"ถ้าจะถามพระราชาอย่างเราว่า
พระราชาอย่างเราต้องการอะไร
เราก็ขอตอบว่า...พระราชาอย่างเราต้องการคนที่ซื่อสัตย์
เพราะคนที่ซื่อสัตย์
คือ สมบัติของพระราชาอย่างเรา"
ถ้าท่านจะกรุณานำไปเล่าให้คนทั้งหลายได้รับทราบ
ก็จะเป็นลาภของคนที่ฟัง
คนซื่อสัตย์
เมื่อหลายปีก่อน (ประมาณสัก ๑๓ปี)
มีนักธุรกิจคนหนึ่งไปหาอาตมาที่วัดสุทัศน์ฯเป็นนักธุรกิจ
ที่ทำงานอยู่กับคุณเจริญ-คุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี เมื่อพบกัน
ท่านผู้นี้ก็แจ้งความประสงค์ของการมาพบและเล่าเรื่องที่เป็นจุดประสงค์ ดังนี้...
"ท่านคงพอจะจำผมได้นะครับ เราเคยพบกันที่บ้านของคุณเจริญ คุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี
ผมมีเรื่องอยากจะเล่าให้ท่านฟังดังนี้ว่า
เมื่อก่อนผมเป็นครูสอนวิชาภูมิศาสตร์และวิชาประวัติศาสตร์ ปกติผมต้องไปค้นคว้าข้อมูลในหอสมุดแห่งชาติต่อมา ก็มีนักเรียนหญิงคนหนึ่งผูกเปีย ๒ ข้างเข้าไปค้นข้อมูลอย่างจริงจังว่างก็สนทนากันถึงเรื่องวิชาการ ...อยู่มาวันหนึ่งนักเรียนหญิงคนนั้นก็ชวนผมไปเที่ยวบ้านโดยบอกว่าจะให้พ่อเลี้ยงข้าวหนึ่งมื้อ ในฐานะที่ให้ความรู้ด้านวิชาการโดยมีการนัดแนะกันที่พระราชวังดุสิต สวนจิตรลดาโดยเธอบอกว่าเมื่อเข้าประตูที่ ๑แล้วขอให้บอกแก่คนที่เฝ้าป ร ะตูด้วยคำพูดนี้ (เป็นคำเฉพาะ)...ครั้นถึงวันนัดหมายผมก็เดินทางไปโดยรถแท็กซี่
เมื่อเข้าประตูผมก็มิได้สงสัย คงบอกเจ้าหน้าที่ตามนั้นครั้นถึงขั้นที่ ๒ ผมก็บอกตามนั้นอีก เจ้าหน้าที่ก็อัธยาศัยดี ให้ความเคารพผมอย่างยิ่ง แต่พอ ถึงขั้นที่๓ ผมก็เริ่มเห็นภาพชัดเจนว่า...แท้ที่จริงเด็กผู้หญิงคนนั้นคือ "สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี" ซึ่งตอนนั้นยังมิได้เฉลิมพระยศนี้......ท่านครับ พอผมนึกออกก็เริ่มสั่นแล้ว แต่เหตุที่ผมนึกไม่ออกนั้น เพราะผมไม่เคยคิดเลยว่าเจ้าฟ้าจะสนพระทัยในวิชาการอย่างจริงจัง เวลาค้นคว้าก็ทรงสืบค้นด้วยพระองค์เองทุกอย่าง ทรงค้นคว้าและจดจำอย่างขมีขมันโดยมิได้มีข้าราชบริพารเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพระองค์และเวลาที่ทรงสนทนาก็ให้ความนับถือคู่สนทนายิ่งรู้ว่าผมเป็นครูสอนวิชาดังกล่าว
...เมื่อผมรู้ว่านักเรียนหญิงคนนั้นคือสมเด็จพระเทพฯ ผมก็ประหม่า และแล้วรถแท็กซี่ก็ถึงที่นัดพบ สักครู่พระองค์ก็เสด็จออกมาแล้วตรัสปฏิสันถาร ถึงตอนนี้ผมก็ก้มลงกราบกับพื้น และที่ทำให้ผมสั่นยิ่งขึ้นก็คือตอนนี้ผมรู้แล้วว่าคุณพ่อของเด็กผู้หญิงคนนี้คือ "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว"...ท่านครับ
