แต่เขาเป็นผู้ให้ เช่นใส่บาตร ปล่อยนกปล่อยปลา วันเกิดไทยเป็นแบบนี้ แต่วันเกิดฝรั่ง เจ้าของวันเกิดรอเป็นผู้รับของขวัญ ค่านิยมใฝ่เสพ ใฝ่บริโภคเกิดขึ้นได้เพราะวิถีชีวิตแบบนี้ พระไพศาล วิสาโล - - - - - - ปีใหม่นี้ แอดมินต์ ชวนลองทำอะไรใหม่ ทวนกระแสเก่า เพราะแม้แต่ฝรั่งหลายคนเค้าเปลี่ยนแล้วน้าา ดังเรื่องต่อไปนี้.... เมื่ออายุ 60 Glinda ได้ตั้งเป้าที่จะทำสิ่งดี ๆ 60 อย่าง ติดต่อกัน 60 วัน และเขียนบันทึกเกี่ยวกับประสบการณ์นั้นทุกวัน ๆ สิ่งที่เธอทำมีทั้งเล็กและใหญ่ เรามาลองดูกันนะ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจ ✿ จัดงานวัดเกิดให้เด็กในสถานพักพิง ✿ ให้ช่อดอกไม้สำหรับคนไข้ และ ขนมเครื่องดื่มสำหรับเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล ✿ วางผงซักฟอก เหรียญ ช็อคโกแลต และ ป้าย เขียนว่า "ขอเชิญบริการตัวเอง" ไว้ที่ร้านซักแห้ง ✿ เขียนจดหมายแสดงความชื่นชมอดีตสามี ✿ ทำความสะอาดสวนสาธารณะสำหรับสุนัข และทิ้งถุงเก็บอึไว้ให้หยิบใช้ฟรี ๆ ✿ เขียนจดหมาย 5 ฉบับ ให้แก่พนักงานให้บริการที่ใช้บริการบ่อย ๆ บอกว่ารู้สึกขอบคุณมากแค่ไหน ✿ ให้บัตรของขวัญแก่พนักงานแคชเชียร์ที่ลำบาก ✿ ที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต เข็นรถใส่ของกลับมาให้ลูกค้าคนอื่น ๆ และช่วยขนของ ✿ เก็บขยะในเมือง ✿ ทำการ์ดง่าย ๆ พร้อมเงิน 5 เหรียญ และให้แก่ภารโรงและพนักงานทำความสะอาดที่สนามบิน ✿ ไม่บ่นเป็นเวลา 1 วัน ✿ ให้ Gift Card สำหรับซื้อกาแฟ ให้กับนักเรียนที่กำลังจะสอบ final ✿ บริจาคหนังสือและ CD ให้ห้องสมุด และเขียนถ้อยคำให้กำลังใจสอดไว้ในหนังสือเกี่ยวกับมะเร็งและเรื่องเจ็บป่วยในห้องสมุด ฯลฯ แน่นอนว่าหลังจากทำทุกอย่างครบ 60 วัน วันเกิดปีนั้นของ Glinda เป็นวันเกิดทีมีความสุขที่สุดเลยทีเดียว "เพราะผู้ให้ความสุข ย่อมได้รับความสุข" สุขตั้งแต่คิดจะทำ กำลังทำ และหลังได้ทำ :) ไม่รู้ว่าผู้อ่านปีนี้อายุเท่าไรกันแล้ว ไอเดียดี ๆ แบบนี้ทำตามได้เลย ยิ่งอายุมากยิ่งได้ทำเยอะนะ #มันดีออก! #อยากแก่เลยเชียว #ความสุขจากจิตอาสา ความสุขประเทศไทย www.happinessisthailand.com

เด็กทุกวันนี้ถูกสอนให้เป็นฝ่ายรับตลอดเวลา
ตั้งแต่เล็กจนโต มีคนเอาน้ำ เอาอาหาร
หรือเอาอะไรต่ออะไรมาบริการถึงที่
ถึงวันเกิดก็มีแต่คนเอาของขวัญมาให้

คนไทยสมัยก่อนถึงวันเกิดเขาไม่ได้เป็นผู้รับ
แต่เขาเป็นผู้ให้ เช่นใส่บาตร ปล่อยนกปล่อยปลา
วันเกิดไทยเป็นแบบนี้
แต่วันเกิดฝรั่ง เจ้าของวันเกิดรอเป็นผู้รับของขวัญ

ค่านิยมใฝ่เสพ ใฝ่บริโภคเกิดขึ้นได้เพราะวิถีชีวิตแบบนี้

พระไพศาล วิสาโล

- - - - - -

ปีใหม่นี้ แอดมินต์ ชวนลองทำอะไรใหม่ ทวนกระแสเก่า เพราะแม้แต่ฝรั่งหลายคนเค้าเปลี่ยนแล้วน้าา ดังเรื่องต่อไปนี้....

เมื่ออายุ 60 Glinda ได้ตั้งเป้าที่จะทำสิ่งดี ๆ 60 อย่าง ติดต่อกัน 60 วัน และเขียนบันทึกเกี่ยวกับประสบการณ์นั้นทุกวัน ๆ สิ่งที่เธอทำมีทั้งเล็กและใหญ่ เรามาลองดูกันนะ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจ

✿ จัดงานวัดเกิดให้เด็กในสถานพักพิง

✿ ให้ช่อดอกไม้สำหรับคนไข้ และ ขนมเครื่องดื่มสำหรับเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล

✿ วางผงซักฟอก เหรียญ ช็อคโกแลต และ ป้าย เขียนว่า "ขอเชิญบริการตัวเอง" ไว้ที่ร้านซักแห้ง

✿ เขียนจดหมายแสดงความชื่นชมอดีตสามี

✿ ทำความสะอาดสวนสาธารณะสำหรับสุนัข และทิ้งถุงเก็บอึไว้ให้หยิบใช้ฟรี ๆ

✿ เขียนจดหมาย 5 ฉบับ ให้แก่พนักงานให้บริการที่ใช้บริการบ่อย ๆ บอกว่ารู้สึกขอบคุณมากแค่ไหน

✿ ให้บัตรของขวัญแก่พนักงานแคชเชียร์ที่ลำบาก

✿ ที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต เข็นรถใส่ของกลับมาให้ลูกค้าคนอื่น ๆ และช่วยขนของ

✿ เก็บขยะในเมือง

✿ ทำการ์ดง่าย ๆ พร้อมเงิน 5 เหรียญ และให้แก่ภารโรงและพนักงานทำความสะอาดที่สนามบิน

