วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2559

หนักกว่าหลายร้อยเท่า แด่… 9 เดือน ของคุณแม่ทุกท่าน มีครอบครัวครอบครัวหนึ่งอาศัยอยู่ด้วยกัน 3 คน คือ พ่อ แม่ และ ลูกสาว สามีภรรยารักลูกของตนเป็นอย่างมาก เฝ้าถนุถนอมกล่อม เลี้ยงด้วยความรักอย่างหาใดปาน จนกระทั่งลูกเติบโตเป็นสาว จึง ได้จัดการแต่งงานให้กับชายที่มารักลูกของตน เมื่อลูกสาวแต่งงานกับครอบครัว ที่สามารถดูแลเธอให้มีความสุข อย่างสบายได้แล้ว สองตายายก็รู้สึกภุมิใจในความเป็นพ่อแม่ของ ตนยิ่งนัก ที่ได้ทำหน้าที่ของผู้ให้กำเนิดอย่างสมบูรณ์แบบ อยู่ต่อมาไม่นานผู้เป็นพ่อก็เสียชีวิตลง ทำให้แม่ต้องอยู่เพียงลำพัง ฝ่ายลูกสาวเมื่อได้ไปอยู่ในครอบครัวที่สบาย กลับลืมไปว่าตนมีแม่ ที่แก่เฒ่าอยู่ที่บ้าน ไม่สนใจใยดี ที่จะกลับไปทำหน้าที่ลูกสักครั้ง ครั้นต่อมาเมื่อแม่ป่วย และไม่มีเงินที่จะใช้รักษาและซื้อข้าวปลา ก็ ไปขอยืมเงินจากลูกสาวของตน ฝ่ายลูก็ให้ยืมแต่มีข้อแม้ว่าต้องคืน ให้เธอตามเวลาที่กำหนดไว้ ” แม่ยืมเงินไปแล้วต้องคืนหนูด้วยนะ “ ” คืนก็ได้ ” แม่พูดด้วยความรู้สึกเศร้าใจต่อการแสดงออกของลูก เมื่อวันเวลาผ่านไปและครบกำหนดนัดหมาย ลูกสาวผู้ลืมตนก็มา ทวงเงินจากแม่ แต่ฝ่ายผู้เป็นแม่กลับไม่มีให้ลูก ลูกสาวไม่พอใจ จึงนำเรื่องนี้ไปปรึกษาผู้ใหญ่บ้าน เพื่อให้เป็นคนตัดสิน ผู้ใหญ่บ้าน เป็นคนฉลาดในการตตัดสินคดีและด้วยความที่ต้องการสอนให้ลูก รู้จักพระคุณที่แม่มีต่อตน จึงกล่าวกับหญิงสาวว่า ” ลุงตัดสินคดีได้แน่นอน แต่มีข้อแม้อยู่สองข้อที่อยากให้หนูปฏิบัติ ตาม ถ้าทำได้ลุงก็สามารถนำเงินจากแม่มาคืนหนูได้เช่นกัน “ ” ข้อแม้อะไรล่ะลุง “ ” ข้อแม้คือ 1 ให้หนูนำถุงที่มีก้อนหินมาผูกไว้ที่เอว และให้เติมหินเพิ่มวันละ 1 ก้อน 2 คือ ให้ทำอย่างนี้เป็นเวลาสามเดือน ถ้าหนูทำได้ลุงก็รับปากจะ นำเงินจากแม่หนูมาคืนให้ได้แน่นอน “ ” หนูรับปากค่ะ ” หลังจากที่รับปากผู้ใหญ่บ้านแล้วด้วยความที่อยากได้เงินคืน ไม่ว่า จะไปไหนก็เอาถุงหินผูกเอวไว้ตลอดเวลา และเติมหินลงไปทุกวัน จนเธอเริ่มรู้สึกว่าถุงหินนั้นทำให้เธออึดอัดซะเหลือเกิน จนบางวัน เธอนึกอยากจะขว้างทิ้ง เธอทนอยู่อย่างนั้นได้แค่เดือนเดียวพร้อม กับสารภาพกับผู้ใหญ่ว่า ” ลุงทำไมมันหนักอย่างนี้ ใครจะไปทนได้ “ ” มีสิ แม่เจ้ายังไงล่ะ แม่ที่อุ้มท้องเจ้ามา 9 เดือน เจ้าคิดว่าระหว่าง เจ้าที่ห้อยถุงหินไว้ที่เอวกับแม่เจ้าใครจะลำบากกว่ากัน “ หญิงสาวผู้โง่เขลาฉุกคิดขึ้นได้ ความหนักของถุงหินที่ตนแบกมา หนึ่งเดือน เทียบไม่ได้เลยกับความลำบากของแม่ที่อุ้มท้องตนมา ถึง 9 เดือน และเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ นั่นต้องเกิดจากความรักและ ความเสียสละที่มากมายจริงๆ หญิงสาวไม่เพียงแต่ไม่ทวงเงินแม่ เธอกลับไปขอโทษแม่ในความไม่รู้ผิดชอบชั่วดี แน่นอนว่าผู้เป็น แม่สามารถให้อภัยลูกได้ทุกเรื่อง ไม่เพียงแต่ไม่ถือโทษแต่กลับ ภูมิใจในตัวลูกเสียอีกที่คิดได้ นี่แหละนะคนเป็นแม่ แล้วทั้งสองก็ ใช้ชีวิตอยูร่วมกันอย่างมีความสุข ขอแสดงความยินดีกับลูกทุกคนที่ยังมีโอกาสทำหน้าที่ลูก แด่…ความยิ่งใหญ่ของพระคุณแม่ทุกท่านครับ - ความกตัญญูเป็นรากแก้วของคนดี -

