วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2559

แกะดำที่ไม่ยอมตกเหว เรียนอนุบาล 3ปี เรียนประถม 6ปี เรียนมัธยมอีก 6ปี และอีก 4 ปีเรียนมหาวิทยาลัย 19 ปีเรียนที่เรียนมา หมดเงินไปไม่รู้เท่าไร จบมาก็ไปเป็นลูกจ้างห้องแอร์เงินเดือน 15,000!! ทำดี เจ้านาย ก็กลัวเกินหน้า.... เพื่อนร่วมงานก็ขี้อิจฉา ไหนจะลูกค้างี่เง่า!! เฮ๊อ!! ทนๆๆๆ ก็คงต้อนทนต่อไป เปลี่ยนที่ทำงานใหม่ ใช่ว่าจะหมดทุกข์ เราแค่เปลี่ยนที่ทุกข์! เท่านั้นเอง เช้า.. ตื่นมาแทนที่จะได้กินกาแฟอ่านหนังสือที่ชอบก่อน ต้องรีบร้อนวิ่งไปหาเครื่องตอกบัตร!! เที่ยง อยากหาอะไรที่ชอบร้านโปรดก็แสนไกลจะออกไปก็กลัวว่า จะไปเจอ อภิมหารถติดเมืองกรุง ทำได้แค่กินข้าวแกงข้างอ็อฟฟิตเพราะกลัวกลับเข้างานไม่ทันเวลา! อยากออกจากงานวันละ3เวลาหลังอาหารก็ทำไม่ได้เพราะ... ไหนจะผ่อนรถ ไหนจะค่าบัตรเครดิตอีก2-3ใบ ลาออกไปมีหวังกลับไปนั่งรถเมลล์เหมือนเดิม!! ลองมโนดูแบบตื้นๆ ไม่ต้องคิดเยอะ หากสมมุติว่าเราเป็นแกะ และอยู่ในฝูงเเกะ ทีมีรูป ร่างหน้าตา และ สีขน เหมือนแกะตัวข้างๆ เเละมักจะทำอะไรเหมือนๆกัน กินเหมือนๆกัน และกำลังจะเดินลงเหวไปทีละตัวทีละต้ว ด้วยความคิดที่ว่า..ก็เขาทำมาอย่างนี้ เราก็ทำๆไปเหอะ.. อีกไม่นาน ก็คงลงเหว ตามไปดหมือนกับเขา แน่นอน พูดถึงเมื่อมีชีวิตคู่ มีลูกยิ่งต้องระวัง ตกงานมาไม่ใช่เราคนเดียวที่อดตาย ไปทำงานด้วยความจำยอม เจ้านายจะโขกสับยังไงก็ต้องทน แต่ก็แปลกอีกนะ.... เราเจอแบบนี้มา เราก็ดันไป สอนลูกเราต่ออีกว่า "#ตั้งใจเรียนนะโตขึ้นจะได้ทำงานดีๆ" สุดท้ายพอเราตายไป เราไม่ได้ทิ้งอะไรใว้ให้ลูกเลย แต่เราทิ้งลูกจ้างใว้ให้โลกไว้ทำงาน ให้บริษัทคนอื่นให้คนอื่นรวย นั้นคือ ลูกเรา นั้นเอง!! คิดง่ายๆนะ อาเฮียร้านจักรยาน ตายไป เขาทิ้งกิจการร้านจักรยานใว้ให้ลูก ลูกรุ่นต่อไปเป็น...เถ้าแก่ ลุงดำ ทำงาน ร้านจักรยานของอาเฮีย ลุงดำตายไป ลุงดำจะมีอะไรทิ้งใว้ให้ลูก? คนจะรวยคนจะจน มันไม่ได้ต่างกันที่จำนวนเงิน มันต่างกันที่วิธีคิด!! คุณอยากเห็นตัวเองตอนอายุ 60 เป็นยังไงมันขึ้นอยู่กับการคิดการทำในวันนี้ เลิกทำให้คนอื่นรวย มาทำให้ตัวเองรวย แล้วก็เลิกพูด เลิกคิดเสียทีว่า ไม่เคยทำ ค้าขายไม่เป็น ทำธุรกิจไม่เป็น ออกมาจากท้องแม่ ตอนเเรกก็พูดไม่เป็น แต่ตอนนี้ เถียงฉอดๆๆ จนคอเป็นเอ็น.. **เรียนรู้ เเละศึกษา !!! เริ่มจากสิ่งที่ตัวเองชอบอยากทำ ทำแล้วมีความสุข แรกๆอาจจะไม่สำเร็จ ผิดพลาดก็ช่างมันยิ่งล้มยิ่งเก่ง เหมือนหัดขี่จักรยานนั้นแหละ ต้องมีล้มบ้าง เลือกเอา จะล้มตอนนี้ตอนที่ยังมีแรงลุกได้เร็วหรือล้มตอนอายุ60 ล้มมานี่ตายเลยนะครับ เพราะลุกไม่ไหว คุณจะยอมเป็น แกะขาวที่ทะยอยเดินตกเหว หรือ จะเป็นแกะดำ ที่เดินสวนทาง คุณจะทำทันที หรือรอโอกาศดีๆแล้วค่อยทำ และที่สำคัญ... คุณจะให้ลูกๆของคุณ #เป็นเถ้าแก่หรือแค่คนปะยาง ถ้าอ่านแล้วชอบก็แชร์ครับ !!!

แกะดำที่ไม่ยอมตกเหว

เรียนอนุบาล 3ปี
เรียนประถม 6ปี
เรียนมัธยมอีก 6ปี และอีก
4 ปีเรียนมหาวิทยาลัย

19 ปีเรียนที่เรียนมา
หมดเงินไปไม่รู้เท่าไร จบมาก็ไปเป็นลูกจ้างห้องแอร์เงินเดือน 15,000!!

ทำดี
เจ้านาย ก็กลัวเกินหน้า....
เพื่อนร่วมงานก็ขี้อิจฉา
ไหนจะลูกค้างี่เง่า!! เฮ๊อ!!

ทนๆๆๆ
ก็คงต้อนทนต่อไป
เปลี่ยนที่ทำงานใหม่ ใช่ว่าจะหมดทุกข์
เราแค่เปลี่ยนที่ทุกข์! เท่านั้นเอง
เช้า..
ตื่นมาแทนที่จะได้กินกาแฟอ่านหนังสือที่ชอบก่อน
ต้องรีบร้อนวิ่งไปหาเครื่องตอกบัตร!!

เที่ยง
อยากหาอะไรที่ชอบร้านโปรดก็แสนไกลจะออกไปก็กลัวว่า จะไปเจอ อภิมหารถติดเมืองกรุง
ทำได้แค่กินข้าวแกงข้างอ็อฟฟิตเพราะกลัวกลับเข้างานไม่ทันเวลา!

อยากออกจากงานวันละ3เวลาหลังอาหารก็ทำไม่ได้เพราะ...
ไหนจะผ่อนรถ ไหนจะค่าบัตรเครดิตอีก2-3ใบ
ลาออกไปมีหวังกลับไปนั่งรถเมลล์เหมือนเดิม!!

ลองมโนดูแบบตื้นๆ ไม่ต้องคิดเยอะ
หากสมมุติว่าเราเป็นแกะ และอยู่ในฝูงเเกะ ทีมีรูป ร่างหน้าตา และ สีขน เหมือนแกะตัวข้างๆ
เเละมักจะทำอะไรเหมือนๆกัน กินเหมือนๆกัน และกำลังจะเดินลงเหวไปทีละตัวทีละต้ว
ด้วยความคิดที่ว่า..ก็เขาทำมาอย่างนี้ เราก็ทำๆไปเหอะ..
อีกไม่นาน ก็คงลงเหว ตามไปดหมือนกับเขา แน่นอน

พูดถึงเมื่อมีชีวิตคู่
มีลูกยิ่งต้องระวัง
ตกงานมาไม่ใช่เราคนเดียวที่อดตาย ไปทำงานด้วยความจำยอม
เจ้านายจะโขกสับยังไงก็ต้องทน

แต่ก็แปลกอีกนะ....
เราเจอแบบนี้มา เราก็ดันไป สอนลูกเราต่ออีกว่า "#ตั้งใจเรียนนะโตขึ้นจะได้ทำงานดีๆ"

สุดท้ายพอเราตายไป
เราไม่ได้ทิ้งอะไรใว้ให้ลูกเลย
แต่เราทิ้งลูกจ้างใว้ให้โลกไว้ทำงาน
ให้บริษัทคนอื่นให้คนอื่นรวย
นั้นคือ ลูกเรา นั้นเอง!!

คิดง่ายๆนะ
อาเฮียร้านจักรยาน ตายไป เขาทิ้งกิจการร้านจักรยานใว้ให้ลูก
ลูกรุ่นต่อไปเป็น...เถ้าแก่

ลุงดำ ทำงาน ร้านจักรยานของอาเฮีย ลุงดำตายไป ลุงดำจะมีอะไรทิ้งใว้ให้ลูก?

คนจะรวยคนจะจน
มันไม่ได้ต่างกันที่จำนวนเงิน
มันต่างกันที่วิธีคิด!!

คุณอยากเห็นตัวเองตอนอายุ 60 เป็นยังไงมันขึ้นอยู่กับการคิดการทำในวันนี้

เลิกทำให้คนอื่นรวย
มาทำให้ตัวเองรวย
แล้วก็เลิกพูด เลิกคิดเสียทีว่า
ไม่เคยทำ ค้าขายไม่เป็น
ทำธุรกิจไม่เป็น
ออกมาจากท้องแม่ ตอนเเรกก็พูดไม่เป็น
แต่ตอนนี้ เถียงฉอดๆๆ จนคอเป็นเอ็น..

**เรียนรู้ เเละศึกษา  !!!
เริ่มจากสิ่งที่ตัวเองชอบอยากทำ
ทำแล้วมีความสุข
แรกๆอาจจะไม่สำเร็จ
ผิดพลาดก็ช่างมันยิ่งล้มยิ่งเก่ง
เหมือนหัดขี่จักรยานนั้นแหละ
ต้องมีล้มบ้าง
เลือกเอา

จะล้มตอนนี้ตอนที่ยังมีแรงลุกได้เร็วหรือล้มตอนอายุ60
ล้มมานี่ตายเลยนะครับ เพราะลุกไม่ไหว

คุณจะยอมเป็น แกะขาวที่ทะยอยเดินตกเหว
หรือ จะเป็นแกะดำ ที่เดินสวนทาง

คุณจะทำทันที หรือรอโอกาศดีๆแล้วค่อยทำ
และที่สำคัญ...
คุณจะให้ลูกๆของคุณ

#เป็นเถ้าแก่หรือแค่คนปะยาง

ถ้าอ่านแล้วชอบก็แชร์ครับ !!!

วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2559

อยาก 3 อยากนี้ ?? 1. อยากที่จะ.....ไม่อยากตาย!!! 2. อยากที่จะ......ไม่อยากอยู่บนโลก!!(ตาย) 3. อยากที่จะ......ไม่อยากเกิด!! เเต่ละอย่าง มีที่มา ต่างๆกัน มีธรรมต่างกัน มีโยคกรรมต่างกัน มีโยคกรรมใดที่เกษม อยากอะไร ที่คุณต้องการ อยากอะไร ที่คุณพยามฝืน อยากอะไร ที่คุณไม่ควรให้เกิดขึ้น --------------------------------- ข้อที่ 1 >>สัตว์ทั้งหลายจะรักชีวิตมาก.....ไม่อยากตาย กลัวตาย คุณเห็นมดลองทำท่าจะบี้ มันจะหนีสุดชีวิติ ถ้ารู้ว่าไม่รอดจะสู้ มนุษย์ กลัวตายที่สุด!!! เพราะ ยังไม่เคยเห็น หมา เเมว ควาย ช้าง ม้า ลิง ไก่ เป็ด เหล่านี้เเขวนสิ่งเสกเป่า รดน้ำมนต์ เเก้กรรม อ้อนวอน ให้พวกตนหมดทุกข์ หมดโศก หมดโรค หมดภัย หมดเคราะห์ ใดๆ ตลอดระยะผ่านมายาวนาน มนุษย์พยามยามหาวิธีคิด สร้าง เเสวงหา สิ่งใดๆ ยาใดๆ ทำให้พวกตน เป็นอมตะ เเก่ยาก ตายช้า ยาเหล่านี้ถูกหลอกเพื่อขาย เป็นธุรกิจมากมาย อยากมียาดีกินแล้วไม่แก่ หรือแก่ช้าๆๆ เพราะคิดว่าถ้าไม่แก่ อายุจะยืน!!! ที่จริง ถึงคาดตาย ไม่เกี่ยวกับ แก่หรือไม่แก่ ก็ตายได้ มนุษย์ฝืนความเเก้ หาทางเเก้ รักษาให้โรคต่างๆ ที่เกิด หรือมี เอาชนะโรคทั้งหลายเหล่านี้ เพื่อยืนอายุ โรคภัย ใข้เจ็บ เเละความเสื่อมตลอดมา เเต่มนุษย์ กลัวไปหมด กล้วตาย!!! ---------------------------- ข้อที่ 2 ความหมายคือเราจะฝืนอารมณ์นี้ให้ได้ คืออยากตาย เราต้องฝืนทุกอย่างให้เห็นว่า การตายไม่ใช่การเเก้ปัญหา!!! จึงเอาชนะปัญหาด้วยปัญญา ไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก ให้จิตนั้นไม่ไปเห็นว่านั้นคือทุกข์ นั้นคือเวทนา หรือเห็นว่า เวทนาเหล่านั้นคือเวทนาของเรา คือทุกข์ของเรา การไปยึดว่ามีตนมีอยู่ใน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็ไปทุกข์ ในสิ่งเหล่านั้น หาทางออกจากทุกข์ไม่ได้ จนคิดว่า ไม่อยากอยู่ในโลกใบนี้ มีเเต่ทุกข์ เป็นการเห็นทุกข์ ที่ผิดหลัก ไปเห็นว่า ทุกข์นั้นคือ ของตนอย่างเดียว เเต่เพราะไม่รู้ อริยสัจสี่ จึงไม่สามารถรู้ สมุทัยของทุกข์นั้น จึงต้องเเบกทุกข์นั้นไม่ไหว จึงตัดช่องน้อยได้ คนเราต้อง ฝืน ขืนให้มาก ด้วยปัญญา เห็นให้ไดไวๆ -------------------------------- ข้อที่ 3 เป็นการเห็นทุกข์ เห็นโทษของทุกข์ หมายถึง เห็นโทษของขันธ์5 หรือถ้าไม่พอ ไปเห็นในจุดต่างๆ เห็นทุกข์ของมหาภูตทั้งสี่ เห็นทุกข์ของรูป เห็นถูกโทษของ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เห็นโทษของเกิด ทุกภพ ทุกวิญญาณฐิติ เพราะนั้นคือ ทุกข์ โลกคือทุกข์ อินทรีย์กล้า เเม้ยังไม่ถึงเวลาไกล้ตาย ออกจากเรือน รักษาพรหมจรรย์ ปรารภความเพียร สู่ความปล่อยวาง ดับไม่ เหลือ เพื่อนิพพาน ต่อไป มีญานรู้ว่า หลุดพ้นเเล้ว กิจที่ควรทำจบเเล้ว ไม่มีภพให้เกิดอีกเเล้ว เมื่อรู้ว่า หลุดพ้น นั้นคือนิพพาน!!!!

อยาก 3  อยากนี้         ?? 
1. อยากที่จะ.....ไม่อยากตาย!!!
2. อยากที่จะ......ไม่อยากอยู่บนโลก!!(ตาย)
3. อยากที่จะ......ไม่อยากเกิด!!

เเต่ละอย่าง มีที่มา ต่างๆกัน มีธรรมต่างกัน
มีโยคกรรมต่างกัน  มีโยคกรรมใดที่เกษม

อยากอะไร  ที่คุณต้องการ
อยากอะไร  ที่คุณพยามฝืน
อยากอะไร  ที่คุณไม่ควรให้เกิดขึ้น

---------------------------------
ข้อที่ 1
>>สัตว์ทั้งหลายจะรักชีวิตมาก.....ไม่อยากตาย กลัวตาย คุณเห็นมดลองทำท่าจะบี้ มันจะหนีสุดชีวิติ ถ้ารู้ว่าไม่รอดจะสู้

มนุษย์ กลัวตายที่สุด!!!  เพราะ ยังไม่เคยเห็น หมา เเมว  ควาย  ช้าง  ม้า  ลิง  ไก่   เป็ด  เหล่านี้เเขวนสิ่งเสกเป่า  รดน้ำมนต์   เเก้กรรม  อ้อนวอน ให้พวกตนหมดทุกข์ หมดโศก  หมดโรค  หมดภัย  หมดเคราะห์  ใดๆ

ตลอดระยะผ่านมายาวนาน  มนุษย์พยามยามหาวิธีคิด สร้าง เเสวงหา
สิ่งใดๆ  ยาใดๆ   ทำให้พวกตน เป็นอมตะ  เเก่ยาก  ตายช้า  ยาเหล่านี้ถูกหลอกเพื่อขาย เป็นธุรกิจมากมาย

อยากมียาดีกินแล้วไม่แก่ หรือแก่ช้าๆๆ เพราะคิดว่าถ้าไม่แก่ อายุจะยืน!!!
ที่จริง ถึงคาดตาย ไม่เกี่ยวกับ แก่หรือไม่แก่ ก็ตายได้

มนุษย์ฝืนความเเก้  หาทางเเก้ รักษาให้โรคต่างๆ ที่เกิด หรือมี เอาชนะโรคทั้งหลายเหล่านี้ เพื่อยืนอายุ โรคภัย ใข้เจ็บ  เเละความเสื่อมตลอดมา

เเต่มนุษย์ กลัวไปหมด  กล้วตาย!!!
----------------------------

ข้อที่ 2 
ความหมายคือเราจะฝืนอารมณ์นี้ให้ได้ คืออยากตาย เราต้องฝืนทุกอย่างให้เห็นว่า การตายไม่ใช่การเเก้ปัญหา!!!

จึงเอาชนะปัญหาด้วยปัญญา ไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก ให้จิตนั้นไม่ไปเห็นว่านั้นคือทุกข์  นั้นคือเวทนา  หรือเห็นว่า เวทนาเหล่านั้นคือเวทนาของเรา คือทุกข์ของเรา

การไปยึดว่ามีตนมีอยู่ใน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ก็ไปทุกข์ ในสิ่งเหล่านั้น

หาทางออกจากทุกข์ไม่ได้   จนคิดว่า ไม่อยากอยู่ในโลกใบนี้ มีเเต่ทุกข์
เป็นการเห็นทุกข์ ที่ผิดหลัก  ไปเห็นว่า ทุกข์นั้นคือ ของตนอย่างเดียว

เเต่เพราะไม่รู้  อริยสัจสี่  จึงไม่สามารถรู้ สมุทัยของทุกข์นั้น
จึงต้องเเบกทุกข์นั้นไม่ไหว  จึงตัดช่องน้อยได้

คนเราต้อง ฝืน ขืนให้มาก ด้วยปัญญา เห็นให้ไดไวๆ

--------------------------------
ข้อที่ 3

เป็นการเห็นทุกข์ เห็นโทษของทุกข์  หมายถึง
เห็นโทษของขันธ์5  หรือถ้าไม่พอ ไปเห็นในจุดต่างๆ เห็นทุกข์ของมหาภูตทั้งสี่
เห็นทุกข์ของรูป  เห็นถูกโทษของ ตา หู  จมูก ลิ้น  กาย  ใจ

เห็นโทษของเกิด ทุกภพ ทุกวิญญาณฐิติ

เพราะนั้นคือ ทุกข์   โลกคือทุกข์

อินทรีย์กล้า เเม้ยังไม่ถึงเวลาไกล้ตาย  ออกจากเรือน รักษาพรหมจรรย์
ปรารภความเพียร สู่ความปล่อยวาง ดับไม่ เหลือ เพื่อนิพพาน ต่อไป

มีญานรู้ว่า หลุดพ้นเเล้ว กิจที่ควรทำจบเเล้ว  ไม่มีภพให้เกิดอีกเเล้ว
เมื่อรู้ว่า หลุดพ้น   นั้นคือนิพพาน!!!!

'เราลองมองชีวิตเด็กๆดูสิ เงื่อนไขของความสุขของพวกเขา ไม่มาก เขาสามารถยิ้มและกระโดดโลดเต้นกับเรื่องง่ายๆ ใครขโมยความรู้สึกเหล่านี้จากพวกเราไป ? ความชินชาหรือเปล่า ที่ทำให้เรามองสายรุ้งไม่ตื่นเต้น มองท้องฟ้า ไม่อมยิ้ม มองดิน ไม่มีจินตนาการ ความเป็นผู้ใหญ่ขโมยความสดใสบนใบหน้า แต่เราก็ไม่น่าให้ขโมยความคิดใสๆ ไปด้วย ความคิดที่ว่า ความสุข สามารถสร้างได้ แค่วางเงื่อนไข ที่พอดี เสียงหัวเราะในวัยเด็กของเรานั้น ยังตรึงในใจ #แอดมินสาระดี

'เราลองมองชีวิตเด็กๆดูสิ
เงื่อนไขของความสุขของพวกเขา ไม่มาก
เขาสามารถยิ้มและกระโดดโลดเต้นกับเรื่องง่ายๆ
ใครขโมยความรู้สึกเหล่านี้จากพวกเราไป ?
ความชินชาหรือเปล่า
ที่ทำให้เรามองสายรุ้งไม่ตื่นเต้น
มองท้องฟ้า ไม่อมยิ้ม
มองดิน ไม่มีจินตนาการ
ความเป็นผู้ใหญ่ขโมยความสดใสบนใบหน้า
แต่เราก็ไม่น่าให้ขโมยความคิดใสๆ ไปด้วย
ความคิดที่ว่า
ความสุข สามารถสร้างได้
แค่วางเงื่อนไข ที่พอดี
เสียงหัวเราะในวัยเด็กของเรานั้น
ยังตรึงในใจ
#แอดมินสาระดี

วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ถ้าคุณกำลังคบกับใครคนนึง ทั้งๆที่ทุกอย่างกำลังไปได้ดี แต่แล้วจู่ๆ เค้าก็หายไป การเค้าหายไปของเค้า มันอาจจะมีเหตุผลต่างๆมากมาย ที่เค้าไม่สามารถอธิบายได้ คุณอาจจะกำลังสับสนกับการกระทำของเค้า และตั้งคำถามอยู่ตลอดเวลาว่า ทั้งๆที่เรากำลังเป็นไปได้ด้วยดี ทำไมจู่ๆ เค้าถึงหายไป คุณอาจหาเหตุผลมาแก้ตัวแทนเค้า และพยามมองหาข้อเสียและจุดบกพร่องของคุณ แต่คุณอย่าลืมเหตุผลอีกข้อนึง ง่ายๆที่เค้าหายไปคือ “เค้าไม่ได้เลือกคุณ”

ถ้าคุณกำลังคบกับใครคนนึง 
ทั้งๆที่ทุกอย่างกำลังไปได้ดี 
แต่แล้วจู่ๆ เค้าก็หายไป
การเค้าหายไปของเค้า 
มันอาจจะมีเหตุผลต่างๆมากมาย
ที่เค้าไม่สามารถอธิบายได้
คุณอาจจะกำลังสับสนกับการกระทำของเค้า
และตั้งคำถามอยู่ตลอดเวลาว่า
ทั้งๆที่เรากำลังเป็นไปได้ด้วยดี
ทำไมจู่ๆ เค้าถึงหายไป
คุณอาจหาเหตุผลมาแก้ตัวแทนเค้า
และพยามมองหาข้อเสียและจุดบกพร่องของคุณ
แต่คุณอย่าลืมเหตุผลอีกข้อนึง ง่ายๆที่เค้าหายไปคือ
“เค้าไม่ได้เลือกคุณ”

แม่...เคยเป็นบ้านให้เราอาศัยอยู่ 9 เดือน เคยเป็นนางฟ้า ที่ทำทุกสิ่งทุกอย่างให้เรา เคยเป็นของเล่น ที่สนุกที่สุดของเรา เป็นคนที่หาสิ่งที่ดีที่สุด เท่าที่เขาจะหาได้เพื่อเราเสมอ . วันนั้น...ตอนที่เราเป็นเด็กน้อย เราเคยมั่นใจว่า เขาจะอยู่กับเราไปอีกนานแสนนาน วันนี้...ที่เรากำลังเติบโตก้าวหน้า เข็มวินาทีที่เดินไปทุกเวลา เป็นสัญญาณว่า เวลาของแม่เหลือน้อยลงทุกที . บ้านของเราหลังนี้เก่าลง นางฟ้าเปลี่ยนสภาพเป็นหญิงชรา... เป็นของเล่นที่เราไม่ได้เล่นจนผุพังไปตามกาล... . ...เวลากำลังจะพาเขาไปจากเรานะครับ . อะไรที่ควรทำให้เขา ก็ทำซะ อย่าถามว่าทำอะไรดี หรือทำยังไงดี? เปลี่ยนเป็นถามตัวเองว่า... ถ้าแม่คนอื่นได้อะไรดีๆ จากลูกของเขา แล้วทำไมแม่ของเรา จะไม่ได้บ้าง... -------------------- #ครูจิ๊บ #สื่อสารสร้างสุข #happytalk เพราะคำพูดบางคำ เปลี่ยนชีวิตบางคน -------------------- สัปดาห์วันแม่นี้... สำหรับหลายๆคน ที่รักนะแต่ไม่เคยแสดงออก ก็อาศัยวันแม่นี่แหละ เป็นข้ออ้างให้ตัวเอง ที่จะสื่อสารให้แม่รู้... แสดงความรักกับแม่ เอาแต่คิดในใจ ไม่พูด ไม่แสดง...คิดว่าแม่จะรู้... บาดเจ็บ ล้มตายทางความรู้สึกมานักต่อนักแล้วครับ

แม่...เคยเป็นบ้านให้เราอาศัยอยู่ 9 เดือน
เคยเป็นนางฟ้า ที่ทำทุกสิ่งทุกอย่างให้เรา
เคยเป็นของเล่น ที่สนุกที่สุดของเรา
เป็นคนที่หาสิ่งที่ดีที่สุด เท่าที่เขาจะหาได้เพื่อเราเสมอ
.
วันนั้น...ตอนที่เราเป็นเด็กน้อย เราเคยมั่นใจว่า
เขาจะอยู่กับเราไปอีกนานแสนนาน
วันนี้...ที่เรากำลังเติบโตก้าวหน้า
เข็มวินาทีที่เดินไปทุกเวลา
เป็นสัญญาณว่า เวลาของแม่เหลือน้อยลงทุกที
.
บ้านของเราหลังนี้เก่าลง
นางฟ้าเปลี่ยนสภาพเป็นหญิงชรา...
เป็นของเล่นที่เราไม่ได้เล่นจนผุพังไปตามกาล...
.
...เวลากำลังจะพาเขาไปจากเรานะครับ
.
อะไรที่ควรทำให้เขา ก็ทำซะ
อย่าถามว่าทำอะไรดี หรือทำยังไงดี?
เปลี่ยนเป็นถามตัวเองว่า...
ถ้าแม่คนอื่นได้อะไรดีๆ จากลูกของเขา
แล้วทำไมแม่ของเรา จะไม่ได้บ้าง...
--------------------
#ครูจิ๊บ #สื่อสารสร้างสุข #happytalk
เพราะคำพูดบางคำ เปลี่ยนชีวิตบางคน
--------------------
สัปดาห์วันแม่นี้...
สำหรับหลายๆคน ที่รักนะแต่ไม่เคยแสดงออก
ก็อาศัยวันแม่นี่แหละ เป็นข้ออ้างให้ตัวเอง
ที่จะสื่อสารให้แม่รู้... แสดงความรักกับแม่
เอาแต่คิดในใจ ไม่พูด ไม่แสดง...คิดว่าแม่จะรู้...
บาดเจ็บ ล้มตายทางความรู้สึกมานักต่อนักแล้วครับ

