วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2559

นิทานสอนใจ ช้างถูกล่ามโซ่ เมื่อสัปดาห์ก่อน ได้คุยกับเพื่อนเก่าแก่คนหนึ่ง ซึ่งไม่ได้เจอกันมานานมาก เพื่อนคนนี้เป็นคนที่ชอบคิดว่าอยากลองทำอะไรใหม่ๆ มีความฝันที่ชอบในสิ่งที่ยังไม่สามารถทำได้ และฝันว่าอยากจะทำให้ได้ เช่น อยากจะเล่นเปียโนเป็น อยากนำเสนอเก่งๆ อยากเรียนภาษาต่างประเทศเพิ่มเติม อยากไปเที่ยวต่างประเทศ อยาก…. แต่สิ่งที่มักจะได้ยินจากปากของเพื่อนคนนี้ก็คือ “เราว่า เราทำไม่ได้หรอก และไม่มีทางที่จะทำได้เลย เพราะเราไม่ใช่คนเก่งอะไร” ผมและเพื่อนๆ คนอื่นก็ต้องคุยไปปลอบไป แล้วก็ให้กำลังใจไปในตัวว่า ทำได้แน่นอน แค่เพียงเริ่มต้นทำมัน เพื่อนคนนี้ก็จะตอบกลับมาว่า “ไม่มีทาง เรารู้ตัวเราดีว่าเราทำไม่ได้แน่นอน” เรียกว่าความคิดในเชิงลบนี้ฝังอยู่ในจิตใจอย่างลึกมากทีเดียว ได้เจอเพื่อนคนนี้ ก็เลยนึกถึงนิทานเรื่องหนึ่ง ซึ่งได้เคยเขียนลงใน blog นี้ไปแล้วเมื่อสักสองปีก่อน ก็เลยหยิบมาลงให้ได้อ่านกันใหม่ เพราะเชื่อว่าคงมีท่านผู้อ่านอีกหลายคนที่ยังไม่ได้อ่าน ส่วนท่านที่อ่านแล้วก็อ่านอีกรอบละกันนะครับ ผมกลับมาอ่านอีกที ก็ทำให้รู้สึกได้อะไรใหม่ๆ กับชีวิตอีกเช่นกันครับ เป็นนิทานของ ฆอร์เฆ่ บูกาย ในหนังสือเรื่อง จะเล่าให้คุณฟัง เรื่องราวมีดังนี้ครับ เมื่อยังเป็นเด็ก ผมชอบละครสัตว์มาก และสิ่งที่ผมชอบมากกว่าเพื่อนก็คือ สัตว์ต่างๆ นั่นเอง สัตว์ที่ดึงดูดใจผมได้เป็นพิเศษก็คือช้าง ต่อมาผมก็รู้ว่ามันเป็นสัตว์โปรดของเด็กคนอื่นๆ ด้วย ในระหว่างการแสดง เจ้าตัวใหญ่ยักษ์นี้แสดงให้เห็นถึงน้ำหนัก ขนาด และพละกำลังอันมหาศาลของมัน แต่เมื่อแสดงจบจนถึงเวลาที่จะกลับไปแสดงใหม่อีกครั้งนั้น ขาข้างหนึ่งของมันถูกล่ามโซ่ไว้กับเสาหลัก อย่างไรก็ตาม เสาต้นนั้นเป็นเพียงท่อนไม้เล็กๆ ตอกลงพื้นเพียงไม่กี่เซนติเมตร แม้โซ่จะใหญ่และทนทาน แต่ผมก็มั่นใจว่า สัตว์ที่ล้มต้นไม้ได้ด้วยแรงของตนเอง ย่อมปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากเสาเล็กๆ นั่น และหนีไปได้แน่ๆ ผมยังรู้สึกถึงความลี้ลับดังกล่าวจวบจนบัดนี้ อะไรกันแน่ที่เหนี่ยวรั้งมันไว้ ทำไมมันจึงไม่หนีไป ตอนที่ผมห้าหกขวบ ผมยังเชื่อถือความรู้ของผู้ใหญ่ ผมจึงถามครู ถามพ่อ ถามลุงเกี่ยวกับความลี้ลับข้อนี้ของช้าง บางคนอธิบายให้ผมฟังว่า ช้างไม่หนีเพราะมันถูกฝึกให้เชื่อง ผมจึงโพล่งถามออกไปว่า “ถ้ามันถูกฝึกให้เชื่องแล้ว ทำไมยังต้องล่ามโซ่มันอีก” ผมจำไม่ได้แล้วว่า ได้คำตอบที่ตรงกับคำถามหรือไม่ แต้เมื่อเวลาผ่านไป ผมก็ลืมเรื่องความลี้ลับของช้าง และเรื่องเสานั่น จะนึกได้ก็ตอนเจอคนอื่นๆ ซึ่งเคยตั้งคำถามเดียวกันนี้ด้วย เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ผมโชคดีได้เจอกับคนฉลาดคนหนึ่ง ซึ่งพอจะตอบคำถามนี้ได้ เขาตอบว่า ที่ช้างละครสัตว์ไม่หนี เพราะมันถูกล่ามกับเสาคล้ายๆ กันตั้งแต่ยังเล็ก ผมหลับตา นึกภาพช้างแรกเกิดที่ไม่มีทางสู้ ถูกผูกไว้กับเสา ผมแน่ใจว่าตอนนั้น ช้างตัวน้อยจะต้องทั้งผลัก ทั้งดึงจนเหงื่อท่วมเพื่อดิ้นรนให้ตัวเองเป็นอิสระ แม้มันจะพยายามเพียงใดก็ไม่สำเร็จ เสาต้นนั้นแข็งแกร่งเกินไปสำหรับมัน ผมนึกภาพมันนอนหมดแรง และวันต่อมามันก็ลองพยายามอีก วันแล้ววันเล่า กระทั่งวันหนึ่ง วันที่เลวร้ายที่สุดของชีวิต เจ้าสัตว์ตัวนี้ก็ยอมรับความอ่อนแอของตน และปลงใจในชะตาชีวิต “ช้างตัวใหญ่ยักษ์มีแรงมหาศาลที่เราเห็นในคณะละครสัตว์ไม่ยอมหนี เพราะเจ้าสัตว์น่าสงสารนั้นคิดว่าหนีไม่ได้ แม้ว่าโซ่เส้นนั้นจะกลายเป็นโซ่เส้นเล็กๆ ที่ใช้แรงเพียงเล็กน้อยก็ขาดแล้วก็ตาม” “มันยังคงจำความอ่อนแอไร้กำลังที่รู้สึกหลังลืมตาดูโลกไม่นานได้ฝังใจ สิ่งที่แย่ที่สุดก็คือ มันไม่เคยกลับไปตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความทรงจำนั้นอย่างจริงจังอีกเลย มันไม่เคยทดสอบกำลังของตนเองอีกเลย ไม่เคยเลย” คนเราก็คงไม่ต่างกันกับช้างตัวนี้ ถ้าเรามัวแต่คิดว่า เราทำไม่ได้ เราไม่มีความสามารถมากพอ มันก็เหมือนกับเราถูกล่ามไว้กับเสาที่เรามองไม่เห็น ทั้งๆ ที่มันอาจจะไม่มีเสาจริงๆ หรือเสามันอาจจะเก่าผุพังไปแล้ว และตัวเราเองที่มีความแข็งแกร่งมากขึ้น จนสามารถที่จะดึงตัวเองออกจากเสานี้ได้ถ้าเราเปลี่ยนทัศนคติเสียใหม่ แค่เพียงคิดว่า เราทำได้ แล้วก็ลองลงมือพิสูจน์พลังของตนเองดู อย่ามัวแต่เอาตัวเองไปล่ามไว้กับเสาเลยนะครับ ^^ ที่มา : https://prakal.wordpress.com/…/…/24/นิทานสอนใจ-ช้างถูกล่ามโ/ แชร์โดย #เคียวสุเกะ

