วันจันทร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

“เฮียครับ ผมไม่ได้อยากเป็นจับกังไปตลอดชีวิตนะครับ ผมขอลาออกครับ” . สำเนียงพูดไทยไม่ชัดของเด็กหนุ่มที่หนีความยากจนจากเมืองจีน มาทำงานเมืองไทย 4-5 ปีแล้ว ยื่นคำขาดกับเถ้าแก่เจ้าของโรงงาน . "งั้น ลื้ออยากทำอะไรล่ะ เอางี้ งั้นลื้อไปเป็นเซลส์แมนขายของลูกค้าละกัน" . "แต่ผมขายไม่เป็นนะเฮีย พูดไทยก็ไม่ชัด บัตรประชาชนก็ไม่มี ขี่รถก็ไม่เป็น" . "เออ ลื้อลองไปทำดูก่อนละกัน เดี๋ยวก็เป็นเองแหละ" . โดยไม่มีอิดออด ทำไม่เป็นก็ไปลองทำ เพราะตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ยอมเป็นจับกังตลอดชีวิต เซลส์คนอื่นขี่มอเตอร์ไซค์ไปขาย แต่ "อาเจ็ก" ในวัยรุ่นเมื่อ หลายสิบปีที่แล้ว นั่งรถเมล์ไปขายงานรับจ้างผลิตให้โรงงานแล้วเก็บตั๋วรถเมล์กลับมาเบิกเถ้าแก่ทุกวัน และนั่นคือจุดเปลี่ยนของชีวิตจับกังค่าแรงวันละ 60 บาทมาหลายปี จนมาเป็นเซลส์แมน อาเจ็กสามารถขายของได้ค่าคอมหลักหมื่นทุกเดือน จากการวิ่งขายของให้ลูกค้าของโรงงาน ก็เริ่มมองเห็นลู่ทางในตลาดว่า สินค้าบางอย่างที่โรงงานอาเจ็กไม่ขาย แม้จะเสนอโรงงานให้เอามาขายแต่โรงงานก็ไม่ยอมเอามาขาย แต่ยังไงๆลูกค้าก็ต้องไปหาซื้อจากที่อื่นอยู่ดี อาเจ็กจึงเกิดไอเดีย ไปดีลกับโรงงานสินค้าอื่นที่ลูกค้าอยากซื้อและไม่ทับไลน์กับโรงงาน มาขายให้ลูกค้าเองโดยตรง นั่นคือจุดเริ่มต้นของการ ทำเงินแบบเป็นกอบเป็นกำในวัยหนุ่มๆของอาเจ็ก ที่หาเงินได้หลักแสนทุกเดือน . การเป็นเซลส์ ทำให้ได้รู้จักกับลูกค้า และคนอื่นๆมากขึ้นเรื่อยๆ การขยันทำงาน ซื่อสัตย์กับลูกค้า และไม่ใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย ทำให้หลังการเป็นเซลส์แค่ไม่กี่ปี อดีตจับกังค่าแรงวันละ 60 บาทนี้มีเงินเก็บถึง 4-5 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเยอะมากๆในสมัยก่อน . สิ่งที่เป็นความฝันของคนจีนหนีมาอยู่เมืองไทยอย่างหนึ่งคือ อยากมีบ้านสวยๆไว้อยู่ เพราะถึงจะทำงานได้เงินเยอะมาหลายปี ก็ยังอยู่ในห้องเช่าเก่าๆเล็กๆเดือนละ 1500 บาทมาตลอด . แต่โชคชะตาช่วยให้อาเจ็กไม่ได้เอาเงินไปซื้อบ้านตามฝันด้วย 2 เหตุผลคือ 1. ถึงจะมีเงินซื้อบ้านในฝันแล้ว แต่ตอนนั้นยังเป็นคนจีนไม่มีบัตรประชาชนเลยซื้อไม่ได้ 2. ไปปรึกษาผู้ใหญ่ที่เคารพท่านหนึ่งว่าอยากซื้อบ้าน แต่ไม่มีบัตรทำไงดี ผู้ใหญ่ท่านนั้นกลับบอกว่า ลื้อยังหนุ่มแน่น กำลังสร้างตัว ควรเอาเงินที่มีไปลงทุนทำการค้าต่อ ไม่ใช่เอามารีบซื้อความสุข !!! โอ๊ยยยย ! เหมือนโดนเคาะกะโหลกเตือนสติ ! อาเจ็กได้คิด ว่าเงินที่มีควรเอาไปต่อเงิน ไม่ใช่รีบซื้อความสุข อาเจ็กจึงตัดสินใจอยู่ในห้องรูหนูเดือนละ 1500 ต่อไปแล้วเอาเงินทั้งหมดที่มีมาลงทุนสร้างโรงงานเอง เอาความรู้ประสบการณ์ สิบกว่าปีตั้งแต่เป็นจับกัง เห็นช่าง เห็นโปรเซสงานทุกอย่างในโรงงานจนมาถึงเป็นเซลส์ขายเอง