วันพุธที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2560

#เวรกรรม บุคคลผู้ดำรงชีวิตอยู่ในโลกยิ่งนานเท่าใด ก็ยิ่งถูกมรสุมแห่งชีวิตมากเท่านั้น มรสุมดังกล่าวนี้ เช่น มีคนด่าเสียดสีบ้าง มีคนมาทุบตีประหัตประหารบ้าง ในการแข่งขันเกมชีวิต เขาชนะเราบ้าง และเราอาจถูกลักขโมยของอันเป็นที่รักบ้าง เมื่อถูกกระทำเช่นนี้ ใครผูกเวร ผูกพยาบาท ก็ต้องจองเวรกันอยู่เรื่อยไป มีการกระทำและกระทำตอบอยู่เสมอไม่สิ้นสุดลงได้ บางทีหลายชั่วอายุคน จองเวรกันอยู่หลายชาติก็มี ส่วนบุคคลผู้พิจารณาเห็นโทษของการจองเวร ไม่ผูกเวร ใครผิดพลาดต่อตนก็ให้อภัยเสีย ประกอบด้วยขันติและเมตตา มีอุดมคติยึดคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นทางดำเนินชีวิต และถือว่าบุคคลประกอบกรรมอันใด ย่อมได้รับผลแห่งกรรมอันนั้นด้วยตนเอง พยายามคุ้มครองรักษาตนให้บริสุทธิ์ อยู่ด้วยใจอันมั่นคง บุคคลเช่นนี้ย่อมไม่มีเวร เมื่อไม่มีเวร ภัยจักมีจากไหน แนวคิดอย่างนี้ มีส่วนสัมพันธ์กับ ความเชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรมและการเกิดใหม่ แรงกรรมมีอำนาจเหนือสติปัญญา สมดังที่พระศาสดาตรัสว่า นตฺถิ กมฺมสมํ พลํ ไม่มีกำลังใดเสมอด้วยกำลังแห่งกรรม ถ้าสติปัญญามีอำนาจเหนือแรงกรรมแล้ว จะมีนักปราชญ์หรือบัณฑิตใดเล่า จะต้องตกอับหรือผิดพลาดในชีวิต ดังนั้น บัณฑิตจึงไม่ควรก่อเวร ไม่ควรผูกเวร เพื่อจักได้ระงับเวรทั้งในปัจจุบันและอนาคต. ========================== #ทางชีวิต #เพจอาจารย์วศิน อินทสระ

#เวรกรรม

บุคคลผู้ดำรงชีวิตอยู่ในโลกยิ่งนานเท่าใด
ก็ยิ่งถูกมรสุมแห่งชีวิตมากเท่านั้น
มรสุมดังกล่าวนี้ เช่น มีคนด่าเสียดสีบ้าง
มีคนมาทุบตีประหัตประหารบ้าง
ในการแข่งขันเกมชีวิต เขาชนะเราบ้าง
และเราอาจถูกลักขโมยของอันเป็นที่รักบ้าง

เมื่อถูกกระทำเช่นนี้ ใครผูกเวร ผูกพยาบาท
ก็ต้องจองเวรกันอยู่เรื่อยไป
มีการกระทำและกระทำตอบอยู่เสมอไม่สิ้นสุดลงได้
บางทีหลายชั่วอายุคน จองเวรกันอยู่หลายชาติก็มี

ส่วนบุคคลผู้พิจารณาเห็นโทษของการจองเวร
ไม่ผูกเวร ใครผิดพลาดต่อตนก็ให้อภัยเสีย
ประกอบด้วยขันติและเมตตา
มีอุดมคติยึดคำสอนของพระพุทธเจ้า
เป็นทางดำเนินชีวิต
และถือว่าบุคคลประกอบกรรมอันใด
ย่อมได้รับผลแห่งกรรมอันนั้นด้วยตนเอง
พยายามคุ้มครองรักษาตนให้บริสุทธิ์
อยู่ด้วยใจอันมั่นคง บุคคลเช่นนี้ย่อมไม่มีเวร
เมื่อไม่มีเวร ภัยจักมีจากไหน
แนวคิดอย่างนี้ มีส่วนสัมพันธ์กับ
ความเชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรมและการเกิดใหม่