นิทานสอนใจ ช้างถูกล่ามโซ่

เมื่อสัปดาห์ก่อน ได้คุยกับเพื่อนเก่าแก่คนหนึ่ง ซึ่งไม่ได้เจอกันมานานมาก เพื่อนคนนี้เป็นคนที่ชอบคิดว่าอยากลองทำอะไรใหม่ๆ มีความฝันที่ชอบในสิ่งที่ยังไม่สามารถทำได้ และฝันว่าอยากจะทำให้ได้ เช่น อยากจะเล่นเปียโนเป็น อยากนำเสนอเก่งๆ อยากเรียนภาษาต่างประเทศเพิ่มเติม อยากไปเที่ยวต่างประเทศ อยาก….

แต่สิ่งที่มักจะได้ยินจากปากของเพื่อนคนนี้ก็คือ “เราว่า เราทำไม่ได้หรอก และไม่มีทางที่จะทำได้เลย เพราะเราไม่ใช่คนเก่งอะไร” ผมและเพื่อนๆ คนอื่นก็ต้องคุยไปปลอบไป แล้วก็ให้กำลังใจไปในตัวว่า ทำได้แน่นอน แค่เพียงเริ่มต้นทำมัน เพื่อนคนนี้ก็จะตอบกลับมาว่า “ไม่มีทาง เรารู้ตัวเราดีว่าเราทำไม่ได้แน่นอน” เรียกว่าความคิดในเชิงลบนี้ฝังอยู่ในจิตใจอย่างลึกมากทีเดียว

ได้เจอเพื่อนคนนี้ ก็เลยนึกถึงนิทานเรื่องหนึ่ง ซึ่งได้เคยเขียนลงใน blog นี้ไปแล้วเมื่อสักสองปีก่อน ก็เลยหยิบมาลงให้ได้อ่านกันใหม่ เพราะเชื่อว่าคงมีท่านผู้อ่านอีกหลายคนที่ยังไม่ได้อ่าน ส่วนท่านที่อ่านแล้วก็อ่านอีกรอบละกันนะครับ ผมกลับมาอ่านอีกที ก็ทำให้รู้สึกได้อะไรใหม่ๆ กับชีวิตอีกเช่นกันครับ เป็นนิทานของ ฆอร์เฆ่ บูกาย ในหนังสือเรื่อง จะเล่าให้คุณฟัง เรื่องราวมีดังนี้ครับ

เมื่อยังเป็นเด็ก ผมชอบละครสัตว์มาก และสิ่งที่ผมชอบมากกว่าเพื่อนก็คือ สัตว์ต่างๆ นั่นเอง สัตว์ที่ดึงดูดใจผมได้เป็นพิเศษก็คือช้าง ต่อมาผมก็รู้ว่ามันเป็นสัตว์โปรดของเด็กคนอื่นๆ ด้วย ในระหว่างการแสดง เจ้าตัวใหญ่ยักษ์นี้แสดงให้เห็นถึงน้ำหนัก ขนาด และพละกำลังอันมหาศาลของมัน แต่เมื่อแสดงจบจนถึงเวลาที่จะกลับไปแสดงใหม่อีกครั้งนั้น ขาข้างหนึ่งของมันถูกล่ามโซ่ไว้กับเสาหลัก

อย่างไรก็ตาม เสาต้นนั้นเป็นเพียงท่อนไม้เล็กๆ ตอกลงพื้นเพียงไม่กี่เซนติเมตร แม้โซ่จะใหญ่และทนทาน แต่ผมก็มั่นใจว่า สัตว์ที่ล้มต้นไม้ได้ด้วยแรงของตนเอง ย่อมปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากเสาเล็กๆ นั่น และหนีไปได้แน่ๆ

ผมยังรู้สึกถึงความลี้ลับดังกล่าวจวบจนบัดนี้ อะไรกันแน่ที่เหนี่ยวรั้งมันไว้ ทำไมมันจึงไม่หนีไป