✿ ไม่บ่นเป็นเวลา 1 วัน

✿ ให้ Gift Card สำหรับซื้อกาแฟ ให้กับนักเรียนที่กำลังจะสอบ final

✿ บริจาคหนังสือและ CD ให้ห้องสมุด และเขียนถ้อยคำให้กำลังใจสอดไว้ในหนังสือเกี่ยวกับมะเร็งและเรื่องเจ็บป่วยในห้องสมุด
ฯลฯ

แน่นอนว่าหลังจากทำทุกอย่างครบ 60 วัน วันเกิดปีนั้นของ Glinda เป็นวันเกิดทีมีความสุขที่สุดเลยทีเดียว "เพราะผู้ให้ความสุข ย่อมได้รับความสุข" สุขตั้งแต่คิดจะทำ กำลังทำ และหลังได้ทำ :)

ไม่รู้ว่าผู้อ่านปีนี้อายุเท่าไรกันแล้ว ไอเดียดี ๆ แบบนี้ทำตามได้เลย ยิ่งอายุมากยิ่งได้ทำเยอะนะ #มันดีออก! #อยากแก่เลยเชียว

#ความสุขจากจิตอาสา
ความสุขประเทศไทย
www.happinessisthailand.com

ในทางพระศาสนานั้น ท่านสอนให้ตัด ไม่ให้เพิ่ม การเพิ่มนั้นมันยุ่ง ให้ตัดอารมณ์ ให้ตัดเต็มที่ สนุกสนานอารมณ์ เพลิดเพลินยินดี ให้เอาสิ่งนั้นออกไปเสีย แล้วก็มาหาความสงบทางจิตใจ ปัญญานันทภิกขุ

ในทางพระศาสนานั้น ท่านสอนให้ตัด
ไม่ให้เพิ่ม การเพิ่มนั้นมันยุ่ง
ให้ตัดอารมณ์  ให้ตัดเต็มที่
สนุกสนานอารมณ์  เพลิดเพลินยินดี
ให้เอาสิ่งนั้นออกไปเสีย
แล้วก็มาหาความสงบทางจิตใจ

ปัญญานันทภิกขุ

คิดดูเถิด คนทำชั่ว บางทีมันก็รู้อยู่ว่าทำชั่วแต่มันบังคับไม่ได้เพราะมันหลง หลงในเสน่ห์ของความชั่ว แล้วเป็นคนทำชั่ว เช่นข้าราชการทำคอรัปชั่นทั้งที่รู้อยู่ว่าจะต้องถึงกับไล่ออกจากงาน เนี่ยคิดดูเถอะว่าไอ้เสน่ห์ของความชั่วนี่มันอยู่ลึกเท่าไร แล้วมันกลับอยู่ลึกเท่าไรจนคนต้องหลงกระทำไปตามอำนาจของความโง่ นี่แหละคืออาการที่เรียกว่าเห็นกงจักรเป็นดอกบัว - พุทธทาสภิกขุ

คิดดูเถิด คนทำชั่ว บางทีมันก็รู้อยู่ว่าทำชั่วแต่มันบังคับไม่ได้เพราะมันหลง หลงในเสน่ห์ของความชั่ว แล้วเป็นคนทำชั่ว เช่นข้าราชการทำคอรัปชั่นทั้งที่รู้อยู่ว่าจะต้องถึงกับไล่ออกจากงาน เนี่ยคิดดูเถอะว่าไอ้เสน่ห์ของความชั่วนี่มันอยู่ลึกเท่าไร แล้วมันกลับอยู่ลึกเท่าไรจนคนต้องหลงกระทำไปตามอำนาจของความโง่ นี่แหละคืออาการที่เรียกว่าเห็นกงจักรเป็นดอกบัว - พุทธทาสภิกขุ

ทุกๆ คนต่างมีตาอยู่แล้ว เพียงแต่อย่าเผลอในการที่จะลืมตาขึ้นดูทุกๆ อย่างที่จะทำให้ดีเสียก่อน ก็จะเห็นอะไรได้ถูกต้องดีขึ้นแน่นอน ทุกๆ คนย่อมมีปัญญาที่เป็นพื้นและที่อบรมขึ้นใหม่อยู่ด้วยกัน พอที่จะดำรงตนอยู่ได้ตามสมควรแก่ภูมิปัญญาของตน แต่มีอยู่เป็นอันมากที่ไม่ใช่ปัญญา หรือไม่ชอบใช้ปัญญา แม้ที่มีอยู่ในเรื่อง ทั้งหลาย เช่น มักจะเชื่อเสียก่อนที่จะใช้ปัญญาก็มี เผลอสติไปจึงเลยขาดปัญญาก็มี หรือ เพราะโลภ โกรธ หลง มากำบังปัญญาเสียก็มีเป็นต้น จึงกลายเป็นความหลง หรืออวิชชา ความไม่รู้ หรือรู้ผิดจากความจริงซึ่งเท่ากับไม่รู้นั่นเอง คนเรามีกำเนิดปัญญา หรือปัญญาโดยกำเนิด และพึงอบรมให้เจริญปัญญา และในตอนท้ายนี้ ที่ยกพระพุทธภาษิตตรัสถึงคุณสมบัติที่จะทำให้บรรลุถึงความเจริญในทางดีว่ามีจักษุ คือ ปัญญา กับนิสัยคือที่อาศัยปัญญามีติดตัวมาแต่กำเนิดแล้ว เช่นเดียวกับจักษุคือดวงตาที่มีติดตัวมา ทุกคนจึงต่างมีปัญญาอยู่ด้วยกันแล้ว เช่นเดียวกับ มีจักษุอยู่แล้ว ท่านจึงสอนให้ไม่ประมาทคืออย่าเผลอปัญญาเหมือนอย่างอย่าเผลอในการที่จะลืมตาขึ้นดู สมเด็จพระญาณสังวร การบริหารทางจิตสำหรับผู้ใหญ่

ทุกๆ คนต่างมีตาอยู่แล้ว เพียงแต่อย่าเผลอในการที่จะลืมตาขึ้นดูทุกๆ อย่างที่จะทำให้ดีเสียก่อน ก็จะเห็นอะไรได้ถูกต้องดีขึ้นแน่นอน

ทุกๆ คนย่อมมีปัญญาที่เป็นพื้นและที่อบรมขึ้นใหม่อยู่ด้วยกัน พอที่จะดำรงตนอยู่ได้ตามสมควรแก่ภูมิปัญญาของตน แต่มีอยู่เป็นอันมากที่ไม่ใช่ปัญญา หรือไม่ชอบใช้ปัญญา แม้ที่มีอยู่ในเรื่อง ทั้งหลาย เช่น มักจะเชื่อเสียก่อนที่จะใช้ปัญญาก็มี เผลอสติไปจึงเลยขาดปัญญาก็มี หรือ
เพราะโลภ โกรธ หลง มากำบังปัญญาเสียก็มีเป็นต้น จึงกลายเป็นความหลง หรืออวิชชา ความไม่รู้ หรือรู้ผิดจากความจริงซึ่งเท่ากับไม่รู้นั่นเอง