"คนเห็นคน เป็นคน นั่นเเหละคน คนเห็นคน ไม่ใช่คน ใช่คนไม่ กำเนิดคน. เป็นคน ทุกคนไป จนหรือมี ผู้ดีไพร่ ไม่พ้นคน เกิดหนหนึ่ง ตายหนหนึ่ง พึงรู้ไว้ ไม่เกิดใหม่ ตายใหม่ ได้หลายหน ถึงมั่งมี ดีเลิส ประเสริฐลั้น ก็แค่คน คนหนึ่ง เท่านั้นเอง" พรานบูรณ์ ............................................. บทความ :ครูจวงจันทร์ จัทร์คณา เจ้าของนามปากกา ..#พรานบูรพ์

"คนเห็นคน เป็นคน นั่นเเหละคน
คนเห็นคน ไม่ใช่คน ใช่คนไม่
กำเนิดคน. เป็นคน ทุกคนไป
จนหรือมี ผู้ดีไพร่ ไม่พ้นคน
เกิดหนหนึ่ง ตายหนหนึ่ง พึงรู้ไว้
ไม่เกิดใหม่ ตายใหม่ ได้หลายหน
ถึงมั่งมี ดีเลิส ประเสริฐลั้น
ก็แค่คน คนหนึ่ง เท่านั้นเอง"
พรานบูรณ์
.............................................
บทความ :ครูจวงจันทร์ จัทร์คณา
เจ้าของนามปากกา ..#พรานบูรพ์

ลี้ยงลูกให้เป็นทรพี (โดยไม่เจตนา) โดย ศ.นพ. วิทยา นาควัชระ เรื่องที่จะเล่านี้เป็นเรื่องจริง ตั้งใจจะยกให้ดูเป็นตัวอย่าง ไม่อยากจะโทษใคร เพราะตัวละครแต่ละคนในเรื่องก็เจ็บปวดอยู่แล้ว ถือว่าเป็นกรณีศึกษา และเป็นตัวอย่างประกอบก็แล้วกัน ตัวอย่างที่ 1 พ่อมีการศึกษาจบปริญญาเอก แม่จบปริญญาโท ทั้งพ่อและแม่มีการงานทำดีมาก การเงินก็ดี แต่ก็ทำงานหนักทั้งคู่ ทั้งสามีภรรยามีลูกชาย 2 คน คนโตอายุ 14 ปี คนเล็กอายุ 9 ปี ลูกทั้งคู่ แลดูน่ารักตลอดมา การเรียนไม่เก่ง แต่การสังคมเก่ง พูดเก่ง กีฬาเก่ง กำลังเรียนในโรงเรียนที่มีชื่อมากแห่งหนึ่ง พ่อแม่เริ่มปวดหัวที่ลูกไม่เชื่อฟังคำสั่งสอน ลูกคนโตเริ่มก้าวร้าว พ่อแม่ว่าอะไรก็เถียง หรือไม่สนใจ ครั้งล่าสุดนี้ ลูกฃายพูดจายอกย้อนพ่อ เถียงพ่อ จนพ่อทนไม่ได้ เอามือไปตีลูกชายเข้า 1 ที ลูกชายลุกขึ้นเตะพ่อ 1 ที แล้วผลักพ่อกระเด็น แถมเดินหนีออกจากบ้านไป พ่อมาเล่าให้ผมฟังด้วยหัวใจปวดร้าว ผมถามว่าแล้วทำอย่างไรต่อ... เขาบอกว่า ไม่รู้จะทำอย่างไร ไม่เคยลงโทษลูกมาก่อนเลย เพราะคิดว่าจะเลี้ยงลูกด้วยการไม่ลงโทษเลย ครั้นโตแล้วจึงเห็นว่าลูกทำผิดเรื่อยๆ ไม่อยู่ในโอวาท ถ้าจะลงโทษตอนนี้ ลูกก็ไม่ยอมรับ แถมสู้ และหนีไปเฉยๆ จะสู้กับลูกก็สู้ไม่ได้ อายเขาด้วย เขาถามผมว่า "ทำไงดี…หมอครับ?" ตัวอย่างที่ 2 พ่อเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ แม่เป็นหมอ ก็ทำงานหนักทั้งคู่ ลูกชายคนโตอายุ 13 ปี ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ ครั้งล่าสุดนี้ แม่เผลอไปเอ็ดลูกเข้ามากๆ ลูกชายเลยเอาไม้ตีหัวแม่แตก และหนีออกจากบ้านไป พ่อแม่ก็ไม่รู้จะทำอะไร ทั้งคู่ไม่เคยลงโทษลูก แม่โทรศัพท์มาหาและบอกว่า ไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง กลัวเขาจะหาว่าเป็นลูกทรพี เธอถามผมว่า "หมอ…ทำไงดี?…อยากฆ่าตัวตายอยู่แล้ว!!!" จากทั้งสองกรณีนี้ แสดงให้เห็นว่าเด็กเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่ไม่ได้สร้างวินัยให้แก่เด็กตั้งแต่เล็กๆ เด็กจึงเติบโตขึ้นมา มีร่างกายสมบูรณ์ แข็งแรง สังคมดี พูดเก่ง กีฬาเก่ง อาจจะเรียนเก่งด้วยก็ได้ แต่ขาดวินัยกับตัวเอง ไม่มีการยอมรับกติกาของสังคม ของครอบครัว ของพ่อแม่ ซึ่งถ้าเติบโตต่อไปก็จะไม่ยอมรับกติกาของสถาบันการศึกษา ของที่ทำงาน และแม้แต่กฏหมายบ้านเมือง เรียกว่าเติบโตต่อไป ทำงานก็ยาก อยู่ก็ยาก มีครอบครัวก็ยาก มีลูกก็ยาก…ยากไปหมดทุกอย่าง แม้แต่อยู่คนเดียวก็ยาก เผลอๆ ก็ทำผิดกฏหมายบ่อยๆ โดยอ้างว่า…ไม่เจตนาๆๆๆๆๆ ก็เป็นเพราะพ่อแม่ไม่ลงโทษ เมื่อเด็กทำผิดตั้งแต่เล็กๆ และไม่ชมเชย หรือให้รางวัลเมื่อเขาทำความดี ผมจำได้แม่นว่า เมื่อ 10 กว่าปีมาแล้ว มีการเชื่อกันมากเรื่องการเลี้ยงลูกโดยไม่มีการลงโทษทางกาย ซึ่งก็คือการตีลูกนั่นเอง พวกมีความรู้ระดับปริญญาโทขึ้นไป ครูบาอาจารย์ แพทย์ เชื่อถือกันมากและเลี้ยงลูกโดยไม่ลงโทษโดยการตีเลย แต่จะบอกให้เด็กคิดเอง ให้เด็กมีอิสระในการแสดงออก ซึ่งแลดูก็น่ารักดีหรอกในตอนเด็กๆ ในช่วงนั้นๆ ผมเคยถูกเชิญไปบรรยายพิเศษให้สมาคมผู้ปกครองของโรงเรียนสาธิตที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งฟัง และผมก็ถูกถามเรื่องนี้ ซึ่งผมก็ตอบในที่ประชุมเลยว่า ผมไม่เห็นด้วยหรอกที่ไม่มีการลงโทษเด็กทางฝ่ายกายเมื่อทำผิด ถ้าเป็นผม ผมจะตีเด็ก ใช้มือตีก้นเขาจะดีที่สุด ผมถูกหาว่า…แหมหมอเหี้ยมจัง แต่ผมเชื่อว่า การถูกตี หรือการถูกลงโทษทางฝ่ายกายตั้งแต่เด็กๆ นั้น เด็กจะตระหนักและรับรู้ถึงบทบาทของการลงโทษได้ดีกว่าและเร็วกว่าการลงโทษทางจิตใจและทางสังคม เพราะเด็กนั้นเล็กเกินไปที่จะเข้าใจ และจะได้ใจด้วย ผมยังพูดอีกด้วยว่า…"จำไว้ ถ้าคุณไม่ลงโทษลูกของคุณเมื่อทำผิด สักวันหนึ่งสังคมจะลงโทษลูกของคุณ ซึ่งจะเจ็บยิ่งกว่าที่คุณลงโทษเขาเสียอีก" สิบกว่าปีผ่านไป เด็กๆ ยุคนั้นก็คงเติบโตเป็นวัยรุ่นกันในขณะนี้พอดี ปัญหาเรื่องลูกวัยรุ่นนี้ ทำความปวดหัวมาให้กับพ่อแม่มาก มีพ่อแม่นำลูกวัยรุ่นมาปรึกษาผมที่คลินิกมากมาย ท้้งที่เจ้าตัวยอมมาหาเอง และจ้างกันมา มีวัยรุ่นรายหนึ่งมาจากเยอรมัน พ่อแม่ต้องจ้างให้มาหาผมด้วยการซื้อเสื้อผ้าให้ 30 ชุด ซึ่งหลังจากมาหาพูดคุยกับผมแล้ว เขาบอกว่า ไม่ต้องจ้างก็ได้เพราะมาหาแล้วคุยกับผมได้สนุกดี อยากมาคุยบ่อยๆ โดยส่วนตัวผมเองแล้ว ผมสนใจเรื่องของวัยรุ่นและกิจกรรมวัยรุ่นตลอดมาในทุกๆ รูปแบบ และต้องเข้าใจหรือตามให้ทันอยู่เสมอๆ สมัยที่รับราชการอยู่ในโรงพยาบาลสังกัดกรมการแพทย์ ผมก็เป็นผู้ริเริ่มตั้งแผนกจิตเวชวัยรุ่นขึ้นมาเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เพราะมองเห็นความสำคัญของบุคคลในวัยนี้ ที่จะต้องได้รับการดูแล ช่วยเหลือแนะนำหรือแก้ไขโดยจิตแพทย์ หรือบุคลากรที่พร้อมจะเข้าใจจิตใจของพวกเขาโดยแท้จริง และต้องทันสมัย ทันเหตุการณ์ด้วย ในอเมริกาก็จะมีแผนกจิตเวชวัยรุ่นนี้อยู่ตามโรงเรียนแพทย์ใหญ่ๆ ที่ผมเคยได้ไปศึกษามา วัยรุ่นที่มีปัญหาหลายๆ ราย ก็ช่วยเหลือได้ทั้งในแง่เกเร ไม่เรียนหนังสือ ชอบหนีเที่ยว ติดยา สำส่อนทางเพศ แปรปรวนทางเพศ ก้าวร้าว แยกตัว ขาดความเชื่อมั่นตัวเอง กังวล ฯลฯ บางรายก็ช่วยเหลือได้ยากมาก เพราะเขาไม่อยากให้แพทย์ช่วย และที่แน่นอนคือ พ่อแม่ต้องให้ความร่วมมือด้วย แต่ไม่อยากจะรอให้ถึงขั้นนี้หรอก จะเจ็บด้วยกันทั้ง พ่อ แม่ ลูก จงมาตั้งใจอบรมลูกให้มีวินัยตั้งแต่เด็กๆดีกว่าครับ จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจว่า เลี้ยงลูกผิด ซึ่งถือว่าเป็นบาปบริสุทธิ์ชนิดหนึ่งก็ได้ หรือ อย่างที่ชาวบ้านเขาเรียกกันว่า เป็นการเลี้ยงลูกให้เป็นทรพีโดยไม่เจตนาก็ได้ ผมหนาวในหัวใจจังครับ...

ลี้ยงลูกให้เป็นทรพี (โดยไม่เจตนา)
โดย ศ.นพ. วิทยา นาควัชระ
เรื่องที่จะเล่านี้เป็นเรื่องจริง
ตั้งใจจะยกให้ดูเป็นตัวอย่าง ไม่อยากจะโทษใคร เพราะตัวละครแต่ละคนในเรื่องก็เจ็บปวดอยู่แล้ว ถือว่าเป็นกรณีศึกษา และเป็นตัวอย่างประกอบก็แล้วกัน
ตัวอย่างที่ 1 พ่อมีการศึกษาจบปริญญาเอก แม่จบปริญญาโท ทั้งพ่อและแม่มีการงานทำดีมาก การเงินก็ดี แต่ก็ทำงานหนักทั้งคู่ ทั้งสามีภรรยามีลูกชาย 2 คน คนโตอายุ 14 ปี คนเล็กอายุ 9 ปี ลูกทั้งคู่ แลดูน่ารักตลอดมา การเรียนไม่เก่ง แต่การสังคมเก่ง พูดเก่ง กีฬาเก่ง กำลังเรียนในโรงเรียนที่มีชื่อมากแห่งหนึ่ง
พ่อแม่เริ่มปวดหัวที่ลูกไม่เชื่อฟังคำสั่งสอน ลูกคนโตเริ่มก้าวร้าว พ่อแม่ว่าอะไรก็เถียง หรือไม่สนใจ ครั้งล่าสุดนี้ ลูกฃายพูดจายอกย้อนพ่อ เถียงพ่อ จนพ่อทนไม่ได้ เอามือไปตีลูกชายเข้า 1 ที ลูกชายลุกขึ้นเตะพ่อ 1 ที แล้วผลักพ่อกระเด็น แถมเดินหนีออกจากบ้านไป
พ่อมาเล่าให้ผมฟังด้วยหัวใจปวดร้าว ผมถามว่าแล้วทำอย่างไรต่อ...
เขาบอกว่า ไม่รู้จะทำอย่างไร ไม่เคยลงโทษลูกมาก่อนเลย เพราะคิดว่าจะเลี้ยงลูกด้วยการไม่ลงโทษเลย ครั้นโตแล้วจึงเห็นว่าลูกทำผิดเรื่อยๆ ไม่อยู่ในโอวาท ถ้าจะลงโทษตอนนี้ ลูกก็ไม่ยอมรับ แถมสู้ และหนีไปเฉยๆ จะสู้กับลูกก็สู้ไม่ได้ อายเขาด้วย เขาถามผมว่า "ทำไงดี…หมอครับ?"
ตัวอย่างที่ 2 พ่อเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ แม่เป็นหมอ ก็ทำงานหนักทั้งคู่ ลูกชายคนโตอายุ 13 ปี ไม่เชื่อฟังพ่อแม่
ครั้งล่าสุดนี้ แม่เผลอไปเอ็ดลูกเข้ามากๆ ลูกชายเลยเอาไม้ตีหัวแม่แตก และหนีออกจากบ้านไป พ่อแม่ก็ไม่รู้จะทำอะไร ทั้งคู่ไม่เคยลงโทษลูก แม่โทรศัพท์มาหาและบอกว่า ไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง กลัวเขาจะหาว่าเป็นลูกทรพี เธอถามผมว่า "หมอ…ทำไงดี?…อยากฆ่าตัวตายอยู่แล้ว!!!"
จากทั้งสองกรณีนี้ แสดงให้เห็นว่าเด็กเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่ไม่ได้สร้างวินัยให้แก่เด็กตั้งแต่เล็กๆ เด็กจึงเติบโตขึ้นมา มีร่างกายสมบูรณ์ แข็งแรง สังคมดี พูดเก่ง กีฬาเก่ง อาจจะเรียนเก่งด้วยก็ได้ แต่ขาดวินัยกับตัวเอง ไม่มีการยอมรับกติกาของสังคม ของครอบครัว ของพ่อแม่ ซึ่งถ้าเติบโตต่อไปก็จะไม่ยอมรับกติกาของสถาบันการศึกษา ของที่ทำงาน และแม้แต่กฏหมายบ้านเมือง เรียกว่าเติบโตต่อไป ทำงานก็ยาก อยู่ก็ยาก มีครอบครัวก็ยาก มีลูกก็ยาก…ยากไปหมดทุกอย่าง แม้แต่อยู่คนเดียวก็ยาก เผลอๆ ก็ทำผิดกฏหมายบ่อยๆ โดยอ้างว่า…ไม่เจตนาๆๆๆๆๆ
ก็เป็นเพราะพ่อแม่ไม่ลงโทษ เมื่อเด็กทำผิดตั้งแต่เล็กๆ และไม่ชมเชย หรือให้รางวัลเมื่อเขาทำความดี
ผมจำได้แม่นว่า เมื่อ 10 กว่าปีมาแล้ว มีการเชื่อกันมากเรื่องการเลี้ยงลูกโดยไม่มีการลงโทษทางกาย ซึ่งก็คือการตีลูกนั่นเอง พวกมีความรู้ระดับปริญญาโทขึ้นไป ครูบาอาจารย์ แพทย์ เชื่อถือกันมากและเลี้ยงลูกโดยไม่ลงโทษโดยการตีเลย แต่จะบอกให้เด็กคิดเอง ให้เด็กมีอิสระในการแสดงออก ซึ่งแลดูก็น่ารักดีหรอกในตอนเด็กๆ
ในช่วงนั้นๆ ผมเคยถูกเชิญไปบรรยายพิเศษให้สมาคมผู้ปกครองของโรงเรียนสาธิตที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งฟัง และผมก็ถูกถามเรื่องนี้ ซึ่งผมก็ตอบในที่ประชุมเลยว่า ผมไม่เห็นด้วยหรอกที่ไม่มีการลงโทษเด็กทางฝ่ายกายเมื่อทำผิด ถ้าเป็นผม ผมจะตีเด็ก ใช้มือตีก้นเขาจะดีที่สุด ผมถูกหาว่า…แหมหมอเหี้ยมจัง
แต่ผมเชื่อว่า การถูกตี หรือการถูกลงโทษทางฝ่ายกายตั้งแต่เด็กๆ นั้น เด็กจะตระหนักและรับรู้ถึงบทบาทของการลงโทษได้ดีกว่าและเร็วกว่าการลงโทษทางจิตใจและทางสังคม เพราะเด็กนั้นเล็กเกินไปที่จะเข้าใจ และจะได้ใจด้วย ผมยังพูดอีกด้วยว่า…"จำไว้ ถ้าคุณไม่ลงโทษลูกของคุณเมื่อทำผิด สักวันหนึ่งสังคมจะลงโทษลูกของคุณ ซึ่งจะเจ็บยิ่งกว่าที่คุณลงโทษเขาเสียอีก" สิบกว่าปีผ่านไป เด็กๆ ยุคนั้นก็คงเติบโตเป็นวัยรุ่นกันในขณะนี้พอดี
ปัญหาเรื่องลูกวัยรุ่นนี้ ทำความปวดหัวมาให้กับพ่อแม่มาก มีพ่อแม่นำลูกวัยรุ่นมาปรึกษาผมที่คลินิกมากมาย ท้้งที่เจ้าตัวยอมมาหาเอง และจ้างกันมา
มีวัยรุ่นรายหนึ่งมาจากเยอรมัน พ่อแม่ต้องจ้างให้มาหาผมด้วยการซื้อเสื้อผ้าให้ 30 ชุด ซึ่งหลังจากมาหาพูดคุยกับผมแล้ว เขาบอกว่า ไม่ต้องจ้างก็ได้เพราะมาหาแล้วคุยกับผมได้สนุกดี อยากมาคุยบ่อยๆ
โดยส่วนตัวผมเองแล้ว ผมสนใจเรื่องของวัยรุ่นและกิจกรรมวัยรุ่นตลอดมาในทุกๆ รูปแบบ และต้องเข้าใจหรือตามให้ทันอยู่เสมอๆ สมัยที่รับราชการอยู่ในโรงพยาบาลสังกัดกรมการแพทย์ ผมก็เป็นผู้ริเริ่มตั้งแผนกจิตเวชวัยรุ่นขึ้นมาเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เพราะมองเห็นความสำคัญของบุคคลในวัยนี้ ที่จะต้องได้รับการดูแล ช่วยเหลือแนะนำหรือแก้ไขโดยจิตแพทย์ หรือบุคลากรที่พร้อมจะเข้าใจจิตใจของพวกเขาโดยแท้จริง และต้องทันสมัย ทันเหตุการณ์ด้วย
ในอเมริกาก็จะมีแผนกจิตเวชวัยรุ่นนี้อยู่ตามโรงเรียนแพทย์ใหญ่ๆ ที่ผมเคยได้ไปศึกษามา วัยรุ่นที่มีปัญหาหลายๆ ราย ก็ช่วยเหลือได้ทั้งในแง่เกเร ไม่เรียนหนังสือ ชอบหนีเที่ยว ติดยา สำส่อนทางเพศ แปรปรวนทางเพศ ก้าวร้าว แยกตัว ขาดความเชื่อมั่นตัวเอง กังวล ฯลฯ
บางรายก็ช่วยเหลือได้ยากมาก เพราะเขาไม่อยากให้แพทย์ช่วย และที่แน่นอนคือ พ่อแม่ต้องให้ความร่วมมือด้วย แต่ไม่อยากจะรอให้ถึงขั้นนี้หรอก จะเจ็บด้วยกันทั้ง พ่อ แม่ ลูก
จงมาตั้งใจอบรมลูกให้มีวินัยตั้งแต่เด็กๆดีกว่าครับ จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจว่า เลี้ยงลูกผิด
ซึ่งถือว่าเป็นบาปบริสุทธิ์ชนิดหนึ่งก็ได้ หรือ อย่างที่ชาวบ้านเขาเรียกกันว่า เป็นการเลี้ยงลูกให้เป็นทรพีโดยไม่เจตนาก็ได้
ผมหนาวในหัวใจจังครับ...

งานแต่งไม่ใช่เส้นชัย l แต่คือจุดเริ่มต้น . การแต่งงานอาจเป็น 'เส้นชัย' ที่ใครหลายคนตั้งไว้ หากแต่ความจริงแล้ว, มันก็เหมือนกับลู่วิ่งในสนาม ที่'เส้นชัย' และ'จุดstart' คือเส้นๆเดียวกัน . เมื่อวิ่งเข้าถึงเส้น, ก้าวถัดไปจะเป็นการเริ่มต้นรอบใหม่ "ที่เรียกว่าเส้นทางชีวิตคู่" . 'ชีวิตคู่', เส้นทางนี้ไม่มีเส้นชัย ไม่ต้องรีบวิ่งเกินไป แค่วิ่งเหยาะไปเรื่อยๆ "ในจังหวะเดียวกันกับคนข้างๆก็พอ" . #งานแต่งเพื่อนคนแรกของกลุ่ม #ขอให้เพื่อนมีความสุข #ลิ้นชักความทรงจำ

 งานแต่งไม่ใช่เส้นชัย l แต่คือจุดเริ่มต้น
.
การแต่งงานอาจเป็น 'เส้นชัย' ที่ใครหลายคนตั้งไว้
หากแต่ความจริงแล้ว, มันก็เหมือนกับลู่วิ่งในสนาม
ที่'เส้นชัย' และ'จุดstart' คือเส้นๆเดียวกัน
.
เมื่อวิ่งเข้าถึงเส้น, ก้าวถัดไปจะเป็นการเริ่มต้นรอบใหม่
"ที่เรียกว่าเส้นทางชีวิตคู่"
.
'ชีวิตคู่',
เส้นทางนี้ไม่มีเส้นชัย
ไม่ต้องรีบวิ่งเกินไป
แค่วิ่งเหยาะไปเรื่อยๆ
"ในจังหวะเดียวกันกับคนข้างๆก็พอ"
.
#งานแต่งเพื่อนคนแรกของกลุ่ม
#ขอให้เพื่อนมีความสุข
#ลิ้นชักความทรงจำ

หนักกว่าหลายร้อยเท่า แด่… 9 เดือน ของคุณแม่ทุกท่าน มีครอบครัวครอบครัวหนึ่งอาศัยอยู่ด้วยกัน 3 คน คือ พ่อ แม่ และ ลูกสาว สามีภรรยารักลูกของตนเป็นอย่างมาก เฝ้าถนุถนอมกล่อม เลี้ยงด้วยความรักอย่างหาใดปาน จนกระทั่งลูกเติบโตเป็นสาว จึง ได้จัดการแต่งงานให้กับชายที่มารักลูกของตน เมื่อลูกสาวแต่งงานกับครอบครัว ที่สามารถดูแลเธอให้มีความสุข อย่างสบายได้แล้ว สองตายายก็รู้สึกภุมิใจในความเป็นพ่อแม่ของ ตนยิ่งนัก ที่ได้ทำหน้าที่ของผู้ให้กำเนิดอย่างสมบูรณ์แบบ อยู่ต่อมาไม่นานผู้เป็นพ่อก็เสียชีวิตลง ทำให้แม่ต้องอยู่เพียงลำพัง ฝ่ายลูกสาวเมื่อได้ไปอยู่ในครอบครัวที่สบาย กลับลืมไปว่าตนมีแม่ ที่แก่เฒ่าอยู่ที่บ้าน ไม่สนใจใยดี ที่จะกลับไปทำหน้าที่ลูกสักครั้ง ครั้นต่อมาเมื่อแม่ป่วย และไม่มีเงินที่จะใช้รักษาและซื้อข้าวปลา ก็ ไปขอยืมเงินจากลูกสาวของตน ฝ่ายลูก็ให้ยืมแต่มีข้อแม้ว่าต้องคืน ให้เธอตามเวลาที่กำหนดไว้ ” แม่ยืมเงินไปแล้วต้องคืนหนูด้วยนะ “ ” คืนก็ได้ ” แม่พูดด้วยความรู้สึกเศร้าใจต่อการแสดงออกของลูก เมื่อวันเวลาผ่านไปและครบกำหนดนัดหมาย ลูกสาวผู้ลืมตนก็มา ทวงเงินจากแม่ แต่ฝ่ายผู้เป็นแม่กลับไม่มีให้ลูก ลูกสาวไม่พอใจ จึงนำเรื่องนี้ไปปรึกษาผู้ใหญ่บ้าน เพื่อให้เป็นคนตัดสิน ผู้ใหญ่บ้าน เป็นคนฉลาดในการตตัดสินคดีและด้วยความที่ต้องการสอนให้ลูก รู้จักพระคุณที่แม่มีต่อตน จึงกล่าวกับหญิงสาวว่า ” ลุงตัดสินคดีได้แน่นอน แต่มีข้อแม้อยู่สองข้อที่อยากให้หนูปฏิบัติ ตาม ถ้าทำได้ลุงก็สามารถนำเงินจากแม่มาคืนหนูได้เช่นกัน “ ” ข้อแม้อะไรล่ะลุง “ ” ข้อแม้คือ 1 ให้หนูนำถุงที่มีก้อนหินมาผูกไว้ที่เอว และให้เติมหินเพิ่มวันละ 1 ก้อน 2 คือ ให้ทำอย่างนี้เป็นเวลาสามเดือน ถ้าหนูทำได้ลุงก็รับปากจะ นำเงินจากแม่หนูมาคืนให้ได้แน่นอน “ ” หนูรับปากค่ะ ” หลังจากที่รับปากผู้ใหญ่บ้านแล้วด้วยความที่อยากได้เงินคืน ไม่ว่า จะไปไหนก็เอาถุงหินผูกเอวไว้ตลอดเวลา และเติมหินลงไปทุกวัน จนเธอเริ่มรู้สึกว่าถุงหินนั้นทำให้เธออึดอัดซะเหลือเกิน จนบางวัน เธอนึกอยากจะขว้างทิ้ง เธอทนอยู่อย่างนั้นได้แค่เดือนเดียวพร้อม กับสารภาพกับผู้ใหญ่ว่า ” ลุงทำไมมันหนักอย่างนี้ ใครจะไปทนได้ “ ” มีสิ แม่เจ้ายังไงล่ะ แม่ที่อุ้มท้องเจ้ามา 9 เดือน เจ้าคิดว่าระหว่าง เจ้าที่ห้อยถุงหินไว้ที่เอวกับแม่เจ้าใครจะลำบากกว่ากัน “ หญิงสาวผู้โง่เขลาฉุกคิดขึ้นได้ ความหนักของถุงหินที่ตนแบกมา หนึ่งเดือน เทียบไม่ได้เลยกับความลำบากของแม่ที่อุ้มท้องตนมา ถึง 9 เดือน และเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ นั่นต้องเกิดจากความรักและ ความเสียสละที่มากมายจริงๆ หญิงสาวไม่เพียงแต่ไม่ทวงเงินแม่ เธอกลับไปขอโทษแม่ในความไม่รู้ผิดชอบชั่วดี แน่นอนว่าผู้เป็น แม่สามารถให้อภัยลูกได้ทุกเรื่อง ไม่เพียงแต่ไม่ถือโทษแต่กลับ ภูมิใจในตัวลูกเสียอีกที่คิดได้ นี่แหละนะคนเป็นแม่ แล้วทั้งสองก็ ใช้ชีวิตอยูร่วมกันอย่างมีความสุข ขอแสดงความยินดีกับลูกทุกคนที่ยังมีโอกาสทำหน้าที่ลูก แด่…ความยิ่งใหญ่ของพระคุณแม่ทุกท่านครับ - ความกตัญญูเป็นรากแก้วของคนดี -

