วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2559

เมื่อในหลวง ร.๙ ทรงเลี่ยงคำสั่งแพทย์ “ห้ามเป่าแซกโซโฟน” . ในสมัยที่ทรงจำเริญพระชันษาขึ้นวัยรุ่นแล้ว ขณะประทับอยู่ที่พระตำหนักวิลลาวัฒนา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ครั้งหนึ่งประชวรด้วยพระโรคทางเดินหายใจ (หวัด) แพทย์ถวายการรักษาแล้วขอพระราชทานพระราชานุญาตห้ามทรงดนตรีเครื่องเป่าไว้สักระยะหนึ่ง แต่เมื่อ “พระอารมณ์ศิลปิน” เกิดขึ้น ทรงพระราชดำริทำนองเพลงปรากฏขึ้นมาในพระจินตนาการ ก็ทรง “รอไม่ได้” เพราะทรงเกรงว่าถ้ารอไว้อาจจะทรงลืมเลือนหรือแปรเปลี่ยนไปเสียอีก ดังนั้นอีกครู่หนึ่งต่อมา เสียงแซกโซโฟนก็กังวานแว่วขึ้นได้ยินไปทั่วพระตำหนักอย่างไพเราะเพราะพริ้ง สมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ และบรรดาข้าราชบริพารได้ยินเสียงก็พากันตกพระทัย ต่างรีบไปห้องประทับอย่างชุลมุน พลางคิดหาคำพูดไว้กราบบังคมทูลทัดทานและประเมินผลสำเร็จอยู่ในใจ เพราะต่างรู้กันอยู่ว่า “หมอห้าม” . แต่แล้วทุกพระองค์และทุกคนต่างก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ และอดที่จะขำขันกับภาพที่ได้เห็นนั้นไม่ได้ เพราะที่เห็นคือ หม่อมเจ้าจักรพันธุ์ฯ ประทับนั่งขัดสมาธิอยู่กับพื้น มีแซกโซโฟนห้อยอยู่ที่คอ โอษฐ์ทรงอมลิ้นแซกโซโฟน เป่าจนแก้มโป่ง สองกรยันองค์อยู่ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับคุกพระชานุ (เข่า) อยู่เบื้องปฤษฎางค์ (หลัง) ของหม่อมเจ้าจักรพันธุ์ สองพระกรโอบองค์หม่อมเจ้าจักรพันธุ์ไป ทรงไล่นิ้วแซกโซโฟนอยู่ข้างหน้า เป็นอันว่าหม่อมเจ้าจักรพันธุ์ทรงเป่าลมให้ออกเสียง ส่วนสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้นทรงไล่นิ้วเสียงให้เป็นไปตามทำนองเพลง เป็นภาพที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน . พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ จะทรงเป็นเช่นนี้เสมอมา คือ เมื่อทรงสนพระราชหฤทัยในสิ่งใดจะทรงทุ่มเท ฝักใฝ่จริงจังกับสิ่งนั้น ไม่สำเร็จไม่รู้ผลจะไม่ทรงเลิกราเป็นอันขาด แม้ในการเสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมประชาชนก็เช่นเดียวกัน เมื่อทรงตั้งพระราชหฤทัยว่าวันนี้จะเสด็จไปไหน ไปถึงไหนแล้ว ไม่ว่าจะค่ำมืดดึกดื่น หนทางจะทุรกันดารเพียงไร จะต้องเสด็จฯ จนครบตามจุดหมายที่ทรงกำหนดไว้เสมอ ขอบคุณ tnews.co.th

เมื่อในหลวง ร.๙ ทรงเลี่ยงคำสั่งแพทย์ “ห้ามเป่าแซกโซโฟน”
.
ในสมัยที่ทรงจำเริญพระชันษาขึ้นวัยรุ่นแล้ว ขณะประทับอยู่ที่พระตำหนักวิลลาวัฒนา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ครั้งหนึ่งประชวรด้วยพระโรคทางเดินหายใจ (หวัด) แพทย์ถวายการรักษาแล้วขอพระราชทานพระราชานุญาตห้ามทรงดนตรีเครื่องเป่าไว้สักระยะหนึ่ง แต่เมื่อ “พระอารมณ์ศิลปิน” เกิดขึ้น ทรงพระราชดำริทำนองเพลงปรากฏขึ้นมาในพระจินตนาการ ก็ทรง “รอไม่ได้” เพราะทรงเกรงว่าถ้ารอไว้อาจจะทรงลืมเลือนหรือแปรเปลี่ยนไปเสียอีก ดังนั้นอีกครู่หนึ่งต่อมา เสียงแซกโซโฟนก็กังวานแว่วขึ้นได้ยินไปทั่วพระตำหนักอย่างไพเราะเพราะพริ้ง สมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ และบรรดาข้าราชบริพารได้ยินเสียงก็พากันตกพระทัย ต่างรีบไปห้องประทับอย่างชุลมุน พลางคิดหาคำพูดไว้กราบบังคมทูลทัดทานและประเมินผลสำเร็จอยู่ในใจ เพราะต่างรู้กันอยู่ว่า “หมอห้าม”
.
แต่แล้วทุกพระองค์และทุกคนต่างก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ และอดที่จะขำขันกับภาพที่ได้เห็นนั้นไม่ได้ เพราะที่เห็นคือ หม่อมเจ้าจักรพันธุ์ฯ ประทับนั่งขัดสมาธิอยู่กับพื้น มีแซกโซโฟนห้อยอยู่ที่คอ โอษฐ์ทรงอมลิ้นแซกโซโฟน เป่าจนแก้มโป่ง สองกรยันองค์อยู่ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับคุกพระชานุ (เข่า) อยู่เบื้องปฤษฎางค์ (หลัง) ของหม่อมเจ้าจักรพันธุ์ สองพระกรโอบองค์หม่อมเจ้าจักรพันธุ์ไป ทรงไล่นิ้วแซกโซโฟนอยู่ข้างหน้า เป็นอันว่าหม่อมเจ้าจักรพันธุ์ทรงเป่าลมให้ออกเสียง ส่วนสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้นทรงไล่นิ้วเสียงให้เป็นไปตามทำนองเพลง เป็นภาพที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน
.
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ จะทรงเป็นเช่นนี้เสมอมา คือ เมื่อทรงสนพระราชหฤทัยในสิ่งใดจะทรงทุ่มเท ฝักใฝ่จริงจังกับสิ่งนั้น ไม่สำเร็จไม่รู้ผลจะไม่ทรงเลิกราเป็นอันขาด แม้ในการเสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมประชาชนก็เช่นเดียวกัน เมื่อทรงตั้งพระราชหฤทัยว่าวันนี้จะเสด็จไปไหน ไปถึงไหนแล้ว ไม่ว่าจะค่ำมืดดึกดื่น หนทางจะทุรกันดารเพียงไร จะต้องเสด็จฯ จนครบตามจุดหมายที่ทรงกำหนดไว้เสมอ

ขอบคุณ tnews.co.th

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น