วันอังคารที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2558
พระประวัติและปฏิปทา สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทโย)
พระประวัติและปฏิปทา
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทโย)
พุทธศักราช ๒๕๐๖-๒๕๐๘
วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร
แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร
พระประวัติในเบื้องต้น
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทโย)
มีพระนามเดิมว่า “อยู่ ช้างโสภา (แซ่ฉั่ว)” พระนามฉายาว่า “ญาโณทโย”
ประสูติเมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๑๗
ตรงกับวันอังคาร แรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีจอ ฉศก จุลศักราช ๑๒๓๖
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
ที่เรือนแพหน้าวัดกัลยาณมิตร อำเภอบางกอกใหญ่ จังหวัดธนบุรี
โยมบิดามีนามว่า “ตรุษ” โยมมารดามีนามว่า “จันทร์”
เมื่อตอนทรงพระเยาว์ที่ยังมิได้บรรพชานั้น
ทรงได้รับการศึกษาเบื้องต้นในสำนักบิดา ผู้ซึ่งเป็นบุรพาจารย์
และต่อมาเมื่อมีพระชนมายุมากขึ้นพอสมควร
ได้มาอยู่ใน สำนักพระอาจารย์ช้าง วัดสระเกศ พระนคร
ได้ทรงเล่าเรียนสืบมาจนกระทั่งได้ทรงบรรพชาเป็นสามเณร
จึงได้ทรงเริ่มศึกษาภาษาบาลี มูลกัจจายน์ ในสำนักพระอาจารย์ช้าง
ต่อมาได้ทรงศึกษาในสำนัก พระธรรมกิติ (เม่น) บ้าง
ในสำนักเจ้าประคุณ สมเด็จพระวันรัตน (แดง สีลวฑฺฒโน) บ้าง
และในสำนัก พระยาธรรมปรีชา (ทิม) บ้าง
สมเด็จพระวันรัตน (แดง สีลวฑฺฒโน) วัดสุทัศน์
พระอุปัชฌาย์ในคราวทรงอุปสมบท เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๓๗
ทรงบรรพชาและอุปสมบท
ครั้นเมื่อพระชนมายุได้ ๑๒ พรรษา
ได้ทรงบรรพชาเป็นสามเณรอยู่ใน สำนักพระอาจารย์ช้าง วัดสระเกศ
ได้ทรงศึกษาสามเณรสิกขารวมทั้งพระธรรมวินัย ตลอดจนตำราโหราศาสตร์
พ.ศ. ๒๔๓๓ ได้ทรงเข้าแปลพระปริยัติธรรมในสนามหลวง
ณ พระอุโบสถวัดพระศรีศาสดาราม เป็นครั้งแรก ทรงได้เป็นเปรียญ ๓ ประโยค
พ.ศ. ๒๔๓๖ ได้ทรงเข้าแปลพระปริยัติธรรมในสนามหลวง
ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ได้อีก ๑ ประโยค รวมเป็น ๔ ประโยค
ต่อมา พ.ศ. ๒๔๓๗ เมื่อมีพระชนมายุครบอุปสมบท
จึงทรงผนวชเป็นพระภิกษุ ณ พระอุโบสถวัดสระเกศ
โดยมี สมเด็จพระวันรัตน (แดง) วัดสุทัศน์ เป็นพระอุปัชฌาย์
พระธรรมทานาจารย์ (จุ่น) วัดสระเกศ เป็นพระกรรมวาจาจารย์
พระธรรมกิติ (เม่น) วัดสระเกศ เป็นพระอนุสาวนาจารย์
หลังจากได้ทรงอุปสมบทแล้ว
ได้ทรงเข้าแปลพระปริยัติธรรมอีก เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๑
ทรงได้เป็นเปรียญ ๕ ประโยค
พ.ศ. ๒๔๔๓ ทรงเข้าแปลพระปริยัติธรรมอีก ทรงได้เป็นเปรียญ ๖ ประโยค
เมื่อทรงสอบได้เปรียญ ๖ ประโยคแล้ว ทรงคิดว่าจะหยุดสอบไม่เข้าแปลต่อไปอีก
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
ทรงทราบจึงทรงพระกรุณาโปรดให้เจ้าพระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกร
เมื่อดำรงตำแหน่งเป็นเสนาบดีกระทรวงธรรมการในเวลานั้น
เป็นผู้นำพระกระแสรับสั่งมาบอก ให้เข้าแปลประโยค ๗ ต่อ
จึงต้องทรงรับสนองพระราชกระแสรับสั่งเข้าแปลต่อไป
และก็ทรงแปลได้อีก ๑ ประโยค ในปีนั้นเองรวมเป็น ๗ ประโยค
พ.ศ. ๒๔๔๔ ได้ทรงเข้าแปลพระปริยัติธรรมได้อีก ๑ ประโยค รวมเป็น ๘ ประโยค
พ.ศ. ๒๔๔๕ ได้ทรงเข้าแปลพระปริยัติธรรมเป็นครั้งสุดท้าย
ทรงแปลได้เป็นเปรียญ ๙ ประโยค เมื่อพระชนมายุ ๒๘ พรรษา
เจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช
ทรงได้เป็นเปรียญ ๙ ประโยคองค์แรกในรัชกาลที่ ๕
จึงทรงได้รับพระมหากรุณาธิคุณ
ให้นำรถยนต์หลวงมาส่งจนถึงพระอารามที่อยู่เป็นพิเศษ
และนับตั้งแต่นั้นมา ถ้าเปรียญใดสอบได้ ๙ ประโยค ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้นำรถยนต์หลวงส่งเปรียญรูปนั้นจนถึงที่ เป็นธรรมเนียมมาจนถึงปัจจุบันนี้
เจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช
นับแต่ได้ทรงเข้าแปลพระปริยัติธรรมมาตั้งแต่ประโยคต้น
จนถึงประโยคสุดท้าย คือ ประโยค ๙ ไม่เคยแปลตกเลย
เมื่อครั้งพระชนมายุราว ๓๐ พรรษาเศษ
สมณศักดิ์และหน้าที่การงาน
พ.ศ. ๒๔๔๕ เมื่อทรงได้เป็นเปรียญ ๙ ประโยคแล้ว
ก็ทรงดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการสนามหลวงสอบไล่พระปริยัติธรรม
ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ตลอดมา
พ.ศ. ๒๔๕๑ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะที่ พระปิฎกโกศล
พ.ศ. ๒๔๕๘ เมื่อย้ายสถานที่สอบพระปริยัติธรรมจากในพระบรมมหาราชวัง
มาสอบที่วัดเบญจมบพิตรและ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
ขณะทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นกรมหมื่น ทรงเปลี่ยนวิธีการสอบจากวิธีแปลด้วยปาก
มาเป็นสอบด้วยวิธีเขียนเหมือนกันทุกประโยค ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๕๙ เป็นต้นมา
เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการตรวจประโยคด้วย
พ.ศ. ๒๔๖๒ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นแม่กองธรรมสนามจังหวัดนครราชสีมา
พ.ศ. ๒๔๖๔ ในรัชกาลที่ ๖ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่
พระราชเวที และในศกเดียวกันได้รับแต่งตั้งให้เป็นแม่กองธรรมสนามจังหวัดกาญจนบุรี
พ.ศ. ๒๔๖๕-๖๖ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นแม่กองธรรมสนามมณฑลภูเก็ต รวม ๒ ปีติดต่อกัน
พ.ศ. ๒๔๖๖ ในรัชกาลที่ ๖ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์
เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพเวที
พ.ศ. ๒๔๖๗ ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสระเกศ พระอารามหลวง
และในศกเดียวกัน ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะแขวงเหนือ จังหวัดธนบุรี
พ.ศ. ๒๔๖๗ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นแม่กองธรรมสนามมณฑลภูเก็ตอีกครั้งหนึ่ง
พ.ศ. ๒๔๖๘ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นแม่กองธรรมสนามมณฑลนครราชสีมา
พ.ศ. ๒๔๗๐ ในรัชกาลที่ ๗ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์
เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมเจดีย์
แล้วเป็นกรรมการมหาเถรสมาคม ตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์
ร.ศ. ๑๒๑ (พ.ศ. ๒๔๔๕) ตลอดจนถึง พ.ศ. ๒๔๘๔
อันเป็นปีที่เลิกใช้ พ.ร.บ. ลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑
แถวหน้าขวาสุด คือ สมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทโย)
เมื่อครั้งทรงดำรงสมณศักดิ์ที่ พระธรรมเจดีย์
พ.ศ. ๒๔๘๘ ในรัชกาลที่ ๘ ก็ได้รับพระราชทานสถาปนา
เป็นพระราชาคณะชั้นเจ้าคณะรองที่ พระธรรมวโรดม
พ.ศ. ๒๔๙๖ ในรัชกาลที่ ๙ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ดังมีสำเนาตามประกาศกำกับสุพรรณบัฏ ดังนี้
พระรูปปั้นหุ่นขี้ผึ้งสมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทโย)
ประดิษฐาน ณ อุทยานหุ่นขี้ผึ้งสยาม ต.วังเย็น อ.บางแพ จ.ราชบุรี
(พระปรมาภิไธย) ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดลยเดช
มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทรสยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร
มีพระบรมราชโองการโปรดให้ประกาศว่า
โดยที่ทรงพระราชดำริว่า พระธรรมวโรดม เป็นพระเถระผู้เจริญด้วยวิริยาธิคุณ
วิบุลปฎิภาณญาณปรีชา ได้ศึกษาแตกฉานในพระปริยัติไตรปิฎกสัทธรรม
รอบรู้อักขรสมัยทั้งสกพากย์ และไพรัชพากย์เป็นอย่างดี
และชำนาญในคัมภีร์โหราศาสตร์พยากรณ์ ดำรงสถาพรอยู่ในสมณคุณเนกขัมมปฏิบัติ
สมบูรณ์ด้วยศีลาจารวัตรรัตตัญญูมหาเถรธรรมตลอดมาช้านาน
ได้ประกอบกรณียกิจเป็นหิตานุหิตประโยชน์ไพศาล แก่พุทธจักรและอาณาจักร
ดังปรากฏความในประกาศสถาปนาเป็นที่รองสมเด็จพระราชาคณะ