หนักกว่าหลายร้อยเท่า แด่… 9 เดือน ของคุณแม่ทุกท่าน
มีครอบครัวครอบครัวหนึ่งอาศัยอยู่ด้วยกัน 3 คน คือ พ่อ แม่ และ
ลูกสาว สามีภรรยารักลูกของตนเป็นอย่างมาก เฝ้าถนุถนอมกล่อม
เลี้ยงด้วยความรักอย่างหาใดปาน จนกระทั่งลูกเติบโตเป็นสาว จึง
ได้จัดการแต่งงานให้กับชายที่มารักลูกของตน
เมื่อลูกสาวแต่งงานกับครอบครัว ที่สามารถดูแลเธอให้มีความสุข
อย่างสบายได้แล้ว สองตายายก็รู้สึกภุมิใจในความเป็นพ่อแม่ของ
ตนยิ่งนัก ที่ได้ทำหน้าที่ของผู้ให้กำเนิดอย่างสมบูรณ์แบบ
อยู่ต่อมาไม่นานผู้เป็นพ่อก็เสียชีวิตลง ทำให้แม่ต้องอยู่เพียงลำพัง
ฝ่ายลูกสาวเมื่อได้ไปอยู่ในครอบครัวที่สบาย กลับลืมไปว่าตนมีแม่
ที่แก่เฒ่าอยู่ที่บ้าน ไม่สนใจใยดี ที่จะกลับไปทำหน้าที่ลูกสักครั้ง
ครั้นต่อมาเมื่อแม่ป่วย และไม่มีเงินที่จะใช้รักษาและซื้อข้าวปลา ก็
ไปขอยืมเงินจากลูกสาวของตน ฝ่ายลูก็ให้ยืมแต่มีข้อแม้ว่าต้องคืน
ให้เธอตามเวลาที่กำหนดไว้
” แม่ยืมเงินไปแล้วต้องคืนหนูด้วยนะ “
” คืนก็ได้ ”
แม่พูดด้วยความรู้สึกเศร้าใจต่อการแสดงออกของลูก
เมื่อวันเวลาผ่านไปและครบกำหนดนัดหมาย ลูกสาวผู้ลืมตนก็มา
ทวงเงินจากแม่ แต่ฝ่ายผู้เป็นแม่กลับไม่มีให้ลูก ลูกสาวไม่พอใจ
จึงนำเรื่องนี้ไปปรึกษาผู้ใหญ่บ้าน เพื่อให้เป็นคนตัดสิน ผู้ใหญ่บ้าน
เป็นคนฉลาดในการตตัดสินคดีและด้วยความที่ต้องการสอนให้ลูก
รู้จักพระคุณที่แม่มีต่อตน จึงกล่าวกับหญิงสาวว่า
” ลุงตัดสินคดีได้แน่นอน แต่มีข้อแม้อยู่สองข้อที่อยากให้หนูปฏิบัติ
ตาม ถ้าทำได้ลุงก็สามารถนำเงินจากแม่มาคืนหนูได้เช่นกัน “
” ข้อแม้อะไรล่ะลุง “
” ข้อแม้คือ
1 ให้หนูนำถุงที่มีก้อนหินมาผูกไว้ที่เอว และให้เติมหินเพิ่มวันละ 1
ก้อน
2 คือ ให้ทำอย่างนี้เป็นเวลาสามเดือน ถ้าหนูทำได้ลุงก็รับปากจะ
นำเงินจากแม่หนูมาคืนให้ได้แน่นอน “
” หนูรับปากค่ะ ”
หลังจากที่รับปากผู้ใหญ่บ้านแล้วด้วยความที่อยากได้เงินคืน ไม่ว่า
จะไปไหนก็เอาถุงหินผูกเอวไว้ตลอดเวลา และเติมหินลงไปทุกวัน
จนเธอเริ่มรู้สึกว่าถุงหินนั้นทำให้เธออึดอัดซะเหลือเกิน จนบางวัน
เธอนึกอยากจะขว้างทิ้ง เธอทนอยู่อย่างนั้นได้แค่เดือนเดียวพร้อม
กับสารภาพกับผู้ใหญ่ว่า
” ลุงทำไมมันหนักอย่างนี้ ใครจะไปทนได้ “
” มีสิ แม่เจ้ายังไงล่ะ แม่ที่อุ้มท้องเจ้ามา 9 เดือน เจ้าคิดว่าระหว่าง
เจ้าที่ห้อยถุงหินไว้ที่เอวกับแม่เจ้าใครจะลำบากกว่ากัน “
หญิงสาวผู้โง่เขลาฉุกคิดขึ้นได้ ความหนักของถุงหินที่ตนแบกมา
หนึ่งเดือน เทียบไม่ได้เลยกับความลำบากของแม่ที่อุ้มท้องตนมา
ถึง 9 เดือน และเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ นั่นต้องเกิดจากความรักและ
ความเสียสละที่มากมายจริงๆ หญิงสาวไม่เพียงแต่ไม่ทวงเงินแม่
เธอกลับไปขอโทษแม่ในความไม่รู้ผิดชอบชั่วดี แน่นอนว่าผู้เป็น
แม่สามารถให้อภัยลูกได้ทุกเรื่อง ไม่เพียงแต่ไม่ถือโทษแต่กลับ
ภูมิใจในตัวลูกเสียอีกที่คิดได้ นี่แหละนะคนเป็นแม่ แล้วทั้งสองก็
ใช้ชีวิตอยูร่วมกันอย่างมีความสุข
ขอแสดงความยินดีกับลูกทุกคนที่ยังมีโอกาสทำหน้าที่ลูก
แด่…ความยิ่งใหญ่ของพระคุณแม่ทุกท่านครับ
- ความกตัญญูเป็นรากแก้วของคนดี -

วันนี้ได้รับข้อความจากโทรศัพท์” ถูกทุกงวด เลขเด็ด เลขดัง อยากรวย กด........” ช่างมีน้ำใจแท้ ผมคิด แต่อีกหนึ่งความคิดก็ทยอยตามมา ทำไมไม่ซื้อเองนะ ถ้าเจ๋งจริงเด็ดจัง มาบอกให้คนอื่นเจ๊งทำไม หรือว่าคิดมากไป ไม่เชื่ออย่าลบลู่ ประโยคนี้พอมีใครมาพุดเท่ากับดับอนาคตทางความคิดเลยทีเดียว หลายๆคนไม่กล้าคิดต่อเลยทั้งๆที่กังขา...แล้วถ้าเปลี่ยนเป็น ไม่เชื่อต้องพิสูจน์ล่ะ จะดูโสภาสถาพรกว่าไหม อยากให้มีรายการทีวีสักรายการเดินหน้าหาความจริงเกี่ยวกับนักใบ้หวยพวกที่ชอบให้เลขเด็ดเลขดังจัง อยากรู้ว่า นักใบ้หวย หรือผู้รู้ กูรู้ กูรูในเรื่องหวยมีใครถูก รางวัลที่1บ้าง....ไหม!!!!! อาจจะใจร้ายไป เอาแค่ถูกสามตัวตรงๆทุกงวดมีไหม... หรือถูกบ้าง ไม่ถูกบ้าง อืมมม อันนี้น่าจะพอมีเพราะ ให้ด่ะตั้งแต่0-9 มีเรื่องเล่าว่า เขาเล่าว่านะ...เขาเล่าว่า มีชายคนหนึ่ง ชอบเล่นหวยเป็นชีวิตจิตใจ เลขเด็ดเลขดังที่ไหนเขาไปสืบเสาะไปหมดต้นกล้วยออกลุกกี่หวี กี่ลูกเอามาตีเลข คาดเดาว่าน่าจะเลขนั้น เลขนี้ มีบ้านขายบ้าน มีรถขายรถซื้อเลขเด็ด และศาลาวัดก็เป็นที่อาศัยสุดท้าย วันหนึ่ง แกเห็นหมาวัดออกลูกสี่ตัว สีขาว สามตัว สีดำ หนึ่งตัว แกพูดออกมาว่า สี่สามหนึ่ง มีคนได้ยินแล้วเอาไปซื้อ ถูกครับ แกดังเลย และยิ่งดังใหญ่เมื่อแกพูดออกไปมั่วๆตามที่แกเห็นจากต้นมะม่วงออกผลบ้าง จากโน้น จากนี้ มีคนถูก3-4งวดติดๆกัน เงินทองไหลมาเทมาเมื่อแกเริ่มมีเงินแกเลยคิดการไกล ออกหวยซองไปเลย ขายซองละ500บาท 1000ซอง เลขก็ไม่เหมือนกันสักซอง...รวยสิครับ คราวนี้ แกจ้างลุกน้องให้เป็นเจ้ามือหวยเสียเอง ส่วนตัวแกก็ยังคงขายหวยซอง ทั้งรับทรัพท์จากใบ้หวย และรับกินจากคนซื้อหวย แกไม่ได้รวยคนเดียว แบ่งปันให้ลุกน้องรวยด้วย.. เป็นเรื่องเล่านะ เขาเล่ามา....ขอไปดูต้นกล้วยก่อนกำลังออกเครือเลย ดกเสียด้วย...ใกล้หวยออกแล้ว เจ้ามือกำลังรอเงินจากเราอยู่ สงสารเขานะ อุตส่ารอเงินจากเราตั้ง15วัน!!!สงสารเขานะ ....สงสารเขา######เน๊อะ..

วันนี้ได้รับข้อความจากโทรศัพท์” ถูกทุกงวด เลขเด็ด เลขดัง อยากรวย กด........”
ช่างมีน้ำใจแท้ ผมคิด แต่อีกหนึ่งความคิดก็ทยอยตามมา ทำไมไม่ซื้อเองนะ ถ้าเจ๋งจริงเด็ดจัง มาบอกให้คนอื่นเจ๊งทำไม หรือว่าคิดมากไป
ไม่เชื่ออย่าลบลู่ ประโยคนี้พอมีใครมาพุดเท่ากับดับอนาคตทางความคิดเลยทีเดียว หลายๆคนไม่กล้าคิดต่อเลยทั้งๆที่กังขา...แล้วถ้าเปลี่ยนเป็น ไม่เชื่อต้องพิสูจน์ล่ะ จะดูโสภาสถาพรกว่าไหม
อยากให้มีรายการทีวีสักรายการเดินหน้าหาความจริงเกี่ยวกับนักใบ้หวยพวกที่ชอบให้เลขเด็ดเลขดังจัง
อยากรู้ว่า นักใบ้หวย หรือผู้รู้ กูรู้ กูรูในเรื่องหวยมีใครถูก รางวัลที่1บ้าง....ไหม!!!!!
อาจจะใจร้ายไป เอาแค่ถูกสามตัวตรงๆทุกงวดมีไหม...
หรือถูกบ้าง ไม่ถูกบ้าง อืมมม อันนี้น่าจะพอมีเพราะ ให้ด่ะตั้งแต่0-9
มีเรื่องเล่าว่า เขาเล่าว่านะ...เขาเล่าว่า
มีชายคนหนึ่ง ชอบเล่นหวยเป็นชีวิตจิตใจ เลขเด็ดเลขดังที่ไหนเขาไปสืบเสาะไปหมดต้นกล้วยออกลุกกี่หวี กี่ลูกเอามาตีเลข คาดเดาว่าน่าจะเลขนั้น เลขนี้ มีบ้านขายบ้าน มีรถขายรถซื้อเลขเด็ด และศาลาวัดก็เป็นที่อาศัยสุดท้าย
วันหนึ่ง แกเห็นหมาวัดออกลูกสี่ตัว สีขาว สามตัว สีดำ หนึ่งตัว แกพูดออกมาว่า สี่สามหนึ่ง มีคนได้ยินแล้วเอาไปซื้อ ถูกครับ แกดังเลย และยิ่งดังใหญ่เมื่อแกพูดออกไปมั่วๆตามที่แกเห็นจากต้นมะม่วงออกผลบ้าง จากโน้น จากนี้ มีคนถูก3-4งวดติดๆกัน เงินทองไหลมาเทมาเมื่อแกเริ่มมีเงินแกเลยคิดการไกล ออกหวยซองไปเลย ขายซองละ500บาท 1000ซอง เลขก็ไม่เหมือนกันสักซอง...รวยสิครับ คราวนี้ แกจ้างลุกน้องให้เป็นเจ้ามือหวยเสียเอง ส่วนตัวแกก็ยังคงขายหวยซอง ทั้งรับทรัพท์จากใบ้หวย และรับกินจากคนซื้อหวย แกไม่ได้รวยคนเดียว แบ่งปันให้ลุกน้องรวยด้วย..
เป็นเรื่องเล่านะ เขาเล่ามา....ขอไปดูต้นกล้วยก่อนกำลังออกเครือเลย ดกเสียด้วย...ใกล้หวยออกแล้ว เจ้ามือกำลังรอเงินจากเราอยู่ สงสารเขานะ อุตส่ารอเงินจากเราตั้ง15วัน!!!สงสารเขานะ ....สงสารเขา######เน๊อะ..

เดี๋ยว หวยจะออกแล้วสินะ .. รู้จัก "หวยซอง" กันใช่ไหมครับ ที่ประมาณว่า มีเลขเด็ดอยู่ในนั้น ใครอยากรวยก็เสี่ยงกันดู แม่นไม่แม่น ค่อยว่ากันหลังหวยออก...ถูกก็จ่าย200/ซอง ไม่ถูกก็ไม่ต้อง..เขาว่างั้น! จึงได้แนวคิดมาว่า เราก็น่าจะทำบ้างนะ เเต่เราไม่มีซองหรอก มีเเต่เนื้อในใจความ เลื่อนมาก็อ่านได้เลย..หวยซองของผมอาจ #แพงกว่านิดหน่อย แต่ถ้าทำตามได้รับรอง คุณจะไม่มีวันเสียน้ำตาหลังหวยออกแม้แต่ครั้งเดียว.. **ก่อนหวยออก เตรียมเงินไว้ครับ ผมคิดคร่าวๆ ไว้300บาท เเล้วทำไปตามที่บอกหลังอ่านบทความนี้.. 1. ทุกๆวันที่ 1-16 ของเดือน ตอนเช้านำเงิน100บาทไปซื้อดอกไม้ข้าวปลาอาหารเเห้งใส่บาตรให้พระองค์แรกที่เห็น 2. เดินทางไปหาบิดา-มารดาของท่านซื้อดอกไม้ พวงมาลัยติดมือไปด้วย เอาราคาประมาณ100บาทน่าจะพอ.. 3.เมื่อไปถึงนำเงินที่เหลือ อีก100บาท ใส่มือท่าน หรือจะให้เยอะกว่าที่ว่า ก็ไม่ผิดอะไร อยู่กับท่านคุยกับท่าน ทำให้ท่านมีความสุข เมื่อถึงเวลา 4โมงเย็น กราบเท้าท่านเพื่อ ลากลับมาใช้ชีวิตปกติตามเดิม.. ***ทำเเบบนี้ได้ทุกเดือนคิดแบบข้อความด้านล่างนี้ได้ทุกครั้ง คุณจะไม่มีวีนเสียเงินเสียน้ำตา เพราะซื้อหวยไม่ถูกอีกตลอดไป..

เดี๋ยว หวยจะออกแล้วสินะ ..
รู้จัก "หวยซอง" กันใช่ไหมครับ ที่ประมาณว่า มีเลขเด็ดอยู่ในนั้น ใครอยากรวยก็เสี่ยงกันดู แม่นไม่แม่น ค่อยว่ากันหลังหวยออก...ถูกก็จ่าย200/ซอง ไม่ถูกก็ไม่ต้อง..เขาว่างั้น!
จึงได้แนวคิดมาว่า เราก็น่าจะทำบ้างนะ
เเต่เราไม่มีซองหรอก มีเเต่เนื้อในใจความ
เลื่อนมาก็อ่านได้เลย..หวยซองของผมอาจ #แพงกว่านิดหน่อย แต่ถ้าทำตามได้รับรอง
คุณจะไม่มีวันเสียน้ำตาหลังหวยออกแม้แต่ครั้งเดียว..
**ก่อนหวยออก เตรียมเงินไว้ครับ ผมคิดคร่าวๆ ไว้300บาท เเล้วทำไปตามที่บอกหลังอ่านบทความนี้..
1. ทุกๆวันที่ 1-16 ของเดือน ตอนเช้านำเงิน100บาทไปซื้อดอกไม้ข้าวปลาอาหารเเห้งใส่บาตรให้พระองค์แรกที่เห็น
2. เดินทางไปหาบิดา-มารดาของท่านซื้อดอกไม้ พวงมาลัยติดมือไปด้วย เอาราคาประมาณ100บาทน่าจะพอ..
3.เมื่อไปถึงนำเงินที่เหลือ อีก100บาท
ใส่มือท่าน หรือจะให้เยอะกว่าที่ว่า ก็ไม่ผิดอะไร อยู่กับท่านคุยกับท่าน ทำให้ท่านมีความสุข เมื่อถึงเวลา 4โมงเย็น กราบเท้าท่านเพื่อ ลากลับมาใช้ชีวิตปกติตามเดิม..
***ทำเเบบนี้ได้ทุกเดือนคิดแบบข้อความด้านล่างนี้ได้ทุกครั้ง คุณจะไม่มีวีนเสียเงินเสียน้ำตา เพราะซื้อหวยไม่ถูกอีกตลอดไป..

#ค่าโง่# 39ปีที่แล้ว...ผมเริ่มต้นทำงานกับบริษัทการเงินข้ามชาติ ที่ว่ากันว่ามีขนาดใหญ่เป็นอันดับ3ของโลก... 35ปีที่แล้ว...ผมแต่งงานกับเธอที่ผมรักที่สุด เราต่างสัญญาจะสร้างอนาคตร่วมกัน เธอจะเป็นคนข้างหลังเพื่อให้ผมประสบความสำเร็จทางการงานตามที่ตั้งใจ...ในขณะที่การงานของผมก้าวหน้าไปมากอย่างรวดเร็ว... 29ปีที่แล้ว...เธอคลอดลูกชายคนแรกให้ผม ในขณะที่ผมติดประชุมที่ญี่ปุ่น ผมขอโทษเธอ สัญญากับเธอว่า ผมขอเวลาทำงานอีกระยะเพื่อครอบครัว...ผมกลับเมืองไทย รับขวัญลูกและขอโทษเธอด้วยตำแหน่งงานที่ก้าวหน้ากว่าเดิม...ฝันของเราใกล้เป็นจริง... 24ปีที่แล้ว...เธอคลอดลูกสาวที่เราเฝ้ารอคอย ผมได้เห็นหน้าลูกสาวแค่วันเดียว เพราะต้องเดินทางไปประชุมใหญ่ที่ออสเตรเลีย ผมสัญญาว่าผมจะทำงานอีกไม่นาน จากนั้นเวลาทั้งหมดของผมจะเป็นของครอบครัวตลอดไปสมกับที่เธอตั้งตารอคอย... 13ปีที่แล้ว...หน้าที่การงานผมก้าวหน้าจนก้าวขึ้นเป็นเบอร์2ในภาคพื้นเอเชียแปซิคฟิค...แต่เธอขอ"หย่า"เพื่อเริ่มชีวิตใหม่ที่เธอบอกว่า ผมไม่เคยให้เธอ(ผมเถียงว่า ผมให้เธอทุกอย่าง)...สุดท้ายเธอบอกว่า"เมียไม่ได้ต้องการแค่ทรัพย์สินเงินทองจนเกินเก็บ หากแต่เป็นความอบอุ่นมั่นใจจากอ้อมกอดคนเป็นสามีเติมเต็มในคืนอ้างว้าง"... สุดท้ายเธอแยกไป...ส่วนลูกๆ ปู่กับย่าจะดูแลอย่างดี เหมือนกับที่เคยเลี้ยงผมมา... 10ปีที่แล้ว...ลูกชายคนโตซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์เพื่อนประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต...ผมบินกลับจากญี่ปุ่นทั้งๆที่มีงานสัมมาสำคัญ แม่บอกว่า ลูกชายเกเรเลี้ยงยาก...ผมกอดลูกสาวบอกกับเธอว่า พ่อไม่ดีเอง ขอเวลาพ่ออีกนิดแล้วพ่อจะให้ทุกอย่าง... 7ปีที่แล้ว...ก่อนแม่สิ้นใจ แม่บอกกับผมว่า อย่าเอาแต่ทำงานจนลืมไปว่า ลูกต้องการอ้อมกอดจากพ่อที่โหยหามานาน อย่าปล่อยให้เธอรอคอยอย่างเดียวดาย. 5ปีที่แล้ว...พ่อจากไปตามแม่ ญาติๆพากันพูดคุยโดยที่ผมแอบได้ยินว่า พ่อตรอมใจที่แม่จากไปเมื่ิอ2ปีที่แล้ว กับเรื่องหลานสาวหนีตามผู้ชายข้างบ้านไปอยู่ทางใต้...แกเอาแต่โทษตัวเองว่า “ ไม่มีปัญญาเลี้ยงหลานให้ดี” ...ขณะที่ผมก้าวสู่จุดสูงสุดทางการงาน...ผมเป็นเบอร์หนึ่งในเอเชียแปซิกฟิคตามเป้าหมาย ผมมีทุกอย่างที่ต้องการ ผมประสบความสำเร็จเหนือใคร... แน่นอนไม่มีสิ่งใดได้มาฟรีๆ การสูญเสียบางอย่างแลกกับความสำเร็จขนาดนี้มันชั่งคุ้มค่า... ต่อไปผมจะกลับไปชดเชยเยียวยาเวลาที่ผมโกงไปจากครอบครัว... 3ปีที่แล้ว...หมอบอกว่า ผมเป็นโรคซึมเศร้า ต้องกินยาตามสั่งให้ครบ... น่าแปลกที่ผมมีครบทุกอย่าง แต่กลับอ้างว้างอย่างที่สุด หาใครรักจริงไม่ได้สักคน มีแต่คนที่จ้องจะกอบโกยสิ่งที่ผมทุ่มเทหามาทั้งชีวิต...ไม่มีใครเหมือนพ่อ-แม่-ภรรยาและลูกๆสักคน...ตอนนี้ผมเข้าใจสิ่งที่ภรรยาผมบอกตอนเธอจากไปแล้ว...แต่มันสายไป ไม่มีใครทนรอคอยยาวนานแบบนี้ได้... ถึงตอนนี้ผมยอมแลกทุกอย่างที่หามาได้กับการเป็นคนหาเช้ากินค่ำพออยู่พอกิน ขอแค่ให้ได้อยู่ร่วมกับทุกคนสักช่วงชีวิตหนึ่ง...ได้โปรด! .................... วันนี้อาตมามีความสุขกับชีวิตใหม่ในร่มกาสาวพัสตร์อันสงบเย็น หากไม่ได้เจอพระอาจารย์ อาตมาคงฆ่าตัวตายไปเมื่อ3ปีที่แล้ว... หากวันนี้อาตมามีคุณวิเศษขอได้(ซึ่งไม่มี) ขอให้โยมทั้งหลาย อย่าทำโง่ๆเหมือนอาตมาในอดีตอีกเลย. .......... ขอบคุณบทความดีๆจากคุณเสก เพจ มดงาน บ้านรอยยิ้ม