หนักกว่าหลายร้อยเท่า แด่… 9 เดือน ของคุณแม่ทุกท่าน
มีครอบครัวครอบครัวหนึ่งอาศัยอยู่ด้วยกัน 3 คน คือ พ่อ แม่ และ
ลูกสาว สามีภรรยารักลูกของตนเป็นอย่างมาก เฝ้าถนุถนอมกล่อม
เลี้ยงด้วยความรักอย่างหาใดปาน จนกระทั่งลูกเติบโตเป็นสาว จึง
ได้จัดการแต่งงานให้กับชายที่มารักลูกของตน
เมื่อลูกสาวแต่งงานกับครอบครัว ที่สามารถดูแลเธอให้มีความสุข
อย่างสบายได้แล้ว สองตายายก็รู้สึกภุมิใจในความเป็นพ่อแม่ของ
ตนยิ่งนัก ที่ได้ทำหน้าที่ของผู้ให้กำเนิดอย่างสมบูรณ์แบบ
อยู่ต่อมาไม่นานผู้เป็นพ่อก็เสียชีวิตลง ทำให้แม่ต้องอยู่เพียงลำพัง
ฝ่ายลูกสาวเมื่อได้ไปอยู่ในครอบครัวที่สบาย กลับลืมไปว่าตนมีแม่
ที่แก่เฒ่าอยู่ที่บ้าน ไม่สนใจใยดี ที่จะกลับไปทำหน้าที่ลูกสักครั้ง
ครั้นต่อมาเมื่อแม่ป่วย และไม่มีเงินที่จะใช้รักษาและซื้อข้าวปลา ก็
ไปขอยืมเงินจากลูกสาวของตน ฝ่ายลูก็ให้ยืมแต่มีข้อแม้ว่าต้องคืน
ให้เธอตามเวลาที่กำหนดไว้
” แม่ยืมเงินไปแล้วต้องคืนหนูด้วยนะ “
” คืนก็ได้ ”
แม่พูดด้วยความรู้สึกเศร้าใจต่อการแสดงออกของลูก
เมื่อวันเวลาผ่านไปและครบกำหนดนัดหมาย ลูกสาวผู้ลืมตนก็มา
ทวงเงินจากแม่ แต่ฝ่ายผู้เป็นแม่กลับไม่มีให้ลูก ลูกสาวไม่พอใจ
จึงนำเรื่องนี้ไปปรึกษาผู้ใหญ่บ้าน เพื่อให้เป็นคนตัดสิน ผู้ใหญ่บ้าน
เป็นคนฉลาดในการตตัดสินคดีและด้วยความที่ต้องการสอนให้ลูก
รู้จักพระคุณที่แม่มีต่อตน จึงกล่าวกับหญิงสาวว่า
” ลุงตัดสินคดีได้แน่นอน แต่มีข้อแม้อยู่สองข้อที่อยากให้หนูปฏิบัติ
ตาม ถ้าทำได้ลุงก็สามารถนำเงินจากแม่มาคืนหนูได้เช่นกัน “
” ข้อแม้อะไรล่ะลุง “
” ข้อแม้คือ
1 ให้หนูนำถุงที่มีก้อนหินมาผูกไว้ที่เอว และให้เติมหินเพิ่มวันละ 1
ก้อน
2 คือ ให้ทำอย่างนี้เป็นเวลาสามเดือน ถ้าหนูทำได้ลุงก็รับปากจะ
นำเงินจากแม่หนูมาคืนให้ได้แน่นอน “
” หนูรับปากค่ะ ”
หลังจากที่รับปากผู้ใหญ่บ้านแล้วด้วยความที่อยากได้เงินคืน ไม่ว่า
จะไปไหนก็เอาถุงหินผูกเอวไว้ตลอดเวลา และเติมหินลงไปทุกวัน
จนเธอเริ่มรู้สึกว่าถุงหินนั้นทำให้เธออึดอัดซะเหลือเกิน จนบางวัน
เธอนึกอยากจะขว้างทิ้ง เธอทนอยู่อย่างนั้นได้แค่เดือนเดียวพร้อม
กับสารภาพกับผู้ใหญ่ว่า
” ลุงทำไมมันหนักอย่างนี้ ใครจะไปทนได้ “
” มีสิ แม่เจ้ายังไงล่ะ แม่ที่อุ้มท้องเจ้ามา 9 เดือน เจ้าคิดว่าระหว่าง
เจ้าที่ห้อยถุงหินไว้ที่เอวกับแม่เจ้าใครจะลำบากกว่ากัน “
หญิงสาวผู้โง่เขลาฉุกคิดขึ้นได้ ความหนักของถุงหินที่ตนแบกมา
หนึ่งเดือน เทียบไม่ได้เลยกับความลำบากของแม่ที่อุ้มท้องตนมา
ถึง 9 เดือน และเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ นั่นต้องเกิดจากความรักและ
ความเสียสละที่มากมายจริงๆ หญิงสาวไม่เพียงแต่ไม่ทวงเงินแม่
เธอกลับไปขอโทษแม่ในความไม่รู้ผิดชอบชั่วดี แน่นอนว่าผู้เป็น
แม่สามารถให้อภัยลูกได้ทุกเรื่อง ไม่เพียงแต่ไม่ถือโทษแต่กลับ
ภูมิใจในตัวลูกเสียอีกที่คิดได้ นี่แหละนะคนเป็นแม่ แล้วทั้งสองก็
ใช้ชีวิตอยูร่วมกันอย่างมีความสุข
ขอแสดงความยินดีกับลูกทุกคนที่ยังมีโอกาสทำหน้าที่ลูก
แด่…ความยิ่งใหญ่ของพระคุณแม่ทุกท่านครับ
- ความกตัญญูเป็นรากแก้วของคนดี -

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น