“เฮียครับ ผมไม่ได้อยากเป็นจับกังไปตลอดชีวิตนะครับ ผมขอลาออกครับ”
.
สำเนียงพูดไทยไม่ชัดของเด็กหนุ่มที่หนีความยากจนจากเมืองจีน มาทำงานเมืองไทย 4-5 ปีแล้ว ยื่นคำขาดกับเถ้าแก่เจ้าของโรงงาน
.
"งั้น ลื้ออยากทำอะไรล่ะ เอางี้ งั้นลื้อไปเป็นเซลส์แมนขายของลูกค้าละกัน"
.
"แต่ผมขายไม่เป็นนะเฮีย พูดไทยก็ไม่ชัด บัตรประชาชนก็ไม่มี ขี่รถก็ไม่เป็น"
.
"เออ ลื้อลองไปทำดูก่อนละกัน เดี๋ยวก็เป็นเองแหละ"
.
โดยไม่มีอิดออด ทำไม่เป็นก็ไปลองทำ เพราะตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ยอมเป็นจับกังตลอดชีวิต เซลส์คนอื่นขี่มอเตอร์ไซค์ไปขาย
แต่ "อาเจ็ก" ในวัยรุ่นเมื่อ หลายสิบปีที่แล้ว นั่งรถเมล์ไปขายงานรับจ้างผลิตให้โรงงานแล้วเก็บตั๋วรถเมล์กลับมาเบิกเถ้าแก่ทุกวัน
และนั่นคือจุดเปลี่ยนของชีวิตจับกังค่าแรงวันละ 60 บาทมาหลายปี จนมาเป็นเซลส์แมน อาเจ็กสามารถขายของได้ค่าคอมหลักหมื่นทุกเดือน
จากการวิ่งขายของให้ลูกค้าของโรงงาน ก็เริ่มมองเห็นลู่ทางในตลาดว่า สินค้าบางอย่างที่โรงงานอาเจ็กไม่ขาย แม้จะเสนอโรงงานให้เอามาขายแต่โรงงานก็ไม่ยอมเอามาขาย
แต่ยังไงๆลูกค้าก็ต้องไปหาซื้อจากที่อื่นอยู่ดี อาเจ็กจึงเกิดไอเดีย ไปดีลกับโรงงานสินค้าอื่นที่ลูกค้าอยากซื้อและไม่ทับไลน์กับโรงงาน มาขายให้ลูกค้าเองโดยตรง
นั่นคือจุดเริ่มต้นของการ ทำเงินแบบเป็นกอบเป็นกำในวัยหนุ่มๆของอาเจ็ก ที่หาเงินได้หลักแสนทุกเดือน
.
การเป็นเซลส์ ทำให้ได้รู้จักกับลูกค้า และคนอื่นๆมากขึ้นเรื่อยๆ
การขยันทำงาน ซื่อสัตย์กับลูกค้า และไม่ใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย ทำให้หลังการเป็นเซลส์แค่ไม่กี่ปี อดีตจับกังค่าแรงวันละ 60 บาทนี้มีเงินเก็บถึง 4-5 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเยอะมากๆในสมัยก่อน
.
สิ่งที่เป็นความฝันของคนจีนหนีมาอยู่เมืองไทยอย่างหนึ่งคือ อยากมีบ้านสวยๆไว้อยู่ เพราะถึงจะทำงานได้เงินเยอะมาหลายปี ก็ยังอยู่ในห้องเช่าเก่าๆเล็กๆเดือนละ 1500 บาทมาตลอด
.
แต่โชคชะตาช่วยให้อาเจ็กไม่ได้เอาเงินไปซื้อบ้านตามฝันด้วย 2 เหตุผลคือ
1. ถึงจะมีเงินซื้อบ้านในฝันแล้ว แต่ตอนนั้นยังเป็นคนจีนไม่มีบัตรประชาชนเลยซื้อไม่ได้
2. ไปปรึกษาผู้ใหญ่ที่เคารพท่านหนึ่งว่าอยากซื้อบ้าน แต่ไม่มีบัตรทำไงดี ผู้ใหญ่ท่านนั้นกลับบอกว่า ลื้อยังหนุ่มแน่น กำลังสร้างตัว ควรเอาเงินที่มีไปลงทุนทำการค้าต่อ ไม่ใช่เอามารีบซื้อความสุข !!!
โอ๊ยยยย ! เหมือนโดนเคาะกะโหลกเตือนสติ ! อาเจ็กได้คิด ว่าเงินที่มีควรเอาไปต่อเงิน ไม่ใช่รีบซื้อความสุข อาเจ็กจึงตัดสินใจอยู่ในห้องรูหนูเดือนละ 1500 ต่อไปแล้วเอาเงินทั้งหมดที่มีมาลงทุนสร้างโรงงานเอง เอาความรู้ประสบการณ์ สิบกว่าปีตั้งแต่เป็นจับกัง เห็นช่าง เห็นโปรเซสงานทุกอย่างในโรงงานจนมาถึงเป็นเซลส์ขายเอง มาสร้างธุรกิจสร้างโรงงานของตัวเองขึ้นมา และ "รุ่ง" มากๆ
.