คนเรามีกำเนิดปัญญา หรือปัญญาโดยกำเนิด และพึงอบรมให้เจริญปัญญา และในตอนท้ายนี้ ที่ยกพระพุทธภาษิตตรัสถึงคุณสมบัติที่จะทำให้บรรลุถึงความเจริญในทางดีว่ามีจักษุ คือ ปัญญา กับนิสัยคือที่อาศัยปัญญามีติดตัวมาแต่กำเนิดแล้ว เช่นเดียวกับจักษุคือดวงตาที่มีติดตัวมา ทุกคนจึงต่างมีปัญญาอยู่ด้วยกันแล้ว เช่นเดียวกับ มีจักษุอยู่แล้ว ท่านจึงสอนให้ไม่ประมาทคืออย่าเผลอปัญญาเหมือนอย่างอย่าเผลอในการที่จะลืมตาขึ้นดู

สมเด็จพระญาณสังวร
การบริหารทางจิตสำหรับผู้ใหญ่

ความคิดปรุงหรือปรุงคิดที่เป็นอันตรายแก่จิตใจมิได้เกิดขึ้นเอง แต่เกิดขึ้นด้วยอำนาจของกิเลส หรืออารมณ์ที่ฝังอยู่ในจิตใจนั้นเอง รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ที่ผ่านตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจทุกคนอยู่เป็นประจำ จะไม่เป็นอันตรายได้เลย ถ้ากิเลสในใจจะไม่ก่อให้เกิดความคิดปรุงหรือปรุงคิด การบริหารทางจิตสำหรับผู้ใหญ่ สมเด็จพระญาณสังวร

ความคิดปรุงหรือปรุงคิดที่เป็นอันตรายแก่จิตใจมิได้เกิดขึ้นเอง แต่เกิดขึ้นด้วยอำนาจของกิเลส หรืออารมณ์ที่ฝังอยู่ในจิตใจนั้นเอง

รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ที่ผ่านตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจทุกคนอยู่เป็นประจำ จะไม่เป็นอันตรายได้เลย ถ้ากิเลสในใจจะไม่ก่อให้เกิดความคิดปรุงหรือปรุงคิด

การบริหารทางจิตสำหรับผู้ใหญ่
สมเด็จพระญาณสังวร

เมื่อใดยึดถือ เมื่อนั้นเป็นทุกข์ เมื่อใดไม่ยึดถือ เมื่อนั้นมันไม่เป็นทุกข์ เมื่อใดยึดถือ เมื่อนั้นจิตมันวุ่นวายรกรุงรัง เป็นทาสของสิ่งที่ยึดถือ เมื่อใดเราไม่ยึดถือ จิตมันเกลี้ยง มันว่าง มันก็เป็นอิสระ เป็นไทแก่ตัว - ท่านพุทธทาส

เมื่อใดยึดถือ เมื่อนั้นเป็นทุกข์ เมื่อใดไม่ยึดถือ เมื่อนั้นมันไม่เป็นทุกข์ เมื่อใดยึดถือ เมื่อนั้นจิตมันวุ่นวายรกรุงรัง เป็นทาสของสิ่งที่ยึดถือ เมื่อใดเราไม่ยึดถือ จิตมันเกลี้ยง มันว่าง มันก็เป็นอิสระ เป็นไทแก่ตัว - ท่านพุทธทาส

" หนทางมีแต่ไม่เดิน " ชีวิตทุกชีวิตต้องเป็นเพื่อนเดินทางไปด้วยกัน มีจุดหมายปลายทางอย่างเดียวกัน คือหลุดพ้นจากปัญหาและความทุกข์ทั้งปวง เป็นมนุษย์สูงสุด นี่เราจึงต้องเดินไปพร้อมๆ กัน ด้วยการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เดี๋ยวนี้มันมีปัญหาหรือมีข้อเท็จจริงอยู่ว่า หนทางนั้นมีอยู่ แต่เรามันไม่เดิน หนทางมันมีอยู่ แต่คนมันไม่เดิน คิดดูเถิด ธรรมะซึ่งเป็นเหมือนหนทางนั้นมีอยู่ แต่คนมันไม่เดิน พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสว่า ช่วยไม่ได้ ช่วยไม่ได้ เพราะว่าหนทางนี้เป็นสิ่งที่ท่านต้องเดินเอง พระคถาคตทั้งหลายจะเป็นแต่ผู้ชี้ทางเท่านั้น พระองค์ก็ทรงชี้ทางไว้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งครบถ้วน เรียกว่าหนทางมันมีแล้วเราก็ไม่เดิน เราไม่เดินตามหนทางแล้วก็ไปเดินนอกทาง คือทางที่ผิด ทางที่จะให้เกิดผลร้าย คือไม่ถูกต้อง ดังนั้นโลกนี้จึงเต็มไปด้วยวิกฤติกาล ยิ่งมาถึงสมัยที่มีเหยื่อของกิเลสเจริญงอกงามขึ้นในโลก โลกก็ยิ่งมีความหลอกลวงให้เดินนอกลู่นอกทาง คนในโลกเดี๋ยวนี้ชอบใจเหยื่อของกิเลส เค้าช่วยกันสร้าง ช่วยกันใช้ ช่วยกันทุกอย่างเพื่อให้มันเต็มไปด้วยเหยื่อของกิเลสในโลก จนเป็นโลกที่เต็มไปด้วยวิกฤตกาล จึงทำให้หนทางนั้นเป็นหมัน คือหนทางรอดของชีวิตนั้นมีอยู่แต่คนไม่เดิน ขอให้ท่านทั้งหลายได้พิจารณาเห็นความจริงข้อนี้แล้ว เตรียมพร้อมเพื่อจะเดินตามหนทางที่ถูกต้องเป็นลำดับๆ ไปแล้ว มีความสุขอยู่ทุกทิพาราตรีกาล เทอญ พุทธทาสภิกขุ ปาฐกถาธรรมทางโทรทัศน์สุราษฯ และหาดใหญ่ รายการพุทธธรรมนำสุข ครั้งที่ 29 หนทางมีแต่ไม่เดิน รหัสไฟล์เสียง 6515260223290

" หนทางมีแต่ไม่เดิน "

ชีวิตทุกชีวิตต้องเป็นเพื่อนเดินทางไปด้วยกัน มีจุดหมายปลายทางอย่างเดียวกัน คือหลุดพ้นจากปัญหาและความทุกข์ทั้งปวง เป็นมนุษย์สูงสุด