มาสร้างธุรกิจสร้างโรงงานของตัวเองขึ้นมา และ "รุ่ง" มากๆ . จุดก้าวกระโดดที่น่าทึ่งอีกจุด คือช่วงปี 2540 ที่กิจการต่างๆในเมืองไทย ประสบวิกฤตต้มยำกุ้งจนล้มไปตามๆกัน อาเจ็กไม่โดนเหรอ ?????? . "ไม่เลย ช่วงนั้นกลายเป็นช่วงทำเงินที่สุดของอาเจ็ก อาเจ็กไม่กู้เงินธนาคารเพราะไม่ชอบทำอะไรเสี่ยงเกินตัว ข่วงนั้นโรงงานอื่นมีปัญหาการเงินจนต้องหยุดปล่อยเครดิตลูกค้า แต่โรงงานอาเจ็กให้เครดิตลูกต่อ ลูกค้าเลยเทออเดอร์มาที่โรงงานอาเจ็ก จนยอดขายโตมากมายมหาศาลมาก คนอื่นเจ๊ง อาเจ็กรวย" . หลังจากนั้น กิจการโรงงานอาเจ็กก็ดีมาตลอด จนมาเกิดจุดที่ทำให้หันมามองธุรกิจอื่น เพราะ โรงงานที่ยอดโตมาตลอด เกิดมาโดนปัญหาหนี้เสียก้อนใหญ่ จนอาเจ็กรู้สึกเบื่อและเข็ด เลยคิดว่าน่าจะหาธุรกิจอะไรที่สามารถเก็บเงินสดเข้ามาได้เรื่อยๆ จึงมาลงตัวที่ธุรกิจ "โรงแรม" . อาเจ็กจึงเอาเงินทุนที่มีเหลือเกือบทั้งหมดมาลงทุนซื้อโรงแรมเก่า ตึกเก่าๆที่ทำเลดีๆ มาปรับปรุงตกแต่งเป็นโรงแรม ให้เช่าทั้งรายวัน รายเดือน . และแน่นอนว่า รางวัลสำหรับคนที่ไม่ยอมแพ้และขยันขันแข็ง ก็คือ กิจการโรงแรมไปได้ดีมากๆ จนอาเจ็กมีหลายๆโรงแรม ซื้อมาปรับปรุง บริหารงานจนลูกค้าเต็มแทบตลอด แล้วก็ขายต่อไป แล้วก็ซื้อแห่งใหม่มาทำ ส่วนที่ไม่ได้ขาย พอทำไปพักนึง ลูกค้าเยอะ ค่าที่ดินขึ้นค่อยเอาไปทำเรื่องรีไฟแนนซ์ได้เงินก้อนใหญ่กว่ามูลค่าที่ซื้อมา แล้วก็วนแบบนี้เรื่อยๆ กำไรโตขึ้น ทรัพย์สินโตขึ้น หมุนเวียนไปเรื่อยๆจนสินทรัพย์เป็นหลักหลายร้อยล้าน อาเจ็กชอบใช้เงินสดตัวเองซื้อสินทรัพย์ ไม่ชอบกู้แบงค์ เพราะขี้เกียจมาเครียดเรื่องดอกเบี้ย วันธรรมดาอาเจ็กก็นั่งชงชาจีนนัดเพื่อนสังสรรค์ ขับรถวนดูที่ดินและโรงแรมที่น่าสนใจไปซื้อมาทำ ไม่ต้องโตเร็วๆ ทำไปแบบนี้เรื่อยๆ สบายใจกว่า คำสอนที่อาเจ็ก มักจะสอนคนรุ่นใหม่ที่อยากสร้างเนื้อสร้างตัวคือ "ถ้าลื้ออยากโต ลื้อต้องไปหัดเป็นเซลส์เพราะการเป็นเซลส์ทำให้ได้รู้จักคนเยอะ ได้ connection และได้เห็นโอกาสในตลาดเยอะแยะ" อาเจ็กบอกว่า ตอนนี้ธุรกิจหลักๆของอาเจ็กก็เป็นโรงแรม แต่กิจการโรงงานเดิมก็ยังรับทำให้ลูกค้าเก่าๆอยู่บ้าง พอได้ค่ากับข้าว เดือนละครึ่งล้าน อืมม ค่ากับข้าวอาเจ็กแพงจัง . ส่วนรายได้โรงแรม หลังหักค่าใช้จ่ายทุกอย่างก็เหลือเงินสด 7 หลักทุกเดือน อืมมม . ที่สำคัญ กฎการทำงานว่าจะต้องไม่เครียดกับธุรกิจและมีเวลานั่งจิบน้ำชากับเพื่อนๆ ยังคงเป็นกฎการทำงานอันดับหนึ่งของอาเจ็กอยู่ . นี่แหละ ปรัชญาการทำงานแบบเศรษฐีคนจีนแผ่นดินใหญ่ที่มาอาศัยแผ่นดินไทยอยู่ แล้วไม่ได้ตั้งธงว่าจะต้องรวยเร็วๆแบบที่คนรุ่นใหม่ ตั้งธงจนลืมมองเรื่องความเสี่ยงและการใช้ชีวิตไป "อาเจ็ก" จึงน่าจะเป็นอาจารย์ เป็นแบบอย่างที่น่าศึกษาหา รหัสความสำเร็จในการทำธุรกิจที่เริ่มจากศูนย์อีกท่านหนึ่งครับ Cr.OpasYaiHappyInvestor