ตอนที่ผมห้าหกขวบ ผมยังเชื่อถือความรู้ของผู้ใหญ่ ผมจึงถามครู ถามพ่อ ถามลุงเกี่ยวกับความลี้ลับข้อนี้ของช้าง บางคนอธิบายให้ผมฟังว่า ช้างไม่หนีเพราะมันถูกฝึกให้เชื่อง

ผมจึงโพล่งถามออกไปว่า “ถ้ามันถูกฝึกให้เชื่องแล้ว ทำไมยังต้องล่ามโซ่มันอีก”

ผมจำไม่ได้แล้วว่า ได้คำตอบที่ตรงกับคำถามหรือไม่ แต้เมื่อเวลาผ่านไป ผมก็ลืมเรื่องความลี้ลับของช้าง และเรื่องเสานั่น จะนึกได้ก็ตอนเจอคนอื่นๆ ซึ่งเคยตั้งคำถามเดียวกันนี้ด้วย

เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ผมโชคดีได้เจอกับคนฉลาดคนหนึ่ง ซึ่งพอจะตอบคำถามนี้ได้ เขาตอบว่า

ที่ช้างละครสัตว์ไม่หนี เพราะมันถูกล่ามกับเสาคล้ายๆ กันตั้งแต่ยังเล็ก

ผมหลับตา นึกภาพช้างแรกเกิดที่ไม่มีทางสู้ ถูกผูกไว้กับเสา ผมแน่ใจว่าตอนนั้น ช้างตัวน้อยจะต้องทั้งผลัก ทั้งดึงจนเหงื่อท่วมเพื่อดิ้นรนให้ตัวเองเป็นอิสระ แม้มันจะพยายามเพียงใดก็ไม่สำเร็จ เสาต้นนั้นแข็งแกร่งเกินไปสำหรับมัน ผมนึกภาพมันนอนหมดแรง และวันต่อมามันก็ลองพยายามอีก วันแล้ววันเล่า กระทั่งวันหนึ่ง วันที่เลวร้ายที่สุดของชีวิต เจ้าสัตว์ตัวนี้ก็ยอมรับความอ่อนแอของตน และปลงใจในชะตาชีวิต

“ช้างตัวใหญ่ยักษ์มีแรงมหาศาลที่เราเห็นในคณะละครสัตว์ไม่ยอมหนี เพราะเจ้าสัตว์น่าสงสารนั้นคิดว่าหนีไม่ได้ แม้ว่าโซ่เส้นนั้นจะกลายเป็นโซ่เส้นเล็กๆ ที่ใช้แรงเพียงเล็กน้อยก็ขาดแล้วก็ตาม”
“มันยังคงจำความอ่อนแอไร้กำลังที่รู้สึกหลังลืมตาดูโลกไม่นานได้ฝังใจ สิ่งที่แย่ที่สุดก็คือ มันไม่เคยกลับไปตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความทรงจำนั้นอย่างจริงจังอีกเลย มันไม่เคยทดสอบกำลังของตนเองอีกเลย ไม่เคยเลย”

คนเราก็คงไม่ต่างกันกับช้างตัวนี้ ถ้าเรามัวแต่คิดว่า เราทำไม่ได้ เราไม่มีความสามารถมากพอ มันก็เหมือนกับเราถูกล่ามไว้กับเสาที่เรามองไม่เห็น ทั้งๆ ที่มันอาจจะไม่มีเสาจริงๆ หรือเสามันอาจจะเก่าผุพังไปแล้ว และตัวเราเองที่มีความแข็งแกร่งมากขึ้น จนสามารถที่จะดึงตัวเองออกจากเสานี้ได้ถ้าเราเปลี่ยนทัศนคติเสียใหม่

แค่เพียงคิดว่า เราทำได้ แล้วก็ลองลงมือพิสูจน์พลังของตนเองดู อย่ามัวแต่เอาตัวเองไปล่ามไว้กับเสาเลยนะครับ ^^

ที่มา : https://prakal.wordpress.com/…/…/24/นิทานสอนใจ-ช้างถูกล่ามโ/

แชร์โดย #เคียวสุเกะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น