วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2559

" ใจคนเราเหมือนภาชนะ " ใส่ความสุขไว้มาก... ก็มีพื้นที่เหลือให้ความกลัดกลุ้มน้อยลง ใส่ความเรียบง่ายไว้มาก... ก็มีพื้นที่เหลือให้ความซับซ้อนน้อยลง ใส่ความพอเพียงไว้มาก... ก็มีพื้นที่เหลือให้ความทุกข์น้อยลง ใส่ความเข้าใจไว้มาก... ก็มีพื้นที่เหลือให้ความขัดแย้งน้อยลง ใส่ความอภัยไว้มาก... ก็มีพื้นที่เหลือให้ความแค้นเคืองน้อยลง คนอื่นเอาอะไรใส่ไปในใจของเขา เราไม่รู้ แต่เราใส่อะไรลงไปที่ใจของเรา เราต้องกระจ่างชัดเจน อย่าให้พื้นที่ของหัวใจ ถูกสีดำควบคุมมากกว่าสีขาว เพราะใจของเรา เราเลือกเอง Cr. นุสนธิ์บุคส์

" ใจคนเราเหมือนภาชนะ "

ใส่ความสุขไว้มาก...
ก็มีพื้นที่เหลือให้ความกลัดกลุ้มน้อยลง

ใส่ความเรียบง่ายไว้มาก...
ก็มีพื้นที่เหลือให้ความซับซ้อนน้อยลง

ใส่ความพอเพียงไว้มาก...
ก็มีพื้นที่เหลือให้ความทุกข์น้อยลง

ใส่ความเข้าใจไว้มาก...
ก็มีพื้นที่เหลือให้ความขัดแย้งน้อยลง

ใส่ความอภัยไว้มาก...
ก็มีพื้นที่เหลือให้ความแค้นเคืองน้อยลง

คนอื่นเอาอะไรใส่ไปในใจของเขา เราไม่รู้
แต่เราใส่อะไรลงไปที่ใจของเรา เราต้องกระจ่างชัดเจน

อย่าให้พื้นที่ของหัวใจ ถูกสีดำควบคุมมากกว่าสีขาว เพราะใจของเรา เราเลือกเอง

Cr. นุสนธิ์บุคส์

เมื่อยังวัยคะนอง..... เราจะมองว่าคนที่คิดไม่เหมือนเรานั้นผิด คนที่ใช้ชีวิตไม่สอดคล้อง กับความเชื่อของเรานั้น ไม่ได้เรื่อง คนอื่นนั้นโง่ไปหมด มีแต่เราที่ฉลาดอยู่คนเดียว ใจเราแคบเหลือเกิน เที่ยวตัดสินผู้คนไปทั่ว แต่เมื่อเติบโตขึ้น (ไม่ใช่อายุ แต่คือความคิด) เราจะ "ตัดสิน" ผู้คนน้อยลง เราจะเข้าใจว่าชีวิตนั้นมีหลากหลายรูปแบบ ไม่มีใครดีกว่าใคร เราแค่แตกต่างกัน เป้าหมายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน และถึงแม้จะมีเป้าหมายเดียวกัน แต่หนทางไปสู่เป้าหมายนั้นก็มีอยู่ล้านวิธี ใครกันจะบอกได้ว่าทางไหนดีกว่า? ผมคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เพราะเมื่อคืนมีโอกาสได้นั่งดื่ม พูดคุยกับเพื่อนสมัยเรียน หลังจากที่ไม่ได้เจอกันมา นานมาก บางคนไม่เจอกันเป็นสิบปี พวกเราบางคนอยู่หอพักห้องเดียวกัน กินนอนร่วมกันมาหลายปี แล้วก็แยกย้ายไปมีชีวิตของใครของมัน วันนี้กลับมารวมกันอีกครั้ง เราจึงนั่งอัพเดทชีวิตกัน... คนนึงทำงานประจำที่เดียวตั้งแต่เรียนจบ อีกคนนึงแทบไม่เคยทำงานประจำเลย คนนึงลูกน้องเป็นร้อย ๆ อยู่บริษัทมหาชน อีกคนนึงตั้งบริษัทของตัวเอง ลูกน้องแทบไม่มี คนนึงทำกำไรจากพอร์ตหุ้นเดือนละเป็นล้าน อีกคนพอใจลงทุนง่าย ๆ ไปช้า ๆ ในกองทุนรวม คนนึงทำงานหนักทั้งวัน ตำแหน่งใหญ่โต อีกคนทำงานสบาย ๆ ขอแค่มีเวลาออกกำลังกาย คนนึงกำลังจะแต่งงาน อีกคนนึงไม่คิดว่าชีวิตนี้จะมีงานแต่ง คนนึงชอบชีวิตกลางแจ้ง ขี่จักรยานไปทุกที่ อีกคนนึงชอบความหรูหรา ขับรถไม่ต่ำกว่าเบนซ์ วันนี้เราต่างมีชีวิตที่ไม่เหมือนกันเลย แต่กลับลงตัวในแบบของเราเอง ไม่มีใครมีชีวิตดีกว่าใคร เราแค่มีชีวิตที่ดีแตกต่างกัน ถ้าเป็นเมื่อก่อน เราอาจจะถกเถียงกันว่า เฮ้ย ทำไมไม่ทำแบบนั้น ไม่ทำแบบนี้วะ เฮ้ย ใช้ชีวิตแบบนี้สิ ทำงานแบบนี้สิดีกว่าตั้งเยอะ แต่ครั้งนี้เรากลับพบว่า ใจเรา "กว้าง" มากขึ้น เราเข้าใจว่าแต่ละคนมีที่ทางของตัวเอง แต่ละคนมีรูปแบบชีวิตในแบบของตัวเอง จะทำงานอะไรก็ได้ จะใช้ชีวิตแบบไหนก็ได้ ขอแค่ให้ชีวิตรู้สึกว่ามีความสุขก็พอแล้ว ถ้าพูดแบบภาษาสมัยนี้ก็คงต้องบอกว่า "เอาที่สบายใจ" เมื่อคืน นอกจากจะได้พบปะเพื่อนฝูงแล้ว ผมจึงได้บทเรียนบทนี้ติดตัวกลับมาที่บ้านว่า การตัดสินผู้อื่น ทำให้เราเป็นทุกข์ ทั้งตัวเราและผู้อื่น ที่หลาย ๆ คนทะเลาะกันอยู่ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะในโลกออนไลน์หรือโลกจริง ก็เพราะดันไป "ตัดสิน" คนอื่นว่าผิดที่คิดไม่เหมือนฉัน ทำไม่เหมือนฉัน เป็นไม่เหมือนฉัน แต่ถ้าเราจะลองผลักผนังใจออกไปให้กว้าง ๆ ขึ้น แล้วทำความเข้าใจว่า เราไม่ใช่ศูนย์กลางจักรวาล เราไม่ใช่ผู้คุมกฎที่จะบอกได้ว่าแบบนั้นถูก แบบนี้ผิด หนทางชีวิตนั้นมีมากมายเกินกว่าจะต้องเลือกว่าทางไหนใช่ ทางไหนผิด แอ๊ด คาราบาว เคยเขียนเพลงนึงไว้ว่า "เปิดใจให้กว้าง เราจะได้เป็นสุข ใจมีแต่ทุกข์ เป็นใจคับใจแคบ" ผมว่าจริงยิ่งกว่าจริง ขอให้มีความสุขบนเส้นทางของตัวเอง ไม่ต้องไปตัดสินใจใคร ไม่ต้องฟังคำใครมาตัดสินเรา เท่านี้ผมว่าชีวิตก็ดีมาก ๆ แล้วล่ะครับ :) Cr. บอย วิสูตร แสงอรุณเลิศ

เมื่อยังวัยคะนอง.....
เราจะมองว่าคนที่คิดไม่เหมือนเรานั้นผิด
คนที่ใช้ชีวิตไม่สอดคล้อง
กับความเชื่อของเรานั้น ไม่ได้เรื่อง
คนอื่นนั้นโง่ไปหมด มีแต่เราที่ฉลาดอยู่คนเดียว
ใจเราแคบเหลือเกิน เที่ยวตัดสินผู้คนไปทั่ว

แต่เมื่อเติบโตขึ้น (ไม่ใช่อายุ แต่คือความคิด)
เราจะ "ตัดสิน" ผู้คนน้อยลง
เราจะเข้าใจว่าชีวิตนั้นมีหลากหลายรูปแบบ
ไม่มีใครดีกว่าใคร เราแค่แตกต่างกัน

เป้าหมายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
และถึงแม้จะมีเป้าหมายเดียวกัน
แต่หนทางไปสู่เป้าหมายนั้นก็มีอยู่ล้านวิธี
ใครกันจะบอกได้ว่าทางไหนดีกว่า?

ผมคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เพราะเมื่อคืนมีโอกาสได้นั่งดื่ม
พูดคุยกับเพื่อนสมัยเรียน หลังจากที่ไม่ได้เจอกันมา
นานมาก บางคนไม่เจอกันเป็นสิบปี
พวกเราบางคนอยู่หอพักห้องเดียวกัน
กินนอนร่วมกันมาหลายปี
แล้วก็แยกย้ายไปมีชีวิตของใครของมัน
วันนี้กลับมารวมกันอีกครั้ง

เราจึงนั่งอัพเดทชีวิตกัน...

