วันพุธที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2560

สองแนวคิดในเรื่องเดียว บุคคลผู้ยิ่งใหญ่ของสหรัฐอเมริกาสองท่าน ให้ข้อคิดเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตให้แก่ชนรุ่นหลัง อย่างไรก็ตามแนวทางการดำรงชีวิตของทั้งสองท่านนั้นแตกต่างกันอย่างมาก ทำให้รู้สึกมีความสนใจเป็นอย่างมาก หากเปรียบเทียบข้อคิดของทั้งสองท่านนี้ คุณผู้อ่านอาจค้นพบว่า แนวทางไหนกันที่เหมาะสมกับคุณ? โทมัส เจฟเฟอร์สัน ประธานาธิบดีคนที่สามของสหรัฐอเมริกา มอบข้อคิดเหล่านี้ให้แก่หลานชายของเขา 1. เรื่องที่ทำได้ในวันนี้ จะต้องไม่รอไปทำวันพรุ่งนี้ 2. เรื่องที่ตัวเองทำเองได้ จะต้องไม่รบกวนผู้อื่น 3. อย่าใช้เงินที่ยังไม่ตกมาถึงมืออย่างเด็ดขาด 4. อย่าซื้อของที่ไม่จำเป็น เพราะเห็นว่าราคาถูก 5. ความยโสโอหังทำลายสุขภาพเสียยิ่งกว่าความหิวโหย 6. อย่าเห็นแก่กิน กินมากเกินไปร่างกายกลับจะไม่แข็งแรง 7. อย่าทำอะไรด้วยความฝืนใจ งานจะออกมาไม่ดี ต้องทำด้วยความยินยอมพร้อมใจเท่านั้น 8. อย่าไปทุกข์ร้อนใจกับเรื่องที่ไม่มีทางเกิดขึ้น 9. ไม่ว่าจะทำอะไรต้องมีวิธีการ ไม่ใช่สักแต่ว่าทำไปส่งๆ 10. เวลาโกรธจงนับหนึ่งถึงสิบก่อน ถ้ายังไม่หายโกรธให้นับจนถึงร้อย ในขณะที่ จอห์น เดนเวอร์ ผู้จัดการหุ้นดาวดังแห่งซิลิคอนแวลลีย์ เมืองแห่งนวัตกรรมทางไอที ให้ข้อคิดไว้ในการสัมภาษณ์ครั้งหนึ่งว่า 1. เรื่องของวันนี้ หากเก็บไปทำในวันพรุ่งนี้ อาจพบว่า ผลที่ออกมานั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะเรื่องการซื้อขายหุ้น 2. ที่คนอื่นทำได้ ผมจะไม่ลงมือทำเองอย่างเด็ดขาด เพราะผมเชื่อว่า มีแต่เรื่องที่คนอื่นทำไม่ได้เท่านั้นที่คู่ควรให้ผมไปทำ 3. หากใช้เงินคนอื่นทำกำไรให้เราได้ ผมจะไม่ควักกระเป๋าตัวเองแม้แต่สตางค์แดงเดียว 4. ผมชอบซื้อสินค้าในช่วงลดราคา ถึงจะมีของหลายอย่างที่ยังไม่จำเป็นต้องใช้ แต่สักวันต้องมีโอกาสได้ใช้อย่างแน่นอน นี่เป็นเพียงการคาดการณ์โดยพื้นฐานอย่างหนึ่ง เหมือนกับที่ผมจะช้อนซื้อหุ้นเวลาที่หุ้นตกเท่านั้น จากนั้นก็รอวันร่ำรวยเป็นเศรษฐี 5. หลายคนคิดว่าผมบ้าระห่ำและอวดดี แล้วนั่นผิดด้วยหรือ พ่อแม่และเพื่อนๆ ต่างภาคภูมิใจในตัวผม แล้วมีเหตุผลอะไรที่ผมจะไม่ภาคภูมิใจในตัวเอง ผมคิดว่าผมทำทุกอย่างได้ดีมาก ผมประสบความสำเร็จแล้ว 6. ผมไม่เคยคิดว่าเราควรจะอดอาหาร และไม่เห็นว่าหัวข้อสนทนาอันไร้สาระนี้ มีค่าควรแก่การนำมาพูดคุยตรงไหน ผมยินดีแสร้งทำเป็นชอบอาหาร เพียงเพื่อจะทำให้พ่อครัวดีใจ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ผมก็ชอบอาหารรสเลิศจริงๆ อาหารอร่อยทำให้จิตใจคนเราเบิกบาน 7. ผมต้องทำสิ่งที่ไม่อยากทำอยู่เสมอ แต่ในโลกนี้มีใครบ้างที่ทำแต่สิ่งที่ตัวเองต้องการได้ทุกอย่าง อย่างผมที่ฝันอยากจะเป็นนักดนตรี สุดท้ายกลับกลายมาเป็นโบรกเกอร์ 8. ผมมักคาดการณ์ล่วงหน้าเสมอว่าจะเกิดภัยพิบัติขึ้น แม้ว่าแนวโน้มแทบจะเป็นศูนย์ก็ตาม แต่ก็เพราะสัญชาตญาณแบบนี้นั่นเอง ที่ทำให้บริษัทของผม รอดพ้นจากวิกฤติทางการเงินในสหรัฐฯ มาได้อย่างปลอดภัยทุกครั้ง 9. ผมเชื่อว่าเมื่อเรามีเป้าหมายชัดเจนแน่นอน ก็ควรทำให้เป็นจริง โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าจะต้องแลกมาด้วยสิ่งใด ในยุคนี้ผู้คนให้ความสำคัญแต่ผลลัพธ์เท่านั้น ยังจะมีใครสนใจเรื่องวิธีการอีกเล่า 10. ผมไม่เคยปิดบังสิ่งที่ผมชอบ รวมทั้งความคิดเห็นที่ผมมีต่อผู้อื่น ยิ่งเวลาผมโกรธ การแผดเสียงดังเอะอะโวยวาย เป็นวิธีระบายอารมณ์ที่ได้ผลดีที่สุด คุณลองเปรียบเทียบระหว่างประธานาธิบดีกับมหาเศรษฐี คุณคงเห็นแล้วว่าโลกใบนี้ก็เป็นเช่นนี้เอง สำหรับประธานาธิบดีแล้ว ท่าทีในการดำเนินชีวิตแบบอนุรักษนิยม ทำให้เขาประสบความสำเร็จได้จนกระทั่งเป็นประธานาธิบดี สำหรับเศรษฐี รูปแบบในการใช้ชีวิตแบบสุดโต่ง ทำให้เขาประสบความสำเร็จ ร่ำรวย ซึ่งทั้งสองรูปแบบนี้ไม่อาจแบ่งแยกได้ว่าอันไหนดี อันไหนไม่ดี อย่างไรก็ตาม ความหยิ่งยโสเป็นสิ่งไม่ดีแน่นอน ทุกความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ล้วนไม่อาจอาศัยเพียงสติปัญญาของคนคนเดียวได้ ดังนั้น จงเชื่อมั่นในตนเอง แต่อย่าตกอยู่ในความหยิ่งยโสเด็ดขาด Cr. สุขได้ถ้าวางเป็น