39ปีที่แล้ว...ผมเริ่มต้นทำงานกับบริษัทการเงินข้ามชาติ ที่ว่ากันว่ามีขนาดใหญ่เป็นอันดับ3ของโลก...
35ปีที่แล้ว...ผมแต่งงานกับเธอที่ผมรักที่สุด เราต่างสัญญาจะสร้างอนาคตร่วมกัน เธอจะเป็นคนข้างหลังเพื่อให้ผมประสบความสำเร็จทางการงานตามที่ตั้งใจ...ในขณะที่การงานของผมก้าวหน้าไปมากอย่างรวดเร็ว...
29ปีที่แล้ว...เธอคลอดลูกชายคนแรกให้ผม ในขณะที่ผมติดประชุมที่ญี่ปุ่น ผมขอโทษเธอ สัญญากับเธอว่า ผมขอเวลาทำงานอีกระยะเพื่อครอบครัว...ผมกลับเมืองไทย รับขวัญลูกและขอโทษเธอด้วยตำแหน่งงานที่ก้าวหน้ากว่าเดิม...ฝันของเราใกล้เป็นจริง...
24ปีที่แล้ว...เธอคลอดลูกสาวที่เราเฝ้ารอคอย ผมได้เห็นหน้าลูกสาวแค่วันเดียว เพราะต้องเดินทางไปประชุมใหญ่ที่ออสเตรเลีย ผมสัญญาว่าผมจะทำงานอีกไม่นาน จากนั้นเวลาทั้งหมดของผมจะเป็นของครอบครัวตลอดไปสมกับที่เธอตั้งตารอคอย...
13ปีที่แล้ว...หน้าที่การงานผมก้าวหน้าจนก้าวขึ้นเป็นเบอร์2ในภาคพื้นเอเชียแปซิคฟิค...แต่เธอขอ"หย่า"เพื่อเริ่มชีวิตใหม่ที่เธอบอกว่า ผมไม่เคยให้เธอ(ผมเถียงว่า ผมให้เธอทุกอย่าง)...สุดท้ายเธอบอกว่า"เมียไม่ได้ต้องการแค่ทรัพย์สินเงินทองจนเกินเก็บ หากแต่เป็นความอบอุ่นมั่นใจจากอ้อมกอดคนเป็นสามีเติมเต็มในคืนอ้างว้าง"...
สุดท้ายเธอแยกไป...ส่วนลูกๆ ปู่กับย่าจะดูแลอย่างดี เหมือนกับที่เคยเลี้ยงผมมา...
10ปีที่แล้ว...ลูกชายคนโตซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์เพื่อนประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต...ผมบินกลับจากญี่ปุ่นทั้งๆที่มีงานสัมมาสำคัญ แม่บอกว่า ลูกชายเกเรเลี้ยงยาก...ผมกอดลูกสาวบอกกับเธอว่า พ่อไม่ดีเอง ขอเวลาพ่ออีกนิดแล้วพ่อจะให้ทุกอย่าง...
7ปีที่แล้ว...ก่อนแม่สิ้นใจ แม่บอกกับผมว่า อย่าเอาแต่ทำงานจนลืมไปว่า ลูกต้องการอ้อมกอดจากพ่อที่โหยหามานาน อย่าปล่อยให้เธอรอคอยอย่างเดียวดาย.
5ปีที่แล้ว...พ่อจากไปตามแม่ ญาติๆพากันพูดคุยโดยที่ผมแอบได้ยินว่า พ่อตรอมใจที่แม่จากไปเมื่ิอ2ปีที่แล้ว กับเรื่องหลานสาวหนีตามผู้ชายข้างบ้านไปอยู่ทางใต้...แกเอาแต่โทษตัวเองว่า “ ไม่มีปัญญาเลี้ยงหลานให้ดี” ...ขณะที่ผมก้าวสู่จุดสูงสุดทางการงาน...ผมเป็นเบอร์หนึ่งในเอเชียแปซิกฟิคตามเป้าหมาย ผมมีทุกอย่างที่ต้องการ ผมประสบความสำเร็จเหนือใคร...
แน่นอนไม่มีสิ่งใดได้มาฟรีๆ การสูญเสียบางอย่างแลกกับความสำเร็จขนาดนี้มันชั่งคุ้มค่า...
ต่อไปผมจะกลับไปชดเชยเยียวยาเวลาที่ผมโกงไปจากครอบครัว...
3ปีที่แล้ว...หมอบอกว่า ผมเป็นโรคซึมเศร้า ต้องกินยาตามสั่งให้ครบ...
น่าแปลกที่ผมมีครบทุกอย่าง แต่กลับอ้างว้างอย่างที่สุด หาใครรักจริงไม่ได้สักคน มีแต่คนที่จ้องจะกอบโกยสิ่งที่ผมทุ่มเทหามาทั้งชีวิต...ไม่มีใครเหมือนพ่อ-แม่-ภรรยาและลูกๆสักคน...ตอนนี้ผมเข้าใจสิ่งที่ภรรยาผมบอกตอนเธอจากไปแล้ว...แต่มันสายไป ไม่มีใครทนรอคอยยาวนานแบบนี้ได้...
ถึงตอนนี้ผมยอมแลกทุกอย่างที่หามาได้กับการเป็นคนหาเช้ากินค่ำพออยู่พอกิน ขอแค่ให้ได้อยู่ร่วมกับทุกคนสักช่วงชีวิตหนึ่ง...ได้โปรด!
....................
วันนี้อาตมามีความสุขกับชีวิตใหม่ในร่มกาสาวพัสตร์อันสงบเย็น หากไม่ได้เจอพระอาจารย์ อาตมาคงฆ่าตัวตายไปเมื่อ3ปีที่แล้ว...
หากวันนี้อาตมามีคุณวิเศษขอได้(ซึ่งไม่มี) ขอให้โยมทั้งหลาย อย่าทำโง่ๆเหมือนอาตมาในอดีตอีกเลย.
..........
ขอบคุณบทความดีๆจากคุณเสก เพจ มดงาน บ้านรอยยิ้ม

เด็กชายและเด็กหญิงเล่นอยู่ด้วยกัน เด็กชายมีก้อนหินสวยงามมากมาย ส่วนเด็กหญิงมีลูกกวาดมากมายเด็กชายบอกกับเด็กหญิงว่า “เราเอาก้อนหินแลกกับลูกกวาดของเธอได้ไหม?” เด็กหญิงตอบตกลงก่อนที่จะนำเอาหินสีสวยมาแลกกับลูกกวาด เด็กชายได้คัดหินเม็ดใหญ่และที่ตนเองชอบที่สุดแอบเก็บไว้เอาเพียงแต่หินก้อนเล็กๆที่ตนเองไม่ค่อยชอบจำนวนหนึ่งมอบให้แก่เด็กหญิงเด็กหญิงนำลูกกวาดที่เธอมีอยู่ทั้งหมดมอบให้เด็กชายตามสัญญาที่ให้ไว้ คืนนั้น เด็กหญิงนอนหลับฝันดีแต่เด็กชายกลับนอนไม่หลับได้แต่พลิกตัวไปมาเขาเฝ้าแต่คิด เด็กหญิงคงจะทำเหมือนตนเอง เธอต้องแอบซ่อนลูกกวาดไว้แน่ๆ ..................................... “เชื่อใจ” ต่อกันจึงทำให้หลับสบาย หากคุณให้คนอื่นได้ไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์คุณก็มักระแวงว่าคนอื่นให้คุณร้อยเปอร์เซ็นต์หรือเปล่า? นำเอาความจริงใจร้อยทั้งร้อยที่คุณมี มอบให้กับคนรอบข้าง จากนั้น จงหลับอย่างสบายใจไม่ต้องกังวล แม้เราจะรู้ว่า “ความสงสัย”เป็นสิ่งที่ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างกันแต่เราก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยความสงสัยคือที่มาของความไม่ไว้วางใจผู้อื่นคือความไม่เชื่อมั่นในตนเอง คือสิ่งบั่นทอนระหว่างกัน คือการดูหมิ่นในน้ำใจ นี่คือมารทางความคิด! โลกนี้ไม่มีอะไรผิดหรือถูก มีเพียงเหตุต้นและผลตามเมื่อเราให้ความจริงใจต่อคนรอบข้างไปร้อยทั้งร้อยก็อย่าได้คาดคิดว่าเขาจะจริงใจต่อเราหรือไม่โลกมีแรงดึงดูด วันหนึ่งกฎแห่งธรรมชาติจะเหวี่ยงสิ่งที่คุณให้กับคนอื่นกลับมาหาคุณอีกครั้งทรัพย์สินเงินทอง ชื่อเสียงสักการะคือสิ่งที่ตอนเกิดไม่ได้นำมา เมื่อยามตายไปเอาไปไม่ได้คุณธรรมต่างหากที่คงอยู่อย่างแท้จริง ผู้มีคุณธรรมย่อมคงอยู่นิจนิรันดร์เมื่อคุณให้ความจริงใจกับทุกคน คุณก็นอนหลับสบาย ไม่ผวาตื่นกลางดึกอีกต่อไป นุสนธิ์บุคส์

เด็กชายและเด็กหญิงเล่นอยู่ด้วยกัน
เด็กชายมีก้อนหินสวยงามมากมาย ส่วนเด็กหญิงมีลูกกวาดมากมายเด็กชายบอกกับเด็กหญิงว่า
“เราเอาก้อนหินแลกกับลูกกวาดของเธอได้ไหม?” เด็กหญิงตอบตกลงก่อนที่จะนำเอาหินสีสวยมาแลกกับลูกกวาด
เด็กชายได้คัดหินเม็ดใหญ่และที่ตนเองชอบที่สุดแอบเก็บไว้เอาเพียงแต่หินก้อนเล็กๆที่ตนเองไม่ค่อยชอบจำนวนหนึ่งมอบให้แก่เด็กหญิงเด็กหญิงนำลูกกวาดที่เธอมีอยู่ทั้งหมดมอบให้เด็กชายตามสัญญาที่ให้ไว้
คืนนั้น
เด็กหญิงนอนหลับฝันดีแต่เด็กชายกลับนอนไม่หลับได้แต่พลิกตัวไปมาเขาเฝ้าแต่คิด เด็กหญิงคงจะทำเหมือนตนเอง เธอต้องแอบซ่อนลูกกวาดไว้แน่ๆ
.....................................
“เชื่อใจ” ต่อกันจึงทำให้หลับสบาย หากคุณให้คนอื่นได้ไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์คุณก็มักระแวงว่าคนอื่นให้คุณร้อยเปอร์เซ็นต์หรือเปล่า?
นำเอาความจริงใจร้อยทั้งร้อยที่คุณมี มอบให้กับคนรอบข้าง
จากนั้น จงหลับอย่างสบายใจไม่ต้องกังวล แม้เราจะรู้ว่า “ความสงสัย”เป็นสิ่งที่ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างกันแต่เราก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยความสงสัยคือที่มาของความไม่ไว้วางใจผู้อื่นคือความไม่เชื่อมั่นในตนเอง
คือสิ่งบั่นทอนระหว่างกัน
คือการดูหมิ่นในน้ำใจ
นี่คือมารทางความคิด!
โลกนี้ไม่มีอะไรผิดหรือถูก มีเพียงเหตุต้นและผลตามเมื่อเราให้ความจริงใจต่อคนรอบข้างไปร้อยทั้งร้อยก็อย่าได้คาดคิดว่าเขาจะจริงใจต่อเราหรือไม่โลกมีแรงดึงดูด วันหนึ่งกฎแห่งธรรมชาติจะเหวี่ยงสิ่งที่คุณให้กับคนอื่นกลับมาหาคุณอีกครั้งทรัพย์สินเงินทอง ชื่อเสียงสักการะคือสิ่งที่ตอนเกิดไม่ได้นำมา เมื่อยามตายไปเอาไปไม่ได้คุณธรรมต่างหากที่คงอยู่อย่างแท้จริง ผู้มีคุณธรรมย่อมคงอยู่นิจนิรันดร์เมื่อคุณให้ความจริงใจกับทุกคน คุณก็นอนหลับสบาย ไม่ผวาตื่นกลางดึกอีกต่อไป
นุสนธิ์บุคส์

การได้มอบสิ่งดี ๆ ให้กับผู้อื่น คือสิ่งที่ดีที่สุดที่เราจะมอบให้กับตนเองได้ เพราะการมอบสิ่งดี ๆ ให้กับผู้อื่น เป็นการแสดงให้ตนเองได้รับรู้ว่าเราเป็นคนที่มีอยู่อย่างเหลือเฟือ เราไม่สามารถให้ได้ถ้าเราไม่มี บางคนอาจบอกว่าต้องรอให้มีจริง ๆ ก่อนแล้วให้ผู้อื่น แต่คำถามคือเราจะรอกันถึงเมื่อไหร่ ? รอยยิ้มให้กันได้ก็มอบให้ไปเลย คำขอบคุณให้กันได้ก็มอบให้ไปเลย กำลังใจให้กันได้ก็มอบให้ไปเลย คำแนะนำให้กันได้ก็มอบให้ไปเลย เคยได้ยินคำนี้ไหมครับ ยิ่งให้ยิ่งได้ คำว่าได้ในที่นี่ไม่จำเป็นต้องแปลว่าได้รับอะไรกลับมาอย่างเป็นรูปธรรม แต่อย่างน้อยมันก็แปลว่า ได้ความเบาสบายใจ ได้ความภาคภูมิใจ ได้ความสุข การได้มอบสิ่งดี ๆ ให้กับผู้อื่น จึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เราจะมอบให้กับตนเองได้ อย่างไม่ต้องสงสัยครับ Cr. ปลายคิด

การได้มอบสิ่งดี ๆ ให้กับผู้อื่น
คือสิ่งที่ดีที่สุดที่เราจะมอบให้กับตนเองได้
เพราะการมอบสิ่งดี ๆ ให้กับผู้อื่น
เป็นการแสดงให้ตนเองได้รับรู้ว่าเราเป็นคนที่มีอยู่อย่างเหลือเฟือ
เราไม่สามารถให้ได้ถ้าเราไม่มี
บางคนอาจบอกว่าต้องรอให้มีจริง ๆ ก่อนแล้วให้ผู้อื่น
แต่คำถามคือเราจะรอกันถึงเมื่อไหร่ ?
รอยยิ้มให้กันได้ก็มอบให้ไปเลย
คำขอบคุณให้กันได้ก็มอบให้ไปเลย
กำลังใจให้กันได้ก็มอบให้ไปเลย
คำแนะนำให้กันได้ก็มอบให้ไปเลย
เคยได้ยินคำนี้ไหมครับ
ยิ่งให้ยิ่งได้
คำว่าได้ในที่นี่ไม่จำเป็นต้องแปลว่าได้รับอะไรกลับมาอย่างเป็นรูปธรรม
แต่อย่างน้อยมันก็แปลว่า
ได้ความเบาสบายใจ
ได้ความภาคภูมิใจ
ได้ความสุข
การได้มอบสิ่งดี ๆ ให้กับผู้อื่น
จึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เราจะมอบให้กับตนเองได้
อย่างไม่ต้องสงสัยครับ
Cr. ปลายคิด

"สำหรับ...พ่อแม่ผู้ไม่ค่อยมีเวลา" ลูกชาย : แม่ครับ ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหม ? แม่ :.. ได้สิ .. ลูกจะถามอะไร ? ลูกชาย : แม่ครับ ใน 1 ชั่วโมงแม่หาเงินได้เท่าไหร่เหรอ ครับ? แม่ : มันไม่ใช่ธุระอะไรของลูก ทำไมถึงถามอะไรแบบนี้ ? ลูกชาย : ผมแค่อยากรู้ ได้โปรดบอกผมเถอะครับ แม่ : ถ้าลูกต้องรู้ให้ได้ แม่ก็จะบอกให้ฟัง ใน 1 ชั่วโมงแม่หาเงินได้ 100 บาท ลูกชาย : โห !!! (ทำหน้าเศร้าพร้อมกับก้มหน้าลง) ลูกชาย : แม่ครับ ผมขอยืมเงินแม่ 50 บาทได้ไหมครับ? แม่ของเขาโมโหอย่างมาก !! แม่ : ถ้าด้วยเหตุผลที่ลูกถาม เพียงเพราะอยากจะขอยืมเงินแม่ เพื่อไปซื้อของเล่นห่วย ๆ หรือ สิ่งของไร้สาระพวกนั้น ลูกควรจะนำตัวเองตรงกลับไปที่ห้อง และ เข้านอน พร้อมกับคิดว่าทำไมถึงเป็นคนเห็นแก่ตัวแบบนี้ แม่ทำงานหนักทุกวัน เพื่อเลี้ยงลูกที่มีนิสัยอย่างนี้เหรอ เด็กชายตัวน้อย เงียบลง และค่อยๆเดินขึ้นไปที่ห้องของเขาและปิดประตูลง แม่ นั่งลงด้วยความโมโห นึกย้อนคิดถึงคำถามของลูกชาย เขากล้าถามกับเราอย่างนั้นได้อย่างไร เพียงเพื่อแลกกับเงินบางส่วน ผ่านไป 1 ชั่วโมง..อารมณ์ของแม่เริ่มสงบลง และเริ่มคิดได้ว่า บางทีอาจจะมีบางสิ่งที่มีราคา 50 บาท ซึ่งลูกอยากได้จริงๆ และความจริงแล้ว เขาก็ไม่เคยถาม หรือ ขอเงินเรามาก่อนเลย ดังนั้นเอง แม่ จึงตัดสินใจเดินขึ้นไปหาลูกน้อยที่ห้องนอน แม่ : ยังไม่นอนอีกเหรอลูก ? ลูก : ไม่ครับแม่ ผมยังไม่นอน แม่ : แม่ มาคิดดูแล้ว บางทีแม่คงทำงานจนเหนื่อยเกินไป ถึงได้พูดกับลูกแรงขนาดนั้น นี่เงิน 50 บาทที่ลูกขอยืมแม่ เอาไปสิ หนุ่มน้อยฉีกยิ้มด้วยความดีใจ พร้อมกับลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเอง เด็กน้อยก็รีบดึงแบงค์ยับๆจำนวนหนึ่ง และ เศษเหรียญ ออกมาจากใต้หมอนของเขา เขาบรรจงนับมันอย่างช้าๆ แล้วค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองแม่ ในขณะเดียวกันกับที่แม่เริ่มจะโมโหขึ้นอีกรอบ เพราะเห็นลูกชายซ่อนเงินจำนวนหนึ่งไว้ใต้หมอน แม่: ลูกจะเอาเงินเยอะแยะขนาดนี้ไปทำอะไร ในเมื่อลูกก็มีมันอยู่มากแล้ว (แม่ถามด้วยอารมณ์เริ่มโกรธ) ลูกชาย : เพราะผมมีไม่พอครับแม่ แต่ตอนนี้ผมมีครบแล้ว แม่ครับ นี่เงิน 100 บาท ผมขอซื้อเวลาทำงานแม่ 1 ชั่วโมง พรุ่งนี้ตอนเย็น แม่ช่วยกลับบ้านมาหาผมเร็วๆนะครับ ผมเพียงแค่อยากจะกินข้าวเย็นกับแม่ครับ แม่หยุดนิ่งไปชั่วขณะ เพราะความเจ็บปวดที่หน้าอก รู้สึกเหมือนดวงใจของเธอ มันจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แม่ โผเข้ากอดลูกชายทั้งน้ำตา พร้อมกับขอให้ลูกชายสุดที่รักยกโทษให้กับตัวของเธอ ^_______^

"สำหรับ...พ่อแม่ผู้ไม่ค่อยมีเวลา"
ลูกชาย : แม่ครับ ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหม ?
แม่ :.. ได้สิ .. ลูกจะถามอะไร ?
ลูกชาย : แม่ครับ ใน 1 ชั่วโมงแม่หาเงินได้เท่าไหร่เหรอ ครับ?
แม่ : มันไม่ใช่ธุระอะไรของลูก ทำไมถึงถามอะไรแบบนี้ ?
ลูกชาย : ผมแค่อยากรู้ ได้โปรดบอกผมเถอะครับ
แม่ : ถ้าลูกต้องรู้ให้ได้ แม่ก็จะบอกให้ฟัง
ใน 1 ชั่วโมงแม่หาเงินได้ 100 บาท
ลูกชาย : โห !!! (ทำหน้าเศร้าพร้อมกับก้มหน้าลง)
ลูกชาย : แม่ครับ ผมขอยืมเงินแม่ 50 บาทได้ไหมครับ?
แม่ของเขาโมโหอย่างมาก !!
แม่ : ถ้าด้วยเหตุผลที่ลูกถาม
เพียงเพราะอยากจะขอยืมเงินแม่
เพื่อไปซื้อของเล่นห่วย ๆ หรือ สิ่งของไร้สาระพวกนั้น
ลูกควรจะนำตัวเองตรงกลับไปที่ห้อง และ เข้านอน
พร้อมกับคิดว่าทำไมถึงเป็นคนเห็นแก่ตัวแบบนี้
แม่ทำงานหนักทุกวัน เพื่อเลี้ยงลูกที่มีนิสัยอย่างนี้เหรอ
เด็กชายตัวน้อย เงียบลง
และค่อยๆเดินขึ้นไปที่ห้องของเขาและปิดประตูลง
แม่ นั่งลงด้วยความโมโห นึกย้อนคิดถึงคำถามของลูกชาย
เขากล้าถามกับเราอย่างนั้นได้อย่างไร
เพียงเพื่อแลกกับเงินบางส่วน
ผ่านไป 1 ชั่วโมง..อารมณ์ของแม่เริ่มสงบลง และเริ่มคิดได้ว่า
บางทีอาจจะมีบางสิ่งที่มีราคา 50 บาท ซึ่งลูกอยากได้จริงๆ
และความจริงแล้ว เขาก็ไม่เคยถาม หรือ ขอเงินเรามาก่อนเลย
ดังนั้นเอง แม่ จึงตัดสินใจเดินขึ้นไปหาลูกน้อยที่ห้องนอน
แม่ : ยังไม่นอนอีกเหรอลูก ?
ลูก : ไม่ครับแม่ ผมยังไม่นอน
แม่ : แม่ มาคิดดูแล้ว บางทีแม่คงทำงานจนเหนื่อยเกินไป
ถึงได้พูดกับลูกแรงขนาดนั้น
นี่เงิน 50 บาทที่ลูกขอยืมแม่ เอาไปสิ
หนุ่มน้อยฉีกยิ้มด้วยความดีใจ พร้อมกับลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นเอง เด็กน้อยก็รีบดึงแบงค์ยับๆจำนวนหนึ่ง
และ เศษเหรียญ ออกมาจากใต้หมอนของเขา
เขาบรรจงนับมันอย่างช้าๆ แล้วค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองแม่
ในขณะเดียวกันกับที่แม่เริ่มจะโมโหขึ้นอีกรอบ
เพราะเห็นลูกชายซ่อนเงินจำนวนหนึ่งไว้ใต้หมอน
แม่: ลูกจะเอาเงินเยอะแยะขนาดนี้ไปทำอะไร
ในเมื่อลูกก็มีมันอยู่มากแล้ว (แม่ถามด้วยอารมณ์เริ่มโกรธ)
ลูกชาย : เพราะผมมีไม่พอครับแม่ แต่ตอนนี้ผมมีครบแล้ว
แม่ครับ นี่เงิน 100 บาท ผมขอซื้อเวลาทำงานแม่ 1 ชั่วโมง
พรุ่งนี้ตอนเย็น แม่ช่วยกลับบ้านมาหาผมเร็วๆนะครับ
ผมเพียงแค่อยากจะกินข้าวเย็นกับแม่ครับ
แม่หยุดนิ่งไปชั่วขณะ เพราะความเจ็บปวดที่หน้าอก
รู้สึกเหมือนดวงใจของเธอ มันจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
แม่ โผเข้ากอดลูกชายทั้งน้ำตา
พร้อมกับขอให้ลูกชายสุดที่รักยกโทษให้กับตัวของเธอ
^_______^ 

ลูกรัก ลูกรัก .....นี่ก็ใกล้จะสิ้นปีแล้ว แม่ใช้วิธีการเขียนจดหมายส่งถึงลูก เพื่อให้ ลูกได้ย้อนคิดย้อนอ่าน หากวันหนึ่ง แม่จากลูกไปในดินแดนแสน ไกล แม่หวังว่าสิ่งที่แม่เขียนถึงลูกในวันนี้ จะเป็นแนวทางที่ลูกจะ นำไปใช้ในชีวิตได้ ลูกรัก .....หากวันหนึ่ง หนูผิดหวังในความรัก อย่าได้จมอยู่กับอดีตที่มัน หวนกลับคืนมาไม่ได้ ว่าวที่เชือกขาดแล้วเราต้องปล่อยให้มันลอย ไปตามลม โลกใบนี้ที่แสนกว้างใหญ่ แต่ลูกของแม่ไม่ใช่สิ่งผลิต ซ้ำ ลูกคือลูกต่อให้ไม่มีใครชื่นชม หนูก็ต้องรู้จักรักตัวเองนะลูกนะ ลูกรัก .....ทำดีต่อคนรอบตัวของลูกให้มากนะ ไม่ว่าจะเป็นความรักใน ครอบครัว ความรักของหนุ่มสาว ความรักในเพื่อนฝูง มันเป็นเรื่อง ทั้งชีวิต อย่าได้คบหาหรือล้อเล่นเรื่องความรักกับใครๆ และอย่า ได้ให้ใครๆเดินเข้ามาล้อเล่นกับชีวิตของลูกโดยง่าย ลูกรัก .....อย่าได้หวังพึงแต่จะพึ่งพาคนอื่น และอย่าคาดหวังว่าคนอื่นจะ มาปรากฏกายค้ำจุนทุกครั้งที่ลูกลำบาก เพราะไม่มีใครติดหนี้ลูก หากลูกไม่สบายใจ จะแอบร้องไห้บ้างก็ไม่เป็นไร ร้องไห้เสร็จต้อง ยิ้มให้ได้นะลูก ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาเห็นใจหรือสงสาร ต่อให้ ต้องเริ่มต้นที่ศูนย์อีกครั้ง แม่เชื่อว่า ลูกของแม่จะยืนหยัดขึ้นได้ ใหม่อีกครั้ง ขอเพียงลูกแม่ไม่ท้อ ลูกรัก .....อย่าได้ทรมานตัวเองจนเกินไป ยกตัวอย่างเช่น ไม่หลับไม่นอน ไม่กินข้าว โศกเศร้าเสียใจ โทษกล่าวตัวเอง สิ่งเหล่านี้มันไม่ ฉลาด อย่าใส่ใจคนบางประเภทมากเกินไป อย่าใส่ใจเรื่องราว บางอย่างมากเกินไป เรื่องบางเรื่องใส่ใจมากเกินไป ลูกจะไม่มี ค่าในสายตาของพวกเขาเลยนะลูก ลูกรัก .....ต้องรู้จักความคุมสติอารมณ์ของตัวเองให้จงดี ไม่มีใครเกิด มาเพื่อเป็นเบี้ยล่างของลูก ดังนั้น ไม่มีเหตุผลอันใดที่ลูกจะไป บันดาลโทสะกับเขาใคร หากคนอื่นเขาทำดีต่อลูก ลูกก็ต้องทำดี ตอบแทนเขา หากคนอื่นเขาทำไม่ดีต่อลูก ลูกก็ยังต้องทำดีต่อ เขาอยู่ ไม่ใช่เพื่อเอาชนะเขา แต่เพราะสิ่งนี้เป็นสิ่งยืนยันว่าลูก ของแม่เป็นคนดี ลูกรัก .....หากชีวิตของลูกเดินมาถึงทางตัน ลูกจงเข้มแข็ง จำไว้นะลูก ปลายทางของค่ำคืนคือรุ่งอรุณ ไม่มีอะไรที่ลูกของแม่จะผ่านมัน ไปไม่ได้ สิ่งที่โลกนี้กำลังบอกกับเราก็คือ เมื่อผ่านไปแล้ว มันเริ่ม ต้นใหม่ได้เสมอนะลูก ลูกรัก .....จากวันนี้เป็นต้นไป ขอให้ลูกของแม่จงรู้จักรักตัวเอง ชีวิตเป็น ของลูก จะสุขจะทุกข์ก็อยู่ที่ลูก แม่ขอให้ลูกเป็นคนดีให้ได้ หาก วันหนึ่ง สิ่งที่ลูกต้องเลือกคือทางผิดและทางถูกต้อง แม่ขอให้ลูก เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง เพื่อให้ลูกหลานของลูกได้ภูมิใจ เหมือน ที่พ่อกับแม่เลือกทำในสิ่งเหล่านี้เสมอมา แม้การทำในสิ่งที่ดีอาจ ได้รับผลตอบสนองช้า แต่ลูกจ๋า มันคุ้มค่ากับการรอคอยนะลูก จงมีชีวิตอยู่โดยไม่ติดหนี้ชีวิตใครๆ จงจากโลกนี้ไปโดยไม่เสียใจ ที่ได้เกิดมา สุดท้าย แม่ขอให้ลูกใช้ความรักความอาทรเป็นแสงนำทางชีวิต ลืมความทุกข์ในอดีต พรุ่งนี้พระอาทิตย์ก็จะยังขึ้นในทิศทางเดิม รักลูกของแม่เสมอ จาก..แม่

