เมือใบไม้ร่วงจากกิ่ง
ลาตัวหนึ่ง ทำหน้าที่ลากโม่แป้งในวัดบนเขาแห่งหนึ่ง มันรู้สึกเบื่อหน่ายและรังเกียจหน้าทีอันแสนจะซ้ำซากอย่างนี้
มันพยายามหาวิธีหลุดจากงานที่ทำ เพื่อออกไปดูโลกกว้าง มันคิดว่าการที่ไม่ต้องลากโม่ น่าจะเป็นความสุขอันยิ่งยวด
มันพยายามหาวิธีหลุดจากงานที่ทำ เพื่อออกไปดูโลกกว้าง มันคิดว่าการที่ไม่ต้องลากโม่ น่าจะเป็นความสุขอันยิ่งยวด
และแล้ววันหนึ่ง โอกาสของมันก็มาถึง
เมื่อนักบวชพามันลงเขาเพื่อไปในตลาด มันกระดี๊กระด๊าเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อมาถึงตลาด นักบวชก็ได้นำสิ่งที่ต้องการผูกไว้บนหลังของมัน จากนั้นก็จูงมันกลับวัด
เมื่อนักบวชพามันลงเขาเพื่อไปในตลาด มันกระดี๊กระด๊าเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อมาถึงตลาด นักบวชก็ได้นำสิ่งที่ต้องการผูกไว้บนหลังของมัน จากนั้นก็จูงมันกลับวัด
แต่สิ่งประหลาดก็ได้เกิดขึ้น
เมื่อมันเดินผ่านผู้คนบนท้องถนน ผู้คนเหล่านั้นต่างก็พากันก้มลงกราบไหว้มันด้วยความเลื่อมใสศรัทธา
แรกเริ่มนั้น มันรู้สึกตะขิดตะขวงใจ เพราะมันไม่รู้ว่าเพราะอะไรผู้คนเหล่านั้นจึงก้มลงกราบไหว้มัน มันจึงพยายามหลบหลีก ไม่กล้ารับการกราบไหว้จากผู้คน
เมื่อมันเดินผ่านผู้คนบนท้องถนน ผู้คนเหล่านั้นต่างก็พากันก้มลงกราบไหว้มันด้วยความเลื่อมใสศรัทธา
แรกเริ่มนั้น มันรู้สึกตะขิดตะขวงใจ เพราะมันไม่รู้ว่าเพราะอะไรผู้คนเหล่านั้นจึงก้มลงกราบไหว้มัน มันจึงพยายามหลบหลีก ไม่กล้ารับการกราบไหว้จากผู้คน
แต่ทว่า ผู้คนที่มันเดินผ่าน ต่างก็พากันปฏิบัติเยี่ยงนี้ตลอดทาง
มันจึงค่อยๆเริ่มชินกับสิ่งที่ผู้คนปฏิบัติ มันเริ่มรู้สึกกระหยิ่มในใจ แท้ที่จริงผู้คนเหล่านี้ต่างก็เคารพมันเป็นอย่างยิ่ง
ดังนั้น เมื่อมันเห็นใครก้มลงกราบ มันจึงยืดตัวเชิดคอให้ผู้คนก้มกราบด้วยความรู้สึกทะนง มันบอกกับตัวเองว่า
“ข้านี่แหละ คือผู้ยิ่งใหญ่”
มันจึงค่อยๆเริ่มชินกับสิ่งที่ผู้คนปฏิบัติ มันเริ่มรู้สึกกระหยิ่มในใจ แท้ที่จริงผู้คนเหล่านี้ต่างก็เคารพมันเป็นอย่างยิ่ง
ดังนั้น เมื่อมันเห็นใครก้มลงกราบ มันจึงยืดตัวเชิดคอให้ผู้คนก้มกราบด้วยความรู้สึกทะนง มันบอกกับตัวเองว่า