นี่เราจึงต้องเดินไปพร้อมๆ กัน ด้วยการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เดี๋ยวนี้มันมีปัญหาหรือมีข้อเท็จจริงอยู่ว่า หนทางนั้นมีอยู่ แต่เรามันไม่เดิน หนทางมันมีอยู่ แต่คนมันไม่เดิน คิดดูเถิด ธรรมะซึ่งเป็นเหมือนหนทางนั้นมีอยู่ แต่คนมันไม่เดิน พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสว่า ช่วยไม่ได้ ช่วยไม่ได้ เพราะว่าหนทางนี้เป็นสิ่งที่ท่านต้องเดินเอง พระคถาคตทั้งหลายจะเป็นแต่ผู้ชี้ทางเท่านั้น

พระองค์ก็ทรงชี้ทางไว้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งครบถ้วน เรียกว่าหนทางมันมีแล้วเราก็ไม่เดิน เราไม่เดินตามหนทางแล้วก็ไปเดินนอกทาง คือทางที่ผิด ทางที่จะให้เกิดผลร้าย คือไม่ถูกต้อง ดังนั้นโลกนี้จึงเต็มไปด้วยวิกฤติกาล

ยิ่งมาถึงสมัยที่มีเหยื่อของกิเลสเจริญงอกงามขึ้นในโลก โลกก็ยิ่งมีความหลอกลวงให้เดินนอกลู่นอกทาง คนในโลกเดี๋ยวนี้ชอบใจเหยื่อของกิเลส เค้าช่วยกันสร้าง ช่วยกันใช้ ช่วยกันทุกอย่างเพื่อให้มันเต็มไปด้วยเหยื่อของกิเลสในโลก จนเป็นโลกที่เต็มไปด้วยวิกฤตกาล

จึงทำให้หนทางนั้นเป็นหมัน คือหนทางรอดของชีวิตนั้นมีอยู่แต่คนไม่เดิน

ขอให้ท่านทั้งหลายได้พิจารณาเห็นความจริงข้อนี้แล้ว เตรียมพร้อมเพื่อจะเดินตามหนทางที่ถูกต้องเป็นลำดับๆ ไปแล้ว มีความสุขอยู่ทุกทิพาราตรีกาล เทอญ

พุทธทาสภิกขุ
ปาฐกถาธรรมทางโทรทัศน์สุราษฯ และหาดใหญ่
รายการพุทธธรรมนำสุข ครั้งที่ 29 หนทางมีแต่ไม่เดิน
รหัสไฟล์เสียง 6515260223290

อานิสงส์ของการเสียสละบ่อย ๆ จะเป็นทุกข์น้อยเมื่อสูญเสีย " ความดีหรือบุญหรือกุศล ทำให้จิตใจมีความทุกข์ไม่เป็น อะไรเกิดขึ้นก็ร้องไห้ไม่เป็น เพราะเป็นผู้เสียสละอยู่เรื่อย เป็นปกติวิสัย ที่ทำให้มีความทุกข์ไม่เป็น มีความทุกข์ได้ยาก ยกตัวอย่างง่าย ๆ แค่ว่าเราถูกขโมยอะไรไปอย่างนึง ถ้าเราเป็นคนอิงทางวัตถุด้านเดียว เราก็โกรธ เราก็ทุกข์ร้อน ไปหาตำรวจให้มาจับ(ขโมย) จับไม่ได้ ถ้าสมมติจับไม่ได้ ก็มานั่งร้องไห้อยู่ ไม่ว่าตำรวจจับได้ มันก็ยังโกรธยังเป็นทุกข์อยู่ แต่ถ้าเราเป็นผู้มีนิสัยที่เสียสละที่บริจาคอะไรอยู่...ก็คือให้ทานมันไปเลย ก็ไม่ต้องมานั่งร้องไห้อยู่ ไม่ต้องเศร้าโศกอะไรอยู่ นี่เป็นเรื่องทางฝ่ายจิตใจจะได้รับประโยชน์จากการเห็นแก่ผู้อื่นหรือเสียสละ ไม่ใช่เรื่องจำยอม เราต้องให้ทานไปเลยหรือจำยอม ต้องเปลี่ยนให้เป็นเรื่องทางจิตใจที่แท้จริง เราได้เป็นผู้เสียสละ เราได้พบความจริง เราได้สละความเห็นแก่ตัว นั่นมันมีค่ามากกว่าค่าของวัตถุที่เค้าได้ขโมยออกไป คนแต่ก่อนก็รู้จักทำทุกอย่างให้กลายเป็นบุญเป็นกุศลไปหมด แม้แต่สิ่งที่ถูกขโมย " พุทธทาสภิกขุ ที่มา อบรมอนุกาชาด ปี ๒๕๑๖ รหัสไฟล์ 4425160905000

อานิสงส์ของการเสียสละบ่อย ๆ จะเป็นทุกข์น้อยเมื่อสูญเสีย

" ความดีหรือบุญหรือกุศล ทำให้จิตใจมีความทุกข์ไม่เป็น อะไรเกิดขึ้นก็ร้องไห้ไม่เป็น เพราะเป็นผู้เสียสละอยู่เรื่อย เป็นปกติวิสัย ที่ทำให้มีความทุกข์ไม่เป็น มีความทุกข์ได้ยาก

ยกตัวอย่างง่าย ๆ แค่ว่าเราถูกขโมยอะไรไปอย่างนึง ถ้าเราเป็นคนอิงทางวัตถุด้านเดียว  เราก็โกรธ เราก็ทุกข์ร้อน ไปหาตำรวจให้มาจับ(ขโมย) จับไม่ได้ ถ้าสมมติจับไม่ได้ ก็มานั่งร้องไห้อยู่ ไม่ว่าตำรวจจับได้ มันก็ยังโกรธยังเป็นทุกข์อยู่ 

แต่ถ้าเราเป็นผู้มีนิสัยที่เสียสละที่บริจาคอะไรอยู่...ก็คือให้ทานมันไปเลย ก็ไม่ต้องมานั่งร้องไห้อยู่ ไม่ต้องเศร้าโศกอะไรอยู่  นี่เป็นเรื่องทางฝ่ายจิตใจจะได้รับประโยชน์จากการเห็นแก่ผู้อื่นหรือเสียสละ

ไม่ใช่เรื่องจำยอม เราต้องให้ทานไปเลยหรือจำยอม  ต้องเปลี่ยนให้เป็นเรื่องทางจิตใจที่แท้จริง เราได้เป็นผู้เสียสละ เราได้พบความจริง เราได้สละความเห็นแก่ตัว นั่นมันมีค่ามากกว่าค่าของวัตถุที่เค้าได้ขโมยออกไป

คนแต่ก่อนก็รู้จักทำทุกอย่างให้กลายเป็นบุญเป็นกุศลไปหมด แม้แต่สิ่งที่ถูกขโมย "

