วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2559

การแข่งขันโอลิมปิค ที่บราซิล ก็ปิดฉากไปแล้ว แต่เรื่องดีๆยังคงอยู่ครับ ในการวิ่งแข่งห้าพันเมตรรอบคัดเลือกในกีฬาโอลิมปิกครั้งนี้ นักวิ่งหญิงสองคนไปถึงเส้นชัยเป็นคู่สุดท้าย นานหลังจากนักวิ่งคนอื่นๆ ไปถึงจุดหมายแล้ว นิกกี แฮมบลิน นักวิ่งชาวนิวซีแลนด์ กับ แอบบี ดากอสติโน นักวิ่งชาวอเมริกัน วิ่งสูสีกันมา นิิกกีวิ่งอยู่หน้า แอบบีตามมาติดๆ เหลืออีกสี่รอบจะถึงเส้นชัย ณ วินาทีหนึ่ง นิกกีสะดุดหัวคะมำ ทำให้แอบบีที่วิ่งตามมาติดๆ ชนเธออย่างแรง แล้วทั้งคู่ล้มกลางลู่ แอบบีลุกขึ้นได้ก่อน แต่เห็นนิกกียังลุกไม่ขึ้น เพราะล้มลงกระแทกหนัก เธอไม่วิ่งต่อ แตะไหล่นิกกี บอกคู่แข่งว่า “ลุกขึ้นมา เราต้องวิ่งให้จบ” แอบบีพยุงนิกกีขึ้นมา แล้วทั้งสองก็วิ่งต่อไป สักพักเดียวแอบบีก็รู้ว่าบางสิ่งผิดปกติ หัวเข่าขวาของเธอบาดเจ็บหนักกว่าที่คิด นิกกีเห็นก็กลับมาประคอง แอบบีล้มลงอีกครั้ง สีหน้าแสดงความเจ็บปวดจนน้ำตาแทบไหลออกมา นิกกีเห็นก็กลับมาช่วยเธอให้ลุกขึ้น นักกรีฑาทั้งสองวิ่งต่อไปเป็นคู่สุดท้ายและถึงเส้นชัยจนได้ แอบบีกะเผลกถึงจุดหมายเป็นคนสุดท้าย ขณะที่นิกกีไปถึงก่อนไม่นานและรอเธอที่นั่น ทั้งสองกอดกัน แล้วแอบบีก็นั่งบนรถเข็นที่มารอรับ นิกกีบอกภายหลังว่า ในการแข่งขันที่นักกีฬาทุกคนมาเพื่อหมายมั่นชัยชนะ ไม่มีใครคาดหวังมิตรภาพบนสนามกีฬา เพราะทุกคนบนสนามคือคู่แข่งที่ต้องพิชิต นิกกีบอกว่า การแข่งขันของเธอแม้จบที่ไม่ได้เหรียญ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมีค่าน่าจดจำกว่ารางวัลมาก ……………. ในโลกของการแข่งขันเพื่อชัยชนะ เพื่อชื่อเสียงของตนเองและชาติ หลายคนอาจลืมไปแล้วว่ามีสิ่งหนึ่งที่อาจสำคัญกว่าการแข่งขัน นั่นคือน้ำใจของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ในการแข่งขันโอลิมปิกครั้งเดียวกันนี้ โลกเห็นภาพผู้แพ้ไม่ยอมจับมือผู้ชนะ เห็นผู้แพ้ชูนิ้วกลางให้กรรมการ ไม่ว่าจะชอบธรรมหรือไม่ มันตอกย้ำว่าเราอยู่ในโลกของการแสวงหาตำแหน่งหมายเลขหนึ่งมากจนบ่อยครั้งเราลืมจิตวิญญาณไว้ข้างหลัง เมื่อพ่ายแพ้ เราได้ยินคำว่า ‘ถูกปล้นชัยชนะ’ เมื่อชนะ เราก็ฉลองกันที่เปลือกจนลืมความหมายของชัยชนะของหัวใจ มันทำให้หลายคนสงสัยว่ากีฬาต่างจากสงครามตรงไหน ในเมื่อทั้งคู่ต้องมีธงชาติและเพลงชาติ เราใช้หลักการมุ่งหาที่หนึ่งเช่นเดียวกันในโลกธุรกิจ โลกบันเทิง โลกศาสนา และกระทั่งการใช้ชีวิต เราปลูกฝังให้ต้องเป็นที่หนึ่ง ต้องไปเหนือคนอื่น ต้องสร้างตึกสูงที่สุดในโลก ต้องทำสิ่งของทั้งหลายให้ใหญ่กว่าของคนอื่น จนบ่อยครั้งความอยากเอาชัยกลืนกินตัวตนของเรา และความอยากได้ที่หนึ่งกัดกินหัวใจของเรา ……………. นิกกีกับแอบบีไม่ได้ทำเวลาดีพอและเร็วพอที่จะได้ผ่านเข้ารอบสุดท้าย แต่คณะกรรมการโอลิมปิกกลับให้ทั้งสองผ่านรอบคัดเลือกเข้ารอบสุดท้าย เพราะจิตวิญญาณของนักกีฬาทั้งสองอยู่เหนือเส้นชัยแล้ว บางครั้งชัยชนะอันงดงามที่สุดไม่ต้องใช้เหรียญตราใดๆ หมายเหตุ : แอบบีจะไม่สามารถเข้าแข่งขันในรอบสุดท้ายได้ เพราะผลการตรวจพบว่ากล้ามเนื้อที่หัวเข่าขวาฉีกขาด (ภาพโดย Getty Images)