คนนึงทำงานประจำที่เดียวตั้งแต่เรียนจบ
อีกคนนึงแทบไม่เคยทำงานประจำเลย
คนนึงลูกน้องเป็นร้อย ๆ อยู่บริษัทมหาชน
อีกคนนึงตั้งบริษัทของตัวเอง ลูกน้องแทบไม่มี

คนนึงทำกำไรจากพอร์ตหุ้นเดือนละเป็นล้าน
อีกคนพอใจลงทุนง่าย ๆ ไปช้า ๆ ในกองทุนรวม
คนนึงทำงานหนักทั้งวัน ตำแหน่งใหญ่โต
อีกคนทำงานสบาย ๆ ขอแค่มีเวลาออกกำลังกาย

คนนึงกำลังจะแต่งงาน
อีกคนนึงไม่คิดว่าชีวิตนี้จะมีงานแต่ง
คนนึงชอบชีวิตกลางแจ้ง ขี่จักรยานไปทุกที่
อีกคนนึงชอบความหรูหรา ขับรถไม่ต่ำกว่าเบนซ์

วันนี้เราต่างมีชีวิตที่ไม่เหมือนกันเลย
แต่กลับลงตัวในแบบของเราเอง
ไม่มีใครมีชีวิตดีกว่าใคร
เราแค่มีชีวิตที่ดีแตกต่างกัน

ถ้าเป็นเมื่อก่อน เราอาจจะถกเถียงกันว่า
เฮ้ย ทำไมไม่ทำแบบนั้น ไม่ทำแบบนี้วะ
เฮ้ย ใช้ชีวิตแบบนี้สิ ทำงานแบบนี้สิดีกว่าตั้งเยอะ

แต่ครั้งนี้เรากลับพบว่า ใจเรา "กว้าง" มากขึ้น
เราเข้าใจว่าแต่ละคนมีที่ทางของตัวเอง
แต่ละคนมีรูปแบบชีวิตในแบบของตัวเอง
จะทำงานอะไรก็ได้ จะใช้ชีวิตแบบไหนก็ได้
ขอแค่ให้ชีวิตรู้สึกว่ามีความสุขก็พอแล้ว

ถ้าพูดแบบภาษาสมัยนี้ก็คงต้องบอกว่า
"เอาที่สบายใจ"

เมื่อคืน นอกจากจะได้พบปะเพื่อนฝูงแล้ว
ผมจึงได้บทเรียนบทนี้ติดตัวกลับมาที่บ้านว่า
การตัดสินผู้อื่น ทำให้เราเป็นทุกข์ ทั้งตัวเราและผู้อื่น

ที่หลาย ๆ คนทะเลาะกันอยู่ทุกวันนี้
ไม่ว่าจะในโลกออนไลน์หรือโลกจริง
ก็เพราะดันไป "ตัดสิน" คนอื่นว่าผิดที่คิดไม่เหมือนฉัน
ทำไม่เหมือนฉัน เป็นไม่เหมือนฉัน

แต่ถ้าเราจะลองผลักผนังใจออกไปให้กว้าง ๆ ขึ้น
แล้วทำความเข้าใจว่า เราไม่ใช่ศูนย์กลางจักรวาล
เราไม่ใช่ผู้คุมกฎที่จะบอกได้ว่าแบบนั้นถูก แบบนี้ผิด
หนทางชีวิตนั้นมีมากมายเกินกว่าจะต้องเลือกว่าทางไหนใช่ ทางไหนผิด

แอ๊ด คาราบาว เคยเขียนเพลงนึงไว้ว่า
"เปิดใจให้กว้าง เราจะได้เป็นสุข
ใจมีแต่ทุกข์ เป็นใจคับใจแคบ"
ผมว่าจริงยิ่งกว่าจริง

ขอให้มีความสุขบนเส้นทางของตัวเอง
ไม่ต้องไปตัดสินใจใคร
ไม่ต้องฟังคำใครมาตัดสินเรา
เท่านี้ผมว่าชีวิตก็ดีมาก ๆ แล้วล่ะครับ :)

Cr. บอย วิสูตร แสงอรุณเลิศ

วันนี้.......วันพระครับ มีปริศนามาให้เดาเล่นๆ ว่าบุคคลในภาพ ตอนเด็ก และตอนหนุ่ม เป็นภาพใคร

วันนี้.......วันพระครับ
มีปริศนามาให้เดาเล่นๆ
ว่าบุคคลในภาพ ตอนเด็ก และตอนหนุ่ม เป็นภาพใคร

ทุกๆคน จะต้องมีช่วงเวลาที่ "อ้วนขึ้น" แม้บางครั้ง มันอาจจะอยู่แค่สั้นๆ แต่ส่วนใหญ่ มักจะอยู่ แล้วไม่ยอมไปไหนสักที ชายหนุ่มคนหนึ่ง หันไปบอกหญิงสาวข้างๆกายเค้าว่า "เราว่าช่วงนี้เธอกินเยอะไปนะ" "ทำไมอะ อ้วนขึ้นแล้วไม่รักหรือไง" ชายหนุ่มหันหน้าหนี แสยะยิ้มออกมาเบาๆ ให้กับความเข้าใจผิดของหญิงสาว มือของเค้ายังคงกุมมือเธอไว้แน่น เค้าหันไปหาเธอแล้วบอกว่า "ถ้าบอกว่า จะอ้วนหรือไม่ก็รักเท่าเดิมนี่เชื่อปะ" เธอเบะปาก พร้อมกับหันหน้ามาทางเค้า กินไอติมรสที่เธอชอบในอีกมือหนึ่งคำ แล้วพูดต่อว่า "งี้จะพูดมากทำไม น่ารำคาญ" ความเงียบเข้ามาครอบงำคนทั้งคู่ เธอคิดว่าเค้าไม่ชอบที่เธอเปลี่ยนไป เค้าคิดว่าเธอเข้าใจเค้าผิดอย่างเต็มประตู เค้าปล่อยเธอกินไอติมจนหมด เค้าหยิบน้ำที่ซื้อเตรียมไว้ เปิดฝา แล้วส่งให้เธอ เธอรับมันไว้ ดื่มมันไปสองสามคำ แล้วพูดต่อว่า "ต่อไปก็ไม่ต้องชวนไปกินอะไรเยอะแยะดิ ชวนอยู่นั่น มันเพราะว่าเธอทั้งนั้น" เค้ายิ้ม ลูบหัวเธอเบาๆแล้วบอกกับเธอว่า "ขอโทษนะ แต่เราเห็นเธอมีความสุขมากเลย เวลาเธอได้กินอะไรอร่อยๆ เรามีความสุขทุกครั้งที่ได้ถ่ายรูปให้เธอ ไม่แพ้เธอที่ได้ลงรูปคู่กับของน่ากินๆ เราเห็นรอยยิ้ม เราเห็นเธออารมณ์ดี เราชอบโมเม้นแบบนั้นมากๆ แต่เธอรู้ไหม เราชวนเธอกินอะไรเยอะๆแค่เดือนละไม่กี่ครั้งเองนะ ส่วนใหญ่แค่ได้กินอะไรง่ายๆด้วยกัน มันก็โอเคมากๆแล้ว" "แล้วเธอจะให้เราผอมทำไม เห็นเรามีความสุขแบบนี้ก็ดีแล้วหนิ" "เราแค่อยากให้เธอรู้จักพอดี หลายๆครั้งที่เราชวนเธอไป วันที่เรากินอะไรง่ายๆกัน เธอก็หยุดกินง่ายๆซะที่ไหน ไอติมที่เพิ่งหมดไป ก็เป็นโคนที่เท่าไหร่แล้ว ถึงเราจะชอบเห็นเธอตอนกินแค่ไหน แต่เราแอบมองเธออยู่ตลอดเลยนะ ว่าทุกๆครั้งที่เธอแอบยิ้มอย่างภูมิใจ เวลาที่เพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานาน ทักเธอว่าผอมลงสวยขึ้น รอยยิ้มตอนนั้น มันดูจริงและมีความสุขมาก เรายังเห็นผู้หญิงหลายๆคน ที่แอบมองเธอ เพราะเธอใส่ชุดสวยๆ ใส่แล้วมันดูดีดูน่ารัก แล้วทักกับเพื่อนข้างๆว่า แกคนนั้นหุ่นดีจัง ตอนที่เราบอกเธอตอนนั้น เธอหัวเราะออกมาดังขนาดไหนจำได้ไหม" ฝ่ายหญิงเริ่มเข้าใจสิ่งที่ฝ่ายชายต้องการจะบอก การปล่อยเรื้อปล่อยตัวให้หลุดจากที่ควรจะเป็นมากเกินไป การมีความสุขกับสิ่งที่รัก จนไม่คิดถึงผลที่ตามมามากเกินไป สุดท้ายจะมีแต่ความลำบาก ไม่ใช่แค่เธอที่ดูรูปร่างเปลี่ยนไป แต่หลายๆสิ่งที่ตามเข้ามา มันจะทำให้เธออาจไม่พอใจ เธอ คนดี ที่เราพูดนี้ เราเป็นห่วงเธอจริงๆนะ เรารู้ว่าการได้กินอะไรอร่อยๆมันมีความสุขแค่ไหน แต่การที่เราชนะตัวเองได้ และรู้จักความพอดี มันมีความสุขมากกว่าเยอะเลยนะ ที่สำคัญ อ้วนแค่ไหน ผอมช้าแค่ไหนไม่สำคัญ พุงน้อยๆก้อนนั้น เราจะอยู่ข้างๆจนถึงวันที่มันหายไป เราสัญญา :)) Cr.winniethebook