“ข้านี่แหละ คือผู้ยิ่งใหญ่”
เมื่อกลับมาถึงวัด มันจึงไม่ยอมทำงานในโรงโม่แป้งอีกต่อไป เพราะมันทะนงถึงความยิ่งใหญ่ที่เพิ่งได้รับมา
นักบวชรู้สึกจนใจ จึงทำได้เพียงแค่ปล่อยให้มันลงเขาไป
นักบวชรู้สึกจนใจ จึงทำได้เพียงแค่ปล่อยให้มันลงเขาไป
เมื่อลาเดินลงมาถึงเชิงเขา ก็เห็นผู้คนตีฆ้องร้องป่าวด้วยความยินดี
มันคิดในใจ
“ดูสิ ใครๆก็รู้ว่าเราจะมา จึงพากันมาต้อนรับเราด้วยความยินดี”
มันจึงสะบัดตัวและหัวให้ขนที่มีอยู่เพียงน้อยนิดนั้นฟูฟ่อง จากนั้นก็ยืนด้วยท่าที่ที่คิดว่างามสง่าที่สุดอยู่กลางถนน
มันคิดในใจ
“ดูสิ ใครๆก็รู้ว่าเราจะมา จึงพากันมาต้อนรับเราด้วยความยินดี”
มันจึงสะบัดตัวและหัวให้ขนที่มีอยู่เพียงน้อยนิดนั้นฟูฟ่อง จากนั้นก็ยืนด้วยท่าที่ที่คิดว่างามสง่าที่สุดอยู่กลางถนน
ที่แท้ ผู้คนเหล่านั้นคือคณะแห่เจ้าบ่าวเพื่อมาสู่ขอเจ้าสาว เมื่อพวกเขาเดินมาถึง ต่างก็พากับมองลาตัวนั้นด้วยสายตาที่ไม่ชอบใจนัก พวกเขาพากันออกปากไล่ให้มันหลีกทาง แต่มันกลับไม่ได้ยินในสิ่งที่ผู้คนเหล่านั้นโห่ไล่ มันเข้าใจว่าพวกเขากำลังโห่ร้องยินดี
จู่ๆ ก็มีไม้ท่อนหนึ่งปลิวมากระทบกับตัวของมันดังตุ๊บ!
ลารู้สึกตกใจ เมื่อหันไปมอง คนกลุ่มนั้นต่างมีเศษไม้และมีดพร้าอยู่ในมือ และกำลังขว้างตรงมาที่มันยืนอยู่
จู่ๆ ก็มีไม้ท่อนหนึ่งปลิวมากระทบกับตัวของมันดังตุ๊บ!
ลารู้สึกตกใจ เมื่อหันไปมอง คนกลุ่มนั้นต่างมีเศษไม้และมีดพร้าอยู่ในมือ และกำลังขว้างตรงมาที่มันยืนอยู่
มันกระเสือกกระสนลนลานวิ่งกลับขึ้นเขาไปด้วยความตกใจ
เมื่อกลับมาถึงวัด มันหอบเอากายสังขารที่อ่อนล้าแทบสิ้นลมล้มลงนอนบนลานวัด
ก่อนที่มันจะสิ้นใจ มันเงยหน้าขึ้นมองนักบวช และกล่าวออกไปว่า
“ที่แท้ จิตใจของมนุษย์นั้นน่ากลัวเสียนี่กระไร ครั้งแรกที่ข้าลงเขาไป พวกเขาต่างพากันกราบไหว้ข้า แต่วันนี้ พวกเขากลับทำร้ายหมายเอาชีวิตข้า น่ากลัวเหลือเกิน ๆ”
นักบวชถอนหายใจเฮือกใหญ่ กล่าวกับลาผู้จองหองว่า
“เจ้าช่างเป็นลาโง่สมชื่อเสียจริง วันนั้น ที่ผู้คนต่างพากันก้มลงกราบเจ้า ก็เพราะบนหลังของเจ้ามีองค์พระพุทธรูปประทับอยู่ต่างหากเล่า...!”