“เฮียครับ  ผมไม่ได้อยากเป็นจับกังไปตลอดชีวิตนะครับ ผมขอลาออกครับ”
.
สำเนียงพูดไทยไม่ชัดของเด็กหนุ่มที่หนีความยากจนจากเมืองจีน มาทำงานเมืองไทย 4-5 ปีแล้ว ยื่นคำขาดกับเถ้าแก่เจ้าของโรงงาน
.
"งั้น ลื้ออยากทำอะไรล่ะ  เอางี้  งั้นลื้อไปเป็นเซลส์แมนขายของลูกค้าละกัน"
.
"แต่ผมขายไม่เป็นนะเฮีย พูดไทยก็ไม่ชัด บัตรประชาชนก็ไม่มี ขี่รถก็ไม่เป็น"
.
"เออ  ลื้อลองไปทำดูก่อนละกัน เดี๋ยวก็เป็นเองแหละ"
.
โดยไม่มีอิดออด ทำไม่เป็นก็ไปลองทำ เพราะตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ยอมเป็นจับกังตลอดชีวิต เซลส์คนอื่นขี่มอเตอร์ไซค์ไปขาย
แต่ "อาเจ็ก" ในวัยรุ่นเมื่อ หลายสิบปีที่แล้ว  นั่งรถเมล์ไปขายงานรับจ้างผลิตให้โรงงานแล้วเก็บตั๋วรถเมล์กลับมาเบิกเถ้าแก่ทุกวัน

และนั่นคือจุดเปลี่ยนของชีวิตจับกังค่าแรงวันละ 60 บาทมาหลายปี จนมาเป็นเซลส์แมน อาเจ็กสามารถขายของได้ค่าคอมหลักหมื่นทุกเดือน