ลูกรัก
ลูกรัก
.....นี่ก็ใกล้จะสิ้นปีแล้ว แม่ใช้วิธีการเขียนจดหมายส่งถึงลูก เพื่อให้
ลูกได้ย้อนคิดย้อนอ่าน หากวันหนึ่ง แม่จากลูกไปในดินแดนแสน
ไกล แม่หวังว่าสิ่งที่แม่เขียนถึงลูกในวันนี้ จะเป็นแนวทางที่ลูกจะ
นำไปใช้ในชีวิตได้
ลูกรัก
.....หากวันหนึ่ง หนูผิดหวังในความรัก อย่าได้จมอยู่กับอดีตที่มัน
หวนกลับคืนมาไม่ได้ ว่าวที่เชือกขาดแล้วเราต้องปล่อยให้มันลอย
ไปตามลม โลกใบนี้ที่แสนกว้างใหญ่ แต่ลูกของแม่ไม่ใช่สิ่งผลิต
ซ้ำ ลูกคือลูกต่อให้ไม่มีใครชื่นชม หนูก็ต้องรู้จักรักตัวเองนะลูกนะ
ลูกรัก
.....ทำดีต่อคนรอบตัวของลูกให้มากนะ ไม่ว่าจะเป็นความรักใน
ครอบครัว ความรักของหนุ่มสาว ความรักในเพื่อนฝูง มันเป็นเรื่อง
ทั้งชีวิต อย่าได้คบหาหรือล้อเล่นเรื่องความรักกับใครๆ และอย่า
ได้ให้ใครๆเดินเข้ามาล้อเล่นกับชีวิตของลูกโดยง่าย
ลูกรัก
.....อย่าได้หวังพึงแต่จะพึ่งพาคนอื่น และอย่าคาดหวังว่าคนอื่นจะ
มาปรากฏกายค้ำจุนทุกครั้งที่ลูกลำบาก เพราะไม่มีใครติดหนี้ลูก
หากลูกไม่สบายใจ จะแอบร้องไห้บ้างก็ไม่เป็นไร ร้องไห้เสร็จต้อง
ยิ้มให้ได้นะลูก ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาเห็นใจหรือสงสาร ต่อให้
ต้องเริ่มต้นที่ศูนย์อีกครั้ง แม่เชื่อว่า ลูกของแม่จะยืนหยัดขึ้นได้
ใหม่อีกครั้ง ขอเพียงลูกแม่ไม่ท้อ
ลูกรัก
.....อย่าได้ทรมานตัวเองจนเกินไป ยกตัวอย่างเช่น ไม่หลับไม่นอน
ไม่กินข้าว โศกเศร้าเสียใจ โทษกล่าวตัวเอง สิ่งเหล่านี้มันไม่
ฉลาด อย่าใส่ใจคนบางประเภทมากเกินไป อย่าใส่ใจเรื่องราว
บางอย่างมากเกินไป เรื่องบางเรื่องใส่ใจมากเกินไป ลูกจะไม่มี
ค่าในสายตาของพวกเขาเลยนะลูก
ลูกรัก
.....ต้องรู้จักความคุมสติอารมณ์ของตัวเองให้จงดี ไม่มีใครเกิด
มาเพื่อเป็นเบี้ยล่างของลูก ดังนั้น ไม่มีเหตุผลอันใดที่ลูกจะไป
บันดาลโทสะกับเขาใคร หากคนอื่นเขาทำดีต่อลูก ลูกก็ต้องทำดี
ตอบแทนเขา หากคนอื่นเขาทำไม่ดีต่อลูก ลูกก็ยังต้องทำดีต่อ
เขาอยู่ ไม่ใช่เพื่อเอาชนะเขา แต่เพราะสิ่งนี้เป็นสิ่งยืนยันว่าลูก
ของแม่เป็นคนดี
ลูกรัก
.....หากชีวิตของลูกเดินมาถึงทางตัน ลูกจงเข้มแข็ง จำไว้นะลูก
ปลายทางของค่ำคืนคือรุ่งอรุณ ไม่มีอะไรที่ลูกของแม่จะผ่านมัน
ไปไม่ได้ สิ่งที่โลกนี้กำลังบอกกับเราก็คือ เมื่อผ่านไปแล้ว มันเริ่ม
ต้นใหม่ได้เสมอนะลูก
ลูกรัก
.....จากวันนี้เป็นต้นไป ขอให้ลูกของแม่จงรู้จักรักตัวเอง ชีวิตเป็น
ของลูก จะสุขจะทุกข์ก็อยู่ที่ลูก แม่ขอให้ลูกเป็นคนดีให้ได้ หาก
วันหนึ่ง สิ่งที่ลูกต้องเลือกคือทางผิดและทางถูกต้อง แม่ขอให้ลูก
เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง เพื่อให้ลูกหลานของลูกได้ภูมิใจ เหมือน
ที่พ่อกับแม่เลือกทำในสิ่งเหล่านี้เสมอมา แม้การทำในสิ่งที่ดีอาจ
ได้รับผลตอบสนองช้า แต่ลูกจ๋า มันคุ้มค่ากับการรอคอยนะลูก
จงมีชีวิตอยู่โดยไม่ติดหนี้ชีวิตใครๆ จงจากโลกนี้ไปโดยไม่เสียใจ
ที่ได้เกิดมา
สุดท้าย แม่ขอให้ลูกใช้ความรักความอาทรเป็นแสงนำทางชีวิต
ลืมความทุกข์ในอดีต พรุ่งนี้พระอาทิตย์ก็จะยังขึ้นในทิศทางเดิม
รักลูกของแม่เสมอ
จาก..แม่

ในสมัยเอโดะ (ค.ศ.1603-1867) ประเทศญี่ปุ่นมีการปกครองด้วยระบบขุนนาง มีเจ้าเมืองและซามูไรที่มีอำนาจลดหลั่นกันไป ประชาชนทุกคนต้องเชื่อฟังคำสั่งของเจ้าเมืองแบบไม่มีเงื่อนไข ช่วงที่ญี่ปุ่นถูกภัยแล้งคุกคามนานหลายปี เจ้าเมืองได้ออกกฏหมายขึ้นมาข้อหนึ่งว่า หากครอบครัวไหนมีพ่อแม่ที่อายุเกิน 70 ปี ลูกต้องนำพ่อแม่ไปทิ้งบนเขา มิฉะนั้นจะถูกประหาร เพราะถือว่าคนสูงวัยถึงเพียงนั้นเป็นคนที่ไร้ประโยชน์ ยิ่งอยู่นานยิ่งเป็นภาระ ในทางตรงกันข้าม การตายเพื่อให้ลูกหลานได้อยู่ต่อ นับเป็นการตายที่มีเกียรติสูงยิ่ง ภูเขาสูงหลายแห่งจึงกลายเป็นหลุมฝังศพคนแก่ ขึ้นไปสองคน แต่กลับลงมาหนึ่ง ต่อเนื่องกันไปอย่างนี้เรื่อยมา ชาวญี่ปุ่นเรียกภูเขาเหล่านี้ว่า "อุบะสุเทะ" ("อุบะ" แปลว่า คนแก่ "สุเทะ" แปลว่า ทิ้ง) ...และแล้วก็ถึงวันที่แม่ของ "เขา" อายุครบ 70 ปี เช้าวันนั้นเขาจัดเตรียมข้าวเป็นเสบียง เตรียมสานตระกร้าสำหรับใส่แม่ เมื่อทุกอย่างพร้อมก็อุ้มแม่วางลงในตระกร้า แบกขึ้นหลังและออกเดินทางไปยังภูเขา ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังจดจ่อกับการปีนเขาที่สูงขึ้นเรื่อยๆ แม่ผู้ชราก็สังเกตเห็นว่าท้องฟ้ากำลังมืดลงทุกทีๆ นางเกิดความกลัวขึ้นมาว่าถ้าฟ้ามืดลูกชายอาจหลงทางอยู่บนเขาก็ได้ นางจึงเอื้อมมือไปหักกิ่งไม้ กิ่งแล้วกิ่งเล่าเพื่อที่ว่าหลังจากทิ้งนางไว้บนภูเขาแล้ว ลูกชายจะสามารถกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย เมื่อถึงเวลาที่แม่ลูกต้องจากกัน นางได้บอกลูกชายว่า "ลูกแม่ ตอนที่เราขึ้นมาบนเขา แม่ได้หักกิ่งไม้ไว้ตลอดทาง ตอนลงจากเขาเจ้าจงสังเกตรอยไม้ที่แม่หักไว้ ก็จะถึงบ้านโดยปลอดภัย" เมื่อลูกชายได้ยินดังนั้น ทันใดสายตาก็มองเห็นมือที่เต็มไปด้วยรอยขีดข่วนของแม่ เขาอดหลั่งน้ำตาออกมามิได้ และตัดสินใจว่าจะไม่ยอมทิ้งแม่ไว้บนภูเขาเด็ดขาด เขาอุ้มแม่วางลงในตระกร้า แบกขึ้นหลังพาลงภูเขา และซ่อนแม่ไว้ในยุ้งฉางเพื่อหลบสายตาจากคนภายนอก ไม่นานหลังจากนั้น เจ้าเมืองก็ประกาศคำปริศนาไว้สองข้อ และบอกว่าหากใครแก้ปริศนาเหล่านี้ได้ ก็จะให้คนผู้นั้นสมปรารถนาหนึ่งประการ ปริศนาข้อแรก คือ ให้ฟั่นเชือกขึ้นมาจากขี้เถ้า และสอง คือ ให้ร้อยเส้นไหมลอดผ่านเปลือกหอยสังข์ เวลาผ่านไปหลายสัปดาห์ก็ยังไม่มีใครแก้ปริศนาได้ ลูกชายจึงนำเรื่องนี้ไปเล่าให้แม่ฟัง เมื่อเล่าจบแม่ก็ยิ้มแล้วสอนว่า "ลูกแม่ เจ้าจงทำตามที่แม่บอกต่อไปนี้ สำหรับปริศนาข้อแรกให้เจ้าฟั่นเชือกขึ้นมาแล้วนำไปเผาให้ไหม้เป็นถ่าน ขี้เถ้าจะคงรูปเหมือนเชือกอยู่อย่างนั้น ส่วนปริศนาข้อที่สอง ให้ผูกเส้นไหมกับขามดแล้วจับมดไปใส่ในเปลือกหอย หลังจากนั้นให้โรยน้ำตาล และจุดเทียนอีกด้านหนึ่งของเปลือกหอย เมื่อมดได้กลิ่นน้ำตาลและเห็นแสงเทียนก็จะพยายามเดินออกไปอีกด้าน" ภายหลังเมื่อเจ้าเมืองรู้ว่าคนที่แก้ปริศนาได้ แท้จริงแล้วคือหญิงชราธรรมดาๆ คนหนึ่ง จึงเกิดความเลื่อมใสในภูมิปัญญาของคนชราและตัดสินใจยกเลิกกฎให้ทิ้งพ่อแม่ ตั้งแต่นั้น แม่กับลูกชายจึงใช้ชีวิตต่อมาอย่างมีความสุข ความรักของพ่อแม่เป็นสิ่งอัศจรรย์...ราวกับไม่มีอยู่จริง เพราะเป็นความรักที่มีแต่คำว่า "ให้" อย่างที่ไม่มีลูกคนไหน "ให้" คืนกลับได้อย่างเท่าเทียม การดูแลพ่อแม่ในยามที่ท่านดูแลตัวเองไม่ได้ถือเป็นการทดแทนบุญคุณของท่านเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากใครบอกว่าไม่สามารถดูแลพ่อแม่ได้ จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม โปรดจำเรื่องนี้ไว้เป็นคติสอนใจ ตำนานอุบะสุเทะเป็นเรื่องที่ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่รู้จักดี แต่คนทั่วไปอาจได้ยินเรื่องนี้จาก Ballad of Narayama ภาพยนต์ผลการกำกับของผู้กำกับอิมะมุระ โชเฮ (Imamura Shohei) ที่เล่าเรื่องราวชีวิตปีที่ 69 ย่าง 70 ของ โอริน หญิงชราซึ่งพยายามใช้ปีสุดท้ายก่อนจะถูกนำไปทิ้งบนภูเขานารายาม่า เพื่อช่วยลูกชายและหลาน จนแน่ใจว่าพวกเขาจะสามารถเผชิญความทุกข์ยากแร้นแค้นได้หลังจากที่เธอตายไปแล้ว

ในสมัยเอโดะ (ค.ศ.1603-1867) ประเทศญี่ปุ่นมีการปกครองด้วยระบบขุนนาง มีเจ้าเมืองและซามูไรที่มีอำนาจลดหลั่นกันไป ประชาชนทุกคนต้องเชื่อฟังคำสั่งของเจ้าเมืองแบบไม่มีเงื่อนไข ช่วงที่ญี่ปุ่นถูกภัยแล้งคุกคามนานหลายปี เจ้าเมืองได้ออกกฏหมายขึ้นมาข้อหนึ่งว่า หากครอบครัวไหนมีพ่อแม่ที่อายุเกิน 70 ปี ลูกต้องนำพ่อแม่ไปทิ้งบนเขา มิฉะนั้นจะถูกประหาร เพราะถือว่าคนสูงวัยถึงเพียงนั้นเป็นคนที่ไร้ประโยชน์ ยิ่งอยู่นานยิ่งเป็นภาระ ในทางตรงกันข้าม การตายเพื่อให้ลูกหลานได้อยู่ต่อ
นับเป็นการตายที่มีเกียรติสูงยิ่ง
ภูเขาสูงหลายแห่งจึงกลายเป็นหลุมฝังศพคนแก่ ขึ้นไปสองคน แต่กลับลงมาหนึ่ง ต่อเนื่องกันไปอย่างนี้เรื่อยมา
ชาวญี่ปุ่นเรียกภูเขาเหล่านี้ว่า "อุบะสุเทะ" ("อุบะ" แปลว่า คนแก่ "สุเทะ" แปลว่า ทิ้ง)
...และแล้วก็ถึงวันที่แม่ของ "เขา" อายุครบ 70 ปี เช้าวันนั้นเขาจัดเตรียมข้าวเป็นเสบียง เตรียมสานตระกร้าสำหรับใส่แม่ เมื่อทุกอย่างพร้อมก็อุ้มแม่วางลงในตระกร้า แบกขึ้นหลังและออกเดินทางไปยังภูเขา ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังจดจ่อกับการปีนเขาที่สูงขึ้นเรื่อยๆ แม่ผู้ชราก็สังเกตเห็นว่าท้องฟ้ากำลังมืดลงทุกทีๆ นางเกิดความกลัวขึ้นมาว่าถ้าฟ้ามืดลูกชายอาจหลงทางอยู่บนเขาก็ได้ นางจึงเอื้อมมือไปหักกิ่งไม้ กิ่งแล้วกิ่งเล่าเพื่อที่ว่าหลังจากทิ้งนางไว้บนภูเขาแล้ว ลูกชายจะสามารถกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย
เมื่อถึงเวลาที่แม่ลูกต้องจากกัน นางได้บอกลูกชายว่า "ลูกแม่ ตอนที่เราขึ้นมาบนเขา แม่ได้หักกิ่งไม้ไว้ตลอดทาง ตอนลงจากเขาเจ้าจงสังเกตรอยไม้ที่แม่หักไว้ ก็จะถึงบ้านโดยปลอดภัย" เมื่อลูกชายได้ยินดังนั้น ทันใดสายตาก็มองเห็นมือที่เต็มไปด้วยรอยขีดข่วนของแม่ เขาอดหลั่งน้ำตาออกมามิได้ และตัดสินใจว่าจะไม่ยอมทิ้งแม่ไว้บนภูเขาเด็ดขาด เขาอุ้มแม่วางลงในตระกร้า แบกขึ้นหลังพาลงภูเขา และซ่อนแม่ไว้ในยุ้งฉางเพื่อหลบสายตาจากคนภายนอก
ไม่นานหลังจากนั้น เจ้าเมืองก็ประกาศคำปริศนาไว้สองข้อ และบอกว่าหากใครแก้ปริศนาเหล่านี้ได้ ก็จะให้คนผู้นั้นสมปรารถนาหนึ่งประการ
ปริศนาข้อแรก คือ ให้ฟั่นเชือกขึ้นมาจากขี้เถ้า และสอง คือ ให้ร้อยเส้นไหมลอดผ่านเปลือกหอยสังข์
เวลาผ่านไปหลายสัปดาห์ก็ยังไม่มีใครแก้ปริศนาได้ ลูกชายจึงนำเรื่องนี้ไปเล่าให้แม่ฟัง เมื่อเล่าจบแม่ก็ยิ้มแล้วสอนว่า
"ลูกแม่ เจ้าจงทำตามที่แม่บอกต่อไปนี้ สำหรับปริศนาข้อแรกให้เจ้าฟั่นเชือกขึ้นมาแล้วนำไปเผาให้ไหม้เป็นถ่าน ขี้เถ้าจะคงรูปเหมือนเชือกอยู่อย่างนั้น
ส่วนปริศนาข้อที่สอง ให้ผูกเส้นไหมกับขามดแล้วจับมดไปใส่ในเปลือกหอย หลังจากนั้นให้โรยน้ำตาล และจุดเทียนอีกด้านหนึ่งของเปลือกหอย เมื่อมดได้กลิ่นน้ำตาลและเห็นแสงเทียนก็จะพยายามเดินออกไปอีกด้าน"
ภายหลังเมื่อเจ้าเมืองรู้ว่าคนที่แก้ปริศนาได้ แท้จริงแล้วคือหญิงชราธรรมดาๆ คนหนึ่ง จึงเกิดความเลื่อมใสในภูมิปัญญาของคนชราและตัดสินใจยกเลิกกฎให้ทิ้งพ่อแม่ ตั้งแต่นั้น แม่กับลูกชายจึงใช้ชีวิตต่อมาอย่างมีความสุข
ความรักของพ่อแม่เป็นสิ่งอัศจรรย์...ราวกับไม่มีอยู่จริง เพราะเป็นความรักที่มีแต่คำว่า "ให้" อย่างที่ไม่มีลูกคนไหน "ให้" คืนกลับได้อย่างเท่าเทียม
การดูแลพ่อแม่ในยามที่ท่านดูแลตัวเองไม่ได้ถือเป็นการทดแทนบุญคุณของท่านเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
หากใครบอกว่าไม่สามารถดูแลพ่อแม่ได้ จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม โปรดจำเรื่องนี้ไว้เป็นคติสอนใจ
ตำนานอุบะสุเทะเป็นเรื่องที่ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่รู้จักดี แต่คนทั่วไปอาจได้ยินเรื่องนี้จาก Ballad of Narayama ภาพยนต์ผลการกำกับของผู้กำกับอิมะมุระ โชเฮ (Imamura Shohei) ที่เล่าเรื่องราวชีวิตปีที่ 69 ย่าง 70 ของ โอริน หญิงชราซึ่งพยายามใช้ปีสุดท้ายก่อนจะถูกนำไปทิ้งบนภูเขานารายาม่า เพื่อช่วยลูกชายและหลาน จนแน่ใจว่าพวกเขาจะสามารถเผชิญความทุกข์ยากแร้นแค้นได้หลังจากที่เธอตายไปแล้ว

อนลูกให้คิดบวก รถไฟฟ้าช่วงเช้านี้แน่นขนัด น้ำใจก็หายาก ทั้งๆที่ในขบวนรถ มี เพียงประกาศให้งดบริโภคเครื่องดื่ม ก็ไม่คิดว่าน้ำใจจะถูกจำกัด ไปด้วย เสียงเด็กหญิงคนหนึ่งถามแม่ว่า "ทำไมไม่มีใครลุกให้เด็กนั่งคะ คุณแม่" "ใครได้ยินก็คงรู้สึกเอ็นดู และอยากลุกให้หนูนั่งแน่ๆ แต่มันก็ยัง เบาเกินไป ไม่ดังไปถึงตำแหน่งที่คนนั่งอยู่" เสียงคุณแม่ตอบลูก ฟังแล้วได้แต่ยิ้มอย่างมีความสุข "คนที่นั่ง เมื่อวานนี้เค้าไปปั่นเพื่อแม่กันมาค่ะ ที่เราดูในโทรทัศน์ อ่ะ เห็นมั้ย เค้าปั่นจักรยานไกลมากๆเลย และก็จะเมื่อยมากๆ ให้ เค้านั่งเถอะเนอะ เค้าจะได้หายเมื่อย" สวยงามเนอะ ความคิด โลกนี้มันจะเป็นยังไงก็ตาม อย่าพยายามให้ลูกพกพาความรู้สึก โกรธเกลียดไว้ในใจเลย ในความเป็นจริงคนเห็นแก่ตัวมีล้นเหลือ เราไม่มีวันมีความสุขหรอก ถ้าเฝ้าแต่ก่นด่า มองด้วยสายตา เกลียดชังกัน คนคิดบวก หลายๆคนบอกว่า คิดแบบคนโง่และจะถูกเอาเปรียบ จริงๆแล้วคนคิดบวก ชีวิตมันเบากว่าเยอะมาก สุขมาก อาจจะ เมื่อยมาก ลำบากมาก แต่ใจสบายมากๆ คิดบวก ไม่ใช่คนโลกสวย แต่เลือกที่จะเห็นมุมมองด้านที่สวย งามของโลก โลกนี้กว้างมาก แบ่งกันยืนบ้าง แบ่งกันนั่งบ้าง สบายบ้าง ลำบาก บ้าง ทุกข์สุขแบ่งๆกัน ไม่ใช่คนเห็นแก่ตัวมากจะสุขมากหรอกนะ การดิ้นรนโดยคิดว่าตัวเราต้องได้ น่าจะเหนื่อยกว่า การคิดว่าคน อื่นได้ไปก็ยินดี

อนลูกให้คิดบวก
รถไฟฟ้าช่วงเช้านี้แน่นขนัด น้ำใจก็หายาก ทั้งๆที่ในขบวนรถ มี
เพียงประกาศให้งดบริโภคเครื่องดื่ม ก็ไม่คิดว่าน้ำใจจะถูกจำกัด
ไปด้วย
เสียงเด็กหญิงคนหนึ่งถามแม่ว่า
"ทำไมไม่มีใครลุกให้เด็กนั่งคะ คุณแม่"
"ใครได้ยินก็คงรู้สึกเอ็นดู และอยากลุกให้หนูนั่งแน่ๆ แต่มันก็ยัง
เบาเกินไป ไม่ดังไปถึงตำแหน่งที่คนนั่งอยู่"
เสียงคุณแม่ตอบลูก ฟังแล้วได้แต่ยิ้มอย่างมีความสุข
"คนที่นั่ง เมื่อวานนี้เค้าไปปั่นเพื่อแม่กันมาค่ะ ที่เราดูในโทรทัศน์
อ่ะ เห็นมั้ย เค้าปั่นจักรยานไกลมากๆเลย และก็จะเมื่อยมากๆ ให้
เค้านั่งเถอะเนอะ เค้าจะได้หายเมื่อย"
สวยงามเนอะ ความคิด
โลกนี้มันจะเป็นยังไงก็ตาม อย่าพยายามให้ลูกพกพาความรู้สึก
โกรธเกลียดไว้ในใจเลย ในความเป็นจริงคนเห็นแก่ตัวมีล้นเหลือ
เราไม่มีวันมีความสุขหรอก ถ้าเฝ้าแต่ก่นด่า มองด้วยสายตา
เกลียดชังกัน
คนคิดบวก หลายๆคนบอกว่า คิดแบบคนโง่และจะถูกเอาเปรียบ
จริงๆแล้วคนคิดบวก ชีวิตมันเบากว่าเยอะมาก สุขมาก อาจจะ
เมื่อยมาก ลำบากมาก แต่ใจสบายมากๆ
คิดบวก ไม่ใช่คนโลกสวย แต่เลือกที่จะเห็นมุมมองด้านที่สวย
งามของโลก
โลกนี้กว้างมาก แบ่งกันยืนบ้าง แบ่งกันนั่งบ้าง สบายบ้าง ลำบาก
บ้าง ทุกข์สุขแบ่งๆกัน ไม่ใช่คนเห็นแก่ตัวมากจะสุขมากหรอกนะ
การดิ้นรนโดยคิดว่าตัวเราต้องได้ น่าจะเหนื่อยกว่า การคิดว่าคน
อื่นได้ไปก็ยินดี