พุทธทาสภิกขุ
ที่มา อบรมอนุกาชาด ปี ๒๕๑๖ รหัสไฟล์ 4425160905000

การมาวัดนั้น ไม่ใช่เรื่องของคนแก่คนชรา แต่เป็นเรื่องของคนที่ต้องการความสงบทางใจ ต้องการความมั่นคง ทางด้านจิตใจ ไม่ว่าเราจะอยู่ในวัยไหน เราก็ต้องการสิ่งนี้ด้วยกันทั้งนั้น แต่ว่าการกระทำนั้น มักจะเป็นไปในรูปอย่างนั้น จึงใคร่ขอแนะนำว่า เรามาปฏิรูปกันเสียที แทนที่จะเป็นคนแก่เข้าวัดศึกษาธรรมะ เราควรที่จะเอาคนที่อยู่ ในวัยหนุ่ม วัยฉกรรจ์ วัยกลางคน เข้าวัดกันเสียมั่ง เพราะว่าคนที่อยู่ในวัยหนุ่มวัยฉกรรจ์นี่แหละ จะเป็นกำลังสำคัญ ของสังคมไทยในการต่อไป ถ้าจิตใจของเขาไม่มั่นคง ขาดกำลังเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง การปฏิบัติกิจในหน้าที่ จะเอาดีได้อย่างไร อันนี้ เป็นเรื่องคน มีความเกี่ยวข้องกับการงานต่างๆ มีความเกี่ยวข้องกับคนมากๆ ย่อมจะมองเห็นด้วยตัวเอง ว่าคนที่ปฏิบัติงานอยู่ ในหน้าที่ประจำนั้น ยังมีการขาดอะไรบางสิ่ง บางประการ ที่เป็นเรื่องสำคัญที่สุด จึงได้เกิดเป็นปัญหา มีความวุ่นวายด้วยอาการต่างๆ นั่นแหละคือการขาดธรรมะ ไม่ได้สนใจ ที่จะมารับฟัง สิ่งที่เป็นประโยชน์ เราจึงควรจะได้เปลี่ยนแปลง นำคนที่ควรนำเข้ามาวัด คล้ายๆ กับคนป่วย ที่เราควรนำมารักษา ถ้าคนไม่เจ็บไม่ป่วย ไม่ร้องรักษาก็ไม่เป็นไร เพราะว่าคนป่วยนั้น อาการมันหนัก เราก็ต้องให้หยูกให้ยารักษากันไปตามเรี่อง คนป่วยทางกาย ยังต้องรีบพาไปโรงพยาบาล อันนี้นับว่าเป็นความผิดพลาดในชีวิตประจำวัน จึงใคร่แนะนำว่า ถ้าเรามีคนอยู่ในปกครองของเรา เช่น ลูก หลาน ถ้าเห็นว่า มันมีอาการผิดปกติทางจิตใจ มีความคิดไม่ค่อยถูกทาง เราก็ควรแนะนำเขามาหาพระสงฆ์องค์เจ้า เพื่อช่วยแนะนำแนวทางชีวิตแก่เขา ให้เขาได้รู้ว่า อะไรเป็นอะไร ถูกต้องตามเรื่องที่ควรจะรู้ ควรจะเข้าใจ นี้เป็นเรื่องที่จะต้องร่วมมือร่วมใจกัน ในสังคมยุคปัจจุบัน ถ้าเราไม่ทำอย่างนั้น กว่าเด็กเหล่านั้นจะเป็นคนแก่ ก็คงจะสร้างความรำคาญ ให้แก่เพื่อนมนุษย์มากมายก่ายกองทีเดียว แต่ถ้าเรารีบเอาไปรักษา ชี้แนะแนวทางให้เขาเข้าใจ เขาก็จะเปลี่ยนเข็มชีวิตได้ ปัญญานันทภิกขุ

การมาวัดนั้น ไม่ใช่เรื่องของคนแก่คนชรา
แต่เป็นเรื่องของคนที่ต้องการความสงบทางใจ
ต้องการความมั่นคง ทางด้านจิตใจ
ไม่ว่าเราจะอยู่ในวัยไหน
เราก็ต้องการสิ่งนี้ด้วยกันทั้งนั้น
แต่ว่าการกระทำนั้น มักจะเป็นไปในรูปอย่างนั้น

จึงใคร่ขอแนะนำว่า เรามาปฏิรูปกันเสียที
แทนที่จะเป็นคนแก่เข้าวัดศึกษาธรรมะ
เราควรที่จะเอาคนที่อยู่ ในวัยหนุ่ม วัยฉกรรจ์
วัยกลางคน เข้าวัดกันเสียมั่ง
เพราะว่าคนที่อยู่ในวัยหนุ่มวัยฉกรรจ์นี่แหละ
จะเป็นกำลังสำคัญ ของสังคมไทยในการต่อไป
ถ้าจิตใจของเขาไม่มั่นคง
ขาดกำลังเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง
การปฏิบัติกิจในหน้าที่ จะเอาดีได้อย่างไร

อันนี้ เป็นเรื่องคน มีความเกี่ยวข้องกับการงานต่างๆ
มีความเกี่ยวข้องกับคนมากๆ
ย่อมจะมองเห็นด้วยตัวเอง
ว่าคนที่ปฏิบัติงานอยู่ ในหน้าที่ประจำนั้น
ยังมีการขาดอะไรบางสิ่ง บางประการ
ที่เป็นเรื่องสำคัญที่สุด จึงได้เกิดเป็นปัญหา
มีความวุ่นวายด้วยอาการต่างๆ
นั่นแหละคือการขาดธรรมะ
ไม่ได้สนใจ ที่จะมารับฟัง สิ่งที่เป็นประโยชน์

เราจึงควรจะได้เปลี่ยนแปลง
นำคนที่ควรนำเข้ามาวัด
คล้ายๆ กับคนป่วย ที่เราควรนำมารักษา
ถ้าคนไม่เจ็บไม่ป่วย ไม่ร้องรักษาก็ไม่เป็นไร
เพราะว่าคนป่วยนั้น อาการมันหนัก
เราก็ต้องให้หยูกให้ยารักษากันไปตามเรี่อง
คนป่วยทางกาย ยังต้องรีบพาไปโรงพยาบาล

อันนี้นับว่าเป็นความผิดพลาดในชีวิตประจำวัน
จึงใคร่แนะนำว่า ถ้าเรามีคนอยู่ในปกครองของเรา
เช่น ลูก หลาน ถ้าเห็นว่า
มันมีอาการผิดปกติทางจิตใจ
มีความคิดไม่ค่อยถูกทาง
เราก็ควรแนะนำเขามาหาพระสงฆ์องค์เจ้า
เพื่อช่วยแนะนำแนวทางชีวิตแก่เขา
ให้เขาได้รู้ว่า อะไรเป็นอะไร
ถูกต้องตามเรื่องที่ควรจะรู้ ควรจะเข้าใจ
นี้เป็นเรื่องที่จะต้องร่วมมือร่วมใจกัน
ในสังคมยุคปัจจุบัน