ทุกๆคน จะต้องมีช่วงเวลาที่ "อ้วนขึ้น"
แม้บางครั้ง มันอาจจะอยู่แค่สั้นๆ
แต่ส่วนใหญ่ มักจะอยู่ แล้วไม่ยอมไปไหนสักที

ชายหนุ่มคนหนึ่ง
หันไปบอกหญิงสาวข้างๆกายเค้าว่า

"เราว่าช่วงนี้เธอกินเยอะไปนะ"

"ทำไมอะ อ้วนขึ้นแล้วไม่รักหรือไง"

ชายหนุ่มหันหน้าหนี
แสยะยิ้มออกมาเบาๆ
ให้กับความเข้าใจผิดของหญิงสาว

มือของเค้ายังคงกุมมือเธอไว้แน่น
เค้าหันไปหาเธอแล้วบอกว่า
"ถ้าบอกว่า จะอ้วนหรือไม่ก็รักเท่าเดิมนี่เชื่อปะ"

เธอเบะปาก
พร้อมกับหันหน้ามาทางเค้า
กินไอติมรสที่เธอชอบในอีกมือหนึ่งคำ แล้วพูดต่อว่า
"งี้จะพูดมากทำไม น่ารำคาญ"

ความเงียบเข้ามาครอบงำคนทั้งคู่
เธอคิดว่าเค้าไม่ชอบที่เธอเปลี่ยนไป
เค้าคิดว่าเธอเข้าใจเค้าผิดอย่างเต็มประตู

เค้าปล่อยเธอกินไอติมจนหมด
เค้าหยิบน้ำที่ซื้อเตรียมไว้ เปิดฝา แล้วส่งให้เธอ
เธอรับมันไว้ ดื่มมันไปสองสามคำ
แล้วพูดต่อว่า
"ต่อไปก็ไม่ต้องชวนไปกินอะไรเยอะแยะดิ
ชวนอยู่นั่น มันเพราะว่าเธอทั้งนั้น"

เค้ายิ้ม ลูบหัวเธอเบาๆแล้วบอกกับเธอว่า
"ขอโทษนะ แต่เราเห็นเธอมีความสุขมากเลย
เวลาเธอได้กินอะไรอร่อยๆ
เรามีความสุขทุกครั้งที่ได้ถ่ายรูปให้เธอ
ไม่แพ้เธอที่ได้ลงรูปคู่กับของน่ากินๆ
เราเห็นรอยยิ้ม เราเห็นเธออารมณ์ดี
เราชอบโมเม้นแบบนั้นมากๆ
แต่เธอรู้ไหม
เราชวนเธอกินอะไรเยอะๆแค่เดือนละไม่กี่ครั้งเองนะ
ส่วนใหญ่แค่ได้กินอะไรง่ายๆด้วยกัน
มันก็โอเคมากๆแล้ว"

"แล้วเธอจะให้เราผอมทำไม
เห็นเรามีความสุขแบบนี้ก็ดีแล้วหนิ"

"เราแค่อยากให้เธอรู้จักพอดี
หลายๆครั้งที่เราชวนเธอไป
วันที่เรากินอะไรง่ายๆกัน เธอก็หยุดกินง่ายๆซะที่ไหน
ไอติมที่เพิ่งหมดไป ก็เป็นโคนที่เท่าไหร่แล้ว
ถึงเราจะชอบเห็นเธอตอนกินแค่ไหน
แต่เราแอบมองเธออยู่ตลอดเลยนะ
ว่าทุกๆครั้งที่เธอแอบยิ้มอย่างภูมิใจ
เวลาที่เพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานาน
ทักเธอว่าผอมลงสวยขึ้น
รอยยิ้มตอนนั้น มันดูจริงและมีความสุขมาก
เรายังเห็นผู้หญิงหลายๆคน
ที่แอบมองเธอ เพราะเธอใส่ชุดสวยๆ
ใส่แล้วมันดูดีดูน่ารัก
แล้วทักกับเพื่อนข้างๆว่า แกคนนั้นหุ่นดีจัง
ตอนที่เราบอกเธอตอนนั้น
เธอหัวเราะออกมาดังขนาดไหนจำได้ไหม"

ฝ่ายหญิงเริ่มเข้าใจสิ่งที่ฝ่ายชายต้องการจะบอก
การปล่อยเรื้อปล่อยตัวให้หลุดจากที่ควรจะเป็นมากเกินไป
การมีความสุขกับสิ่งที่รัก
จนไม่คิดถึงผลที่ตามมามากเกินไป
สุดท้ายจะมีแต่ความลำบาก
ไม่ใช่แค่เธอที่ดูรูปร่างเปลี่ยนไป
แต่หลายๆสิ่งที่ตามเข้ามา
มันจะทำให้เธออาจไม่พอใจ

เธอ คนดี ที่เราพูดนี้
เราเป็นห่วงเธอจริงๆนะ
เรารู้ว่าการได้กินอะไรอร่อยๆมันมีความสุขแค่ไหน
แต่การที่เราชนะตัวเองได้ และรู้จักความพอดี
มันมีความสุขมากกว่าเยอะเลยนะ

ที่สำคัญ
อ้วนแค่ไหน
ผอมช้าแค่ไหนไม่สำคัญ
พุงน้อยๆก้อนนั้น
เราจะอยู่ข้างๆจนถึงวันที่มันหายไป
เราสัญญา :))

Cr.winniethebook

วันนี้ขอเอาเรื่องเก่าที่ประทับใจ มาเล่าใหม่นะครับ หลานๆ นึกสนุกคิดแกล้งยาย!! หลาน : "ยาย.. ยาย " ยาย : "หา? " หลาน : "ยายว่างไหมเนี่ย?" ยาย : "ว่าง" หลาน : "คุยด้วยคนนะ" ยาย : "เอาสิหลานเอ้ย.. นั่งก่อนๆ" หลาน : "เอ่อ....ยายก็ลุกขึ้นสิ" ยาย : "ทำไมยายต้องลุกขึ้นด้วยล่ะ" หลาน : "ผมจะได้นั่งก่อน " ยาย : "หา..." หลาน : "ยายปีนี้ดูแก่มากเลยนะยาย.. อายุเท่าไหร่แล้วล่ะครับ..? " ยาย : "เมื่อ20ปีที่แล้วยายอายุ50 ไม่รู้ว่าตอนนี้ มันยังจะ 50อยู่หรือป่าว ไม่ได้นับมานานแล้ว" หลาน : "โห...ยาย ป่านนี้มันไม่เหลือ 9 ขวบแล้วหรอ.. หลาน : แล้วลูกเต้าไม่มีเหรอยาย ถึงมานั่งคนเดียวเนี่ย" ยาย : "มี.." หลาน : "อ้าว..แล้วทำไมเค้าไม่มาด้วยอ่ะ" ยาย : "มีลูกชายสองคน คนหนึ่งอยู่ระยอง อีกคนหนึ่งอยู่เชียงใหม่โน่น.. ไอ้คนหนึ่งมันจะให้ยายไปอยู่เชียงใหม่.. อีกคนหนึ่งจะ ให้ยายไปอยู่ระยอง.. ตัดสินใจไม่ถูกไม่รู้จะไปอยู่กะใครเนี่ย ?" หลาน : "โอ้โฮ..ยายนี่โชคดีจังเลย ลูกแย่งกันเลี้ยง" ยาย : "โชคดีกะผีอะไรล่ะ... ก็ไอ้คนที่อยู่ระยอง..มันจะให้ไปอยู่เชียงใหม่ , ไอ้คนที่อยู่เชียงใหม่..มันจะให้ไปอยู่ระยอง" หลาน : "เออ..ยาย..อย่าไปคิดมากเลย อายุปูนนี้ร่างกายยังแข็งแรงอยู่ก็ถือว่า โชคดีแล้ว" ยาย : "โอ้ย..แข็งแรงที่ไหนกัน ตอนนี้กำลังแย่เลยว่ะ" หลาน : "แย่ที่ไหนยาย..ก็เห็นแข็งแรงดี" ยาย : "เดี๋ยวนี้ยายมีอาการแปลกๆ เช่น นั่ง ๆ อยู่เนี่ย.. ถ้าลุกขึ้นปุ๊บ..มันจะยืนทุกทีเลยว่ะเป็นอะไรไม่รู้ หลาน : "ลุกแล้วยืนน่ะมันธรรมดานะยาย.. ยายเคยเห็นคนล้มทั้งยืนมั้ยยาย..?" ยาย : "ไม่เคยว่ะ" หลาน : "อยากเห็นมั้ย..?" ยาย : "อย่าเลย..ยายแก่แล้วเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยอยากรู้ อยากเห็นอะไร" หลาน : "อ้าว..เป็นอะไรไปหรอยาย..?" ยาย : "สงสัยจะแก่ตัวมาก นั่งนานๆแล้วมันจะมีปัญหา" หลาน : "มันเป็นยังงัยหรอยาย..?" ยาย : "อีขาซ้ายนี่มัน...ชา" หลาน : "แล้วขาขวาล่ะยาย..?" ยาย : "กาแฟว่ะ.." หลาน : "ผมว่ายายต้องรีบไปหาหมอแล้วล่ะ.." ยาย : "ทำไมล่ะ..?" หลาน : "ถ้าปล่อยไว้นานๆมันจะเป็นโอวัลตินนะยาย" ยาย : "อืม..แล้วพอยืนนานๆนะ..ขาซ้ายมันจะปวด" หลาน : "โอ้ย..เป็นเรื่องธรรมดายาย อายุมากแล้วนี่ มันก็ปวดสิ" ยาย : "ไม่จริงหรอก..ขาข้างขวานี่ก็อายุเท่ากัน.. ไม่เห็นมันปวดละ..? ((((((((((((((((^_^)))))))))))))))) Cr.นายหัว ภูเก็ต

วันนี้ขอเอาเรื่องเก่าที่ประทับใจ มาเล่าใหม่นะครับ

หลานๆ นึกสนุกคิดแกล้งยาย!!