เมื่อวันที่ ๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๘๘ นั้นแล้ว
ครั้นต่อมา พระธรรมวโรดม ยิ่งเจริญด้วยอุตสาหวิริยาธิคุณ
สามารถเอาภาระธุระพระพุทธศาสนาเป็นพาหุลกิจนิตยสมาทาน
มิได้ท้อถอย ในการปกครองพระอารามก็เอาภาระบูรณะปฏิสังขรณ์ถาวรวัตถุทั่วๆ ไป
ให้กลับมีสภาพมั่นคงขึ้นกว่าแต่ก่อน
โดยเฉพาะพระบรมบรรพตปูชนียสถาน ก็ได้จัดการบูรณะเป็นการใหญ่
อันจักหวังได้ว่าปูชนียสถานแห่งนี้ จักเป็นศรีสง่าแก่พระนครได้แห่งหนึ่ง
ในหน้าที่การบริหารทางคณะสงฆ์ ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นองค์ประธานสังฆสภา
ได้ปฏิบัติการในหน้าที่ให้สำเร็จเรียบร้อยเป็นผลดีตลอดมา
บัดนี้ พระธรรมวโรดม ก็เจริญยิ่งด้วยพรรษายุกาลรัตตัญญูมหาสถานวีรธรรม
มั่นคงในพระพุทธศาสนาเป็นอจลพรหมจริยาภิรัต
สงเคราะห์พุทธบริษัทปกครองพระสงฆ์
ดำรงตำแหน่งสมณศักดิ์ติดต่อกันมาช้านานถึง ๔๕ พรรษา
ได้เป็นครูและอุปัธยาจารย์แก่มหาชนเป็นอันมาก อุตส่าห์สั่งสอนอบรมพระภิกษุสามเณร
และคฤหัสถ์ศาสนิกบริษัทให้เจริญในธรรมปฏิปทา มีศิษยานุศิษย์ไพศาล
เป็นที่เคารพนับถือสักการบูชาแห่งพุทธมามกชนทั่วไป
สมควรจะสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระราชาคณะได้
จึงมีพระบรมราชโองการโปรดให้สถาปนา
พระธรรมวโรดมขึ้นเป็นสมเด็จพระราชาคณะ มีราชทินนามตามจารึกในสุพรรณบัฏว่า
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ญาณอดุลสุนทรนายก ตรีปีฎกวิทยาคุณ
วิบูลคัมภีรญาณสุนทร มหาคณิสสร บวรสังฆารามคามวาสี อรัญญวาสี
สถิต ณ วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร พระอารามหลวง
มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ ๑๐ รูป คือ
พระครูปลัดสัมพิพัฒนศีลาจารย์ ญาณธาดา มหาสังฆานุนายก ปิฎกธรรมรักขิต ๑
พระครูวินัยธร ๑ พระครูธรรมธร ๑ พระครูเมธังกร พระครูคู่สวด ๑
พระครูวรวงศ์ พระครูคู่สวด ๑ พระครูธรรมรัต ๑ พระครูธรรมรุจิ ๑
พระครูสังฆวิจารณ์ ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑
ขออาราธนาพระคุณจงรับภาระพระพุทธศาสนา เป็นภาระสั่งสอนช่วยระงับอธิกรณ์
และอนุเคราะห์พระภิกษุสามเณร โดยสมควรแก่กำลัง และอิสสริยยศซึ่งพระราชทานนี้
และจงเจริญ อายุ วรรณ สุข พล ปฏิภาณ คุณสารสิริสวัสดิ์ จิรัฎฐิติ วิรุฬหิไพบูลย์
ในพระพุทธศาสนาเทอญฯ
ประกาศ ณ วันที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๙๖ เป็นปีที่ ๘ ในรัชกาลปัจจุบัน
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
จอมพล ป. พิบูลสงคราม
นายกรัฐมนตรี
พระรูปปั้นหุ่นขี้ผึ้งสมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทโย)
ประดิษฐาน ณ อุทยานหุ่นขี้ผึ้งสยาม ต.วังเย็น อ.บางแพ จ.ราชบุรี
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทโย)
ครั้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๕ สมเด็จพระสังฆราช (ปลด กิตฺติโสภโณ)
วัดเบญจมบพิตร สิ้นพระชนม์ และในศกเดียวกันได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ
ให้ตราพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช ๒๕๐๕ ขึ้น
โดยคำแนะนำและยินยอมของสภาร่างรัฐธรรมนูญ ในฐานะรัฐสภา
และรัฐบาลได้รับสนองพระบรมราชโองการให้ประกาศพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ฉบับนี้
ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๖ เป็นต้นมา
สมเด็จฯ ก็ได้ทรงดำรงตำแหน่งผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช
และทรงดำรงตำแหน่งประธานกรรมการมหาเถรสมาคม
ตามผลแห่งพระราชบัญญัติฉบับนั้น
ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้ทรงใช้ความรู้ความสามารถปฏิบัติหน้าที่
โดยความเรียบร้อยดีตลอดมา ดังปรากฏในสำเนาประกาศแต่งตั้งต่อไปนี้
ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ
เรื่องสมเด็จพระราชาคณะ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช
เนื่องด้วยยังมิได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาสมเด็จพระสังฆราช
ตามความในมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕
กระทรวงศึกษาธิการจึงทรงขอพระประกาศนาม
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (อยู่ ญาโณทโย) วัดสระเกศ
เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ ๓ มกราคม ๒๕๐๖
หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล
รัฐมนตรีว่าการกระทรงศึกษาธิการ
พ.ศ. ๒๕๐๖ ในฐานะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช
ทรงเป็นประธานมหาเถรมหาสมาคม ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕
นับเป็นกรรมการมหาเถรสมาคมชุดแรก ซึ่งประกอบด้วยพระมหาเถระ ๘ รูป คือ
(๑) สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (อยู่ ญาโณทโย) วัดสระเกศ
คือ เจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช (สิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๘)
(๒) สมเด็จพระมหาวีระวงศ์ (จวน อุฏฐายี) วัดมกุฏกษัตริยาราม
ต่อมาได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก
เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๘ (สิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๔)
(๓) สมเด็จพระวันรัต (ปุ่น ปุณฺณสิริ) วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
ต่อมาได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก
เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๕ (สิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๖)
(๔) พระธรรมปัญญาบดี (วน ฐิติญาโณ) วัดอรุณราชวราราม
ต่อมาได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ (มรณภาพเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๐)
(๕) พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (วาสน์ วาสโน) วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม
ต่อมาได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก
เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๗ (สิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๑)
(๖) พระสาสนโสภณ (เจริญ สุวฑฺฒโน) วัดบวรนิเวศวิหาร
ต่อมาได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก
เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๒ (สิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๖)
(๗) พระมหาโพธิวงศาจารย์ (สาลี อินฺทโชโต) วัดอนงคาราม
(มรณภาพเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๑)
(๘) พระมหารัชชมังคลาจารย์ (เทศ นิทฺเทสโก) วัดสัมพันธวงศ์
(มรณภาพเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๐) ครั้นถึงเดือนพฤษาคม ศกเดียวกัน (พ.ศ. ๒๕๐๖)
ได้รับพระราชทานสถาปนาเป็นรองสมเด็จพระราชาคณะที่ พระมหารัชชมังคลาจารย์
อนึ่ง กรรมการมหาเถรสมาคมชุดแรกนี้
ได้ประชุมกันครั้งแรก ณ พระอุโบสถวัดสระเกศ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๖
พระมหารัชชมังคลาจารย์ (เทศ นิทฺเทสโก)
สมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทโย) พร้อมพัดยศสมณศักดิ์
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ครั้นเมื่อถึงวันที่ ๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๐๖ นี้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้สถาปนาสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (อยู่ ญาโณทโย) ขึ้นเป็น
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก
นับเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
สืบต่อจาก สมเด็จพระสังฆราช (ปลด กิตฺติโสภณมหาเถร)
เนื่องในพระราชพิธีฉัตรมงคล ดังมีสำเนาประกาศสถาปนาดังนี้
ประกาศสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช
(พระปรมาภิไธย) ภูมิพลอดลยเดช ป.ร.