การแข่งขันโอลิมปิค ที่บราซิล ก็ปิดฉากไปแล้ว
แต่เรื่องดีๆยังคงอยู่ครับ
ในการวิ่งแข่งห้าพันเมตรรอบคัดเลือกในกีฬาโอลิมปิกครั้งนี้ นักวิ่งหญิงสองคนไปถึงเส้นชัยเป็นคู่สุดท้าย นานหลังจากนักวิ่งคนอื่นๆ ไปถึงจุดหมายแล้ว
นิกกี แฮมบลิน นักวิ่งชาวนิวซีแลนด์ กับ แอบบี ดากอสติโน นักวิ่งชาวอเมริกัน วิ่งสูสีกันมา นิิกกีวิ่งอยู่หน้า แอบบีตามมาติดๆ เหลืออีกสี่รอบจะถึงเส้นชัย
ณ วินาทีหนึ่ง นิกกีสะดุดหัวคะมำ ทำให้แอบบีที่วิ่งตามมาติดๆ ชนเธออย่างแรง แล้วทั้งคู่ล้มกลางลู่
แอบบีลุกขึ้นได้ก่อน แต่เห็นนิกกียังลุกไม่ขึ้น เพราะล้มลงกระแทกหนัก เธอไม่วิ่งต่อ แตะไหล่นิกกี บอกคู่แข่งว่า “ลุกขึ้นมา เราต้องวิ่งให้จบ”
แอบบีพยุงนิกกีขึ้นมา แล้วทั้งสองก็วิ่งต่อไป สักพักเดียวแอบบีก็รู้ว่าบางสิ่งผิดปกติ หัวเข่าขวาของเธอบาดเจ็บหนักกว่าที่คิด นิกกีเห็นก็กลับมาประคอง แอบบีล้มลงอีกครั้ง สีหน้าแสดงความเจ็บปวดจนน้ำตาแทบไหลออกมา
นิกกีเห็นก็กลับมาช่วยเธอให้ลุกขึ้น
นักกรีฑาทั้งสองวิ่งต่อไปเป็นคู่สุดท้ายและถึงเส้นชัยจนได้ แอบบีกะเผลกถึงจุดหมายเป็นคนสุดท้าย ขณะที่นิกกีไปถึงก่อนไม่นานและรอเธอที่นั่น
ทั้งสองกอดกัน แล้วแอบบีก็นั่งบนรถเข็นที่มารอรับ
นิกกีบอกภายหลังว่า ในการแข่งขันที่นักกีฬาทุกคนมาเพื่อหมายมั่นชัยชนะ ไม่มีใครคาดหวังมิตรภาพบนสนามกีฬา เพราะทุกคนบนสนามคือคู่แข่งที่ต้องพิชิต
นิกกีบอกว่า การแข่งขันของเธอแม้จบที่ไม่ได้เหรียญ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมีค่าน่าจดจำกว่ารางวัลมาก
…………….
ในโลกของการแข่งขันเพื่อชัยชนะ เพื่อชื่อเสียงของตนเองและชาติ หลายคนอาจลืมไปแล้วว่ามีสิ่งหนึ่งที่อาจสำคัญกว่าการแข่งขัน นั่นคือน้ำใจของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
ในการแข่งขันโอลิมปิกครั้งเดียวกันนี้ โลกเห็นภาพผู้แพ้ไม่ยอมจับมือผู้ชนะ เห็นผู้แพ้ชูนิ้วกลางให้กรรมการ ไม่ว่าจะชอบธรรมหรือไม่ มันตอกย้ำว่าเราอยู่ในโลกของการแสวงหาตำแหน่งหมายเลขหนึ่งมากจนบ่อยครั้งเราลืมจิตวิญญาณไว้ข้างหลัง
เมื่อพ่ายแพ้ เราได้ยินคำว่า ‘ถูกปล้นชัยชนะ’ เมื่อชนะ เราก็ฉลองกันที่เปลือกจนลืมความหมายของชัยชนะของหัวใจ มันทำให้หลายคนสงสัยว่ากีฬาต่างจากสงครามตรงไหน ในเมื่อทั้งคู่ต้องมีธงชาติและเพลงชาติ
เราใช้หลักการมุ่งหาที่หนึ่งเช่นเดียวกันในโลกธุรกิจ โลกบันเทิง โลกศาสนา และกระทั่งการใช้ชีวิต
เราปลูกฝังให้ต้องเป็นที่หนึ่ง ต้องไปเหนือคนอื่น ต้องสร้างตึกสูงที่สุดในโลก ต้องทำสิ่งของทั้งหลายให้ใหญ่กว่าของคนอื่น จนบ่อยครั้งความอยากเอาชัยกลืนกินตัวตนของเรา และความอยากได้ที่หนึ่งกัดกินหัวใจของเรา
…………….
นิกกีกับแอบบีไม่ได้ทำเวลาดีพอและเร็วพอที่จะได้ผ่านเข้ารอบสุดท้าย แต่คณะกรรมการโอลิมปิกกลับให้ทั้งสองผ่านรอบคัดเลือกเข้ารอบสุดท้าย เพราะจิตวิญญาณของนักกีฬาทั้งสองอยู่เหนือเส้นชัยแล้ว
บางครั้งชัยชนะอันงดงามที่สุดไม่ต้องใช้เหรียญตราใดๆ
หมายเหตุ : แอบบีจะไม่สามารถเข้าแข่งขันในรอบสุดท้ายได้ เพราะผลการตรวจพบว่ากล้ามเนื้อที่หัวเข่าขวาฉีกขาด
(ภาพโดย Getty Images)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น