หลาน : "ยาย.. ยาย "
ยาย : "หา? "
หลาน : "ยายว่างไหมเนี่ย?"
ยาย : "ว่าง"
หลาน : "คุยด้วยคนนะ"
ยาย : "เอาสิหลานเอ้ย.. นั่งก่อนๆ"
หลาน : "เอ่อ....ยายก็ลุกขึ้นสิ"
ยาย : "ทำไมยายต้องลุกขึ้นด้วยล่ะ"
หลาน : "ผมจะได้นั่งก่อน "
ยาย : "หา..."

หลาน : "ยายปีนี้ดูแก่มากเลยนะยาย..
              อายุเท่าไหร่แล้วล่ะครับ..? "
ยาย : "เมื่อ20ปีที่แล้วยายอายุ50 ไม่รู้ว่าตอนนี้
          มันยังจะ 50อยู่หรือป่าว ไม่ได้นับมานานแล้ว"
หลาน : "โห...ยาย ป่านนี้มันไม่เหลือ 9 ขวบแล้วหรอ..
            
หลาน : แล้วลูกเต้าไม่มีเหรอยาย ถึงมานั่งคนเดียวเนี่ย"
ยาย : "มี.."
หลาน : "อ้าว..แล้วทำไมเค้าไม่มาด้วยอ่ะ"
ยาย : "มีลูกชายสองคน คนหนึ่งอยู่ระยอง
           อีกคนหนึ่งอยู่เชียงใหม่โน่น..
           ไอ้คนหนึ่งมันจะให้ยายไปอยู่เชียงใหม่..
           อีกคนหนึ่งจะ ให้ยายไปอยู่ระยอง..
           ตัดสินใจไม่ถูกไม่รู้จะไปอยู่กะใครเนี่ย ?"
หลาน : "โอ้โฮ..ยายนี่โชคดีจังเลย ลูกแย่งกันเลี้ยง"
ยาย : "โชคดีกะผีอะไรล่ะ...
           ก็ไอ้คนที่อยู่ระยอง..มันจะให้ไปอยู่เชียงใหม่ ,
          ไอ้คนที่อยู่เชียงใหม่..มันจะให้ไปอยู่ระยอง"
หลาน : "เออ..ยาย..อย่าไปคิดมากเลย
              อายุปูนนี้ร่างกายยังแข็งแรงอยู่ก็ถือว่า
             โชคดีแล้ว"
ยาย : "โอ้ย..แข็งแรงที่ไหนกัน ตอนนี้กำลังแย่เลยว่ะ"

หลาน : "แย่ที่ไหนยาย..ก็เห็นแข็งแรงดี"
ยาย : "เดี๋ยวนี้ยายมีอาการแปลกๆ เช่น นั่ง ๆ อยู่เนี่ย..
           ถ้าลุกขึ้นปุ๊บ..มันจะยืนทุกทีเลยว่ะเป็นอะไรไม่รู้
หลาน : "ลุกแล้วยืนน่ะมันธรรมดานะยาย..
             ยายเคยเห็นคนล้มทั้งยืนมั้ยยาย..?"
ยาย : "ไม่เคยว่ะ"
หลาน : "อยากเห็นมั้ย..?"
ยาย : "อย่าเลย..ยายแก่แล้วเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยอยากรู้
           อยากเห็นอะไร"

หลาน : "อ้าว..เป็นอะไรไปหรอยาย..?"
ยาย : "สงสัยจะแก่ตัวมาก นั่งนานๆแล้วมันจะมีปัญหา"
หลาน : "มันเป็นยังงัยหรอยาย..?"
ยาย : "อีขาซ้ายนี่มัน...ชา"
หลาน : "แล้วขาขวาล่ะยาย..?"
ยาย : "กาแฟว่ะ.."
หลาน : "ผมว่ายายต้องรีบไปหาหมอแล้วล่ะ.."
ยาย : "ทำไมล่ะ..?"
หลาน : "ถ้าปล่อยไว้นานๆมันจะเป็นโอวัลตินนะยาย"
ยาย : "อืม..แล้วพอยืนนานๆนะ..ขาซ้ายมันจะปวด"
หลาน : "โอ้ย..เป็นเรื่องธรรมดายาย อายุมากแล้วนี่
             มันก็ปวดสิ"
ยาย : "ไม่จริงหรอก..ขาข้างขวานี่ก็อายุเท่ากัน..
           ไม่เห็นมันปวดละ..?

((((((((((((((((^_^))))))))))))))))

Cr.นายหัว ภูเก็ต

ทุกคนที่ขึ้นมาบนรถเมล์คันนั้น คงคิดไม่ต่างกัน เมื่อเห็นชายหนุ่มกำยำล่ำสัน นั่งทำเป็นทองไม่รู้ร้อน เพราะไม่ว่า เด็ก คนแก่ หญิงท้องจะก้าวขึ้นรถ แล้วเดินผ่านเขาขึ้นมาคนแล้วคนเล่า เขาก็ยังคงนั่งนิ่งๆ ไม่แสดงน้ำใจเสียสละที่นั่ง ให้คนอ่อนแอกว่าตามประสาลูกผู้ชายที่ควรทำสักนิด สิ่งที่เขาแสดงความมีน้ำใจมากที่สุด ก็คือ ยื่นมือไปรับกระเป๋าหนังสือ ของเด็กนักเรียนหญิงเล็กคนหนึ่ง มาวางทับไว้บนถุงกระดาษใบหนึ่ง ที่ยาวคลุมถึงปลายเท้าใบเดียว ที่เป็นสัมภาระติดตัวของเขาเท่านั้น ทุกคนที่เห็น ลงความเห็นตำหนิ นินทา เหยียดหยามทั้งนอกหน้าและในใจ ถึงความแล้งน้ำใจอย่างที่สุดของเขา หญิงสาวคนหนึ่งถึงกับจะเดินเข้าไปต่อว่า ที่ไม่ยอมลุก ให้ผู้หญิงท้องคนหนึ่งนั่ง ดีว่าเพื่อนของเธอดึงแขนไว้ทัน "ดูเขาตัวใหญ่ขนาดนั้น ถ้าเขาโมโห ทำร้ายเธอขึ้นมาใครจะช่วยได้ ปล่อยไปเหอะคนแล้งน้ำใจแบบนั้น ใครจะเอาไปทำพันธุ์" ที่ป้ายสุดท้ายคืออู่รถเมล์คันนั้น ทุกคนทยอยลงจากรถ เหลือเขาคนเดียว กระเป๋ารถเดินมาที่เขา เข้ามาประคอง ให้เขาลุกขึ้น พร้อมกับพูดขึ้นว่า "ถึงแล้วพี่ ผมประคองไปต่อรถคันหน้า ทนลำบากหน่อย แต่เดี๋ยวผมฝากคันหน้า ให้ดูแลพี่ต่อครับ เฮ้อ...ไอ้วัยรุ่นกลุ่มนั้น จิตใจมันทำด้วยอะไร เห็นพี่ใส่ขาเทียม ยังมาแกล้งขโมยไม้ค้ำยันไปอีก" "ไม่เป็นไรน้อง ขอบใจน้องมากที่ช่วยประคองพี่ ถ้าไม่มีไม้ค้ำยัน อย่าว่าแต่เดินเลย แค่ยืนก็ยังยาก นี่ต้องให้ที่บ้านไปซื้ออันใหม่มาให้ จะได้ไปไหนมาไหน ช่วยตัวเองได้บ้าง" ชายหนุ่มทหารผ่านศึก ผู้เสียขาไปจากภารกิจรับใช้ชาติ ตอบกระเป๋าใจอารี ขณะประคองกัน เดินไปขึ้นรถคันหน้า... ………………. หลายครั้งเราเกลียดใคร หรือชื่นชมใครโดยไม่รู้เนื้อแท้ของสาระ สมัยที่ทุกอย่างแชร์สนั่นรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ หลายคนตกเป็นจำเลยโดยไม่มีโอกาสชี้แจง หลายคนเป็นฮีโร่ ทั้งๆ ที่ไม่สมควร... ครั้งต่อไป ก่อนจะชื่นชม หรือจะเกลียดชังใคร เปิดใจให้โอกาสตัวเองรับฟังข้อเท็จจริง ให้กระจ่างเสียก่อน ก็ไม่น่าจะสายเกินไปนะครับ... Cr : Forward LINE

ทุกคนที่ขึ้นมาบนรถเมล์คันนั้น
คงคิดไม่ต่างกัน เมื่อเห็นชายหนุ่มกำยำล่ำสัน
นั่งทำเป็นทองไม่รู้ร้อน

เพราะไม่ว่า เด็ก คนแก่ หญิงท้องจะก้าวขึ้นรถ
แล้วเดินผ่านเขาขึ้นมาคนแล้วคนเล่า
เขาก็ยังคงนั่งนิ่งๆ ไม่แสดงน้ำใจเสียสละที่นั่ง
ให้คนอ่อนแอกว่าตามประสาลูกผู้ชายที่ควรทำสักนิด