แรงกรรมมีอำนาจเหนือสติปัญญา
สมดังที่พระศาสดาตรัสว่า
นตฺถิ กมฺมสมํ พลํ
ไม่มีกำลังใดเสมอด้วยกำลังแห่งกรรม

ถ้าสติปัญญามีอำนาจเหนือแรงกรรมแล้ว
จะมีนักปราชญ์หรือบัณฑิตใดเล่า
จะต้องตกอับหรือผิดพลาดในชีวิต

ดังนั้น บัณฑิตจึงไม่ควรก่อเวร ไม่ควรผูกเวร
เพื่อจักได้ระงับเวรทั้งในปัจจุบันและอนาคต.
==========================

#ทางชีวิต
#เพจอาจารย์วศิน อินทสระ

อยากมีชีวิตใหม่ ทำใจให้อยู่กับปัจจุบันเข้าไว้ ชีวิตจะใหม่เสมอ ใหม่ทุกวัน ไม่เบื่อคนใกล้ตัวด้วย ที่เบื่อคนใกล้ตัว เพราะมองเรื่องอดีตของเขา เราต่างหากเป็นผู้ไม่ยุติธรรม ถ้ามองเขาในปัจจุบันนี่ เขาจะกลายเป็นคนใหม่สำหรับเราทันที นี่คือเคล็ดลับการมีความสุขกับปัจจุบัน ไม่ต้องไปเปลี่ยนคู่ มองคนเก่าให้เป็นปัจจุบัน เขาจะกลายเป็นคนใหม่ ใหม่เสมอ ใหม่ทุกวัน ชีวิตก็จะมีความสุข นี่คือเรื่องปัจจุบัน อนาคตก็อย่าไปมอง อนาคตไม่มีหรอก พรุ่งนี้ก็ยังไม่จริง ปัจจุบันจริงกว่า เราจะมีความสุขก็ปัจจุบัน (ขณะนี้) นี่แหละ อย่าไปรอความสุขในอนาคต ดึงความสุขในอนาคตมาเป็นปัจจุบันให้หมด เป็นคนไม่มีอนาคตไปเลย อยู่กับปัจจุบัน ปัจจุบันดีแล้ว อนาคตก็ย่อมดี สุขหาได้จากปัจจุบันนะ อย่าไปรออนาคต นี่คือการฝึกเจริญสติ อยู่กับการเคลื่อนไหวของร่างกาย ฝึกบ่อยๆ ให้ชำนาญ จิตจะเคยชิน เหมือนจิตถูกสอน เช่น เวลาเรารู้อาการของร่างกาย เราพองก็รู้ ยุบก็รู้ จิตถูกสอน สอนให้กลับมารู้ กลับมารู้ตัวเรา พอสอนบ่อยๆ จิตจะชำนาญ จะรู้เองได้ แต่การสอนจิตที่ชอบเผลอ เวลาเราไม่ปฏิบัติจะเผลอบ่อย คิดอดีต คิดอนาคต แล้วก็เอาความทุกข์มาใส่ใจเรา ให้เราเป็นทุกข์ แต่ถ้าเราสอนให้รู้สึกบ่อยๆ ที่เนื้อที่ตัวเรานี่ จิตก็จะกลับมา จะไม่หนีไปไหน สอนจิตเหมือนสอนลูก อาจจะใช้คำบริกรรม แต่บริกรรมแบบให้รู้สึกตัวด้วยนะ ไม่ใช่บริกรรมว่าพองหนอ ยุบหนอ แต่ไม่รู้ตัวเลยว่าท้องพอตอนไหน ยุบตอนไหน ต้องรู้สึกด้วย เวลาเราบริกรรมว่าพองหนอ ให้ใส่ความรู้สึกลงไปในอาการ ที่พองเวลาท้องยุบก็ว่า ยุบหนอ ให้รู้สึกลงไปในอาการที่ท้องยุบ คำบริกรรมพองหนอ ยุบหนอ เป็นคาถา ต้อง มีความรู้สึกตัว จึงจะเป็นการใช้คาถาอย่างถูกต้อง ------------ #ปาฏิหาริย์แห่งความรู้สึกตัว อ.กำพล ทองบุญนุ่ม