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มหิตลาธิเบศรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศว่า
โดยที่ตำแหน่ง สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ได้ว่างลง
เป็นการสมควรที่จะสถาปนาสมเด็จพระราชาคณะขึ้นดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช
เพื่อจักได้บริหารการพระศาสนาให้สมบูรณ์
ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และตามระเบียบราชประเพณีสืบไป
อนึ่ง ทรงพระราชดำริว่า พระสงฆ์ซึ่งดำรงในสมณคุณใหญ่ยิ่งมีอยู่
สมควรจะสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระราซาคณะแทนตำแหน่งที่ว่างในคราวนี้ด้วย
จึงทรงพระราชดำริว่า สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
เป็นมหาเถรเจริญในสมณคุณเนกขัมมปฎิบัติ
สมบูรณ์ด้วยศีลาจารวัตรรัตตัญญูมหาเถรกรณธรรม มีปฏิภาณปรีชา
ได้ศึกษาแตกฉานในพระไตรปิฎกสัทธรรม
รอบรู้อักขรสมัยทั้งสกสมัยและไพรัชชพากย์เป็นอย่างดี
ทั้งชำนาญในคัมภีรโหราศาสตร์พยากรณ์
ดำรงสถาพรอยู่ในสมณพรหมจรรย์ตลอดมา เป็นเวลาช้านานถึง ๖๙ พรรษา
ได้ประกอบกรณียกิจเป็นหิตานุหิตประโยชน์แก่พุทธจักรและอาณาจักรอย่างไพศาล
ดังความพิสดารปรากฏในประกาศ สถาปนาเป็น สมเด็จพระราชาคณะ
เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๙๖ นั้นแล้ว
ครั้นต่อมา สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ก็เจริญด้วยอุตสาหะวิริยาธิคุณ
สามารถเอาภาระธุระทางพระพุทธศาสนา เป็นพาหุลกิจนิตยสมาทานมิได้ท้อถอย
ในการปกครองอาราม ก็ได้ทำการบูรณะปฎิสังขรณ์พระอุโบสถ พระบรมบรรพต
สำเร็จเรียบร้อยดีขึ้นกว่าแต่ก่อนเป็นอันมาก
นอกจากนั้นยังได้สร้างตึกเป็นโรงเรียนพระปริยัติธรรมขึ้นใหม่อีกหลังหนึ่ง
นับว่าเป็นประโยชน์แก่การพระศาสนา ดังเป็นที่ปรากฏอยู่แล้ว
บัดนี้ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
ก็เจริญยิ่งด้วยพรรษายุกาล รัตตัญญูมหาสถานวีรธรรม
มั่นคงในพระพุทธศาสนา เป็นอจลพรหมจริยาภิรัต
สงเคราะห์พุทธบริษัท ปกครองสงฆ์ดำรงตำแหน่งสมณศักดิ์ติดต่อกันมาช้านาน
ถึง ๕๕ พรรษาได้เป็นครูและอุปัธยาจารย์แก่มหาชนเป็นอันมาก
มีศิษยานุศิษย์แพร่หลายไพศาล เป็นที่เคารพสักการแห่งพุทธมามกชนทั่วไป
ประกอบด้วยขณะนี้ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
ก็ได้เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชอยู่แล้ว
จึงสมควรจะสถาปนาขึ้นเป็น สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
ประธานาธิบดีแห่งสงฆมณฑล เพื่อเป็นศรีศุภมงคลแด่พระบวรพุทธศาสนาสืบไป
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้สถาปนา สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
ขึ้นเป็น สมเด็จพระสังฆราช มีพระนามจารึกในพระสุพรรณบัฎว่า
สมเด็จพระอริยวงศาคตญูาณ สุขุมวิธานธำรงสกลมหาสงฆปริณายก
ตรีปิฎกโกศล วิมลคัมภีรญาณ ญาโณทยาภิธานสังฆวิสุต
พุทธบริษัทคารวสถาน ธรรมปฏิภาณญาณสุนทร บวรธรรมบพิตร
สมเด็จพระสังฆราช เสด็จสถิต ณ วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร พระอารามหลวง
เป็นประธานในสงฆมณฑลทั่วราชอาณาจักร
ขออาราธนาให้ทรงรับธุระพระพุทธศาสนาเป็นภาระสั่งสอน
ช่วยระงับอธิกรณ์ และอนุเคราะห์พระภิกษุสงฆ์สามเณรในสงฆมณฑลทั่วไป
โดยสมควรแก่พระอิสสริยยศ ซึ่งพระราชทานนี้
จงทรงเจริญพระชนมายุ วรรณ สุข พล ปฏิภาณ
คุณสารสิริสวัสดิ์ จิรัฎฐิติ วิรุฬหิไพบูลย์ ในพระพุทธศาสนาเทอญ
ให้ทรงมีพระราชาคณะและพระครูฐานานุกรมประดับพระอิสสริยยศ ๑๕ รูป
คือ พระมหาคณานุศิษฎ์ สังฆอิสริยาลงกรณ์ สุนทรธรรมสาธก
พุทธปาพจนดิลกมหาเถรกิจจการี คณาธิบดีศรีรัตนคมกาจารย์ พระราชาคณะปลัดขวา ๑
พระจุลคณานุศาสน์ วิจารโณภาสภาคยคุณ สุนทรศาสนกิจบรรหาร