เงิน 1,000 บาท เลี้ยงหัวใจแม่ อาจารย์ของผมท่านได้ให้เงินเดือนพ่อและแม่เดือนละ1,000บาท เป็นประจำทุกเดือน ผมสงสัย? ทำไมต้องให้เงินพ่อแม่เดือนละ 1,000. บาท? ในเมื่อแม่ก็อยู่บ้านหลังเดียวกับอาจารย์อยู่แล้ว ค่า ใช้จ่ายสำหรับท่าน อาจารย์ก็จัดการทั้งหมดอยู่แล้ว วันหนึ่งสบโอ กาศ ผมจึงตัดสินใจถามอาจารย์ว่า "อาจารย์กำลังทำอะไรครับ?" อาจารย์ตอบว่า "ผมกำลังตัดรายจ่ายอยู่...ผมต้องจ่ายค่าแม่ครัว คนขับรถ คนสวน ค่าใช้จ่ายในบ้าน และให้แม่อีกเดือนละ 1,000 บาท... ตอนนี้ราย ได้กับรายจ่ายมันไม่ค่อยสัมพันธ์กัน ต้องตัดรายจ่ายลงบ้าง" ผมเลยบอกว่า "เงินเดือนที่ให้แม่ 1,000 ตัดได้นี่ครับ...อาหาร 3 มื้อ อาจารย์ก็จัด ให้ท่านเรียบร้อย เสื้อผ้าก็ซื้อให้ใหม่ปีละ 3 ชุด ไม่สบาย อาจารย์ ก็พาหมอมาฉีดยาให้ คุณแม่ตาบอดไม่ได้ไปไหน ฉะนั้นเงินเดือน 1,000 นี่ ตัดได้ครับ" อาจารย์บอกว่า "ตัดไม่ได้เด็ดขาด.1,000 บาทนี่สำคัญที่สุด เพราะเป็นเงินสำหรับ เลี้ยงหัวใจแม่!" ผมฟังแล้วสะอึก! "เงินเลี้ยงหัวใจแม่"...พวกเราเคยได้ยินไหมครับ? อาจารย์บอกต่อ “หัวใจต้องการอาหาร ที่มาหล่อเลี้ยงให้เอิบอิ่ม เบิกบาน เป็นสุข... คุณลองนึกดู.คนที่ไม่มีเงินอยู่ในตัวเลยนี่เป็นยังไง? หัวใจมันแฟบ หัวใจมันเหี่ยวเฉาเหมือนดอกไม้ยามเย็น ใครที่เป็นมนุษย์เงินเดือน จะรู้ พอเลยวันที่ 25 ไปแล้วนี่ มันเหี่ยวๆ ยังไงชอบกล ไม่มีเงินค่า รถ.ค่าอาหาร..ซื้อข้าวสาร.มันเหี่ยวไปจนถึงสิ้นเดือน แม่อยู่กับเรา ก็จริง แต่ถ้าแม่ไม่มีเงินอยู่ในมือนี่ หัวใจท่านเหี่ยว พอถึงวันเงิน เดือนออก ทุกคนหน้าบานเหมือนดอกไม้ยามเช้า จิตใจสดชื่นเบิก บาน มีความสุข รับเงินเดือนมาใหม่ๆหน้าสดใส สั่งกาแฟยังเสียง ดังฟังชัด ทุกสิ้นเดือนพอเงินเดือนออก ผมเข้าไปสวัสดีแม่ บอกแม่ว่า วันนี้ เงินเดือนออกครับ ผมเอาเงินใส่่มือแม่ 1,000 บาท แม่ก็ให้พรเเล้ว เก็บเงินไว้ใต้หมอนไว้อย่างมีความสุข" 1,000 บาท เลี้ยงหัวใจแม่อย่างไร? วันหนึ่งน้องของอาจารย์พาภรรยาไปคลอดลูก คุณแม่ก็ซื้อทองให้ หลานด้วยเงิน 1,000 บาท ที่เก็บสะสมไว้ ท่านกอดหลานสาว.สวม สร้อยให้พร้อมให้พร พอเด็กคนนี้โตพอพูดได้ มีคนถามว่าสาย สร้อยนี้ใครซื้อให้ เด็กก็จะตอบว่า “คุณย่าซื้อให้” ชี้มือไปที่คนตา บอด คนที่ใหญ่ที่สุดในบ้านคือคุณย่าไม่ใช่พ่อแม่ เพราะเงิน1,000 บาท นี่ทำให้คนตาบอดดูน่าเกรงขราม ถ้าคุณแม่ไม่มีเงิน จะรับ ขวัญหลานได้อย่างไร ? เห็นไหมครับ ? ไม่ใช่ว่าพอโตขึ้น มีคนถามว่าคนนี้เป็นใคร เด็กบอกว่ายายแก่ตา บอด ที่มาอาศัยพ่อแม่ฉันอยู่ เห็นหรือยังคุณว่าเงินเดือน 1,000 บาทนี่ทำให้คนแก่ตาบอดมีคุณค่าขึ้นมาได้ วันดีคืนดี แม่ครัวล้างชามเสร็จ คุณแม่ก็บอกให้มานวดขาให้ แม่ ครัวหน้ามุ่ยทำงานเหนื่อยยังต้องมานวดให้อีก นั่งขยำๆคว่ำหน้า พอนวดเสร็จคุณย่าหยิบเงินให้ 100 บาท แม่ครัวยิ้มหน้าบาน ยก มือไหว้ ขอบคุณค่ะ วันรุ่งขึ้นพอล้างจานเสร็จ รีบวิ่งมานั่งใกล้ๆ วันนี้นวดอีกไหมคะคุณย่า? เห็นไหมเงินเดือน 1,000 บาท ที่เรา ให้แม่ของเรามีฤทธิ์ขึ้นมา ได้มีคนมายกมือไหว้ มีคนมาปรนนิบัติ มีคนมานวดให้ ถ้าไม่มีเงินเดือน 1,000 บาท นี้แม่เราจะมีฤทธิ์ได้ อย่างไร? บันไดไปสวรรค์ด้วยเงิน 1,000 บาท วันหนึ่ง กำนันมาที่บ้านอาจารย์หารือจะปรับปรุงห้องน้ำวัดที่ชำรุด ทรุดโทรม แม่อาจารย์ได้ยินกวักมือเรียกอาจารย์ แล้วคุณแม่ยก หมอนขึ้น นับเงินมา 5,000 บาท บอกเอาไปให้กำนันปรับปรุง ห้องน้ำ เห็นมั๊ยว่าเงินเดือน 1,000 บาทที่เราให้ เป็นบันไดพาแม่ ไปสวรรค์...นี่ถ้าแม่ไม่มีเงินในมือแม่ จะได้ทำบุญไหม? พอกำนันรับเงินเสร็จ ก็เดินผ่านไปบ้านถัดไป ลุงแก่ๆบ้านโน้นก็ กำลังเก็บผ้าอยู่ในบ้าน กำนันตะโกนข้ามรั้ว ทำบุญสร้างส้วมไหม ลุง? ลุงข้างบ้านตอบ “ลุงไม่มีเงินหรอก ลุงอาศัยลูกสาวเขาอยู่ เดี๋ยวเผื่อลูกสาวเขากลับมาทันจะขอเงินเขาทำบุญ” เพราะลูกเค้า ไม่ได้ให้เงินเดือนลุง ลุงคนนี้เป็นเพียงแค่คนเก็บผ้าของลูกๆ ลุง คนนี้ไม่มีเงิน เพราะลูกเอามาเลี้ยง เอาไว้คอยเก็บผ้า! เป็นยังไงบ้างครับ..เห็นอิทธิฤทธิ์ของเงิน 1,000 บาท..."เงินเลี้ยง หัวใจแม่" แล้วหรือยังครับ วันนี้เราให้ "เงินเลี้ยงหัวใจแม่" แล้วหรือยัง ?

เงิน 1,000 บาท เลี้ยงหัวใจแม่
อาจารย์ของผมท่านได้ให้เงินเดือนพ่อและแม่เดือนละ1,000บาท
เป็นประจำทุกเดือน ผมสงสัย? ทำไมต้องให้เงินพ่อแม่เดือนละ
1,000. บาท? ในเมื่อแม่ก็อยู่บ้านหลังเดียวกับอาจารย์อยู่แล้ว ค่า
ใช้จ่ายสำหรับท่าน อาจารย์ก็จัดการทั้งหมดอยู่แล้ว วันหนึ่งสบโอ
กาศ ผมจึงตัดสินใจถามอาจารย์ว่า
"อาจารย์กำลังทำอะไรครับ?"
อาจารย์ตอบว่า
"ผมกำลังตัดรายจ่ายอยู่...ผมต้องจ่ายค่าแม่ครัว คนขับรถ คนสวน
ค่าใช้จ่ายในบ้าน และให้แม่อีกเดือนละ 1,000 บาท... ตอนนี้ราย
ได้กับรายจ่ายมันไม่ค่อยสัมพันธ์กัน ต้องตัดรายจ่ายลงบ้าง"
ผมเลยบอกว่า
"เงินเดือนที่ให้แม่ 1,000 ตัดได้นี่ครับ...อาหาร 3 มื้อ อาจารย์ก็จัด
ให้ท่านเรียบร้อย เสื้อผ้าก็ซื้อให้ใหม่ปีละ 3 ชุด ไม่สบาย อาจารย์
ก็พาหมอมาฉีดยาให้ คุณแม่ตาบอดไม่ได้ไปไหน ฉะนั้นเงินเดือน
1,000 นี่ ตัดได้ครับ"
อาจารย์บอกว่า
"ตัดไม่ได้เด็ดขาด.1,000 บาทนี่สำคัญที่สุด เพราะเป็นเงินสำหรับ
เลี้ยงหัวใจแม่!"
ผมฟังแล้วสะอึก!
"เงินเลี้ยงหัวใจแม่"...พวกเราเคยได้ยินไหมครับ?
อาจารย์บอกต่อ
“หัวใจต้องการอาหาร ที่มาหล่อเลี้ยงให้เอิบอิ่ม เบิกบาน เป็นสุข...
คุณลองนึกดู.คนที่ไม่มีเงินอยู่ในตัวเลยนี่เป็นยังไง? หัวใจมันแฟบ
หัวใจมันเหี่ยวเฉาเหมือนดอกไม้ยามเย็น ใครที่เป็นมนุษย์เงินเดือน
จะรู้ พอเลยวันที่ 25 ไปแล้วนี่ มันเหี่ยวๆ ยังไงชอบกล ไม่มีเงินค่า
รถ.ค่าอาหาร..ซื้อข้าวสาร.มันเหี่ยวไปจนถึงสิ้นเดือน แม่อยู่กับเรา
ก็จริง แต่ถ้าแม่ไม่มีเงินอยู่ในมือนี่ หัวใจท่านเหี่ยว พอถึงวันเงิน
เดือนออก ทุกคนหน้าบานเหมือนดอกไม้ยามเช้า จิตใจสดชื่นเบิก
บาน มีความสุข รับเงินเดือนมาใหม่ๆหน้าสดใส สั่งกาแฟยังเสียง
ดังฟังชัด
ทุกสิ้นเดือนพอเงินเดือนออก ผมเข้าไปสวัสดีแม่ บอกแม่ว่า วันนี้
เงินเดือนออกครับ ผมเอาเงินใส่่มือแม่ 1,000 บาท แม่ก็ให้พรเเล้ว
เก็บเงินไว้ใต้หมอนไว้อย่างมีความสุข"
1,000 บาท เลี้ยงหัวใจแม่อย่างไร?
วันหนึ่งน้องของอาจารย์พาภรรยาไปคลอดลูก คุณแม่ก็ซื้อทองให้
หลานด้วยเงิน 1,000 บาท ที่เก็บสะสมไว้ ท่านกอดหลานสาว.สวม
สร้อยให้พร้อมให้พร พอเด็กคนนี้โตพอพูดได้ มีคนถามว่าสาย
สร้อยนี้ใครซื้อให้ เด็กก็จะตอบว่า “คุณย่าซื้อให้” ชี้มือไปที่คนตา
บอด คนที่ใหญ่ที่สุดในบ้านคือคุณย่าไม่ใช่พ่อแม่ เพราะเงิน1,000
บาท นี่ทำให้คนตาบอดดูน่าเกรงขราม ถ้าคุณแม่ไม่มีเงิน จะรับ
ขวัญหลานได้อย่างไร ? เห็นไหมครับ ?
ไม่ใช่ว่าพอโตขึ้น มีคนถามว่าคนนี้เป็นใคร เด็กบอกว่ายายแก่ตา
บอด ที่มาอาศัยพ่อแม่ฉันอยู่ เห็นหรือยังคุณว่าเงินเดือน 1,000
บาทนี่ทำให้คนแก่ตาบอดมีคุณค่าขึ้นมาได้
วันดีคืนดี แม่ครัวล้างชามเสร็จ คุณแม่ก็บอกให้มานวดขาให้ แม่
ครัวหน้ามุ่ยทำงานเหนื่อยยังต้องมานวดให้อีก นั่งขยำๆคว่ำหน้า
พอนวดเสร็จคุณย่าหยิบเงินให้ 100 บาท แม่ครัวยิ้มหน้าบาน ยก
มือไหว้ ขอบคุณค่ะ วันรุ่งขึ้นพอล้างจานเสร็จ รีบวิ่งมานั่งใกล้ๆ
วันนี้นวดอีกไหมคะคุณย่า? เห็นไหมเงินเดือน 1,000 บาท ที่เรา
ให้แม่ของเรามีฤทธิ์ขึ้นมา ได้มีคนมายกมือไหว้ มีคนมาปรนนิบัติ
มีคนมานวดให้ ถ้าไม่มีเงินเดือน 1,000 บาท นี้แม่เราจะมีฤทธิ์ได้
อย่างไร?
บันไดไปสวรรค์ด้วยเงิน 1,000 บาท
วันหนึ่ง กำนันมาที่บ้านอาจารย์หารือจะปรับปรุงห้องน้ำวัดที่ชำรุด
ทรุดโทรม แม่อาจารย์ได้ยินกวักมือเรียกอาจารย์ แล้วคุณแม่ยก
หมอนขึ้น นับเงินมา 5,000 บาท บอกเอาไปให้กำนันปรับปรุง
ห้องน้ำ เห็นมั๊ยว่าเงินเดือน 1,000 บาทที่เราให้ เป็นบันไดพาแม่
ไปสวรรค์...นี่ถ้าแม่ไม่มีเงินในมือแม่ จะได้ทำบุญไหม?
พอกำนันรับเงินเสร็จ ก็เดินผ่านไปบ้านถัดไป ลุงแก่ๆบ้านโน้นก็
กำลังเก็บผ้าอยู่ในบ้าน กำนันตะโกนข้ามรั้ว ทำบุญสร้างส้วมไหม
ลุง? ลุงข้างบ้านตอบ “ลุงไม่มีเงินหรอก ลุงอาศัยลูกสาวเขาอยู่
เดี๋ยวเผื่อลูกสาวเขากลับมาทันจะขอเงินเขาทำบุญ” เพราะลูกเค้า
ไม่ได้ให้เงินเดือนลุง ลุงคนนี้เป็นเพียงแค่คนเก็บผ้าของลูกๆ ลุง
คนนี้ไม่มีเงิน เพราะลูกเอามาเลี้ยง เอาไว้คอยเก็บผ้า!
เป็นยังไงบ้างครับ..เห็นอิทธิฤทธิ์ของเงิน 1,000 บาท..."เงินเลี้ยง
หัวใจแม่" แล้วหรือยังครับ
วันนี้เราให้ "เงินเลี้ยงหัวใจแม่" แล้วหรือยัง ?

หากคุณคิดจะมีคนอื่น เย็นวันหนึ่ง สามีของเธอกลับมาจากที่ทำงาน ส่วนภรรยากำลังง้วนกับการทำกับข้าวอยู่ในครัว “วันนี้ประธานกรรมการพาคุณนายน้อยมาเยี่ยมบริษัท ยังสาวอยู่เลยและก็สวยมากด้วยนะคุณ เห็นเขาเล่าว่าท่านกับคุณนายตัวจริงทะเลาะกัน ท่านก็เลยควงสาวคนใหม่มาบริษัท” สามีเปิดปากเล่าให้ภรรยาฟัง “คุณมีอะไรจะจะบอกฉันเหรอ? อย่าบอกนะว่าคุณก็คิดจะมีอีหนู!”ภรรยามองสามีอย่างไม่เข้าใจว่าสามีเล่าเรื่องนี้ให้เธอฟังเพื่ออะไร? “โธ่..คุณก็คิดเลยเถิดไปซะไกล นั่นเพราะว่าท่านประธานกับคุณนายมีปัญหากัน เรามีปัญหากันซะที่ไหนล่ะ อย่าคิดมากนะ” สามีอธิบายให้ผู้เป็นภรรยาฟัง หลังจากทานอาหารเย็นและล้างถ้วยชามเสร็จ ภรรยาก็เดินไปหาสามีที่ห้อง “คุณหยุดเล่มเกมส์ก่อนได้ไหม? ฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณ ถ้าหากวันหนึ่ง มีผู้หญิงนัดคุณไปดูหนัง และคุณก็อยากจะไป ฉันขอให้คุณจ้างเธอมาช่วยดูแลลูกๆของเราแทนฉัน แล้วเราก็ไปดูหนังด้วยกัน อย่างนี้ได้ไหมค่ะ?” ??? สามีอ้าปากค้าง งงว่าภรรยากำลังพูดถึงอะไร! “หากวันหนึ่ง คุณเห็นผู้หญิงสวยคนหนึ่ง และคุณก็รู้สึกชื่นชมเธอมาก เพราะเธอแต่งตัวดูดีและแต่งหน้าอย่างสวยงาม แล้วคุณก็เอาเธอมาเปรียบเทียบกับฉัน และฉันก็สู้เธอคนนั้นไม่ได้ ฉันขอให้คุณเข้าไปถามเธอคนนั้นว่าเธอใช้เงินบำรุงรักษาหน้าตาผิวพรรณของเธอเดือนละเท่าไหร่? เธอซื้อเครื่องสำอางยี่ห้ออะไร? จากนั้นคุณก็เอาเงินเดือนของคุณเท่ากับจำนวนเงินที่เธอคนนั้นหมดไปกับการดูและเสริมสวยในแต่ละเดือนให้ฉัน ฉันเชื่อว่าฉันก็สามารถทำตัวเองให้สวยและดูดีเท่าเธอคนนั้นได้เช่นกัน” ??? สามีอ้าปากค้าง งงเป็นครั้งที่สอง ไม่รู้จะตอบว่ายังไง! “และหากคุณหวั่นไหวกับใครคนใดคนหนึ่ง คุณอยากแต่งงานกับเธอคนนั้น ฉันกับลูกๆของคุณก็จะย้ายออกไปอยู่ข้างนอก จากนั้นคุณก็รับเธอคนนั้นเข้ามาอยู่ในบ้าน ดูแลและอยู่กับแม่ของคุณห้าปี เหมือนที่ฉันทำอยู่ในตอนนี้” ??? คราวสามีอ้าปากค้างยิ่งงไปใหญ่เป็นครั้งที่สาม ไม่รู้จะตอบว่ายังไงอีกเช่นกัน! “และช่วงตรุษจีน คุณและเธอเป็นคนเตรียมของไหว้ที่บ้านนี้ ช่วงวาเลนไทน์คุณอยู่กับฉันที่บ้านโน้น ช่วงเชงเม้งให้เธอเป็นคนรับผิดชอบไปไหว้บรรพชนของคุณ ส่วนดูหนังฟังเพลงและก็ไปเที่ยวฉันขอเป็นคนรับผิดชอบ และช่วงที่เราไปเที่ยวกัน ขอให้เธอดูแลลูกๆแทนฉัน เราจะได้ไปเที่ยวกันสองต่อสอง” “จะบ้าเหรอ เงื่อนไขขนาดนี้ใครที่ไหนจะเอาล่ะคุ๊ณ?” สามีทนไม่ได้ ก็เลยพูดออกมาอย่างขำๆ “ก็นั่นแหละ คุณไม่ต้องคิดที่จะมีกิ๊กมีก๊อกอะไรนั่นเลยนะ เพราะที่คุณขาดไม่ใช่เมียน้อย แต่บ้านเราขาดคนรับใช้ที่คอยแบ่งเบางานบ้านของฉัน หากมีใครมาช่วยทำงานเหล่านี้แทนฉัน ฉันก็มีเวลาดูแลตัวเอง มีเวลาไปเที่ยวเป็นเพื่อนคุณ หากเป็นอย่างนี้ ฉันก็จะเป็นภรรยาแสนสวยของคุณตลอดไป ไม่งั้น ฉันก็เป็นอาซิ้มหน้ามัน แก่จนจะเป็นแม่คุณอยู่รอมร่ออย่างนี้แหละ” “อ่อ เข้าใจล่ะ” สามีเข้าใจในทันที ไม่งงเหมือนเดิมแล้ว …………………………… อย่ามัวแต่ชื่นชมคนอื่น จนลืมชื่นชมคนใกล้ตัว อย่ามัวแต่อิจฉาคนอื่น จนลืมไปว่าคนอื่นก็อิจฉาคุณเช่นกัน นุสนธิ์บุคส์

หากคุณคิดจะมีคนอื่น
เย็นวันหนึ่ง สามีของเธอกลับมาจากที่ทำงาน ส่วนภรรยากำลังง้วนกับการทำกับข้าวอยู่ในครัว
“วันนี้ประธานกรรมการพาคุณนายน้อยมาเยี่ยมบริษัท ยังสาวอยู่เลยและก็สวยมากด้วยนะคุณ เห็นเขาเล่าว่าท่านกับคุณนายตัวจริงทะเลาะกัน ท่านก็เลยควงสาวคนใหม่มาบริษัท” สามีเปิดปากเล่าให้ภรรยาฟัง
“คุณมีอะไรจะจะบอกฉันเหรอ? อย่าบอกนะว่าคุณก็คิดจะมีอีหนู!”ภรรยามองสามีอย่างไม่เข้าใจว่าสามีเล่าเรื่องนี้ให้เธอฟังเพื่ออะไร?
“โธ่..คุณก็คิดเลยเถิดไปซะไกล นั่นเพราะว่าท่านประธานกับคุณนายมีปัญหากัน เรามีปัญหากันซะที่ไหนล่ะ อย่าคิดมากนะ” สามีอธิบายให้ผู้เป็นภรรยาฟัง
หลังจากทานอาหารเย็นและล้างถ้วยชามเสร็จ ภรรยาก็เดินไปหาสามีที่ห้อง
“คุณหยุดเล่มเกมส์ก่อนได้ไหม? ฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณ ถ้าหากวันหนึ่ง มีผู้หญิงนัดคุณไปดูหนัง และคุณก็อยากจะไป ฉันขอให้คุณจ้างเธอมาช่วยดูแลลูกๆของเราแทนฉัน แล้วเราก็ไปดูหนังด้วยกัน อย่างนี้ได้ไหมค่ะ?”
??? สามีอ้าปากค้าง งงว่าภรรยากำลังพูดถึงอะไร!
“หากวันหนึ่ง คุณเห็นผู้หญิงสวยคนหนึ่ง และคุณก็รู้สึกชื่นชมเธอมาก เพราะเธอแต่งตัวดูดีและแต่งหน้าอย่างสวยงาม แล้วคุณก็เอาเธอมาเปรียบเทียบกับฉัน และฉันก็สู้เธอคนนั้นไม่ได้ ฉันขอให้คุณเข้าไปถามเธอคนนั้นว่าเธอใช้เงินบำรุงรักษาหน้าตาผิวพรรณของเธอเดือนละเท่าไหร่? เธอซื้อเครื่องสำอางยี่ห้ออะไร? จากนั้นคุณก็เอาเงินเดือนของคุณเท่ากับจำนวนเงินที่เธอคนนั้นหมดไปกับการดูและเสริมสวยในแต่ละเดือนให้ฉัน ฉันเชื่อว่าฉันก็สามารถทำตัวเองให้สวยและดูดีเท่าเธอคนนั้นได้เช่นกัน”
??? สามีอ้าปากค้าง งงเป็นครั้งที่สอง ไม่รู้จะตอบว่ายังไง!
“และหากคุณหวั่นไหวกับใครคนใดคนหนึ่ง คุณอยากแต่งงานกับเธอคนนั้น ฉันกับลูกๆของคุณก็จะย้ายออกไปอยู่ข้างนอก จากนั้นคุณก็รับเธอคนนั้นเข้ามาอยู่ในบ้าน ดูแลและอยู่กับแม่ของคุณห้าปี เหมือนที่ฉันทำอยู่ในตอนนี้”
??? คราวสามีอ้าปากค้างยิ่งงไปใหญ่เป็นครั้งที่สาม ไม่รู้จะตอบว่ายังไงอีกเช่นกัน!
“และช่วงตรุษจีน คุณและเธอเป็นคนเตรียมของไหว้ที่บ้านนี้ ช่วงวาเลนไทน์คุณอยู่กับฉันที่บ้านโน้น ช่วงเชงเม้งให้เธอเป็นคนรับผิดชอบไปไหว้บรรพชนของคุณ ส่วนดูหนังฟังเพลงและก็ไปเที่ยวฉันขอเป็นคนรับผิดชอบ และช่วงที่เราไปเที่ยวกัน ขอให้เธอดูแลลูกๆแทนฉัน เราจะได้ไปเที่ยวกันสองต่อสอง”
“จะบ้าเหรอ เงื่อนไขขนาดนี้ใครที่ไหนจะเอาล่ะคุ๊ณ?” สามีทนไม่ได้ ก็เลยพูดออกมาอย่างขำๆ
“ก็นั่นแหละ คุณไม่ต้องคิดที่จะมีกิ๊กมีก๊อกอะไรนั่นเลยนะ เพราะที่คุณขาดไม่ใช่เมียน้อย แต่บ้านเราขาดคนรับใช้ที่คอยแบ่งเบางานบ้านของฉัน หากมีใครมาช่วยทำงานเหล่านี้แทนฉัน ฉันก็มีเวลาดูแลตัวเอง มีเวลาไปเที่ยวเป็นเพื่อนคุณ หากเป็นอย่างนี้ ฉันก็จะเป็นภรรยาแสนสวยของคุณตลอดไป ไม่งั้น ฉันก็เป็นอาซิ้มหน้ามัน แก่จนจะเป็นแม่คุณอยู่รอมร่ออย่างนี้แหละ”
“อ่อ เข้าใจล่ะ” สามีเข้าใจในทันที ไม่งงเหมือนเดิมแล้ว
……………………………
อย่ามัวแต่ชื่นชมคนอื่น จนลืมชื่นชมคนใกล้ตัว
อย่ามัวแต่อิจฉาคนอื่น จนลืมไปว่าคนอื่นก็อิจฉาคุณเช่นกัน
นุสนธิ์บุคส์