สิ่งที่เขาแสดงความมีน้ำใจมากที่สุด
ก็คือ ยื่นมือไปรับกระเป๋าหนังสือ
ของเด็กนักเรียนหญิงเล็กคนหนึ่ง
มาวางทับไว้บนถุงกระดาษใบหนึ่ง
ที่ยาวคลุมถึงปลายเท้าใบเดียว
ที่เป็นสัมภาระติดตัวของเขาเท่านั้น

ทุกคนที่เห็น ลงความเห็นตำหนิ นินทา
เหยียดหยามทั้งนอกหน้าและในใจ
ถึงความแล้งน้ำใจอย่างที่สุดของเขา

หญิงสาวคนหนึ่งถึงกับจะเดินเข้าไปต่อว่า
ที่ไม่ยอมลุก ให้ผู้หญิงท้องคนหนึ่งนั่ง
ดีว่าเพื่อนของเธอดึงแขนไว้ทัน

"ดูเขาตัวใหญ่ขนาดนั้น ถ้าเขาโมโห
ทำร้ายเธอขึ้นมาใครจะช่วยได้
ปล่อยไปเหอะคนแล้งน้ำใจแบบนั้น
ใครจะเอาไปทำพันธุ์"

ที่ป้ายสุดท้ายคืออู่รถเมล์คันนั้น
ทุกคนทยอยลงจากรถ เหลือเขาคนเดียว
กระเป๋ารถเดินมาที่เขา เข้ามาประคอง
ให้เขาลุกขึ้น พร้อมกับพูดขึ้นว่า

"ถึงแล้วพี่ ผมประคองไปต่อรถคันหน้า
ทนลำบากหน่อย แต่เดี๋ยวผมฝากคันหน้า
ให้ดูแลพี่ต่อครับ เฮ้อ...ไอ้วัยรุ่นกลุ่มนั้น
จิตใจมันทำด้วยอะไร เห็นพี่ใส่ขาเทียม
ยังมาแกล้งขโมยไม้ค้ำยันไปอีก"

"ไม่เป็นไรน้อง ขอบใจน้องมากที่ช่วยประคองพี่
ถ้าไม่มีไม้ค้ำยัน อย่าว่าแต่เดินเลย แค่ยืนก็ยังยาก
นี่ต้องให้ที่บ้านไปซื้ออันใหม่มาให้
จะได้ไปไหนมาไหน ช่วยตัวเองได้บ้าง"

ชายหนุ่มทหารผ่านศึก
ผู้เสียขาไปจากภารกิจรับใช้ชาติ
ตอบกระเป๋าใจอารี ขณะประคองกัน
เดินไปขึ้นรถคันหน้า...

……………….

หลายครั้งเราเกลียดใคร
หรือชื่นชมใครโดยไม่รู้เนื้อแท้ของสาระ

สมัยที่ทุกอย่างแชร์สนั่นรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ
หลายคนตกเป็นจำเลยโดยไม่มีโอกาสชี้แจง

หลายคนเป็นฮีโร่ ทั้งๆ ที่ไม่สมควร...

ครั้งต่อไป ก่อนจะชื่นชม หรือจะเกลียดชังใคร
เปิดใจให้โอกาสตัวเองรับฟังข้อเท็จจริง
ให้กระจ่างเสียก่อน ก็ไม่น่าจะสายเกินไปนะครับ...

Cr : Forward LINE

พระพุทธเจ้าทรงเล่านิทานว่า ในอดีตชาติ พระองค์ทรงเคยเกิดเป็นราชสีห์เจ้าป่า จู่ๆ วันหนึ่งมีหมูสกปรกที่ชอบนอนกลิ้งเกลือกในหลุมอุจจาระเหม็นคลุ้ง มาท้าสู้กัน ราชสีห์เจ้าป่ามองดูเจ้าหมูสกปรกแล้วก็คำรามขึ้นว่า “เจ้าหมูสกปรกเอ๋ย หากเจ้าต้องการชัยชนะ ข้ายินดีจะยกชัยชนะนั้นให้เจ้าเดี๋ยวนี้เลย แต่จะให้ข้าไปสู้กับเจ้านั้น ข้าไม่สู้หรอก ข้ายินดียอมแพ้เสียยังจะดีกว่าไปสู้กับหมูสกปรกอย่างเจ้า” คนบางคนนั้น มีธาตุแท้ไม่ต่างอะไรกับหมูที่ชอบคลุกอจจาระ หากคนเช่นนี้เข้ามาป้วนเปี้ยนในชีวิตของเรา วิธีที่ดีที่สุด ไม่ใช่การไปสู้กับเขา แต่ควรถอยออกมาจะดีกว่า การถอยนั้น บางครั้งไม่ใช่การยอมแพ้ แต่เป็นการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดรูปแบบหนึ่ง คนบางประเภทนั้น เขาเป็นมนุษย์ประเภทสูญเสียสามัญสำนึกขั้นพื้นฐาน ไม่รู้จักแยกแยะดีชั่วถูกผิด หากคุณไม่ถอยให้เขา ก็มีแต่เจ็บตัวฟรี ดีไม่ดีอาจวอดวายหายนะถึงชีวิต และจะหวังให้คนชนิดนี้สำนึกผิดน่ะหรือ ไม่มีทางเสียหรอก มันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไปได้อย่างไร จะให้เขาสำนึกจึงเป็นเรื่องไกลเกินฝัน ทางที่ดีที่สุด คือ อยู่ห่าง ๆ ไว้ ปลอดภัยที่สุด Cr. นิทานเซน

พระพุทธเจ้าทรงเล่านิทานว่า
ในอดีตชาติ พระองค์ทรงเคยเกิดเป็นราชสีห์เจ้าป่า
จู่ๆ วันหนึ่งมีหมูสกปรกที่ชอบนอนกลิ้งเกลือกในหลุมอุจจาระเหม็นคลุ้ง มาท้าสู้กัน ราชสีห์เจ้าป่ามองดูเจ้าหมูสกปรกแล้วก็คำรามขึ้นว่า

“เจ้าหมูสกปรกเอ๋ย หากเจ้าต้องการชัยชนะ ข้ายินดีจะยกชัยชนะนั้นให้เจ้าเดี๋ยวนี้เลย แต่จะให้ข้าไปสู้กับเจ้านั้น ข้าไม่สู้หรอก ข้ายินดียอมแพ้เสียยังจะดีกว่าไปสู้กับหมูสกปรกอย่างเจ้า”

คนบางคนนั้น มีธาตุแท้ไม่ต่างอะไรกับหมูที่ชอบคลุกอจจาระ หากคนเช่นนี้เข้ามาป้วนเปี้ยนในชีวิตของเรา วิธีที่ดีที่สุด ไม่ใช่การไปสู้กับเขา แต่ควรถอยออกมาจะดีกว่า การถอยนั้น บางครั้งไม่ใช่การยอมแพ้ แต่เป็นการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดรูปแบบหนึ่ง

คนบางประเภทนั้น เขาเป็นมนุษย์ประเภทสูญเสียสามัญสำนึกขั้นพื้นฐาน ไม่รู้จักแยกแยะดีชั่วถูกผิด หากคุณไม่ถอยให้เขา ก็มีแต่เจ็บตัวฟรี ดีไม่ดีอาจวอดวายหายนะถึงชีวิต และจะหวังให้คนชนิดนี้สำนึกผิดน่ะหรือ ไม่มีทางเสียหรอก มันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไปได้อย่างไร จะให้เขาสำนึกจึงเป็นเรื่องไกลเกินฝัน

ทางที่ดีที่สุด คือ อยู่ห่าง ๆ ไว้ ปลอดภัยที่สุด

Cr. นิทานเซน

คิดแบบ Jack ผู้ฆ่ายักษ์ 1.จงเชื่อมั่น => ในขณะที่คนอื่นสงสัย 2.จงตัดสินใจ => ในขณะที่คนอื่นมัวแต่รั้งรอ 3.จงศึกษา => ในขณะที่คนอื่นมัวหลับใหล 4.จงวางแผนใหญ่ => ในขณะที่คนอื่นมัวแต่คิดเล่นๆ 5.จงลงมือทำ => ในขณะที่คนอื่นมัวแต่ปรารถนา 6.จงเพียรไปข้างหน้า => ในขณะที่คนอื่นคิดแต่ล้มเลิก รีบตัดสินใจทำและทุ่มเทสุดชีวิต คนเก่งขนาดนี้ บอกแบบนี้แล้ว อย่ารอเลยว่ะ Credit: JackMa Alibaba

คิดแบบ Jack ผู้ฆ่ายักษ์

1.จงเชื่อมั่น => ในขณะที่คนอื่นสงสัย
2.จงตัดสินใจ => ในขณะที่คนอื่นมัวแต่รั้งรอ
3.จงศึกษา => ในขณะที่คนอื่นมัวหลับใหล
4.จงวางแผนใหญ่ => ในขณะที่คนอื่นมัวแต่คิดเล่นๆ
5.จงลงมือทำ => ในขณะที่คนอื่นมัวแต่ปรารถนา
6.จงเพียรไปข้างหน้า => ในขณะที่คนอื่นคิดแต่ล้มเลิก