สักครู่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เสด็จออกมา ทรงมีพระพักตร์ที่ยิ้มแย้มแล้วตรัสว่า"เห็นลูกสาวบอกว่าเป็นเพื่อนกัน" เมื่อพระองค์ตรัสดังนี้ ผมก็ก้มลงกราบด้วยความประหม่าเป็น ท ี่สุด แล้วกราบบังคมทูลว่า "มิเป็นการบังอาจ พระพุทธเจ้าข้า"
...พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระมหากรุณาธิคุณตรัสว่า ขอให้ทำตัวตามปกติไม่ต้องประหม่าหรือกลัวแต่อย่างใด พระองค์ตรัสขอบใจที่ได้เป็นเพื่อนสนทนาในวิชาการดังกล่าวจากนั้นพระองค์ก็ตรัสว่า "อันที่จริงก็มีผู้อยากขอเข้าเฝ้าฯ เป็นจำนวนมาก บางรายก็ขอนำเงินขึ้นทูลเกล้าถวาย แต่เราก็ไม่สามารถจะรับเงินของบางคนได้เราจะรับเงินของเขาได้อย่างไร ในเมื่อเงินที่เขานำมาถวายเรานั้นเป็นเงิน ท ี่เกิดจากการขายแผ่นดินของเรา เราจึงรับเงินนั้นไม่ได้
...ถ้าจะถามพระราชาอย่างเราว่าพระราชาอย่างเราต้องการอะไร เราก็ขอตอบว่า...พระราชาอย่างเราต้องการคนที่ซื่อสัตย์เพราะคนที่ซื่อสัตย์ คือ สมบัติของพระราชาอย่างเรา"
...ท่านครับ ผมก้มลงกราบถวายบังคมพระองค์อีกครั้ง ด้วยความซาบซึ้งน้ำตาไหลในพระมหากรุณาธิคุณ ที่พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้แก่ครูสอนหนังสือเล็กๆ คนหนึ่งพระราชดำรัสของพระองค์มีคุณค่ายิ่งต่อชีวิตของผม จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็พระราชทานเลี้ยงก๋วยเตี๋ยว เป็นอาหารที่ผมรับประทานแล้วอิ่มตลอดชีวิต
...ท่านครับ จากวันนั้นมา ชีวิตผมก็เปลี่ยนแปลงไปโดยที่ผมเองก็มิได้รู้ว่าทำไมชีวิตของ ผ มซึ่งเป็นครูต้องเปลี่ยนแปลงงานที่ทำโดยมิได้ตั้งใจ ชีวิตเจริญก้าวหน้าขึ้นตามลำดับแต่พระราชดำรัสที่พระองค์ตรัสไว้นั้นจารึกอยู่ในใจผมเสมอ ...ผมอยากจะเรียนท่านให้ทราบเพียงเท่านี้แหละครับ
ถ้าท่านจะกรุณานำไปเล่าให้คนทั้งหลายได้รับทราบ ก็จะเป็นลาภของคนที่ฟัง
เขาจะได้รู้ว่าพวกเขาควรทำอย่างไรจึงจะได้ชื่อว่าเป็นคนของพระราชา
อาจารย์ท่านนี้เมื่อเล่าจบก็ลากลับด้วยสีหน้าที่อิ่มสุขและน้ำตาที่คลอเบ้าตา
มิใช่เพียงอาจารย์ท่านนี้ที่อิ่มสุขเท่านั้น อาตมาเองซึ่งเป็นผู้ฟังก็อิ่มสุขน้ำตาคลอเบ้าเช่นเดียวกัน
บทความของ พระราชวิจิตรปฏิภาณ วัดสุทัศน์
ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ต่อเจ้าของบทความครับผม
ที่มา หนังสือพิมพ์สยามรัฐฉบับวันศุกร์ที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๑
รูป : http://www.oknation.net/blog/print.php?id=877468