"รายได้ที่ก่อให้เกิดความสุข" .....ปี 2531 เขาเข้าทำงานหลังจากเรียนจบหมาดๆ เงินเดือนเริ่ม ต้น 4,500 บาท เขามีความสุขมากที่เริ่มใช้ชีวิตเป็นผู้ใหญ่รับผิด ชอบตัวเองเต็มตัว..หลังทำงานไปได้ไม่นาน เขาซื้อมอเตอร์ไซค์ คันแรกเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทาง... และรำพันกับตัว เองว่า...ในวันที่เงินเดือน 7,000 บาท เขาคงพอมีเงินเหลือเก็บ... .....ปี 2535 เขามีรายได้เดือนละ 8,000 บาท แต่รสนิยมการแต่ง ตัวที่ต้องดูดีขึ้น รวมถึงสังคมเพื่อนฝูงทำให้เขามีรายจ่ายเพิ่มขึ้น จนชักหน้าไม่ถึงหลัง ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยแบ่งเงินเดือนให้พ่อแม่หรือ น้อง เขาคงต้องหางานใหม่ที่มีรายได้ 15,000 บาท ที่เขาจะมีเงิน เหลือเก็บบ้าง... .....ปี 2538 เขาเปลี่ยนงานใหม่มาสักพัก ที่นี่รายได้เฉลี่ย 18,000 บาท แต่เขาต้องมีรถยนต์เพราะเป็นข้อกำหนดคุณสมบัติ เขามี ชีวิตเหมือนคนทำงานทุกคนอยากมี เป็นชีวิตที่หลายๆคนอิจฉา แต่เพื่อนฝูงที่ยืนอยู่จุดเดียวกับเขา กลับคุยเรื่องเดียวกันว่ารายได้ ไม่พอ... ทางออกของหลายคนคือ ทำบัตรเครดิตเพื่อหมุนเวียน รายจ่าย.ชีวิตชั่งสวยงาม เมื่อมีบัตรเครดิตมาช่วยอุดช่องโหว่ชีวิต ขาดแคลนกลับเติมเต็ม...ทุกวันนี้เขาลืมเรื่องเงินเก็บ เพราะยามที่ เขาต้องการเงินสำรอง ก็แค่ทำบัตรเพิ่มหรือขอวงเงินเพิ่ม ชีวิตดี๊ดี .....ปี 2540 เขาแต่งงานกับสาวคนรัก งานแต่งจัดขึ้นหรูหราตาม หน้าที่การงานและความต้องการของแม่เจ้าสาว รายจ่ายทุกอย่าง กู้ผ่านบัตรเครดิต.เขากับภรรยาหมดเงินไปกับงานนี้มากมาย ตอน นี้บัตรเครดิตทุกใบเต็มวงเงิน เขาต้องยอมใช้จ่ายน้อยลงจ่ายบัตร ทุกใบขั้นต่ำ เพื่อวันรุ่งขึ้นจะได้กดเงินที่เหลือจากดอกเบี้ยไปจ่าย ใบอื่นๆ.เดือนทั้งเดือนวนเวียนปวดหัวกับภาระมากมาย เขาคำนวน เล่นๆ รายได้เกือบ 70% กลายเป็นดอกเบี้ยบัตรเครดิต!!! หากเขา มีรายได้มากขึ้น เขาต้องเคลียร์ทุกอย่างได้แน่นอน เขามั่นใจ... .....ปี 2542 เขามีรายได้มากกว่าเดือนละ 5 หมื่นบาท โชคดีบริษัท ที่เขาทำอยู่ไม่ได้รับผลกระทบจากฟองสบู่แตกเมื่อปี 2540 แต่เขา ก็ยังมีเงินไม่พอใช้ บ้านยังต้องผ่อน รถก็เพิ่งถอยใหม่ตามเพื่อนที่ พากันชักชวน.เขารู้สึกตัวเองเหมือนกระชอน มีน้ำเข้าด้านบนสาย ใหญ่ แต่รูรั่วที่เป็นค่าใช้จ่ายมากมายจนอุดไม่อยู่... ไม่ว่ารายได้ เขาจะเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ เขากลับรู้สึกว่า มันไม่เคยเพียงพอกับราย จ่าย... ตอนนี้บัตรเครดิต เริ่มกลายเป็นหนี้พอกหางหมูก้อนมหึมา ดอกเบี้ยโตเร็วไม่สนแล้งร้อน เขาจ่ายดอกเบี้ยขั้นต่ำมาเป็นปี การ เงินไม่คล่องเหมือน 2 ปี เขาเริ่มอึดอัด เริ่มมองเห็นความจริง..นึก ย้อนวันที่มีรายได้ 4,500 บาท แม้จะไม่มีสมบัติมากมายขนาดนี้ แต่เขาก็ไม่เหนื่อยปั๊มเงินแบบนี้เช่นกัน..แล้วต้องมีรายได้เท่าไหร่ เขาถึงจะพออยู่สักที... .....ปี 2550 เขาขึ้นศาล เพื่อประนอมหนี้บัตรเครดิตใบสุดท้าย หลายปีมานี้เขากลายสภาพเป็นหนึ่งในรายชื่อ NPL "หนี้ไม่ก่อให้ เกิดรายได้" เจ้าหนี้จ้าง"คนนอก" ทวงเงินด้วยสารพัดวิธีใต้ดิน ไม่ เว้นพ่อแม่ที่ต่างจังหวัดต้องพลอยรับรู้ และช่วยขายวัวควายปลด หนี้บางส่วน เพราะกลัวเขาต้องติดคุกตามคำขู่...แต่ก็ช่วยบรรเทา ไปได้ส่วนน้อย เพราะเขาและครอบครัว ต้องอยู่กันอย่างยากลำ บาก จนพาลจะเลิกลากันไปหลายหน.. เจ้าหนี้ทั้งหลายไม่เคยเห็นใจ ไม่เคยลดลาวาศอกให้กับเขาบ้าง วันที่เขาเคยทำกำไรด้วยดอกเบี้ยงามๆให้กับสถาบันเหล่านี้ มัน เป็นอดีต ตอนนี้เขาไม่อยู่ในสายตาคนพวกนี้ เพราะเขาเป็นเพียง คนขับรถมอเตอร์ไซด์รับจ้าง ไม่มี "รายได้ที่ก่อให้เกิดหนี้" ได้อีก แล้ว เขาไม่ใช่ลูกค้ามุ่งหวังอีกแล้ว... หลายปีหลัง...เขาไม่มีเสื้อราคาแพงไว้เพื่อให้ลูกค้าเชื่อถือ เขามี เสื้อวินประจำซอยเป็นเสื้อใส่เพื่อหาเลี้ยงชีพ..เขาไม่มีรถยนต์คัน หรูแต่งสวยโก้เพื่อยกระดับหน้าตาตัวเองต่อสังคม เขามีเพียงมอ เตอร์ไซด์ที่เป็นทั้งเครื่องมือหารายได้ และพาหนะอำนวยความ สะดวกเพื่อตัวเองและครอบครัว..เขาไม่มีรายได้ที่สามารถก่อให้ เกิดหนี้เหมือนอดีต เขามีแค่รายได้พออยู่พอกิน เพื่อก่อให้เกิด ความสุขแก่ตัวเองและครอบครัว...เขาไม่มีใจมักใหญ่ใฝ่กิเลสบ้า คลั่ง ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เขามีแค่ใจที่เข้าใจแล้วว่า หากเขารู้จัก ใช้ชีวิตให้สมกับรายได้ ความสุขที่แท้จริง ย่อมบังเกิดขึ้นเป็นนิ รันดร์... ปัจจุบันเขาแบ่งปันรายได้ส่วนหนึ่งส่งเสียพ่อแม่ในยามชราตอบ แทนบุญคุณตามวิถีลูกที่ควรทำ ทั้งๆที่ก่อนหน้าเมื่อมีรายได้มาก กว่านี้ เขาไม่เคยเหลือพอจะเผื่อแผ่ถึงผู้ให้กำเนิด.. เขานึกย้อน วันเวลากลับไป เสียดายก็เพียงเวลาที่ทุ่มเทเหน็ดเหนืีอยไปกับ ความสุขจอมปลอม เพื่อนฝูงเขาหลายคนที่เคยกอดคอกันกิน เที่ยว ไม่เคยเหลียวแลกันเวลาลำบาก และหลายๆ คนเองก็มีบท สรุปสุดท้ายของชีวิตไม่ต่างจากเขา.. .ต่างกันแค่บางคน ยังคิด ไม่ได้เช่นเขา ยังคงเฝ้าฝันรอวันกลับไปมีชีวิตแบบเดิมๆ และเฝ้า ก่นด่าโชคชะตาที่ต้องตกต่ำแบบกลับหัวกลับหาง... เขาเคยบอก เคยเตือนเพื่อนๆบางคนให้พอใจในวันนี้ แต่เขาได้เพียงคำเยาะ เย้ยถางถางกลับมา และเมื่อขอยืมเงินจากเขาไม่ได้ เพื่อนเหล่า นี้กลับพากันบอกเขาแบบเดียวกันว่า วันที่พวกเขากลับไปมีชีวิต หรูหราแบบเดิมได้ อย่าหวังว่าเขาจะได้พึ่งพา...เขาได้แต่ถอนใจ และหันหลังกลับ... วันนี้เขาขับรถได้เงินมากเป็นพิเศษ เขาแวะซื้อลูกชิ้นปิ้ง 4 ไม้แวะ ข้างทางแบบที่เคยทำประจำ และทันทีที่จอดยังไม่ทันร้องเรียก "ไอ้ขาว" หมาพันธุ์ทางข้างถนนที่เขาเอ็นดู วิ่งกระดิกหางหูลู่มา หาด้วยความดีใจ หลายปีมานี้ เขามีมันเป็นเพื่อนตัวเดียวในชีวิต หลังจากหันหลังให้เพิ่อนกลุ่มเดิม...ทุกวันไม่ว่าเขาจะสุข จะทุกข์ จะหาเงินได้น้อย จะมีเงินในกระเป๋ามาก มันไม่เคยสนใจ มัน เหมือนมีเวลาเพื่อรอให้เขาแวะมาหาก่อนกลับบ้าน... แม้มันเป็น หมา เขากลับรับรู้ถึงความจริงใจของมันที่มีต่อเขาได้...แบบที่ไม่ เคยได้จากเพื่อนๆคนไหนๆ... วันนี้เขาอิ่มเอมใจกาย มีรายได้เหลือไปฝากลูกแก้ว เมียขวัญ สม ความตั้งใจ แต่เริ่มชีวิตทำงานเมื่อหลายปีก่อนอีกวัน. ทีมสถานีคลายทุกข์ บทความคุณภาพจากเพจ "เรื่องดีๆมีข้อคิด"

"รายได้ที่ก่อให้เกิดความสุข"
.....ปี 2531 เขาเข้าทำงานหลังจากเรียนจบหมาดๆ เงินเดือนเริ่ม
ต้น 4,500 บาท เขามีความสุขมากที่เริ่มใช้ชีวิตเป็นผู้ใหญ่รับผิด
ชอบตัวเองเต็มตัว..หลังทำงานไปได้ไม่นาน เขาซื้อมอเตอร์ไซค์
คันแรกเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทาง... และรำพันกับตัว
เองว่า...ในวันที่เงินเดือน 7,000 บาท เขาคงพอมีเงินเหลือเก็บ...
.....ปี 2535 เขามีรายได้เดือนละ 8,000 บาท แต่รสนิยมการแต่ง
ตัวที่ต้องดูดีขึ้น รวมถึงสังคมเพื่อนฝูงทำให้เขามีรายจ่ายเพิ่มขึ้น
จนชักหน้าไม่ถึงหลัง ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยแบ่งเงินเดือนให้พ่อแม่หรือ
น้อง เขาคงต้องหางานใหม่ที่มีรายได้ 15,000 บาท ที่เขาจะมีเงิน
เหลือเก็บบ้าง...
.....ปี 2538 เขาเปลี่ยนงานใหม่มาสักพัก ที่นี่รายได้เฉลี่ย 18,000
บาท แต่เขาต้องมีรถยนต์เพราะเป็นข้อกำหนดคุณสมบัติ เขามี
ชีวิตเหมือนคนทำงานทุกคนอยากมี เป็นชีวิตที่หลายๆคนอิจฉา
แต่เพื่อนฝูงที่ยืนอยู่จุดเดียวกับเขา กลับคุยเรื่องเดียวกันว่ารายได้
ไม่พอ... ทางออกของหลายคนคือ ทำบัตรเครดิตเพื่อหมุนเวียน
รายจ่าย.ชีวิตชั่งสวยงาม เมื่อมีบัตรเครดิตมาช่วยอุดช่องโหว่ชีวิต
ขาดแคลนกลับเติมเต็ม...ทุกวันนี้เขาลืมเรื่องเงินเก็บ เพราะยามที่
เขาต้องการเงินสำรอง ก็แค่ทำบัตรเพิ่มหรือขอวงเงินเพิ่ม ชีวิตดี๊ดี
.....ปี 2540 เขาแต่งงานกับสาวคนรัก งานแต่งจัดขึ้นหรูหราตาม
หน้าที่การงานและความต้องการของแม่เจ้าสาว รายจ่ายทุกอย่าง
กู้ผ่านบัตรเครดิต.เขากับภรรยาหมดเงินไปกับงานนี้มากมาย ตอน
นี้บัตรเครดิตทุกใบเต็มวงเงิน เขาต้องยอมใช้จ่ายน้อยลงจ่ายบัตร
ทุกใบขั้นต่ำ เพื่อวันรุ่งขึ้นจะได้กดเงินที่เหลือจากดอกเบี้ยไปจ่าย
ใบอื่นๆ.เดือนทั้งเดือนวนเวียนปวดหัวกับภาระมากมาย เขาคำนวน
เล่นๆ รายได้เกือบ 70% กลายเป็นดอกเบี้ยบัตรเครดิต!!! หากเขา
มีรายได้มากขึ้น เขาต้องเคลียร์ทุกอย่างได้แน่นอน เขามั่นใจ...
.....ปี 2542 เขามีรายได้มากกว่าเดือนละ 5 หมื่นบาท โชคดีบริษัท
ที่เขาทำอยู่ไม่ได้รับผลกระทบจากฟองสบู่แตกเมื่อปี 2540 แต่เขา
ก็ยังมีเงินไม่พอใช้ บ้านยังต้องผ่อน รถก็เพิ่งถอยใหม่ตามเพื่อนที่
พากันชักชวน.เขารู้สึกตัวเองเหมือนกระชอน มีน้ำเข้าด้านบนสาย
ใหญ่ แต่รูรั่วที่เป็นค่าใช้จ่ายมากมายจนอุดไม่อยู่... ไม่ว่ารายได้
เขาจะเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ เขากลับรู้สึกว่า มันไม่เคยเพียงพอกับราย
จ่าย... ตอนนี้บัตรเครดิต เริ่มกลายเป็นหนี้พอกหางหมูก้อนมหึมา
ดอกเบี้ยโตเร็วไม่สนแล้งร้อน เขาจ่ายดอกเบี้ยขั้นต่ำมาเป็นปี การ
เงินไม่คล่องเหมือน 2 ปี เขาเริ่มอึดอัด เริ่มมองเห็นความจริง..นึก
ย้อนวันที่มีรายได้ 4,500 บาท แม้จะไม่มีสมบัติมากมายขนาดนี้
แต่เขาก็ไม่เหนื่อยปั๊มเงินแบบนี้เช่นกัน..แล้วต้องมีรายได้เท่าไหร่
เขาถึงจะพออยู่สักที...
.....ปี 2550 เขาขึ้นศาล เพื่อประนอมหนี้บัตรเครดิตใบสุดท้าย
หลายปีมานี้เขากลายสภาพเป็นหนึ่งในรายชื่อ NPL "หนี้ไม่ก่อให้
เกิดรายได้" เจ้าหนี้จ้าง"คนนอก" ทวงเงินด้วยสารพัดวิธีใต้ดิน ไม่
เว้นพ่อแม่ที่ต่างจังหวัดต้องพลอยรับรู้ และช่วยขายวัวควายปลด
หนี้บางส่วน เพราะกลัวเขาต้องติดคุกตามคำขู่...แต่ก็ช่วยบรรเทา
ไปได้ส่วนน้อย เพราะเขาและครอบครัว ต้องอยู่กันอย่างยากลำ
บาก จนพาลจะเลิกลากันไปหลายหน..
เจ้าหนี้ทั้งหลายไม่เคยเห็นใจ ไม่เคยลดลาวาศอกให้กับเขาบ้าง
วันที่เขาเคยทำกำไรด้วยดอกเบี้ยงามๆให้กับสถาบันเหล่านี้ มัน
เป็นอดีต ตอนนี้เขาไม่อยู่ในสายตาคนพวกนี้ เพราะเขาเป็นเพียง
คนขับรถมอเตอร์ไซด์รับจ้าง ไม่มี "รายได้ที่ก่อให้เกิดหนี้" ได้อีก
แล้ว เขาไม่ใช่ลูกค้ามุ่งหวังอีกแล้ว...
หลายปีหลัง...เขาไม่มีเสื้อราคาแพงไว้เพื่อให้ลูกค้าเชื่อถือ เขามี
เสื้อวินประจำซอยเป็นเสื้อใส่เพื่อหาเลี้ยงชีพ..เขาไม่มีรถยนต์คัน
หรูแต่งสวยโก้เพื่อยกระดับหน้าตาตัวเองต่อสังคม เขามีเพียงมอ
เตอร์ไซด์ที่เป็นทั้งเครื่องมือหารายได้ และพาหนะอำนวยความ
สะดวกเพื่อตัวเองและครอบครัว..เขาไม่มีรายได้ที่สามารถก่อให้
เกิดหนี้เหมือนอดีต เขามีแค่รายได้พออยู่พอกิน เพื่อก่อให้เกิด
ความสุขแก่ตัวเองและครอบครัว...เขาไม่มีใจมักใหญ่ใฝ่กิเลสบ้า
คลั่ง ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เขามีแค่ใจที่เข้าใจแล้วว่า หากเขารู้จัก
ใช้ชีวิตให้สมกับรายได้ ความสุขที่แท้จริง ย่อมบังเกิดขึ้นเป็นนิ
รันดร์...
ปัจจุบันเขาแบ่งปันรายได้ส่วนหนึ่งส่งเสียพ่อแม่ในยามชราตอบ
แทนบุญคุณตามวิถีลูกที่ควรทำ ทั้งๆที่ก่อนหน้าเมื่อมีรายได้มาก
กว่านี้ เขาไม่เคยเหลือพอจะเผื่อแผ่ถึงผู้ให้กำเนิด.. เขานึกย้อน
วันเวลากลับไป เสียดายก็เพียงเวลาที่ทุ่มเทเหน็ดเหนืีอยไปกับ
ความสุขจอมปลอม เพื่อนฝูงเขาหลายคนที่เคยกอดคอกันกิน
เที่ยว ไม่เคยเหลียวแลกันเวลาลำบาก และหลายๆ คนเองก็มีบท
สรุปสุดท้ายของชีวิตไม่ต่างจากเขา.. .ต่างกันแค่บางคน ยังคิด
ไม่ได้เช่นเขา ยังคงเฝ้าฝันรอวันกลับไปมีชีวิตแบบเดิมๆ และเฝ้า
ก่นด่าโชคชะตาที่ต้องตกต่ำแบบกลับหัวกลับหาง... เขาเคยบอก
เคยเตือนเพื่อนๆบางคนให้พอใจในวันนี้ แต่เขาได้เพียงคำเยาะ
เย้ยถางถางกลับมา และเมื่อขอยืมเงินจากเขาไม่ได้ เพื่อนเหล่า
นี้กลับพากันบอกเขาแบบเดียวกันว่า วันที่พวกเขากลับไปมีชีวิต
หรูหราแบบเดิมได้ อย่าหวังว่าเขาจะได้พึ่งพา...เขาได้แต่ถอนใจ
และหันหลังกลับ...
วันนี้เขาขับรถได้เงินมากเป็นพิเศษ เขาแวะซื้อลูกชิ้นปิ้ง 4 ไม้แวะ
ข้างทางแบบที่เคยทำประจำ และทันทีที่จอดยังไม่ทันร้องเรียก
"ไอ้ขาว" หมาพันธุ์ทางข้างถนนที่เขาเอ็นดู วิ่งกระดิกหางหูลู่มา
หาด้วยความดีใจ หลายปีมานี้ เขามีมันเป็นเพื่อนตัวเดียวในชีวิต
หลังจากหันหลังให้เพิ่อนกลุ่มเดิม...ทุกวันไม่ว่าเขาจะสุข จะทุกข์
จะหาเงินได้น้อย จะมีเงินในกระเป๋ามาก มันไม่เคยสนใจ มัน
เหมือนมีเวลาเพื่อรอให้เขาแวะมาหาก่อนกลับบ้าน... แม้มันเป็น
หมา เขากลับรับรู้ถึงความจริงใจของมันที่มีต่อเขาได้...แบบที่ไม่
เคยได้จากเพื่อนๆคนไหนๆ...
วันนี้เขาอิ่มเอมใจกาย มีรายได้เหลือไปฝากลูกแก้ว เมียขวัญ สม
ความตั้งใจ แต่เริ่มชีวิตทำงานเมื่อหลายปีก่อนอีกวัน.
ทีมสถานีคลายทุกข์
บทความคุณภาพจากเพจ "เรื่องดีๆมีข้อคิด"