จากการวิ่งขายของให้ลูกค้าของโรงงาน ก็เริ่มมองเห็นลู่ทางในตลาดว่า สินค้าบางอย่างที่โรงงานอาเจ็กไม่ขาย  แม้จะเสนอโรงงานให้เอามาขายแต่โรงงานก็ไม่ยอมเอามาขาย
แต่ยังไงๆลูกค้าก็ต้องไปหาซื้อจากที่อื่นอยู่ดี  อาเจ็กจึงเกิดไอเดีย ไปดีลกับโรงงานสินค้าอื่นที่ลูกค้าอยากซื้อและไม่ทับไลน์กับโรงงาน   มาขายให้ลูกค้าเองโดยตรง
นั่นคือจุดเริ่มต้นของการ ทำเงินแบบเป็นกอบเป็นกำในวัยหนุ่มๆของอาเจ็ก ที่หาเงินได้หลักแสนทุกเดือน
.
การเป็นเซลส์  ทำให้ได้รู้จักกับลูกค้า และคนอื่นๆมากขึ้นเรื่อยๆ
การขยันทำงาน ซื่อสัตย์กับลูกค้า และไม่ใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย ทำให้หลังการเป็นเซลส์แค่ไม่กี่ปี อดีตจับกังค่าแรงวันละ 60 บาทนี้มีเงินเก็บถึง 4-5 ล้านบาท  ซึ่งถือว่าเยอะมากๆในสมัยก่อน
.
สิ่งที่เป็นความฝันของคนจีนหนีมาอยู่เมืองไทยอย่างหนึ่งคือ  อยากมีบ้านสวยๆไว้อยู่ เพราะถึงจะทำงานได้เงินเยอะมาหลายปี ก็ยังอยู่ในห้องเช่าเก่าๆเล็กๆเดือนละ 1500 บาทมาตลอด 
.
แต่โชคชะตาช่วยให้อาเจ็กไม่ได้เอาเงินไปซื้อบ้านตามฝันด้วย 2 เหตุผลคือ

1. ถึงจะมีเงินซื้อบ้านในฝันแล้ว  แต่ตอนนั้นยังเป็นคนจีนไม่มีบัตรประชาชนเลยซื้อไม่ได้
2. ไปปรึกษาผู้ใหญ่ที่เคารพท่านหนึ่งว่าอยากซื้อบ้าน แต่ไม่มีบัตรทำไงดี  ผู้ใหญ่ท่านนั้นกลับบอกว่า  ลื้อยังหนุ่มแน่น กำลังสร้างตัว ควรเอาเงินที่มีไปลงทุนทำการค้าต่อ ไม่ใช่เอามารีบซื้อความสุข !!!

โอ๊ยยยย !  เหมือนโดนเคาะกะโหลกเตือนสติ ! อาเจ็กได้คิด ว่าเงินที่มีควรเอาไปต่อเงิน ไม่ใช่รีบซื้อความสุข  อาเจ็กจึงตัดสินใจอยู่ในห้องรูหนูเดือนละ 1500 ต่อไปแล้วเอาเงินทั้งหมดที่มีมาลงทุนสร้างโรงงานเอง  เอาความรู้ประสบการณ์ สิบกว่าปีตั้งแต่เป็นจับกัง เห็นช่าง เห็นโปรเซสงานทุกอย่างในโรงงานจนมาถึงเป็นเซลส์ขายเอง    มาสร้างธุรกิจสร้างโรงงานของตัวเองขึ้นมา และ "รุ่ง" มากๆ
.
จุดก้าวกระโดดที่น่าทึ่งอีกจุด คือช่วงปี 2540 ที่กิจการต่างๆในเมืองไทย ประสบวิกฤตต้มยำกุ้งจนล้มไปตามๆกัน   
อาเจ็กไม่โดนเหรอ ??????
.
"ไม่เลย ช่วงนั้นกลายเป็นช่วงทำเงินที่สุดของอาเจ็ก  อาเจ็กไม่กู้เงินธนาคารเพราะไม่ชอบทำอะไรเสี่ยงเกินตัว  ข่วงนั้นโรงงานอื่นมีปัญหาการเงินจนต้องหยุดปล่อยเครดิตลูกค้า   แต่โรงงานอาเจ็กให้เครดิตลูกต่อ  ลูกค้าเลยเทออเดอร์มาที่โรงงานอาเจ็ก  จนยอดขายโตมากมายมหาศาลมาก
คนอื่นเจ๊ง อาเจ็กรวย"
.
หลังจากนั้น กิจการโรงงานอาเจ็กก็ดีมาตลอด จนมาเกิดจุดที่ทำให้หันมามองธุรกิจอื่น  เพราะ โรงงานที่ยอดโตมาตลอด  เกิดมาโดนปัญหาหนี้เสียก้อนใหญ่  จนอาเจ็กรู้สึกเบื่อและเข็ด    เลยคิดว่าน่าจะหาธุรกิจอะไรที่สามารถเก็บเงินสดเข้ามาได้เรื่อยๆ 
จึงมาลงตัวที่ธุรกิจ   "โรงแรม"
.
อาเจ็กจึงเอาเงินทุนที่มีเหลือเกือบทั้งหมดมาลงทุนซื้อโรงแรมเก่า ตึกเก่าๆที่ทำเลดีๆ มาปรับปรุงตกแต่งเป็นโรงแรม ให้เช่าทั้งรายวัน รายเดือน
.
และแน่นอนว่า   รางวัลสำหรับคนที่ไม่ยอมแพ้และขยันขันแข็ง ก็คือ กิจการโรงแรมไปได้ดีมากๆ