ถ้าเราไม่ทำอย่างนั้น
กว่าเด็กเหล่านั้นจะเป็นคนแก่
ก็คงจะสร้างความรำคาญ
ให้แก่เพื่อนมนุษย์มากมายก่ายกองทีเดียว
แต่ถ้าเรารีบเอาไปรักษา
ชี้แนะแนวทางให้เขาเข้าใจ
เขาก็จะเปลี่ยนเข็มชีวิตได้

ปัญญานันทภิกขุ

ลอยของกูนั่นเองออกไปเสีย ยึดถือสิ่งใดไว้โดยความเป็นตัวกูก็เอาไปลอยทะเลเสีย นี่จึงจะเรียกว่าเป็นการลอยกระทงชนิดที่ลึกซึ้ง ที่มีความหมายลึกซึ้ง ที่มีประโยชน์ลึกซึ้ง เพราะถ้าลอยออกไปได้จริงๆแล้ว จะทำให้บรรลุถึงนิพพาน พุทธทาสภิกขุ ธรรมเทศนาวันลอยกระทง ๒๕๑๘

ลอยของกูนั่นเองออกไปเสีย ยึดถือสิ่งใดไว้โดยความเป็นตัวกูก็เอาไปลอยทะเลเสีย นี่จึงจะเรียกว่าเป็นการลอยกระทงชนิดที่ลึกซึ้ง ที่มีความหมายลึกซึ้ง ที่มีประโยชน์ลึกซึ้ง เพราะถ้าลอยออกไปได้จริงๆแล้ว จะทำให้บรรลุถึงนิพพาน

พุทธทาสภิกขุ
ธรรมเทศนาวันลอยกระทง ๒๕๑๘

สิ่งต่างๆ ที่มากระทบจิตใจของเรา รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เข้ามาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ใจ เป็นผู้รับรู้ในเรื่องอย่างนั้น บางครั้งมันก็มีอิทธิพลมากเหลือเกิน ที่จะดึงจิตเราให้ตกเป็นทาสของมัน อันนี้แหละเป็นอันตราย และเมื่อเราตกเป็นทางของมันแล้ว บางทีก็เพลินไปสิ่งนั้น ลืมเรื่องเดิม ลืมว่าเราเป็นอะไร อยู่ในฐานะอะไร อยู่ในตำแหน่งหน้าที่อะไร ควรจะประพฤติปฏิบัติตนอย่างไร ลืมตัวลืมตนไปหมด... อาตมาเคยสังเกตดู คนที่เคยตกไปอยู่ในอำนาจของสิ่งต่างๆ เหล่านั้น เป็นคนขาดการศึกษาในแง่ธรรมะ อาจจะมีการศึกษาในเรื่องอื่น ตามแบบที่เขามีกันอยู่ในโลกทั่วๆ ไป เช่น สำเร็จวิชานั่นวิชานี่ ได้ปริญญาได้อะไรมาก็มีเหมือนกัน แต่ว่าผลที่สุดจิตใจตกต่ำ ขนาดเขาจูงไปได้ตามความปรารถนา อันนี้แหละน่ากลัว พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสเตือนเรื่องนี้ไว้ว่า "อตฺตานญฺเจว น ทเทยฺย" ไม่พึงให้ตนแก่ใครๆ ไม่พึงมอบตนให้แก่ใครๆ สิ่งใดๆ คือ ทั้งเป็นคนเป็นสัตว์ เป็นวัตถุสิ่งของ เป็นอารมณ์ที่มากระทบอะไรก็ตาม เราอย่ายอมมอบตนให้แก่สิ่งนั้น พูดง่ายๆว่า อย่าเป็นทาสของสิ่งนั้น แต่ให้ดำรงความเป็นไท ในจิตใจตลอดเวลา ถ้าเราปล่อยตัวปล่อยใจ ไปเป็นทาสของสิ่งเหล่านั้นเมื่อใด เราก็จะเกิดความทุกข์ความเดือดร้อนใจ ขึ้นมาเมื่อนั้นเสียหายเมื่อนั้น ปัญญานันทภิกขุ

สิ่งต่างๆ ที่มากระทบจิตใจของเรา
รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส
เข้ามาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ใจ
เป็นผู้รับรู้ในเรื่องอย่างนั้น
บางครั้งมันก็มีอิทธิพลมากเหลือเกิน
ที่จะดึงจิตเราให้ตกเป็นทาสของมัน
อันนี้แหละเป็นอันตราย
และเมื่อเราตกเป็นทางของมันแล้ว
บางทีก็เพลินไปสิ่งนั้น
ลืมเรื่องเดิม ลืมว่าเราเป็นอะไร อยู่ในฐานะอะไร
อยู่ในตำแหน่งหน้าที่อะไร
ควรจะประพฤติปฏิบัติตนอย่างไร
ลืมตัวลืมตนไปหมด...

อาตมาเคยสังเกตดู
คนที่เคยตกไปอยู่ในอำนาจของสิ่งต่างๆ เหล่านั้น
เป็นคนขาดการศึกษาในแง่ธรรมะ
อาจจะมีการศึกษาในเรื่องอื่น
ตามแบบที่เขามีกันอยู่ในโลกทั่วๆ ไป
เช่น สำเร็จวิชานั่นวิชานี่
ได้ปริญญาได้อะไรมาก็มีเหมือนกัน
แต่ว่าผลที่สุดจิตใจตกต่ำ
ขนาดเขาจูงไปได้ตามความปรารถนา
อันนี้แหละน่ากลัว

พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสเตือนเรื่องนี้ไว้ว่า
"อตฺตานญฺเจว น ทเทยฺย"
ไม่พึงให้ตนแก่ใครๆ ไม่พึงมอบตนให้แก่ใครๆ สิ่งใดๆ

คือ ทั้งเป็นคนเป็นสัตว์ เป็นวัตถุสิ่งของ
เป็นอารมณ์ที่มากระทบอะไรก็ตาม
เราอย่ายอมมอบตนให้แก่สิ่งนั้น
พูดง่ายๆว่า อย่าเป็นทาสของสิ่งนั้น
แต่ให้ดำรงความเป็นไท ในจิตใจตลอดเวลา
ถ้าเราปล่อยตัวปล่อยใจ ไปเป็นทาสของสิ่งเหล่านั้นเมื่อใด
เราก็จะเกิดความทุกข์ความเดือดร้อนใจ
ขึ้นมาเมื่อนั้นเสียหายเมื่อนั้น