จุดก้าวกระโดดที่น่าทึ่งอีกจุด คือช่วงปี 2540 ที่กิจการต่างๆในเมืองไทย ประสบวิกฤตต้มยำกุ้งจนล้มไปตามๆกัน
อาเจ็กไม่โดนเหรอ ??????
.
"ไม่เลย ช่วงนั้นกลายเป็นช่วงทำเงินที่สุดของอาเจ็ก อาเจ็กไม่กู้เงินธนาคารเพราะไม่ชอบทำอะไรเสี่ยงเกินตัว ข่วงนั้นโรงงานอื่นมีปัญหาการเงินจนต้องหยุดปล่อยเครดิตลูกค้า แต่โรงงานอาเจ็กให้เครดิตลูกต่อ ลูกค้าเลยเทออเดอร์มาที่โรงงานอาเจ็ก จนยอดขายโตมากมายมหาศาลมาก
คนอื่นเจ๊ง อาเจ็กรวย"
.
หลังจากนั้น กิจการโรงงานอาเจ็กก็ดีมาตลอด จนมาเกิดจุดที่ทำให้หันมามองธุรกิจอื่น เพราะ โรงงานที่ยอดโตมาตลอด เกิดมาโดนปัญหาหนี้เสียก้อนใหญ่ จนอาเจ็กรู้สึกเบื่อและเข็ด เลยคิดว่าน่าจะหาธุรกิจอะไรที่สามารถเก็บเงินสดเข้ามาได้เรื่อยๆ
จึงมาลงตัวที่ธุรกิจ "โรงแรม"
.
อาเจ็กจึงเอาเงินทุนที่มีเหลือเกือบทั้งหมดมาลงทุนซื้อโรงแรมเก่า ตึกเก่าๆที่ทำเลดีๆ มาปรับปรุงตกแต่งเป็นโรงแรม ให้เช่าทั้งรายวัน รายเดือน
.
และแน่นอนว่า รางวัลสำหรับคนที่ไม่ยอมแพ้และขยันขันแข็ง ก็คือ กิจการโรงแรมไปได้ดีมากๆ
จนอาเจ็กมีหลายๆโรงแรม ซื้อมาปรับปรุง บริหารงานจนลูกค้าเต็มแทบตลอด แล้วก็ขายต่อไป แล้วก็ซื้อแห่งใหม่มาทำ ส่วนที่ไม่ได้ขาย พอทำไปพักนึง ลูกค้าเยอะ ค่าที่ดินขึ้นค่อยเอาไปทำเรื่องรีไฟแนนซ์ได้เงินก้อนใหญ่กว่ามูลค่าที่ซื้อมา แล้วก็วนแบบนี้เรื่อยๆ กำไรโตขึ้น ทรัพย์สินโตขึ้น หมุนเวียนไปเรื่อยๆจนสินทรัพย์เป็นหลักหลายร้อยล้าน
อาเจ็กชอบใช้เงินสดตัวเองซื้อสินทรัพย์ ไม่ชอบกู้แบงค์ เพราะขี้เกียจมาเครียดเรื่องดอกเบี้ย วันธรรมดาอาเจ็กก็นั่งชงชาจีนนัดเพื่อนสังสรรค์ ขับรถวนดูที่ดินและโรงแรมที่น่าสนใจไปซื้อมาทำ ไม่ต้องโตเร็วๆ ทำไปแบบนี้เรื่อยๆ สบายใจกว่า
คำสอนที่อาเจ็ก มักจะสอนคนรุ่นใหม่ที่อยากสร้างเนื้อสร้างตัวคือ
"ถ้าลื้ออยากโต ลื้อต้องไปหัดเป็นเซลส์เพราะการเป็นเซลส์ทำให้ได้รู้จักคนเยอะ ได้ connection และได้เห็นโอกาสในตลาดเยอะแยะ"
อาเจ็กบอกว่า ตอนนี้ธุรกิจหลักๆของอาเจ็กก็เป็นโรงแรม แต่กิจการโรงงานเดิมก็ยังรับทำให้ลูกค้าเก่าๆอยู่บ้าง พอได้ค่ากับข้าว เดือนละครึ่งล้าน อืมม ค่ากับข้าวอาเจ็กแพงจัง
.
ส่วนรายได้โรงแรม หลังหักค่าใช้จ่ายทุกอย่างก็เหลือเงินสด 7 หลักทุกเดือน อืมมม
.
ที่สำคัญ กฎการทำงานว่าจะต้องไม่เครียดกับธุรกิจและมีเวลานั่งจิบน้ำชากับเพื่อนๆ ยังคงเป็นกฎการทำงานอันดับหนึ่งของอาเจ็กอยู่
.
นี่แหละ ปรัชญาการทำงานแบบเศรษฐีคนจีนแผ่นดินใหญ่ที่มาอาศัยแผ่นดินไทยอยู่ แล้วไม่ได้ตั้งธงว่าจะต้องรวยเร็วๆแบบที่คนรุ่นใหม่ ตั้งธงจนลืมมองเรื่องความเสี่ยงและการใช้ชีวิตไป
"อาเจ็ก" จึงน่าจะเป็นอาจารย์ เป็นแบบอย่างที่น่าศึกษาหา รหัสความสำเร็จในการทำธุรกิจที่เริ่มจากศูนย์อีกท่านหนึ่งครับ
Cr.OpasYaiHappyInvestor
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น