รีบตัดสินใจทำและทุ่มเทสุดชีวิต

คนเก่งขนาดนี้ บอกแบบนี้แล้ว อย่ารอเลยว่ะ

Credit: JackMa Alibaba

"มึงทำไม่ได้หรอก" "มึงมันห่วย" "ชาตินี้ก็เป็นไปไม่ได้" "โง่" อะไรอีกล่ะ คำพวกนี้ แม่งดูแสน จะไร้ค่ามาก แต่ถ้ามึงรู้จัก เอาไปใช้ให้ถูกทาง มันก็น่าสนใจเหมือนกันนะ ตัวอย่างนี้ดีมาก มีเวลาต้องดูว่ะ Thkz video cr: Nutrimaster / Fwd Line

"มึงทำไม่ได้หรอก" "มึงมันห่วย"
"ชาตินี้ก็เป็นไปไม่ได้" "โง่" อะไรอีกล่ะ 

คำพวกนี้ แม่งดูแสน จะไร้ค่ามาก

แต่ถ้ามึงรู้จัก เอาไปใช้ให้ถูกทาง
มันก็น่าสนใจเหมือนกันนะ 

ตัวอย่างนี้ดีมาก มีเวลาต้องดูว่ะ

Thkz video cr: Nutrimaster / Fwd Line

มาศึกษาคำพูดสุดท้าย ! ของ สตีฟ จอบส์: อัจฉริยะผู้เปลี่ยนโลก และสรรพสิ่งต้องเปลี่ยนแปลง โดย: Damien D Hustle Bryant แปล: ปิติ ผมได้เดินทางมาถึงจุดสุดยอดของโลกแห่งธุรกิจ และในสายตาผู้อื่นชีวิตของผมคือตัวอย่างของผู้ประสพความสำเร็จอย่างสูง อย่างไรก็ตาม..นอกเหนือจากงานแล้ว ผมเองก็มีความสุขเพียงเล็กน้อย และท้ายสุดแล้ว...ความมั่งคั่งก็แปรเปลี่ยนเป็นเพียงแค่สถิติ เป็นตัวเลขที่ผมเคยคุ้นเคยด้วยเท่านั้น ในขณะที่ผมนอนอยู่บนเตียงป่วยนี้ และทบทวนชีวิต ผมก็ตระหนักได้ว่าการยอมรับทางด้านชื่อเสียงจากสังคม และทรัพย์สินพอกพูนที่ผมเคยภาคภูมิใจอย่างหนักหนานั้น ช่างดูซีดเซียวไร้ค่า ยามที่ผมต้องเผชิญหน้ากับความตาย ที่กำลังคืบคลานเข้ามา ท่ามกลางความมืดมิด ผมจ้องมองแสงไฟสีเขียวของเครื่องมือแพทย์ที่ประคองชีวิตผมไว้ พร้อมทั้งฟังเสียงครางเบาๆของเครื่องยนต์ ผมสามารถสัมผัสลมหายใจของพญามัจจุราช ที่กำลังคืบคลานใกล้เข้ามาได้... ตอนนี้ผมคิดได้แล้วว่า ทันทีที่เราสะสมเงินทองเพื่อใช้ทั้งชีวิตได้พอแล้ว เราควรมองหาสิ่งอื่นทำ ควรเป็นสิ่งที่ไม่เกึ่ยวข้องกับการหาเงินทองอีกต่อไป มันควรเป็นอะไรที่สำคัญกว่า เช่น ความสัมพันธ์กับผู้คน หรือศิลปะ หรืออาจล่าความฝันเมื่อครั้งสมัยที่เรายังเป็นหนุ่มสาวอยู่ การสะสมความมั่งคั่งอย่างไม่หยุดหย่อนนั้น อาจแปลงคนให้เปลี่ยน และผิดเพี้ยนเบี้ยวบูดไปได้. เป็นอย่างผม นี้ไง! พระเจ้าประทานความรู้สึกแก่เรา เพื่อให้เราได้สัมผัส'ความรัก'ที่อยู่ในดวงใจของทุกๆคน ไม่ใช่ให้เห็นได้เพียงแค่ภาพลวงตาของเงินทอง ความมั่งมีที่ผมสะสมมาตลอดชีวิตนั้น สุดท้าย ผมก็เอามันไปด้วยไม่ได้ ที่เราจะเอาไปได้ ก็คือความทรงจำอันตกผลึกของความรัก แล้วนั่นคือ 'สมบัติ' ที่แท้จริง ที่จะตามเราไป ติดตัวเราไป เป็นพลังและแสงสว่างนำทางให้เรา 'ความรัก' สามารถเดินทางได้เป็นพันๆไมล์ ปราศจากขีดจำกัด ไปได้ทุกแห่งหนที่เราย่างก้าว มันสามารถพาเราไปถึงจุดสูงสุดที่อยากจะไป ทั้งหมดขึ้นอยู่กับหัวใจ และมือของคุณเองเท่านั้น คุณรู้ไหม...เตียงอะไรแพงที่สุดในโลก? ... "เตียงคนป่วย" ครับ คุณอาจจะจ้างคนขับรถให้คุณได้ คนให้ทำเงินให้คุณได้ แต่คุณจะไม่มีวันจ้างใครมาป่วยแทนคุณได้ ทรัพย์สมบัติ หากสูญหาย เราก็ยังพอจะหาให้พบได้ แต่ทว่ามีสิ่งหนึ่ง หากสูญไป เราจะไม่ได้พบอีก...นั่นคือ "ชีวิต" ในยามที่ต้องเข้าห้องผ่าตัด ผู้คนมักจะนึกขึ้นได้ว่า ยังมีหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่น่าจะอ่านให้จบก่อนก็คือ "หนังสือแห่งชีวิตและสุขภาพที่สมบูรณ์" ไม่ว่าตอนนี้คุณจะอยู่ในช่วงใดของชีวิต และด้วยเวลาที่ผ่านพ้นไป สักวันหนึ่งคุณจะพานพบว่า 'ม่านชีวิต' ต้องปิดลง จงทนุถนอม...'ความรัก' ให้แก่พ่อแม่พี่น้องครอบครัวของคุณ ให้แก่คู่ชีวิตของคุณ ให้เพื่อนๆของคุณ ดูแลตัวเองให้ดี และ จงเห็นคุณค่าของผู้อื่น สตีฟ จอบส์

มาศึกษาคำพูดสุดท้าย !
ของ สตีฟ จอบส์: อัจฉริยะผู้เปลี่ยนโลก และสรรพสิ่งต้องเปลี่ยนแปลง
โดย: Damien D Hustle Bryant
แปล: ปิติ

ผมได้เดินทางมาถึงจุดสุดยอดของโลกแห่งธุรกิจ และในสายตาผู้อื่นชีวิตของผมคือตัวอย่างของผู้ประสพความสำเร็จอย่างสูง

อย่างไรก็ตาม..นอกเหนือจากงานแล้ว ผมเองก็มีความสุขเพียงเล็กน้อย และท้ายสุดแล้ว...ความมั่งคั่งก็แปรเปลี่ยนเป็นเพียงแค่สถิติ เป็นตัวเลขที่ผมเคยคุ้นเคยด้วยเท่านั้น

ในขณะที่ผมนอนอยู่บนเตียงป่วยนี้ และทบทวนชีวิต ผมก็ตระหนักได้ว่าการยอมรับทางด้านชื่อเสียงจากสังคม และทรัพย์สินพอกพูนที่ผมเคยภาคภูมิใจอย่างหนักหนานั้น ช่างดูซีดเซียวไร้ค่า ยามที่ผมต้องเผชิญหน้ากับความตาย ที่กำลังคืบคลานเข้ามา
ท่ามกลางความมืดมิด ผมจ้องมองแสงไฟสีเขียวของเครื่องมือแพทย์ที่ประคองชีวิตผมไว้ พร้อมทั้งฟังเสียงครางเบาๆของเครื่องยนต์
ผมสามารถสัมผัสลมหายใจของพญามัจจุราช ที่กำลังคืบคลานใกล้เข้ามาได้...

ตอนนี้ผมคิดได้แล้วว่า ทันทีที่เราสะสมเงินทองเพื่อใช้ทั้งชีวิตได้พอแล้ว เราควรมองหาสิ่งอื่นทำ ควรเป็นสิ่งที่ไม่เกึ่ยวข้องกับการหาเงินทองอีกต่อไป

มันควรเป็นอะไรที่สำคัญกว่า เช่น ความสัมพันธ์กับผู้คน หรือศิลปะ หรืออาจล่าความฝันเมื่อครั้งสมัยที่เรายังเป็นหนุ่มสาวอยู่

การสะสมความมั่งคั่งอย่างไม่หยุดหย่อนนั้น อาจแปลงคนให้เปลี่ยน และผิดเพี้ยนเบี้ยวบูดไปได้. เป็นอย่างผม นี้ไง!