จนอาเจ็กมีหลายๆโรงแรม ซื้อมาปรับปรุง บริหารงานจนลูกค้าเต็มแทบตลอด  แล้วก็ขายต่อไป  แล้วก็ซื้อแห่งใหม่มาทำ  ส่วนที่ไม่ได้ขาย พอทำไปพักนึง ลูกค้าเยอะ ค่าที่ดินขึ้นค่อยเอาไปทำเรื่องรีไฟแนนซ์ได้เงินก้อนใหญ่กว่ามูลค่าที่ซื้อมา  แล้วก็วนแบบนี้เรื่อยๆ กำไรโตขึ้น ทรัพย์สินโตขึ้น หมุนเวียนไปเรื่อยๆจนสินทรัพย์เป็นหลักหลายร้อยล้าน

อาเจ็กชอบใช้เงินสดตัวเองซื้อสินทรัพย์ ไม่ชอบกู้แบงค์ เพราะขี้เกียจมาเครียดเรื่องดอกเบี้ย  วันธรรมดาอาเจ็กก็นั่งชงชาจีนนัดเพื่อนสังสรรค์  ขับรถวนดูที่ดินและโรงแรมที่น่าสนใจไปซื้อมาทำ  ไม่ต้องโตเร็วๆ ทำไปแบบนี้เรื่อยๆ สบายใจกว่า

คำสอนที่อาเจ็ก มักจะสอนคนรุ่นใหม่ที่อยากสร้างเนื้อสร้างตัวคือ

"ถ้าลื้ออยากโต   ลื้อต้องไปหัดเป็นเซลส์เพราะการเป็นเซลส์ทำให้ได้รู้จักคนเยอะ ได้ connection และได้เห็นโอกาสในตลาดเยอะแยะ"

อาเจ็กบอกว่า  ตอนนี้ธุรกิจหลักๆของอาเจ็กก็เป็นโรงแรม แต่กิจการโรงงานเดิมก็ยังรับทำให้ลูกค้าเก่าๆอยู่บ้าง   พอได้ค่ากับข้าว  เดือนละครึ่งล้าน อืมม ค่ากับข้าวอาเจ็กแพงจัง
.
ส่วนรายได้โรงแรม หลังหักค่าใช้จ่ายทุกอย่างก็เหลือเงินสด 7 หลักทุกเดือน  อืมมม
.
ที่สำคัญ  กฎการทำงานว่าจะต้องไม่เครียดกับธุรกิจและมีเวลานั่งจิบน้ำชากับเพื่อนๆ ยังคงเป็นกฎการทำงานอันดับหนึ่งของอาเจ็กอยู่
.
นี่แหละ ปรัชญาการทำงานแบบเศรษฐีคนจีนแผ่นดินใหญ่ที่มาอาศัยแผ่นดินไทยอยู่  แล้วไม่ได้ตั้งธงว่าจะต้องรวยเร็วๆแบบที่คนรุ่นใหม่ ตั้งธงจนลืมมองเรื่องความเสี่ยงและการใช้ชีวิตไป

"อาเจ็ก" จึงน่าจะเป็นอาจารย์ เป็นแบบอย่างที่น่าศึกษาหา รหัสความสำเร็จในการทำธุรกิจที่เริ่มจากศูนย์อีกท่านหนึ่งครับ

Cr.OpasYaiHappyInvestor

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น