เมื่อลาได้ฟังจบ ก็สิ้นลมจากไปพร้อมกับความเวทนาตนเองอย่างที่สุด
เมื่อกลับมาถึงวัด มันหอบเอากายสังขารที่อ่อนล้าแทบสิ้นลมล้มลงนอนบนลานวัด
ก่อนที่มันจะสิ้นใจ มันเงยหน้าขึ้นมองนักบวช และกล่าวออกไปว่า
“ที่แท้ จิตใจของมนุษย์นั้นน่ากลัวเสียนี่กระไร ครั้งแรกที่ข้าลงเขาไป พวกเขาต่างพากันกราบไหว้ข้า แต่วันนี้ พวกเขากลับทำร้ายหมายเอาชีวิตข้า น่ากลัวเหลือเกิน ๆ”
นักบวชถอนหายใจเฮือกใหญ่ กล่าวกับลาผู้จองหองว่า
“เจ้าช่างเป็นลาโง่สมชื่อเสียจริง วันนั้น ที่ผู้คนต่างพากันก้มลงกราบเจ้า ก็เพราะบนหลังของเจ้ามีองค์พระพุทธรูปประทับอยู่ต่างหากเล่า...!”
เมื่อลาได้ฟังจบ ก็สิ้นลมจากไปพร้อมกับความเวทนาตนเองอย่างที่สุด
..............................................
ที่สุดของความมืดบอดในชีวิตเราก็คือ มีชีวิตอยู่ทั้งชาติ แต่กลับไม่รู้จักตัวเอง
วันหนึ่ง เมื่อคุณลงจากตำแหน่ง อะไรๆก็ไม่ใช่ของคุณอีกต่อไป!
บางครั้ง เราคือเรา
บางครั้ง เราก็ไม่ใช่เรา
บางครั้ง รู้จักตัวเองยากกว่าการรู้จักโลกนี้ด้วยซ้ำไป
เราส่องกระจกทุกวัน แต่เราเคยถามตัวเองหรือไม่ “เราคือใคร? เรารู้จักตัวเองหรือไม่?”
วันหนึ่ง เมื่อคุณลงจากตำแหน่ง อะไรๆก็ไม่ใช่ของคุณอีกต่อไป!
บางครั้ง เราคือเรา
บางครั้ง เราก็ไม่ใช่เรา
บางครั้ง รู้จักตัวเองยากกว่าการรู้จักโลกนี้ด้วยซ้ำไป
เราส่องกระจกทุกวัน แต่เราเคยถามตัวเองหรือไม่ “เราคือใคร? เรารู้จักตัวเองหรือไม่?”
หากคุณมีทรัพย์สมบัติเขาเลื่อมใสที่ทรัพย์สมบัติของคุณ ไม่ใช่เลื่อมใสในตัวคุณ แต่คุณกลับเข้าใจผิดคิดว่าเขาเลื่อมใสในตัวของคุณ
หากคุณมีอำนาจ เขาเลื่อมใสในอำนาจที่คุณมี ไม่ใช่เลื่อมใสในตัวคุณ แต่คุณกลับเข้าใจผิดคิดว่าเขาเลื่อมใสในตัวของคุณ
หากคุณมีรูปพรรณสวยหล่อ เขาเลื่อมใสในความสวยหล่อที่คุณมี ไม่ใช่เลื่อมใสในตัวคุณ แต่คุณกลับเข้าใจผิดคิดว่าเขาเลื่อมใสในตัวของคุณ
หากคุณมีอำนาจ เขาเลื่อมใสในอำนาจที่คุณมี ไม่ใช่เลื่อมใสในตัวคุณ แต่คุณกลับเข้าใจผิดคิดว่าเขาเลื่อมใสในตัวของคุณ
หากคุณมีรูปพรรณสวยหล่อ เขาเลื่อมใสในความสวยหล่อที่คุณมี ไม่ใช่เลื่อมใสในตัวคุณ แต่คุณกลับเข้าใจผิดคิดว่าเขาเลื่อมใสในตัวของคุณ
เมื่อทรัพย์สมบัติ อำนาจ ความสวยหล่อหมดสิ้นไป คุณก็เหมือนใบไม้ร่วงหลุดจากกิ่ง คุณจะรู้ว่า ที่เขาเลื่อมใสนั้น คือสิ่งที่พวกเขาอยากได้ หาใช่ตัวคุณ!
นุสนธิ์บุคส์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น