พระเจ้าประทานความรู้สึกแก่เรา เพื่อให้เราได้สัมผัส'ความรัก'ที่อยู่ในดวงใจของทุกๆคน ไม่ใช่ให้เห็นได้เพียงแค่ภาพลวงตาของเงินทอง

ความมั่งมีที่ผมสะสมมาตลอดชีวิตนั้น สุดท้าย ผมก็เอามันไปด้วยไม่ได้

ที่เราจะเอาไปได้ ก็คือความทรงจำอันตกผลึกของความรัก
แล้วนั่นคือ 'สมบัติ' ที่แท้จริง ที่จะตามเราไป ติดตัวเราไป เป็นพลังและแสงสว่างนำทางให้เรา

'ความรัก' สามารถเดินทางได้เป็นพันๆไมล์ ปราศจากขีดจำกัด ไปได้ทุกแห่งหนที่เราย่างก้าว มันสามารถพาเราไปถึงจุดสูงสุดที่อยากจะไป ทั้งหมดขึ้นอยู่กับหัวใจ และมือของคุณเองเท่านั้น

คุณรู้ไหม...เตียงอะไรแพงที่สุดในโลก?
... "เตียงคนป่วย" ครับ

คุณอาจจะจ้างคนขับรถให้คุณได้ คนให้ทำเงินให้คุณได้ แต่คุณจะไม่มีวันจ้างใครมาป่วยแทนคุณได้

ทรัพย์สมบัติ หากสูญหาย เราก็ยังพอจะหาให้พบได้
แต่ทว่ามีสิ่งหนึ่ง หากสูญไป เราจะไม่ได้พบอีก...นั่นคือ "ชีวิต"

ในยามที่ต้องเข้าห้องผ่าตัด ผู้คนมักจะนึกขึ้นได้ว่า ยังมีหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่น่าจะอ่านให้จบก่อนก็คือ "หนังสือแห่งชีวิตและสุขภาพที่สมบูรณ์"

ไม่ว่าตอนนี้คุณจะอยู่ในช่วงใดของชีวิต และด้วยเวลาที่ผ่านพ้นไป สักวันหนึ่งคุณจะพานพบว่า 'ม่านชีวิต' ต้องปิดลง

จงทนุถนอม...'ความรัก'
ให้แก่พ่อแม่พี่น้องครอบครัวของคุณ
ให้แก่คู่ชีวิตของคุณ
ให้เพื่อนๆของคุณ

ดูแลตัวเองให้ดี และ จงเห็นคุณค่าของผู้อื่น

สตีฟ จอบส์

วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2559

"กูไม่ได้ทำดี เพื่อให้ได้คำชม แต่กูเชื่อใน คุณความดี ว่ามันจะเป็น ประโยชน์กับทุกสิ่ง กูเชื่อคำของพ่อหลวง ที่ว่า ถ้าตั้งใจ ทำความดี ไม่ว่าทางใด ทางหนึ่ง ความดีนั้น จะกลับคืนมาหาเรา ในรูปแบบใด รูปแบบหนึ่ง อย่าไปพูดถึง แก้วแหวน เงินทอง เพียงรอยยิ้ม มันก็มากพอแล้ว" Thammasak Orachoonwong

"กูไม่ได้ทำดี เพื่อให้ได้คำชม

แต่กูเชื่อใน คุณความดี
ว่ามันจะเป็น ประโยชน์กับทุกสิ่ง

กูเชื่อคำของพ่อหลวง ที่ว่า

ถ้าตั้งใจ ทำความดี
ไม่ว่าทางใด ทางหนึ่ง

ความดีนั้น จะกลับคืนมาหาเรา
ในรูปแบบใด รูปแบบหนึ่ง

อย่าไปพูดถึง แก้วแหวน เงินทอง

เพียงรอยยิ้ม มันก็มากพอแล้ว"

Thammasak Orachoonwong

"ถ้าจะถามพระราชาอย่างเราว่า พระราชาอย่างเราต้องการอะไร เราก็ขอตอบว่า...พระราชาอย่างเราต้องการคนที่ซื่อสัตย์ เพราะคนที่ซื่อสัตย์ คือ สมบัติของพระราชาอย่างเรา" ถ้าท่านจะกรุณานำไปเล่าให้คนทั้งหลายได้รับทราบ ก็จะเป็นลาภของคนที่ฟัง คนซื่อสัตย์ เมื่อหลายปีก่อน (ประมาณสัก ๑๓ปี) มีนักธุรกิจคนหนึ่งไปหาอาตมาที่วัดสุทัศน์ฯเป็นนักธุรกิจ ที่ทำงานอยู่กับคุณเจริญ-คุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี เมื่อพบกัน ท่านผู้นี้ก็แจ้งความประสงค์ของการมาพบและเล่าเรื่องที่เป็นจุดประสงค์ ดังนี้... "ท่านคงพอจะจำผมได้นะครับ เราเคยพบกันที่บ้านของคุณเจริญ คุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี ผมมีเรื่องอยากจะเล่าให้ท่านฟังดังนี้ว่า เมื่อก่อนผมเป็นครูสอนวิชาภูมิศาสตร์และวิชาประวัติศาสตร์ ปกติผมต้องไปค้นคว้าข้อมูลในหอสมุดแห่งชาติต่อมา ก็มีนักเรียนหญิงคนหนึ่งผูกเปีย ๒ ข้างเข้าไปค้นข้อมูลอย่างจริงจังว่างก็สนทนากันถึงเรื่องวิชาการ ...อยู่มาวันหนึ่งนักเรียนหญิงคนนั้นก็ชวนผมไปเที่ยวบ้านโดยบอกว่าจะให้พ่อเลี้ยงข้าวหนึ่งมื้อ ในฐานะที่ให้ความรู้ด้านวิชาการโดยมีการนัดแนะกันที่พระราชวังดุสิต สวนจิตรลดาโดยเธอบอกว่าเมื่อเข้าประตูที่ ๑แล้วขอให้บอกแก่คนที่เฝ้าป ร ะตูด้วยคำพูดนี้ (เป็นคำเฉพาะ)...ครั้นถึงวันนัดหมายผมก็เดินทางไปโดยรถแท็กซี่ เมื่อเข้าประตูผมก็มิได้สงสัย คงบอกเจ้าหน้าที่ตามนั้นครั้นถึงขั้นที่ ๒ ผมก็บอกตามนั้นอีก เจ้าหน้าที่ก็อัธยาศัยดี ให้ความเคารพผมอย่างยิ่ง แต่พอ ถึงขั้นที่๓ ผมก็เริ่มเห็นภาพชัดเจนว่า...แท้ที่จริงเด็กผู้หญิงคนนั้นคือ "สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี" ซึ่งตอนนั้นยังมิได้เฉลิมพระยศนี้......ท่านครับ พอผมนึกออกก็เริ่มสั่นแล้ว แต่เหตุที่ผมนึกไม่ออกนั้น เพราะผมไม่เคยคิดเลยว่าเจ้าฟ้าจะสนพระทัยในวิชาการอย่างจริงจัง เวลาค้นคว้าก็ทรงสืบค้นด้วยพระองค์เองทุกอย่าง ทรงค้นคว้าและจดจำอย่างขมีขมันโดยมิได้มีข้าราชบริพารเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพระองค์และเวลาที่ทรงสนทนาก็ให้ความนับถือคู่สนทนายิ่งรู้ว่าผมเป็นครูสอนวิชาดังกล่าว ...เมื่อผมรู้ว่านักเรียนหญิงคนนั้นคือสมเด็จพระเทพฯ ผมก็ประหม่า และแล้วรถแท็กซี่ก็ถึงที่นัดพบ สักครู่พระองค์ก็เสด็จออกมาแล้วตรัสปฏิสันถาร ถึงตอนนี้ผมก็ก้มลงกราบกับพื้น และที่ทำให้ผมสั่นยิ่งขึ้นก็คือตอนนี้ผมรู้แล้วว่าคุณพ่อของเด็กผู้หญิงคนนี้คือ "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว"...ท่านครับ สักครู่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เสด็จออกมา ทรงมีพระพักตร์ที่ยิ้มแย้มแล้วตรัสว่า"เห็นลูกสาวบอกว่าเป็นเพื่อนกัน" เมื่อพระองค์ตรัสดังนี้ ผมก็ก้มลงกราบด้วยความประหม่าเป็น ท ี่สุด แล้วกราบบังคมทูลว่า "มิเป็นการบังอาจ พระพุทธเจ้าข้า" ...พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระมหากรุณาธิคุณตรัสว่า ขอให้ทำตัวตามปกติไม่ต้องประหม่าหรือกลัวแต่อย่างใด พระองค์ตรัสขอบใจที่ได้เป็นเพื่อนสนทนาในวิชาการดังกล่าวจากนั้นพระองค์ก็ตรัสว่า "อันที่จริงก็มีผู้อยากขอเข้าเฝ้าฯ เป็นจำนวนมาก บางรายก็ขอนำเงินขึ้นทูลเกล้าถวาย แต่เราก็ไม่สามารถจะรับเงินของบางคนได้เราจะรับเงินของเขาได้อย่างไร ในเมื่อเงินที่เขานำมาถวายเรานั้นเป็นเงิน ท ี่เกิดจากการขายแผ่นดินของเรา เราจึงรับเงินนั้นไม่ได้ ...ถ้าจะถามพระราชาอย่างเราว่าพระราชาอย่างเราต้องการอะไร เราก็ขอตอบว่า...พระราชาอย่างเราต้องการคนที่ซื่อสัตย์เพราะคนที่ซื่อสัตย์ คือ สมบัติของพระราชาอย่างเรา" ...ท่านครับ ผมก้มลงกราบถวายบังคมพระองค์อีกครั้ง ด้วยความซาบซึ้งน้ำตาไหลในพระมหากรุณาธิคุณ ที่พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้แก่ครูสอนหนังสือเล็กๆ คนหนึ่งพระราชดำรัสของพระองค์มีคุณค่ายิ่งต่อชีวิตของผม จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็พระราชทานเลี้ยงก๋วยเตี๋ยว เป็นอาหารที่ผมรับประทานแล้วอิ่มตลอดชีวิต ...ท่านครับ จากวันนั้นมา ชีวิตผมก็เปลี่ยนแปลงไปโดยที่ผมเองก็มิได้รู้ว่าทำไมชีวิตของ ผ มซึ่งเป็นครูต้องเปลี่ยนแปลงงานที่ทำโดยมิได้ตั้งใจ ชีวิตเจริญก้าวหน้าขึ้นตามลำดับแต่พระราชดำรัสที่พระองค์ตรัสไว้นั้นจารึกอยู่ในใจผมเสมอ ...ผมอยากจะเรียนท่านให้ทราบเพียงเท่านี้แหละครับ ถ้าท่านจะกรุณานำไปเล่าให้คนทั้งหลายได้รับทราบ ก็จะเป็นลาภของคนที่ฟัง เขาจะได้รู้ว่าพวกเขาควรทำอย่างไรจึงจะได้ชื่อว่าเป็นคนของพระราชา อาจารย์ท่านนี้เมื่อเล่าจบก็ลากลับด้วยสีหน้าที่อิ่มสุขและน้ำตาที่คลอเบ้าตา มิใช่เพียงอาจารย์ท่านนี้ที่อิ่มสุขเท่านั้น อาตมาเองซึ่งเป็นผู้ฟังก็อิ่มสุขน้ำตาคลอเบ้าเช่นเดียวกัน บทความของ พระราชวิจิตรปฏิภาณ วัดสุทัศน์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ต่อเจ้าของบทความครับผม ที่มา หนังสือพิมพ์สยามรัฐฉบับวันศุกร์ที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๑ รูป : http://www.oknation.net/blog/print.php?id=877468