สองแนวคิดในเรื่องเดียว

    บุคคลผู้ยิ่งใหญ่ของสหรัฐอเมริกาสองท่าน ให้ข้อคิดเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตให้แก่ชนรุ่นหลัง

    อย่างไรก็ตามแนวทางการดำรงชีวิตของทั้งสองท่านนั้นแตกต่างกันอย่างมาก ทำให้รู้สึกมีความสนใจเป็นอย่างมาก หากเปรียบเทียบข้อคิดของทั้งสองท่านนี้ คุณผู้อ่านอาจค้นพบว่า

แนวทางไหนกันที่เหมาะสมกับคุณ?

    โทมัส เจฟเฟอร์สัน ประธานาธิบดีคนที่สามของสหรัฐอเมริกา มอบข้อคิดเหล่านี้ให้แก่หลานชายของเขา

1. เรื่องที่ทำได้ในวันนี้ จะต้องไม่รอไปทำวันพรุ่งนี้
2. เรื่องที่ตัวเองทำเองได้ จะต้องไม่รบกวนผู้อื่น
3. อย่าใช้เงินที่ยังไม่ตกมาถึงมืออย่างเด็ดขาด
4. อย่าซื้อของที่ไม่จำเป็น เพราะเห็นว่าราคาถูก
5. ความยโสโอหังทำลายสุขภาพเสียยิ่งกว่าความหิวโหย
6. อย่าเห็นแก่กิน กินมากเกินไปร่างกายกลับจะไม่แข็งแรง
7. อย่าทำอะไรด้วยความฝืนใจ งานจะออกมาไม่ดี ต้องทำด้วยความยินยอมพร้อมใจเท่านั้น
8. อย่าไปทุกข์ร้อนใจกับเรื่องที่ไม่มีทางเกิดขึ้น
9. ไม่ว่าจะทำอะไรต้องมีวิธีการ ไม่ใช่สักแต่ว่าทำไปส่งๆ
10. เวลาโกรธจงนับหนึ่งถึงสิบก่อน ถ้ายังไม่หายโกรธให้นับจนถึงร้อย

     ในขณะที่ จอห์น เดนเวอร์ ผู้จัดการหุ้นดาวดังแห่งซิลิคอนแวลลีย์ เมืองแห่งนวัตกรรมทางไอที ให้ข้อคิดไว้ในการสัมภาษณ์ครั้งหนึ่งว่า