ปัญญานันทภิกขุ

"วิจิกิจฉา" หมายถึง ความลังเล เนื่องจากความสงสัย หรือ ความกลัว ถ้าไม่พิจารณาให้ดี ก็จะไม่เห็นว่ามันเกี่ยวกับเรื่อง "ตัวตน" หรือ "ของตน" ยิ่งกว่านั้น ยังมองข้ามไปเสียว่า ความลังเลนี้ ไม่มีความสำคัญอะไรในเรื่องความทุกข์และความดับทุกข์ แต่แท้ที่จริงนั้น วิจิกิจฉา ก็มีความสำคัญเช่นเดียวกันอีก ถ้าเป็นการปฏิบัติในขั้นสมาธิ วิจิกิจฉานี้ก็เป็นนิวรณ์ปิดกั้น หรือรบกวนจิตไม่ให้เป็นสมาธิ ถ้าเป็นการปฏิบัติในขั้นปัญญา วิจิกิจฉาก็เป็นเครื่องรบกวน ความเชื่อและปัญญาไม่ให้อยู่ในร่องในรอยได้ คนเราจึงไม่สามารถเอาชนะความทุกข์ได้ และตัวความลังเลนั้นเอง ก็เป็นเครื่องรบกวนความสุข หรือเป็นความทกข์ชนิดหนึ่งอยู่ในตัวมันเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทางศาสนาหรือเรื่องตามธรรมดาของชาวโลก การต่อสู้กันระหว่างความรู้สึกฝ่ายต่ำกับฝ่ายสูงนั่นเอง เรียกว่า วิจิกิจฉา ซึ่งอาจขยายความออกไปเป็นความไม่แน่ใจ ความไม่กล้าหาญ ความไม่ไว้ใจ หรือไม่เชื่อถือตัวเอง ฯลฯ วิจิกิจฉาชนิดที่เป็นอย่างชาวโลกๆ ที่สุด ก็เช่นไม่แน่ใจว่าจะประกอบอาชีพอะไร จะทำอะไร จะแสวงหาชื่อเสียงอะไรดี ฯลฯ และที่สูงขึ้นมาก็คือ ความไม่แน่ใจในการที่จะยึดเอาความดี หรือความยุติธรรม ว่าเป็นหลักที่แท้จริงได้หรือไม่ ความกลัวจะเสียประโยชน์ส่วนตัว กลัวจะเสียเปรียบเขา จะพ่ายแพ้เขา เป็นเหตุให้ไม่แน่ใจในการที่จะถือเอาความดีความจริงเป็นหลัก เป็นความกระอักกระอ่วนใจ ในทางหน้าที่หรือทางศีลธรรม เราพอจะมองเห็นว่า ความระส่ำระสายทุกข์ยากลำบาก หรือวิกฤติการณ์ต่างๆ ในโลก ย่อมเกิดมาจากความไม่แน่ใจของชาวโลกนั่นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็ของชนชั้นผู้นำกลุ่มต่างๆ ที่ไม่แน่ใจในการที่จะยึดมั่นในความดี หรือความจริง จนกระทั่ง ยอมเสียสัจจ์ เช่น พอเกิดสงคราม หวาดกลัวขึ้นมาก็หันไปหาพระเป็นเจ้าหรือศาสนา แต่พอเหตุการณ์นั้นผ่านไปก็หันหน้ากลับไปหาประโยชน์ให้แก่ "ตัวตน-ของตน" ไม่มีฝ่ายไหนแน่ใจในการที่จะยึดถือความดีความจริงเป็นหลัก ทั้งที่ตัวเองก็รู้อยู่ว่าอะไรเป็นอะไร โลกจึงตกอยู่ในห้วงแห่งความเท็จความโลเล หลอกลวงตัวเอง เพราะไม่สามารถบังคับความเชื่อ หรือสติปัญญาของตนให้แน่วแน่อยู่ในร่องในรอยได้ โลกจึงมีอาการเหมือนกับวิจิกิจฉา เคว้งคว้างไปตามความลังเลของคนในโลก ทั้งในกรณีที่เป็นไปทางโลกๆ และทางศาสนา สำหรับวิจิกิจฉาในทางฝ่ายพุทธศาสนานั้น เมื่อกล่าวไปตามหลักที่ถือๆ กันอยู่ ก็ได้แก่ความลังเลใน พระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ลังเลในการตรัสรู้จริงของพระพุทธเจ้า ความสงสัยในพระพุทธเจ้าก็คือ ลังเลในการที่จะเชื่อ หรือปฏิบัติตามคำแนะนำของท่าน เพราะมันขัดต่อความรู้สึกของตนที่มีอยู่ก่อน ขัดต่อประโยชน์ที่ตนหวังจะได้รับ การลังเลในพระธรรมก็เป็นอย่างเดียวกัน เลยทำให้คนถือศาสนากันเพียงแต่ปาก หรือเล่นตลกกับพระเป็นเจ้าของตน จนอาการเช่นนี้มีอยู่ทั่วไป สำหรับความลังเลในพระอริยสงฆ์นั้น หมายถึงว่า เห็นท่านเป็นผู้พ้นทุกข์ได้อย่างนั้นๆ แล้ว ตนก็ยังลังเลที่จะเดินตาม โดยที่ไม่เชื่อว่าท่านเหล่านั้นพ้นทุกข์ได้จริงบ้าง หรือการพ้นทุกข์ของท่านเหล่านั้นจะนำมาใช้ได้แก่ตนบ้าง เมื่อยังลังเลในตัวผู้สอน ในสิ่งที่นำมาสอน และในหมู่คนที่เคยปฏิบัติตามคำสอนจนประสบความสำเร็จมาแล้ว คนโง่เหล่านี้ แม้จะศึกษาไปสักเท่าไรๆ ก็มีแต่จะยิ่งกลายเป็นคนลังเลมากขึ้น จนกลายเป็นโรคประสาทหรือโรคจิตขึ้นมาก็ได้ เท่าที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ย่อมจะเห็นได้ว่า การที่คนเราเกิดความคิดลังเลแม้ในพระศาสดาของตน ในหลักธรรมะหรือหลักปรัชญา ก็กล่าวได้ว่า "อัตตา" อีกนั่นเองที่เป็นมูลเหตุอันแท้จริงแห่งความลังเล ถ้าเราดับความลังเลหรือควบคุมมันได้ ก็ย่อมหมายความว่าเราดับ หรือควบคุม "อัตตา" ได้ เพราะอาการแห่งความลังเลก็คือลักษณะอย่างหนึ่งของ "อัตตา" หรือความเห็นแก่ตัวนั่นแหละ เป็นเหตุให้เกิดความลังเล ไม่ว่าทั้งในทางโลกและทางธรรม พุทธทาสภิกขุ ตัวกู ของกู