มหาเถราธิการธุรการี สมุหบดีศรีธรรมภาณกาจารย์ พระราชาคณะปลัดซ้าย ๑
พระครูธรรมกถาสุนทร ๑ พระครูวินัยกรณ์โศภน ๑
พระครูพรหมวิหาร พระครูพระปริตร ๑ พระครูฌาณวิสุทธิ พระครูพระปริตร ๑
พระครูวินัยธร ๑ พระครูธรรมธร ๑ พระครูพิมลสรภาณ พระครูคู่สวด ๑
พระครูพิศาลสรคุณ พระครูคู่สวด ๑ พระครูพิบูลบรรณวัตร์ ๑
พระครูพิพัฒน์บรรณกิจ ๑ พระครูสังฆบริหาร ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑
ขอให้พระคุณผู้ได้รับตำแหน่งทั้งปวงนี้ มีความสุขสิริสวัสดิ์สถาพร
ในพระบวรพุทธศาสนาเทอญฯ
ประกาศ ณ วันที่ ๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๐๖ เป็นปีที่ ๑๘ ในรัชกาลปัจจุบัน
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
จอมพล ส. ธนะรัชต์
นายกรัฐมนตรี
ในการทรงบำเพ็ญพระราชกุศล ณ พระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร พ.ศ. ๒๕๐๗
พระกรณียกิจด้านต่างๆ
ในด้านการศึกษา
ในฐานะที่ทรงดำรงตำแหน่งเจ้า สำนักเรียนวัดสระเกศ
พระองค์ได้ทรงอุปถัมภ์ส่งเสริมการศึกษาพระปริยัติธรรม
ทั้งแผนกบาลีและนักธรรมให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไป
มีภิกษุสามเณรทั้งในวัดและต่างวัดได้มาอาศัยศึกษาเล่าเรียน
จนปรากฏว่ามีนักเรียนสอบไล่ได้นักธรรมและบาลี เป็นจำนวนมากเพิ่มขึ้นทุกปี
สำหรับพระภิกษุที่เป็นเปรียญและนักธรรมใน สำนักวัดสระเกศ
ที่ได้ออกไปเผยแผ่การศึกษาในต่างจังหวัด
จนปรากฏว่าได้รับหน้าที่และดำรงสมณศักดิ์ก็มีอยู่เป็นจำนวนมาก
นอกจากนั้น เจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช
ยังทรงดำรงตำแหน่งเป็น องค์อุปถัมภ์กิตติมศักดิ์
ของมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์
มาตั้งแต่เริ่มเปิดการศึกษา เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๐ ตลอดมา
ซุ้มสีมาพระอุโบสถวัดสระเกศ
ในด้านการบูรณปฏิสังขรณ์
เมื่อทรงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทรงดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสแล้ว
ก็ได้ทรงเริ่มบูรณปฏิสังขรณ์พระอุโบสถทั่วทั้งหลัง
ได้ต่อหน้าชานพระวิหารให้กว้างใหญ่ขึ้น ซึ่งอำนวยความสะดวก
ให้แก่ผู้ที่เข้าไปนมัสการ พระอัฏฐารสในพระวิหาร เป็นอย่างมาก
ได้ทรงปฏิสังขรณ์เสนาสนะและถนนในวัดให้มีสภาพดีขึ้นกว่าเก่ามาก
ได้ทรงทำการบูรณปฏิสังขรณ์ องค์บรมบรรพต จนสำเร็จเรียบร้อย
ได้ทรงสร้าง โรงเรียนพระปริยัติธรรมและห้องสมุด ของวัดขึ้น
และได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์พระระเบียงรอบพระอุโบสถ
และเปลี่ยนกระเบื้องเป็นกระเบื้องเคลือบทั้งหมด
และได้เทคอนกรีต บริเวณรอบนอกพระอุโบสถทั้งหมด
ค่าใช้จ่ายในการบูรณปฏิสังขรณ์และก่อสร้างทั้งหมด
ประมาณ ๑๑,๖๘๐,๐๐๐ บาท (สิบเอ็ดล้านหกแสนแปดหมื่นบาท)
ทั้งนี้เฉพาะตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๓ ถึง พ.ศ. ๒๕๐๕
นับว่าพระองค์ได้ทรงสร้างถาวรวัตถุไว้เป็นอย่างมาก
และพระองค์ได้ทรงกำหนดการ บูรณปฏิสังขรณ์เสนาสนะทั่วทั้งพระอารามไว้
ซึ่งจะให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งทรงกำหนดการประดับพระบรมบรรพตเป็นสีทองไว้ด้วย
ก่อนวันที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์เพียงวันเดียว
พระองค์ได้ทรงเลือกกระเบื้องที่จะประดับพระบรมบรรพตไว้
เวลานี้กระเบื้องที่ทรงเลือกไว้ยังคงอยู่ใกล้ที่บรรทม
แต่พระองค์ก็มาสิ้นพระชนม์เสียก่อน
หากทรงพระชนม์อยู่อีกเพียงสามปี
วัดสระเกศ คงได้สมกับนามว่าอาราม ตามที่พระองค์ทรงประสงค์ไว้
แม้พระองค์จะมิได้ทรงทำให้สำเร็จทุกอย่างก่อนสิ้นพระชนม์
แต่ผลงานของพระองค์ก็นับว่าเหลือล้น
ถึงอย่างนั้นผู้ปรารถนาดีต่อวัดสระเกศก็ยังบ่นว่า
เมื่อไรสมเด็จฯ จะบูรณะวัดให้หมดทั้งวัดเสียที
ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ไม่ทรงคำนึงอะไรทั้งนั้น
แต่พระองค์ทรงทำทุกอย่างเพื่อความเจริญแก่วัด ชาติ และพระศาสนา
ทัศนียภาพของบรมบรรพต (ภูเขาทอง) วัดสระเกศ ในปัจจุบัน
ในด้านการเผยแผ่พระศาสนา
พระองค์ทรงสนพระทัยเป็นอย่างมาก
และทรงกระทำตามกาลด้วยพระองค์เอง
พระองค์ทรงสนับสนุนพระภิกษุผู้สามารถ
ที่จะทำการเผยแผ่พระศาสนาทั้งในและนอกประเทศ
ทรงยกย่องพระภิกษุผู้ทำหน้าที่ในการเผยแผ่
ทรงสนับสนุนองค์การและสมาคมที่ทำงานพระศาสนาด้านนี้
เมื่อพระองค์ทรงได้รับสถาปนาดำรงตำแหน่ง
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกแล้ว
พระองค์ทรงบริหารการคณะสงฆ์โดยมิทรงคำนึงถึงความชราภาพ
ทรงทำทุกอย่างเพื่อความสงบสุขของสังฆมณฑล
พระองค์รับสั่งเสมอว่า สังฆราช ไม่ใช่ สังฆราชี
ในด้านการติดต่อกับชาวต่างประเทศ
พระองค์ทรงปฏิสันถารต้อนรับผู้มาถึงพอเหมาะพอดี เป็นที่สบายใจแก่อาคันตุกะนั้นๆ
แม้บางครั้งผู้เข้าเฝ้าเป็นคนต่างศาสนา พระองค์ก็ทรงสามารถปฏิสันถารให้เหมาะแก่ผู้นั้น
ซึ่งเรื่องนี้ มีผู้หนักใจกันมาก เพราะพระองค์ทรงชรา
เกรงไปว่าจะทรงปฏิสันถารขาดตกบกพร่อง แต่กลับตรงกันข้าม และปรากฏชัดแล้ว
พระอัจฉริยภาพทางโหราศาสตร์
พระเกียรติคุณที่โดดเด่นประการหนึ่งของท่านเจ้าพระคุณสมเด็จ
ก็คือ พระอัจฉริยภาพทางโหราศาสตร์
อาจารย์ธนิต อยู่โพธิ์ อดีตอธิบดีกรมศิลปากร เคยเล่าว่า
ครั้งหนึ่งก่อนที่ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จจะได้สถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช
ได้ทรงปรารถกับอาจารย์ธนิต อยู่โพธิ์ ว่า
“เมืองไทยเรานี้แปลก ดวงเมืองเราบอกว่าจะมีพระสังฆราชขี้คุก”
นอกจากพระอัจฉริยภาพทางโหราศาสตร์แล้ว
เจ้าพระคุณสมเด็จยังทรงเชี่ยวชาญทางพิธีกรรมและไทยคดีอื่นๆ อีกหลายด้าน
เป็นเหตุให้พระองค์ได้ทรงสังเคราะห์อนุเคราะห์ประชาชนในด้านต่างๆ
ที่ทรงเชี่ยวชาญด้วยพระเมตตาธรรม โดยไม่เลือกชั้นวรรณะตลอดมา
พระโกศพระศพสมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทโย)
ประดิษฐาน ณ ตำหนักที่ประทับ วัดสระเกศ
พระอวสานกาล
โดยปกติ ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช มีพระพลานามัยดีตลอดมา
แต่เพราะทรงชราพระองค์จึงประชวรด้วยโรคพระหทัย
และได้ทรงเข้ารับการรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลศิริราช
เมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๘
เพียง ๔ วันเท่านั้น พระองค์ก็เสด็จกลับมาประทับที่วัด
พระอาการดีขึ้นโดยลำดับจนปลอดภัย
จนถึงวันที่ ๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๘ ได้เกิดพระโลหิตอุดตันในสมอง
คณะนายแพทย์ได้นำพระองค์ไปรับการรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลอีก
แต่ครั้งนี้พระอาการหนักมาก
คณะนายแพทย์พยายามถวายการพยาบาลทุกวิถีทาง พระอาการก็ไม่ดีขึ้น
สมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้าทรงทราบ
ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมถึง ๒ วาระ
และในวาระหลัง สมเด็จเจ้าฟ้าชาย (พระอิสริยยศขณะนั้น) ได้โดยเสด็จด้วย
ได้มีพระกระแสรับสั่งให้คณะนายแพทย์เอาใจใส่ให้มาก
คณะองคมนตรีก็ได้เสด็จเยี่ยมและไปเยี่ยมหลายวาระ
ตลอดถึงคณะรัฐบาล ข้าราชการ พ่อค้า และประชาชน
ได้ไปเยี่ยมและคอยสดับข่าวกันทุกระยะด้วยความห่วงใย
ฯพณฯ จอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรี ได้ไปเยี่ยมหลายวาระเช่นกัน
และได้สนใจอยู่ตลอดเวลา สั่งให้คณะนายแพทย์ถวายการรักษาให้ดีที่สุด
แต่เพราะ ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช ทรงชรามากแล้ว
สุดที่คณะนายแพทย์จะถวายการพยาบาลรักษาพระชนมชีพไว้ได้
พระองค์ได้สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๘ เวลา ๐๒.๒๐ น.