1. เรื่องของวันนี้ หากเก็บไปทำในวันพรุ่งนี้ อาจพบว่า ผลที่ออกมานั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะเรื่องการซื้อขายหุ้น

2. ที่คนอื่นทำได้ ผมจะไม่ลงมือทำเองอย่างเด็ดขาด เพราะผมเชื่อว่า มีแต่เรื่องที่คนอื่นทำไม่ได้เท่านั้นที่คู่ควรให้ผมไปทำ

3. หากใช้เงินคนอื่นทำกำไรให้เราได้ ผมจะไม่ควักกระเป๋าตัวเองแม้แต่สตางค์แดงเดียว

4. ผมชอบซื้อสินค้าในช่วงลดราคา ถึงจะมีของหลายอย่างที่ยังไม่จำเป็นต้องใช้ แต่สักวันต้องมีโอกาสได้ใช้อย่างแน่นอน นี่เป็นเพียงการคาดการณ์โดยพื้นฐานอย่างหนึ่ง เหมือนกับที่ผมจะช้อนซื้อหุ้นเวลาที่หุ้นตกเท่านั้น จากนั้นก็รอวันร่ำรวยเป็นเศรษฐี

5. หลายคนคิดว่าผมบ้าระห่ำและอวดดี แล้วนั่นผิดด้วยหรือ พ่อแม่และเพื่อนๆ ต่างภาคภูมิใจในตัวผม แล้วมีเหตุผลอะไรที่ผมจะไม่ภาคภูมิใจในตัวเอง ผมคิดว่าผมทำทุกอย่างได้ดีมาก ผมประสบความสำเร็จแล้ว

6. ผมไม่เคยคิดว่าเราควรจะอดอาหาร และไม่เห็นว่าหัวข้อสนทนาอันไร้สาระนี้ มีค่าควรแก่การนำมาพูดคุยตรงไหน ผมยินดีแสร้งทำเป็นชอบอาหาร เพียงเพื่อจะทำให้พ่อครัวดีใจ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ผมก็ชอบอาหารรสเลิศจริงๆ อาหารอร่อยทำให้จิตใจคนเราเบิกบาน

7. ผมต้องทำสิ่งที่ไม่อยากทำอยู่เสมอ แต่ในโลกนี้มีใครบ้างที่ทำแต่สิ่งที่ตัวเองต้องการได้ทุกอย่าง อย่างผมที่ฝันอยากจะเป็นนักดนตรี สุดท้ายกลับกลายมาเป็นโบรกเกอร์

8. ผมมักคาดการณ์ล่วงหน้าเสมอว่าจะเกิดภัยพิบัติขึ้น แม้ว่าแนวโน้มแทบจะเป็นศูนย์ก็ตาม แต่ก็เพราะสัญชาตญาณแบบนี้นั่นเอง ที่ทำให้บริษัทของผม รอดพ้นจากวิกฤติทางการเงินในสหรัฐฯ มาได้อย่างปลอดภัยทุกครั้ง

9. ผมเชื่อว่าเมื่อเรามีเป้าหมายชัดเจนแน่นอน ก็ควรทำให้เป็นจริง โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าจะต้องแลกมาด้วยสิ่งใด ในยุคนี้ผู้คนให้ความสำคัญแต่ผลลัพธ์เท่านั้น ยังจะมีใครสนใจเรื่องวิธีการอีกเล่า

10. ผมไม่เคยปิดบังสิ่งที่ผมชอบ รวมทั้งความคิดเห็นที่ผมมีต่อผู้อื่น ยิ่งเวลาผมโกรธ การแผดเสียงดังเอะอะโวยวาย เป็นวิธีระบายอารมณ์ที่ได้ผลดีที่สุด

     คุณลองเปรียบเทียบระหว่างประธานาธิบดีกับมหาเศรษฐี คุณคงเห็นแล้วว่าโลกใบนี้ก็เป็นเช่นนี้เอง

     สำหรับประธานาธิบดีแล้ว ท่าทีในการดำเนินชีวิตแบบอนุรักษนิยม ทำให้เขาประสบความสำเร็จได้จนกระทั่งเป็นประธานาธิบดี สำหรับเศรษฐี รูปแบบในการใช้ชีวิตแบบสุดโต่ง ทำให้เขาประสบความสำเร็จ ร่ำรวย ซึ่งทั้งสองรูปแบบนี้ไม่อาจแบ่งแยกได้ว่าอันไหนดี อันไหนไม่ดี

     อย่างไรก็ตาม ความหยิ่งยโสเป็นสิ่งไม่ดีแน่นอน ทุกความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ล้วนไม่อาจอาศัยเพียงสติปัญญาของคนคนเดียวได้ ดังนั้น จงเชื่อมั่นในตนเอง แต่อย่าตกอยู่ในความหยิ่งยโสเด็ดขาด

Cr. สุขได้ถ้าวางเป็น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น