"วิจิกิจฉา" หมายถึง ความลังเล เนื่องจากความสงสัย หรือ ความกลัว

ถ้าไม่พิจารณาให้ดี ก็จะไม่เห็นว่ามันเกี่ยวกับเรื่อง "ตัวตน" หรือ "ของตน" ยิ่งกว่านั้น ยังมองข้ามไปเสียว่า ความลังเลนี้ ไม่มีความสำคัญอะไรในเรื่องความทุกข์และความดับทุกข์ แต่แท้ที่จริงนั้น วิจิกิจฉา ก็มีความสำคัญเช่นเดียวกันอีก

ถ้าเป็นการปฏิบัติในขั้นสมาธิ วิจิกิจฉานี้ก็เป็นนิวรณ์ปิดกั้น หรือรบกวนจิตไม่ให้เป็นสมาธิ

ถ้าเป็นการปฏิบัติในขั้นปัญญา วิจิกิจฉาก็เป็นเครื่องรบกวน ความเชื่อและปัญญาไม่ให้อยู่ในร่องในรอยได้ คนเราจึงไม่สามารถเอาชนะความทุกข์ได้ และตัวความลังเลนั้นเอง ก็เป็นเครื่องรบกวนความสุข หรือเป็นความทกข์ชนิดหนึ่งอยู่ในตัวมันเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทางศาสนาหรือเรื่องตามธรรมดาของชาวโลก

การต่อสู้กันระหว่างความรู้สึกฝ่ายต่ำกับฝ่ายสูงนั่นเอง เรียกว่า วิจิกิจฉา ซึ่งอาจขยายความออกไปเป็นความไม่แน่ใจ ความไม่กล้าหาญ ความไม่ไว้ใจ หรือไม่เชื่อถือตัวเอง ฯลฯ วิจิกิจฉาชนิดที่เป็นอย่างชาวโลกๆ ที่สุด ก็เช่นไม่แน่ใจว่าจะประกอบอาชีพอะไร จะทำอะไร จะแสวงหาชื่อเสียงอะไรดี ฯลฯ และที่สูงขึ้นมาก็คือ ความไม่แน่ใจในการที่จะยึดเอาความดี หรือความยุติธรรม ว่าเป็นหลักที่แท้จริงได้หรือไม่ ความกลัวจะเสียประโยชน์ส่วนตัว กลัวจะเสียเปรียบเขา จะพ่ายแพ้เขา เป็นเหตุให้ไม่แน่ใจในการที่จะถือเอาความดีความจริงเป็นหลัก เป็นความกระอักกระอ่วนใจ ในทางหน้าที่หรือทางศีลธรรม

เราพอจะมองเห็นว่า ความระส่ำระสายทุกข์ยากลำบาก หรือวิกฤติการณ์ต่างๆ ในโลก ย่อมเกิดมาจากความไม่แน่ใจของชาวโลกนั่นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็ของชนชั้นผู้นำกลุ่มต่างๆ ที่ไม่แน่ใจในการที่จะยึดมั่นในความดี หรือความจริง จนกระทั่ง ยอมเสียสัจจ์ เช่น พอเกิดสงคราม หวาดกลัวขึ้นมาก็หันไปหาพระเป็นเจ้าหรือศาสนา แต่พอเหตุการณ์นั้นผ่านไปก็หันหน้ากลับไปหาประโยชน์ให้แก่ "ตัวตน-ของตน"

ไม่มีฝ่ายไหนแน่ใจในการที่จะยึดถือความดีความจริงเป็นหลัก ทั้งที่ตัวเองก็รู้อยู่ว่าอะไรเป็นอะไร โลกจึงตกอยู่ในห้วงแห่งความเท็จความโลเล หลอกลวงตัวเอง เพราะไม่สามารถบังคับความเชื่อ หรือสติปัญญาของตนให้แน่วแน่อยู่ในร่องในรอยได้ โลกจึงมีอาการเหมือนกับวิจิกิจฉา เคว้งคว้างไปตามความลังเลของคนในโลก ทั้งในกรณีที่เป็นไปทางโลกๆ และทางศาสนา

สำหรับวิจิกิจฉาในทางฝ่ายพุทธศาสนานั้น เมื่อกล่าวไปตามหลักที่ถือๆ กันอยู่ ก็ได้แก่ความลังเลใน พระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ลังเลในการตรัสรู้จริงของพระพุทธเจ้า ความสงสัยในพระพุทธเจ้าก็คือ ลังเลในการที่จะเชื่อ หรือปฏิบัติตามคำแนะนำของท่าน เพราะมันขัดต่อความรู้สึกของตนที่มีอยู่ก่อน ขัดต่อประโยชน์ที่ตนหวังจะได้รับ การลังเลในพระธรรมก็เป็นอย่างเดียวกัน เลยทำให้คนถือศาสนากันเพียงแต่ปาก หรือเล่นตลกกับพระเป็นเจ้าของตน จนอาการเช่นนี้มีอยู่ทั่วไป สำหรับความลังเลในพระอริยสงฆ์นั้น หมายถึงว่า เห็นท่านเป็นผู้พ้นทุกข์ได้อย่างนั้นๆ แล้ว ตนก็ยังลังเลที่จะเดินตาม โดยที่ไม่เชื่อว่าท่านเหล่านั้นพ้นทุกข์ได้จริงบ้าง หรือการพ้นทุกข์ของท่านเหล่านั้นจะนำมาใช้ได้แก่ตนบ้าง เมื่อยังลังเลในตัวผู้สอน ในสิ่งที่นำมาสอน และในหมู่คนที่เคยปฏิบัติตามคำสอนจนประสบความสำเร็จมาแล้ว คนโง่เหล่านี้ แม้จะศึกษาไปสักเท่าไรๆ ก็มีแต่จะยิ่งกลายเป็นคนลังเลมากขึ้น จนกลายเป็นโรคประสาทหรือโรคจิตขึ้นมาก็ได้

เท่าที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ย่อมจะเห็นได้ว่า การที่คนเราเกิดความคิดลังเลแม้ในพระศาสดาของตน ในหลักธรรมะหรือหลักปรัชญา ก็กล่าวได้ว่า "อัตตา" อีกนั่นเองที่เป็นมูลเหตุอันแท้จริงแห่งความลังเล ถ้าเราดับความลังเลหรือควบคุมมันได้ ก็ย่อมหมายความว่าเราดับ หรือควบคุม "อัตตา" ได้ เพราะอาการแห่งความลังเลก็คือลักษณะอย่างหนึ่งของ "อัตตา" หรือความเห็นแก่ตัวนั่นแหละ เป็นเหตุให้เกิดความลังเล ไม่ว่าทั้งในทางโลกและทางธรรม

พุทธทาสภิกขุ
ตัวกู ของกู