ซึ่งหากนับโดยสุริยคติในปัจจุบัน ตรงกับ วันเพ็ญกลางเดือน วันวิสาขบูรณมี
สิริพระชนมายุได้ ๙๐ พรรษา ๕ เดือน ๑๔ วัน พรรษา ๗๑
ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช เป็นเวลา ๒ ปี กับ ๑๑ วัน
เจดีย์ที่บรรจุพระอัฐิสมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทโย)
ประดิษฐานภายในพระตำหนักที่ประทับ วัดสระเกศ
การพระศพ
เมื่อ ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช สิ้นพระชนม์แล้ว
สมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้าได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้จัดการพระศพและการทรงบำเพ็ญพระราชกุศลครบตามพระเกียรติยศทุกประการ
ฝ่ายคณะสงฆ์และคณะรัฐบาลได้ช่วยการจัดพระศพทุกประการ
โดยเฉพาะ ฯพณฯ จอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรี
ได้กรุณาไปตรวจดูการจัดสถานที่ประดิษฐานพระศพด้วยตนเอง
เมื่อครบสัตตมวาร ครบปัญญาสมวารและครบสตมวาร
สมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า
พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทั้ง ๓ วาระ
ตั้งแต่วันสิ้นพระชนม์จนกระทั่งวันออกพระเมรุ
คณะสงฆ์ คณะรัฐบาล ข้าราชการ พ่อค้า และประชาชน
ได้โดยเสด็จพระราชกุศลบำเพ็ญกุศลอุทิศถวาย
มิได้ขาดเลยเป็นระยะเวลา ๖ เดือน ๔ วัน
พระรูปหล่อสมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทโย)
ประดิษฐานหน้าเจดีย์บรรจุพระอัฐิ
การพระเมรุ
ในการออกพระเมรุ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กำหนด
วันที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๐๘ เป็นวันพระราชทานเพลิง
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระเกียรติแก่พระศพ
และทรงบำเพ็ญพระราชกุศลครบทุกประการ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างสูงสุด
ภาพหาชมได้ยากมาก :: ในคราวที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ ๘ (ขณะมีพระชนม์ ๑๓ พรรษา) พร้อมด้วย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช รัชกาลที่ ๙ พระอนุชา (ขณะมีพระชนม์ ๑๑ พรรษา) และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ พระเชษฐภคินี (ขณะมีพระชนม์ ๑๕ พรรษา) เสด็จนิวัตจากยุโรปสู่พระนครเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๔๘๑ นั้น ได้เสด็จไปทรงสักการะ พระบรมบรรพต (ภูเขาทอง) ที่วัดวัดสระเกศ โดยมี สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทโย) สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อครั้งเป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ “พระธรรมเจดีย์” ถวายการรับเสด็จฯ
ใน ระหว่างที่ประทับอยู่ในพระนครนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ ๘ ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจมากมาย อาทิ เสด็จพระราชดำเนินเปิดโรงพยาบาลอานันทมหิดล ที่จังหวัดลพบุรี, เสด็จพระราชทานธงประจำกองแก่ยุวชนทหาร ที่ท้องสนามหลวง, เสด็จงานสมคานักเรียนเก่าอังกฤษ, ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายสมเด็จพระบูรพมหากษัตริย์, เสด็จเยี่ยมพระบรมวงศ์ชั้นสูง และเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรวัดสำคัญๆ ได้แก่ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) วัดเบญจมบพิตร วัดสระเกศ วัดอรุณราชวราราม วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) วัดบวรนิเวศวิหาร วัดสุทัศนเทพวราราม และวัดเทพศิรินทร์ เป็นต้น
สำหรับ “วัดสุทัศนเทพวราราม” นี้ถือเป็นพระอารามประจำรัชกาลที่ ๘ เนื่องจากเมื่อคราวที่พระองค์ท่านได้เสด็จนิวัติพระนครเป็นครั้งแรก ก็ได้เสด็จมาที่วัดแห่งนี้ และทรงปรารภว่า “(วัดสุทัศน์) ที่นี่ร่มเย็นน่าอยู่จริง” และเมื่อทรงประกอบพิธีแสดงพระองค์เป็นพุทธมามกะ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทโว) สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงเป็นพุทธมามกจารย์และถวายพระโอวาท อีกทั้งพระองค์ท่านยังได้เสด็จมาทำพระสมาธิที่วัดแห่งนี้บ่อยๆ อีกด้วย
ทรง เสด็จกลับไปศึกษาต่อ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๔๘๒ ระยะเวลาเพียง ๒ เดือนที่ประทับอยู่ในประเทศไทยได้ทรงผูกพันจิตใจของประชาชนคนไทยไว้อย่าง มั่นคงและแน่นแฟ้น
ครั้น เมื่อรัชกาลที่ ๘ เสด็จสวรรคตแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ ๙ จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้บรรจุพระบรมราชสรีรางคารพระบรมเชษฐาธิราชเจ้า ไว้ ณ ผ้าทิพย์ เบื้องหน้าฐานชุกชี “พระศรีศากยมุนี” พระประธานในพระวิหารหลวง วัดสุทัศนเทพวราราม ในวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๔๙๓ ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเสด็จสวรรคต และทรงโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลคล้ายวันสวรรคต ของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ในวันที่ ๙ มิถุนายนของทุกปี
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น