ไอ้ทอง..สุนัขพันธุ์ไทยแท้........ กำลังหลับสบายที่ใต้ต้นขนุนใหญ่ เสียงดังจากเครื่องกระจายเสียงที่ติดอยู่บนรถยนต์ ทำให้ไอ้ทองสะดุ้งตกใจตื่น เสียงเห่าหอนของสุนัขทั้งหมู่บ้านที่วิ่งกันมาเป็นฝูงใหญ่ตามหลังรถยนต์ ทำให้ไอ้ทองสงสัยยิ่งนักจึงรีบวิ่งสมทบกับเพื่อน ๆ ตามรถคันนั้นไป ................ ไอ้ทองเพิ่มความแปลกใจมากขึ้น เมื่อภาพที่เห็นนั้นทำให้มันตกตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง เพราะด้านหลังของรถที่ทำเป็นกรงเหล็กซี่เล็ก ๆ นั้น ภายในกรงมีสุนัขถูกขังรวมกันประมาณ 4-5 ตัว สุนัขส่วนใหญ่จะสีดำและรูปร่างอ้วนใหญ่ ไอ้ทองแหงนหน้าดูบนหลังคารถยนต์ มันมองเห็นเสื่ออื่น ๆ หลายผืนมัดรวมกันอยู่มากมาย มันยิ่งเพิ่มความสงสัยว่าเขาเอามาทำไม? ................. เจ้าของรถเป็นชายรูปร่างสูงใหญ่เปิดประตูลงมาพูดคุยกับชาวบ้านที่ยืนมุงดู เขารีบปีนขึ้นไปเอาเสื่อบนหลังคารถลงมาแล้วพูดขึ้นว่า “ใครมีสุนัขที่ไม่อยากเลี้ยง เอามาแลกกับเสื่อของจันทบุรีได้เลยหนึ่งตัวต่อหนึ่งผืน” “น้า...จะเอาสุนัขไปทำอะไร” เจ้าจุกวัย 8 ขวบเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย “เอาไปชำแหละขายเหมือนขายเนื้อหมู หรือบางทีก็เอาไปทำเนื้อแดดเดียวก็ได้ อร่อยมากนะไอ้หนู” “ว้า....น่าสงสารพวกมันจัง” เจ้าจุกรำพึงรำพันมองดูสุนัขด้วยสายตาละห้อย .................... ไอ้ทองมองดูสุนัขที่ถูกขังอยู่บนรถ ทุกตัวพยายามตะเกียกตะกายร้องคร่ำครวญอายากออกจากกรงเพื่อต้องการอิสรภาพ มันรู้สึกสงสารสุนัขเหล่านั้น จึงส่งเสียงเห่าหอนขึ้นพร้อมกันกับไอด่างและยายแดง เพื่อนสุนัขที่ยืนมองอยู่ เห็นมีเพื่อนร้องนำจึงพากันส่งเสียงเห่าหอนประสานเสียงกันดังลั่นไปทั้งหมู่บ้าน ............. “เอ๋ง...เอ๋ง...” เจ้าด่างหงายหลังลงไปนอนคลุกฝุ่นพร้อมส่งเสียงร้องดังลั่นด้วยความตกใจ เมื่อยายสีใช้เท้าถีบมันสุดแรงเกิด สุนัขทุกตัวพร้อมไอ้ทองหยุดเห่าทันที ต่างก็ส่งสายตามมองไอ้ด่างด้วยความสงสาร ............. “ไอ้บ้า...เห่าอยู่ได้ เดี๋ยวจะจับมึงแลกเสื่อหรอก ไอ้ทองก็เหมือนกัน มึงยิ่งเป็นหมาขี้เรื้อนระวังตัวไว้ด้วย เจ้าของเขายิ่งรังเกียจ” ยายสีส่งเสียงด่าและชี้หน้าไอ้ทอง มันรีบวิ่งหนีไปหลบมุมอยู่ใต้ต้นไม้ แต่สายตายังคอยจดจ้องมองดูสุนัขเหล่านั้นด้วยความตื่นกลัว ............ เงาดำสูงใหญ่ ทอดทับร่างไอ้ทอง มันรีบหันหลังกลับไปดู แต่ช้ากว่าเจ้าของที่ใช้บ่วงเชือกสวมลงที่คอของมัน ไอ้ทองรีบกลิ้งตัวไปมาเพื่อให้หลุดจากเชือกที่ใช้พันธนาการ ยิ่งดิ้นแรงเท่าไหร่เชือกก็เริ่มมัดแน่นเข้าทุกที เสียงร้องที่เปล่งจากลำคอเริ่มขาดหาย น้ำตาเริ่มไหลรินอาบแก้ม เมื่อรู้ว่าอิสรภาพของมันได้สิ้นสุดลง “มึงเป็นหมาขี้เรื้อน เลี้ยงก็เสียข้าวสุก เอาแลกกับเสื่อมาปูนนอนยังจะดีกว่า” .............. ไอ้ทองถูกเจ้าของดึงและลากมันไปข้าง ๆ รถยนต์ เสียงพูดของคน เสียงเห่าของไอ้ทอง ยายแดงและเพื่อน ๆ ที่ต่างก็แสดงความเห็นใจ จนในที่สุดมันถูกดึงขึ้นรถและโยนเข้าไปในกรงอย่างไร้ปราณี เสียงประตูกรงเหล็กปิดดังลั่น ความรู้สึกมันเริ่มลางเลือนก่อนที่สติสัมปชัญญะจะดับวูบลง มันได้ยินเสียงหัวเราะจากเจ้าของที่ชื่นชมกับเสื่อที่แลกด้วยชีวิตของมัน พร้อมกับเสียงดังของรถยนต์ที่วิ่งออกจากหมู่บ้าน เสียงเห่าหอนของสุนัขที่เป็นเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกับมันเริ่มห่างไกลออกไปทุกที...ทุกที ............ เพื่อนร่วมชะตากรรมต่างก็นั่งและนอนกันคนละมุม บางตัวน้ำลายไหลยืดเป็นทางยาวเพราะเมารถ พอตกเย็นเจ้าของรถเปิดกรงเหล็กเอาอาหารใส่จานกระดาษวางไว้ให้ทุกตัวกิน ไอ้ทองลำคอแล้งผาก รู้สึกเจ็บระบมไปหมด มันมองดูเพื่อนสุนัขตัวผู้สีดำที่เจ้าของรถเรียกว่าไอหมึก กำลังกินอาหารอย่างตะกรุมตะกราน จนข้าวตกเรี่ยราดเต็มพื้นรถ เมื่อมันกินข้าวหมดแล้วสายตาของไอ้หมึกมองมาที่จานข้าวไอ้ทองแล้วเดินตรงรี่เข้ามา ................. ไอ้ทองยังไม่ได้อ้าปากขู่ ฟันอันแหลมคมของไอ้หมึกก็ฝังลึกที่ลำคอเลือดสด ๆ ไหลเป็นทางยาว ไอ้ทองต่อสู้จนสุดฤทธิ์ เสียงสุนัขในกรงส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ “บึ๊ก...บึ๊ก” ท่อนเหล็กขนาดใหญ่ที่เจ้าของรถฟาดกระหน่ำลงมากลางแสกหน้าและลำตัวไอ้ทอง ทำให้มันปวดร้าวมากกว่าพิษจากคมเขี้ยวของไอ้หมึก การราวีหยุดชะงักทันทีต่างแยกย้ายกันไปนอนเลียแผลคนละมุม ............ เช้าวันรุ่งขึ้นร่างของไอ้ทองที่เต็มไปด้วยบาดแผลเริ่มระบมจากการอักเสบ ร่างสั่นเทาด้วยความเจ็บปวดผสมกับพิษไข้ ไอ้ทองไม่สามารถแม้แต่จะพยุงตัวลุกขึ้นยืนได้ “สงสัยจะไม่รอดแน่ ต้องแวะอีกหลายหมู่บ้าน ฉันยอมทิ้งแกไว้ข้างถนน ดีกว่าจะมาตายบนรถข้า” ............. ไอ้ทองถูกลากลงจากรถยนต์อย่างไร้ความปราณี ไอ้ทองไม่มีแรงที่จะต่อสู้ดิ้นรน รู้แต่เพียงว่าหลังและหัวของมันกระแทกกับพื้นถนนอย่างแรง เสียงร้องไม่ได้เล็ดลอดออกจากปากของมัน ทั้งที่มันเจ็บปวดรวดร้าวแทบใจจะขาด ................. แสงไฟจากรถยนต์หกล้อสาดส่องไปข้างหน้า เมฆสีดำทะมึนแผ่กระจายทั่วท้องฟ้า ยอดไม้โอนเอนไปมาเพราะแรงลม ในที่สุดฝนก็ตกกระหน่ำลงมาอย่างหนัก “จอดข้างทางก่อน ขับไปก็อันตราย” เสียงชายหนุ่มสั่งคนขับรถยนต์ให้จอดลงข้างไหล่ทางด้านซ้ายมือ “เอ๊ะ...ระวัง...คล้าย ๆ มีอะไรกองอยู่ที่พื้นถนน” คนขับแตะเบรกอย่างแรง ก่อนที่จะเหยียบซ้ำลงไปบนร่างไอ้ทอง “สุนัขตายครับหัวหน้า สงสัยโดนรถยนต์ชน” ............. แสงไฟที่เปิดค้างไว้สาดส่องไปยังร่างไอ้ทอง มันพยายามลืมตาเพื่อมองมาที่แสงไฟ มันเห็นเงาของคนที่นั่งอยู่บนรถยนต์ มันพยายามยกหางกระดิกไปมาอย่างช้า ๆ เพื่อสื่อให้รู้ว่ามันยังมีชีวิตอยู่ “เอ๊ะ...มันยังไม่ตายนี่” ชายหนุ่มรีบกระโดดลงจากรถ วิ่งฝ่าสายฝนเข้าไปช้อนร่างไอ้ทองขึ้นสู่วงแขนแล้ววิ่งกลับมาที่รถยนต์ เขารีบถอดเสื้อคลุมห่อร่างไอ้ทองทันที “รีบขับรถกลับไปอำเภอ ตรงไปที่ร้านสัตวแพทย์เลยนะ” .................... ความอบอุ่นจากอ้อมกอดของมนุษย์ ไอ้ทองพึ่งเคยได้สัมผัสเป็นครั้งแรก ความเจ็บปวดรวดร้าวแทบมลายไปในพริบตา ความมีน้ำใจของมนุษย์มันช่างเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข หัวใจของมันเริ่มพองโตด้วยความปลื้มปีติ ความรู้สึกท้อแท้ที่เคยมี ไม่หลงเหลืออยู่ในตัวของไอ้ทองอีกเลย ............. “หายเจ็บปวดหรือยัง” ชายหนุ่มใช้มือลูบไล้อย่างแผ่วเบาบนร่างของไอ้ทอง มันผงกหัวขึ้นช้า ๆ ทันทีที่สายตาประสานกัน น้ำตาเริ่มคลอเบ้าด้วยความตื้นตัน น้ำใจที่ผู้ชายคนนี้มีให้มันมากล้นเหลือเกิน มากจนคิดว่าชาตินี้ทั้งชาติจะตอบแทนน้ำใจของชายหนุ่มคนนี้ได้หมดหรือไม่ ........... ชายหนุ่มที่ทุกคนเรียกว่า “หัวหน้า” นั้นคือนายใหม่ที่ไอ้ทองทั้งรักและบูชา เขามีน้ำใจให้ความรักความเมตตามันเป็นพิเศษ บาดแผลของมันได้รับการเยียวยารักษา ใช้เวลาไม่นานนักร่างกายของมันก็หลับหายเป็นปกติ และจะดูแข็งแรงขึ้นกว่าเดิมเสียอีก แต่สิ่งที่ไอ้ทองดีใจและตื่นเต้นที่สุดในชีวิตก็คือ เนื้อตัวของมันได้รับการฟอกถูด้วยสบู่และแชมพูอย่างดี จนทำให้ขี้เรื้อนของมันหายไปและมีขนใหม่สีทองขึ้นแทนและสวยกว่าเดิมอีกด้วย ...................... “ชื่อไอ้ทองน่าจะเหมาะกับตัวมัน” หัวหน้าคิดตั้งชื่อให้มัน โดยที่ไม่รู้ว่าชื่อเดิมของมันก็คือไอ้ทอง มีผู้คนยืนห้อมล้อมดูมันด้วยความรักใคร่ มันกลายเป็นขวัญใจของทุกคน ............. ไอ้ทองไม่รู้ว่านายของมันทำงานอะไร มันรู้แต่เพียงว่าครั้งใดที่เขาจับปืนเข้าป่ามันจะวิ่งตามทันที บางครั้งเขาต้องนั่งซุ่มอยู่ใต้ต้นไม้ทั้งคืน ไอ้ทองก็จะคอยระวังสัตว์ร้าย เช่น งู และแมลงต่าง ๆ มิให้เข้ามาทำร้ายนาย ............ งานของนายมันค่อนข้างหนัก บางครั้งต้องควบคุมให้คนงานขนไม้ขึ้นรถยนต์และนำมาเก็บไว้ที่ทำงาน บางครั้งก็จับคนใส่กุญแจมือ และบ่อยครั้งที่มันยินเสียงปืนต่อสู้กัน ไอ้ทองกลัวเสียงปืนมาก แต่ด้วยความรักและห่วงใยนาย จึงต้องอยู่เคียงข้างตลอดเวลา ถึงแม้มันจะพูดไม่ได้แต่สัญชาตญาณบอกให้รู้ว่านายของมันทำงานเสี่ยงอันตราย การที่ได้ติดตามนายทุกย่างก้าวมันคิดว่าโอกาสที่จะได้แสดงน้ำใจตอบแทนนายคงจะมีบ้างไม่มากก็น้อย ............. คืนหนึ่ง ขณะที่ไอ้ทองกำลังนอนกลับอยู่ใต้ถุนบ้าน มันต้องสะดุ้งตกใจตื่นขึ้น เมื่อเห็นเงาตะคุ่มของคนกำลังเดินย่องขึ้นบันได มันลุกขึ้นยืนและเพ่งมองปืนในมือขวาของชายลึกลับคนนั้น จิตใต้สำนึกรู้ได้ทันทีว่าชายคนนั้นจะต้องไม่หวังดีต่อนายของมันแน่นอน!! ........... ไอ้ทองสุดลมหายใจเข้าปอดอย่างเต็มที่ วันนี้เป็นวันที่มันรอคอยมานานแสนนาน เพื่อตอบแทนน้ำใจที่นายของมันมอบให้ ไอ้ทองค่อย ๆ ย่องตามชายลึกลับคนนั้นขึ้นไปบนบ้านทันทีที่เขายกปืนเพื่อเล็งผ่านช่องหน้าต่างเข้าไปยังห้องนอนของนาย ............. “โฮ่ง...โฮ่ง” เสียงเห่ากรรโชกพร้อมทะยานร่างกระโจนขึ้นไปบนอากาศมันอ้าปากใช้เขี้ยวอันแหลมคนฝังลงไปบนลำคอของชายลึกลับคนนั้น จากน้ำหนักของไอ้ทองที่ถาโถมเข้าไปเต็มที่ทำให้ร่างของชายลึกลับและไอ้ทองล้มลงฟาดกับพื้นเต็มแรง ไอ้ทองยืนคร่อมบนร่างและกัดอย่างเมามัน ................ “ปัง...ปัง” เสียงปืนดังขึ้นในขณะที่เลือดอุ่น ๆ ของไอ้ทองนองท่วมตัวแรงปืนมิได้ทำให้ร่างไอ้ทองกระเด็นออกไป เพราะเขี้ยวของมันฝังจมอยู่ในลำคอของชายลึกลับคนนั้น!!... “ไอ้ทอง...แกอย่าตายนะ ทำใจดี ๆ ไว้ ฉันจะพาแกไปหาหมอ” เสียงนายบ่งบอกถึงความรักและห่วงใย ไอ้ทองรวบรวมสติลืมตัวอันพร่ามัวมองดูใบหน้าของนายเพื่อรับรู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ .................... มันค่อย ๆ ยกหางกระดิกไปมาอย่างช้า ๆ เพื่อตอบรับความมีน้ำใจของนาย น้ำตาของมันไหลเป็นทางผสมกับเลือดที่ท่วมตัว นายก้มตัวลงกอดร่างของมันไว้แน่น น้ำตาลูกผู้ชายไหลคละเคล้าผสมกับน้ำตาของไอ้ทอง เสียงแผ่วเบาของชายหนุ่มที่กระซิบข้างหูไอ้ทองปนกับเสียงสะอื้นว่า...... “น้ำใจไอ้ทองที่มอบให้ฉันในวันนี้ ฉันจะจดจำไปจนตาย ได้ยินไหมไอ้ทอง...ทอง...” ตัวของไอ้ทองเริ่มเบาหวิว เสียงของนายเริ่มห่างไกลออกไปทุกที ถ้ามันพูดได้ มันอยากจะบอกนายของมันเป็นครั้งสุดท้ายว่า “น้ำใจที่นายมอบให้มันนั้นมีคุณค่ายิ่งนัก การตอบแทนบุญคุณของนายด้วยชีวิตนั้นมันน้อยเกินไป เมื่อเทียบกับสัตว์เดรัจฉานเยี่ยงไอ้ทองกับความเป็นมนุษย์ที่แสนประเสริฐของนาย...” ............ น้ำใจไอ้ทองนั้น ผูกพันแลกตัญญู บูชาและเชิดชู นายซึ่งผู้มีเมตตา ยอมสละชีวิต ด้วยดวงจิตสิเนหา ร่างทองไร้วิญญา เหลือคุณค่าแห่งความดี ขอบคุณ :คุณครูสุมาลี โฆษิตนิธิกุล

ไอ้ทอง..สุนัขพันธุ์ไทยแท้........
กำลังหลับสบายที่ใต้ต้นขนุนใหญ่ เสียงดังจากเครื่องกระจายเสียงที่ติดอยู่บนรถยนต์ ทำให้ไอ้ทองสะดุ้งตกใจตื่น เสียงเห่าหอนของสุนัขทั้งหมู่บ้านที่วิ่งกันมาเป็นฝูงใหญ่ตามหลังรถยนต์ ทำให้ไอ้ทองสงสัยยิ่งนักจึงรีบวิ่งสมทบกับเพื่อน ๆ ตามรถคันนั้นไป
................
ไอ้ทองเพิ่มความแปลกใจมากขึ้น เมื่อภาพที่เห็นนั้นทำให้มันตกตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง เพราะด้านหลังของรถที่ทำเป็นกรงเหล็กซี่เล็ก ๆ นั้น ภายในกรงมีสุนัขถูกขังรวมกันประมาณ 4-5 ตัว สุนัขส่วนใหญ่จะสีดำและรูปร่างอ้วนใหญ่ ไอ้ทองแหงนหน้าดูบนหลังคารถยนต์ มันมองเห็นเสื่ออื่น ๆ หลายผืนมัดรวมกันอยู่มากมาย มันยิ่งเพิ่มความสงสัยว่าเขาเอามาทำไม?
.................
เจ้าของรถเป็นชายรูปร่างสูงใหญ่เปิดประตูลงมาพูดคุยกับชาวบ้านที่ยืนมุงดู เขารีบปีนขึ้นไปเอาเสื่อบนหลังคารถลงมาแล้วพูดขึ้นว่า
“ใครมีสุนัขที่ไม่อยากเลี้ยง เอามาแลกกับเสื่อของจันทบุรีได้เลยหนึ่งตัวต่อหนึ่งผืน”
“น้า...จะเอาสุนัขไปทำอะไร” เจ้าจุกวัย 8 ขวบเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย
“เอาไปชำแหละขายเหมือนขายเนื้อหมู หรือบางทีก็เอาไปทำเนื้อแดดเดียวก็ได้ อร่อยมากนะไอ้หนู”
“ว้า....น่าสงสารพวกมันจัง” เจ้าจุกรำพึงรำพันมองดูสุนัขด้วยสายตาละห้อย
....................
ไอ้ทองมองดูสุนัขที่ถูกขังอยู่บนรถ ทุกตัวพยายามตะเกียกตะกายร้องคร่ำครวญอายากออกจากกรงเพื่อต้องการอิสรภาพ มันรู้สึกสงสารสุนัขเหล่านั้น จึงส่งเสียงเห่าหอนขึ้นพร้อมกันกับไอด่างและยายแดง เพื่อนสุนัขที่ยืนมองอยู่ เห็นมีเพื่อนร้องนำจึงพากันส่งเสียงเห่าหอนประสานเสียงกันดังลั่นไปทั้งหมู่บ้าน
.............
“เอ๋ง...เอ๋ง...” เจ้าด่างหงายหลังลงไปนอนคลุกฝุ่นพร้อมส่งเสียงร้องดังลั่นด้วยความตกใจ เมื่อยายสีใช้เท้าถีบมันสุดแรงเกิด สุนัขทุกตัวพร้อมไอ้ทองหยุดเห่าทันที ต่างก็ส่งสายตามมองไอ้ด่างด้วยความสงสาร
.............
“ไอ้บ้า...เห่าอยู่ได้ เดี๋ยวจะจับมึงแลกเสื่อหรอก ไอ้ทองก็เหมือนกัน มึงยิ่งเป็นหมาขี้เรื้อนระวังตัวไว้ด้วย เจ้าของเขายิ่งรังเกียจ” ยายสีส่งเสียงด่าและชี้หน้าไอ้ทอง มันรีบวิ่งหนีไปหลบมุมอยู่ใต้ต้นไม้ แต่สายตายังคอยจดจ้องมองดูสุนัขเหล่านั้นด้วยความตื่นกลัว
............
เงาดำสูงใหญ่ ทอดทับร่างไอ้ทอง มันรีบหันหลังกลับไปดู แต่ช้ากว่าเจ้าของที่ใช้บ่วงเชือกสวมลงที่คอของมัน ไอ้ทองรีบกลิ้งตัวไปมาเพื่อให้หลุดจากเชือกที่ใช้พันธนาการ ยิ่งดิ้นแรงเท่าไหร่เชือกก็เริ่มมัดแน่นเข้าทุกที เสียงร้องที่เปล่งจากลำคอเริ่มขาดหาย น้ำตาเริ่มไหลรินอาบแก้ม เมื่อรู้ว่าอิสรภาพของมันได้สิ้นสุดลง
“มึงเป็นหมาขี้เรื้อน เลี้ยงก็เสียข้าวสุก เอาแลกกับเสื่อมาปูนนอนยังจะดีกว่า”
..............
ไอ้ทองถูกเจ้าของดึงและลากมันไปข้าง ๆ รถยนต์ เสียงพูดของคน เสียงเห่าของไอ้ทอง ยายแดงและเพื่อน ๆ ที่ต่างก็แสดงความเห็นใจ จนในที่สุดมันถูกดึงขึ้นรถและโยนเข้าไปในกรงอย่างไร้ปราณี เสียงประตูกรงเหล็กปิดดังลั่น ความรู้สึกมันเริ่มลางเลือนก่อนที่สติสัมปชัญญะจะดับวูบลง มันได้ยินเสียงหัวเราะจากเจ้าของที่ชื่นชมกับเสื่อที่แลกด้วยชีวิตของมัน พร้อมกับเสียงดังของรถยนต์ที่วิ่งออกจากหมู่บ้าน เสียงเห่าหอนของสุนัขที่เป็นเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกับมันเริ่มห่างไกลออกไปทุกที...ทุกที
............
เพื่อนร่วมชะตากรรมต่างก็นั่งและนอนกันคนละมุม บางตัวน้ำลายไหลยืดเป็นทางยาวเพราะเมารถ พอตกเย็นเจ้าของรถเปิดกรงเหล็กเอาอาหารใส่จานกระดาษวางไว้ให้ทุกตัวกิน ไอ้ทองลำคอแล้งผาก รู้สึกเจ็บระบมไปหมด มันมองดูเพื่อนสุนัขตัวผู้สีดำที่เจ้าของรถเรียกว่าไอหมึก กำลังกินอาหารอย่างตะกรุมตะกราน จนข้าวตกเรี่ยราดเต็มพื้นรถ เมื่อมันกินข้าวหมดแล้วสายตาของไอ้หมึกมองมาที่จานข้าวไอ้ทองแล้วเดินตรงรี่เข้ามา
.................
ไอ้ทองยังไม่ได้อ้าปากขู่ ฟันอันแหลมคมของไอ้หมึกก็ฝังลึกที่ลำคอเลือดสด ๆ ไหลเป็นทางยาว ไอ้ทองต่อสู้จนสุดฤทธิ์ เสียงสุนัขในกรงส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ
“บึ๊ก...บึ๊ก” ท่อนเหล็กขนาดใหญ่ที่เจ้าของรถฟาดกระหน่ำลงมากลางแสกหน้าและลำตัวไอ้ทอง ทำให้มันปวดร้าวมากกว่าพิษจากคมเขี้ยวของไอ้หมึก การราวีหยุดชะงักทันทีต่างแยกย้ายกันไปนอนเลียแผลคนละมุม
............
เช้าวันรุ่งขึ้นร่างของไอ้ทองที่เต็มไปด้วยบาดแผลเริ่มระบมจากการอักเสบ ร่างสั่นเทาด้วยความเจ็บปวดผสมกับพิษไข้ ไอ้ทองไม่สามารถแม้แต่จะพยุงตัวลุกขึ้นยืนได้
“สงสัยจะไม่รอดแน่ ต้องแวะอีกหลายหมู่บ้าน ฉันยอมทิ้งแกไว้ข้างถนน ดีกว่าจะมาตายบนรถข้า”
.............
ไอ้ทองถูกลากลงจากรถยนต์อย่างไร้ความปราณี ไอ้ทองไม่มีแรงที่จะต่อสู้ดิ้นรน รู้แต่เพียงว่าหลังและหัวของมันกระแทกกับพื้นถนนอย่างแรง เสียงร้องไม่ได้เล็ดลอดออกจากปากของมัน ทั้งที่มันเจ็บปวดรวดร้าวแทบใจจะขาด
.................
แสงไฟจากรถยนต์หกล้อสาดส่องไปข้างหน้า เมฆสีดำทะมึนแผ่กระจายทั่วท้องฟ้า ยอดไม้โอนเอนไปมาเพราะแรงลม ในที่สุดฝนก็ตกกระหน่ำลงมาอย่างหนัก
“จอดข้างทางก่อน ขับไปก็อันตราย” เสียงชายหนุ่มสั่งคนขับรถยนต์ให้จอดลงข้างไหล่ทางด้านซ้ายมือ “เอ๊ะ...ระวัง...คล้าย ๆ มีอะไรกองอยู่ที่พื้นถนน” คนขับแตะเบรกอย่างแรง ก่อนที่จะเหยียบซ้ำลงไปบนร่างไอ้ทอง “สุนัขตายครับหัวหน้า สงสัยโดนรถยนต์ชน”
.............
แสงไฟที่เปิดค้างไว้สาดส่องไปยังร่างไอ้ทอง มันพยายามลืมตาเพื่อมองมาที่แสงไฟ มันเห็นเงาของคนที่นั่งอยู่บนรถยนต์ มันพยายามยกหางกระดิกไปมาอย่างช้า ๆ เพื่อสื่อให้รู้ว่ามันยังมีชีวิตอยู่
“เอ๊ะ...มันยังไม่ตายนี่” ชายหนุ่มรีบกระโดดลงจากรถ วิ่งฝ่าสายฝนเข้าไปช้อนร่างไอ้ทองขึ้นสู่วงแขนแล้ววิ่งกลับมาที่รถยนต์ เขารีบถอดเสื้อคลุมห่อร่างไอ้ทองทันที
“รีบขับรถกลับไปอำเภอ ตรงไปที่ร้านสัตวแพทย์เลยนะ”
....................
ความอบอุ่นจากอ้อมกอดของมนุษย์ ไอ้ทองพึ่งเคยได้สัมผัสเป็นครั้งแรก ความเจ็บปวดรวดร้าวแทบมลายไปในพริบตา ความมีน้ำใจของมนุษย์มันช่างเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข หัวใจของมันเริ่มพองโตด้วยความปลื้มปีติ ความรู้สึกท้อแท้ที่เคยมี ไม่หลงเหลืออยู่ในตัวของไอ้ทองอีกเลย
.............
“หายเจ็บปวดหรือยัง” ชายหนุ่มใช้มือลูบไล้อย่างแผ่วเบาบนร่างของไอ้ทอง มันผงกหัวขึ้นช้า ๆ ทันทีที่สายตาประสานกัน น้ำตาเริ่มคลอเบ้าด้วยความตื้นตัน น้ำใจที่ผู้ชายคนนี้มีให้มันมากล้นเหลือเกิน มากจนคิดว่าชาตินี้ทั้งชาติจะตอบแทนน้ำใจของชายหนุ่มคนนี้ได้หมดหรือไม่
...........
ชายหนุ่มที่ทุกคนเรียกว่า “หัวหน้า” นั้นคือนายใหม่ที่ไอ้ทองทั้งรักและบูชา เขามีน้ำใจให้ความรักความเมตตามันเป็นพิเศษ บาดแผลของมันได้รับการเยียวยารักษา ใช้เวลาไม่นานนักร่างกายของมันก็หลับหายเป็นปกติ และจะดูแข็งแรงขึ้นกว่าเดิมเสียอีก แต่สิ่งที่ไอ้ทองดีใจและตื่นเต้นที่สุดในชีวิตก็คือ เนื้อตัวของมันได้รับการฟอกถูด้วยสบู่และแชมพูอย่างดี จนทำให้ขี้เรื้อนของมันหายไปและมีขนใหม่สีทองขึ้นแทนและสวยกว่าเดิมอีกด้วย
......................
“ชื่อไอ้ทองน่าจะเหมาะกับตัวมัน” หัวหน้าคิดตั้งชื่อให้มัน โดยที่ไม่รู้ว่าชื่อเดิมของมันก็คือไอ้ทอง มีผู้คนยืนห้อมล้อมดูมันด้วยความรักใคร่ มันกลายเป็นขวัญใจของทุกคน
.............
ไอ้ทองไม่รู้ว่านายของมันทำงานอะไร มันรู้แต่เพียงว่าครั้งใดที่เขาจับปืนเข้าป่ามันจะวิ่งตามทันที บางครั้งเขาต้องนั่งซุ่มอยู่ใต้ต้นไม้ทั้งคืน ไอ้ทองก็จะคอยระวังสัตว์ร้าย เช่น งู และแมลงต่าง ๆ มิให้เข้ามาทำร้ายนาย
............
งานของนายมันค่อนข้างหนัก บางครั้งต้องควบคุมให้คนงานขนไม้ขึ้นรถยนต์และนำมาเก็บไว้ที่ทำงาน บางครั้งก็จับคนใส่กุญแจมือ และบ่อยครั้งที่มันยินเสียงปืนต่อสู้กัน ไอ้ทองกลัวเสียงปืนมาก แต่ด้วยความรักและห่วงใยนาย จึงต้องอยู่เคียงข้างตลอดเวลา ถึงแม้มันจะพูดไม่ได้แต่สัญชาตญาณบอกให้รู้ว่านายของมันทำงานเสี่ยงอันตราย การที่ได้ติดตามนายทุกย่างก้าวมันคิดว่าโอกาสที่จะได้แสดงน้ำใจตอบแทนนายคงจะมีบ้างไม่มากก็น้อย
.............
คืนหนึ่ง ขณะที่ไอ้ทองกำลังนอนกลับอยู่ใต้ถุนบ้าน มันต้องสะดุ้งตกใจตื่นขึ้น เมื่อเห็นเงาตะคุ่มของคนกำลังเดินย่องขึ้นบันได มันลุกขึ้นยืนและเพ่งมองปืนในมือขวาของชายลึกลับคนนั้น จิตใต้สำนึกรู้ได้ทันทีว่าชายคนนั้นจะต้องไม่หวังดีต่อนายของมันแน่นอน!!
...........
ไอ้ทองสุดลมหายใจเข้าปอดอย่างเต็มที่ วันนี้เป็นวันที่มันรอคอยมานานแสนนาน เพื่อตอบแทนน้ำใจที่นายของมันมอบให้ ไอ้ทองค่อย ๆ ย่องตามชายลึกลับคนนั้นขึ้นไปบนบ้านทันทีที่เขายกปืนเพื่อเล็งผ่านช่องหน้าต่างเข้าไปยังห้องนอนของนาย
.............
“โฮ่ง...โฮ่ง” เสียงเห่ากรรโชกพร้อมทะยานร่างกระโจนขึ้นไปบนอากาศมันอ้าปากใช้เขี้ยวอันแหลมคนฝังลงไปบนลำคอของชายลึกลับคนนั้น จากน้ำหนักของไอ้ทองที่ถาโถมเข้าไปเต็มที่ทำให้ร่างของชายลึกลับและไอ้ทองล้มลงฟาดกับพื้นเต็มแรง ไอ้ทองยืนคร่อมบนร่างและกัดอย่างเมามัน
................
“ปัง...ปัง” เสียงปืนดังขึ้นในขณะที่เลือดอุ่น ๆ ของไอ้ทองนองท่วมตัวแรงปืนมิได้ทำให้ร่างไอ้ทองกระเด็นออกไป เพราะเขี้ยวของมันฝังจมอยู่ในลำคอของชายลึกลับคนนั้น!!...
“ไอ้ทอง...แกอย่าตายนะ ทำใจดี ๆ ไว้ ฉันจะพาแกไปหาหมอ” เสียงนายบ่งบอกถึงความรักและห่วงใย ไอ้ทองรวบรวมสติลืมตัวอันพร่ามัวมองดูใบหน้าของนายเพื่อรับรู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่
....................
มันค่อย ๆ ยกหางกระดิกไปมาอย่างช้า ๆ เพื่อตอบรับความมีน้ำใจของนาย น้ำตาของมันไหลเป็นทางผสมกับเลือดที่ท่วมตัว นายก้มตัวลงกอดร่างของมันไว้แน่น น้ำตาลูกผู้ชายไหลคละเคล้าผสมกับน้ำตาของไอ้ทอง เสียงแผ่วเบาของชายหนุ่มที่กระซิบข้างหูไอ้ทองปนกับเสียงสะอื้นว่า......
“น้ำใจไอ้ทองที่มอบให้ฉันในวันนี้ ฉันจะจดจำไปจนตาย ได้ยินไหมไอ้ทอง...ทอง...” ตัวของไอ้ทองเริ่มเบาหวิว เสียงของนายเริ่มห่างไกลออกไปทุกที ถ้ามันพูดได้ มันอยากจะบอกนายของมันเป็นครั้งสุดท้ายว่า
“น้ำใจที่นายมอบให้มันนั้นมีคุณค่ายิ่งนัก การตอบแทนบุญคุณของนายด้วยชีวิตนั้นมันน้อยเกินไป เมื่อเทียบกับสัตว์เดรัจฉานเยี่ยงไอ้ทองกับความเป็นมนุษย์ที่แสนประเสริฐของนาย...”
............
น้ำใจไอ้ทองนั้น ผูกพันแลกตัญญู
บูชาและเชิดชู นายซึ่งผู้มีเมตตา
ยอมสละชีวิต ด้วยดวงจิตสิเนหา
ร่างทองไร้วิญญา เหลือคุณค่าแห่งความดี
ขอบคุณ :คุณครูสุมาลี โฆษิตนิธิกุล