"ถ้าจะถามพระราชาอย่างเราว่า
พระราชาอย่างเราต้องการอะไร
เราก็ขอตอบว่า...พระราชาอย่างเราต้องการคนที่ซื่อสัตย์
เพราะคนที่ซื่อสัตย์
คือ สมบัติของพระราชาอย่างเรา"

ถ้าท่านจะกรุณานำไปเล่าให้คนทั้งหลายได้รับทราบ
ก็จะเป็นลาภของคนที่ฟัง

คนซื่อสัตย์

เมื่อหลายปีก่อน (ประมาณสัก ๑๓ปี)
มีนักธุรกิจคนหนึ่งไปหาอาตมาที่วัดสุทัศน์ฯเป็นนักธุรกิจ
ที่ทำงานอยู่กับคุณเจริญ-คุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี เมื่อพบกัน
ท่านผู้นี้ก็แจ้งความประสงค์ของการมาพบและเล่าเรื่องที่เป็นจุดประสงค์ ดังนี้...

"ท่านคงพอจะจำผมได้นะครับ เราเคยพบกันที่บ้านของคุณเจริญ คุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี

ผมมีเรื่องอยากจะเล่าให้ท่านฟังดังนี้ว่า
เมื่อก่อนผมเป็นครูสอนวิชาภูมิศาสตร์และวิชาประวัติศาสตร์ ปกติผมต้องไปค้นคว้าข้อมูลในหอสมุดแห่งชาติต่อมา ก็มีนักเรียนหญิงคนหนึ่งผูกเปีย ๒ ข้างเข้าไปค้นข้อมูลอย่างจริงจังว่างก็สนทนากันถึงเรื่องวิชาการ ...อยู่มาวันหนึ่งนักเรียนหญิงคนนั้นก็ชวนผมไปเที่ยวบ้านโดยบอกว่าจะให้พ่อเลี้ยงข้าวหนึ่งมื้อ ในฐานะที่ให้ความรู้ด้านวิชาการโดยมีการนัดแนะกันที่พระราชวังดุสิต สวนจิตรลดาโดยเธอบอกว่าเมื่อเข้าประตูที่ ๑แล้วขอให้บอกแก่คนที่เฝ้าป ร ะตูด้วยคำพูดนี้ (เป็นคำเฉพาะ)...ครั้นถึงวันนัดหมายผมก็เดินทางไปโดยรถแท็กซี่

เมื่อเข้าประตูผมก็มิได้สงสัย คงบอกเจ้าหน้าที่ตามนั้นครั้นถึงขั้นที่ ๒ ผมก็บอกตามนั้นอีก เจ้าหน้าที่ก็อัธยาศัยดี ให้ความเคารพผมอย่างยิ่ง แต่พอ ถึงขั้นที่๓ ผมก็เริ่มเห็นภาพชัดเจนว่า...แท้ที่จริงเด็กผู้หญิงคนนั้นคือ "สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี" ซึ่งตอนนั้นยังมิได้เฉลิมพระยศนี้......ท่านครับ พอผมนึกออกก็เริ่มสั่นแล้ว แต่เหตุที่ผมนึกไม่ออกนั้น เพราะผมไม่เคยคิดเลยว่าเจ้าฟ้าจะสนพระทัยในวิชาการอย่างจริงจัง เวลาค้นคว้าก็ทรงสืบค้นด้วยพระองค์เองทุกอย่าง ทรงค้นคว้าและจดจำอย่างขมีขมันโดยมิได้มีข้าราชบริพารเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพระองค์และเวลาที่ทรงสนทนาก็ให้ความนับถือคู่สนทนายิ่งรู้ว่าผมเป็นครูสอนวิชาดังกล่าว

...เมื่อผมรู้ว่านักเรียนหญิงคนนั้นคือสมเด็จพระเทพฯ ผมก็ประหม่า และแล้วรถแท็กซี่ก็ถึงที่นัดพบ สักครู่พระองค์ก็เสด็จออกมาแล้วตรัสปฏิสันถาร ถึงตอนนี้ผมก็ก้มลงกราบกับพื้น และที่ทำให้ผมสั่นยิ่งขึ้นก็คือตอนนี้ผมรู้แล้วว่าคุณพ่อของเด็กผู้หญิงคนนี้คือ "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว"...ท่านครับ

สักครู่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เสด็จออกมา ทรงมีพระพักตร์ที่ยิ้มแย้มแล้วตรัสว่า"เห็นลูกสาวบอกว่าเป็นเพื่อนกัน" เมื่อพระองค์ตรัสดังนี้ ผมก็ก้มลงกราบด้วยความประหม่าเป็น ท ี่สุด แล้วกราบบังคมทูลว่า "มิเป็นการบังอาจ พระพุทธเจ้าข้า"

...พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระมหากรุณาธิคุณตรัสว่า ขอให้ทำตัวตามปกติไม่ต้องประหม่าหรือกลัวแต่อย่างใด พระองค์ตรัสขอบใจที่ได้เป็นเพื่อนสนทนาในวิชาการดังกล่าวจากนั้นพระองค์ก็ตรัสว่า "อันที่จริงก็มีผู้อยากขอเข้าเฝ้าฯ เป็นจำนวนมาก บางรายก็ขอนำเงินขึ้นทูลเกล้าถวาย แต่เราก็ไม่สามารถจะรับเงินของบางคนได้เราจะรับเงินของเขาได้อย่างไร ในเมื่อเงินที่เขานำมาถวายเรานั้นเป็นเงิน ท ี่เกิดจากการขายแผ่นดินของเรา เราจึงรับเงินนั้นไม่ได้

...ถ้าจะถามพระราชาอย่างเราว่าพระราชาอย่างเราต้องการอะไร เราก็ขอตอบว่า...พระราชาอย่างเราต้องการคนที่ซื่อสัตย์เพราะคนที่ซื่อสัตย์ คือ สมบัติของพระราชาอย่างเรา"

...ท่านครับ ผมก้มลงกราบถวายบังคมพระองค์อีกครั้ง ด้วยความซาบซึ้งน้ำตาไหลในพระมหากรุณาธิคุณ ที่พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้แก่ครูสอนหนังสือเล็กๆ คนหนึ่งพระราชดำรัสของพระองค์มีคุณค่ายิ่งต่อชีวิตของผม จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็พระราชทานเลี้ยงก๋วยเตี๋ยว เป็นอาหารที่ผมรับประทานแล้วอิ่มตลอดชีวิต

...ท่านครับ จากวันนั้นมา ชีวิตผมก็เปลี่ยนแปลงไปโดยที่ผมเองก็มิได้รู้ว่าทำไมชีวิตของ ผ มซึ่งเป็นครูต้องเปลี่ยนแปลงงานที่ทำโดยมิได้ตั้งใจ ชีวิตเจริญก้าวหน้าขึ้นตามลำดับแต่พระราชดำรัสที่พระองค์ตรัสไว้นั้นจารึกอยู่ในใจผมเสมอ ...ผมอยากจะเรียนท่านให้ทราบเพียงเท่านี้แหละครับ

ถ้าท่านจะกรุณานำไปเล่าให้คนทั้งหลายได้รับทราบ ก็จะเป็นลาภของคนที่ฟัง
เขาจะได้รู้ว่าพวกเขาควรทำอย่างไรจึงจะได้ชื่อว่าเป็นคนของพระราชา

อาจารย์ท่านนี้เมื่อเล่าจบก็ลากลับด้วยสีหน้าที่อิ่มสุขและน้ำตาที่คลอเบ้าตา

มิใช่เพียงอาจารย์ท่านนี้ที่อิ่มสุขเท่านั้น อาตมาเองซึ่งเป็นผู้ฟังก็อิ่มสุขน้ำตาคลอเบ้าเช่นเดียวกัน

บทความของ พระราชวิจิตรปฏิภาณ วัดสุทัศน์

ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ต่อเจ้าของบทความครับผม

ที่มา หนังสือพิมพ์สยามรัฐฉบับวันศุกร์ที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๑
รูป : http://www.oknation.net/blog/print.php?id=877468