อยากมีชีวิตใหม่
ทำใจให้อยู่กับปัจจุบันเข้าไว้
ชีวิตจะใหม่เสมอ ใหม่ทุกวัน
ไม่เบื่อคนใกล้ตัวด้วย
ที่เบื่อคนใกล้ตัว
เพราะมองเรื่องอดีตของเขา

เราต่างหากเป็นผู้ไม่ยุติธรรม
ถ้ามองเขาในปัจจุบันนี่
เขาจะกลายเป็นคนใหม่สำหรับเราทันที

นี่คือเคล็ดลับการมีความสุขกับปัจจุบัน
ไม่ต้องไปเปลี่ยนคู่
มองคนเก่าให้เป็นปัจจุบัน
เขาจะกลายเป็นคนใหม่ ใหม่เสมอ ใหม่ทุกวัน

ชีวิตก็จะมีความสุข นี่คือเรื่องปัจจุบัน
อนาคตก็อย่าไปมอง อนาคตไม่มีหรอก
พรุ่งนี้ก็ยังไม่จริง ปัจจุบันจริงกว่า
เราจะมีความสุขก็ปัจจุบัน (ขณะนี้) นี่แหละ

อย่าไปรอความสุขในอนาคต
ดึงความสุขในอนาคตมาเป็นปัจจุบันให้หมด
เป็นคนไม่มีอนาคตไปเลย อยู่กับปัจจุบัน
ปัจจุบันดีแล้ว อนาคตก็ย่อมดี
สุขหาได้จากปัจจุบันนะ อย่าไปรออนาคต

นี่คือการฝึกเจริญสติ
อยู่กับการเคลื่อนไหวของร่างกาย

ฝึกบ่อยๆ ให้ชำนาญ จิตจะเคยชิน
เหมือนจิตถูกสอน
เช่น เวลาเรารู้อาการของร่างกาย
เราพองก็รู้ ยุบก็รู้ จิตถูกสอน
สอนให้กลับมารู้ กลับมารู้ตัวเรา

พอสอนบ่อยๆ จิตจะชำนาญ จะรู้เองได้

แต่การสอนจิตที่ชอบเผลอ
เวลาเราไม่ปฏิบัติจะเผลอบ่อย
คิดอดีต คิดอนาคต
แล้วก็เอาความทุกข์มาใส่ใจเรา
ให้เราเป็นทุกข์ แต่ถ้าเราสอนให้รู้สึกบ่อยๆ
ที่เนื้อที่ตัวเรานี่ จิตก็จะกลับมา จะไม่หนีไปไหน

สอนจิตเหมือนสอนลูก
อาจจะใช้คำบริกรรม
แต่บริกรรมแบบให้รู้สึกตัวด้วยนะ
ไม่ใช่บริกรรมว่าพองหนอ ยุบหนอ
แต่ไม่รู้ตัวเลยว่าท้องพอตอนไหน
ยุบตอนไหน ต้องรู้สึกด้วย

เวลาเราบริกรรมว่าพองหนอ
ให้ใส่ความรู้สึกลงไปในอาการ
ที่พองเวลาท้องยุบก็ว่า ยุบหนอ
ให้รู้สึกลงไปในอาการที่ท้องยุบ

คำบริกรรมพองหนอ ยุบหนอ เป็นคาถา
ต้อง มีความรู้สึกตัว
จึงจะเป็นการใช้คาถาอย่างถูกต้อง

------------

#ปาฏิหาริย์แห่งความรู้สึกตัว
อ.กำพล ทองบุญนุ่ม

เมื่อก่อนผมโคตรรำคาญอาม่าเลยครับ เรียกว่าแอบเกลียดเลยก็ได้ เพราะผมเป็นวัยรุ่นผู้ชายที่อยากเตะบอล ขี่จักรยาน เล่นเกมส์ แต่อาม่าชอบเรียกไปซื้อของเรียกไปถามอะไรซ้ำๆน่ารำคาญมากกกก วันนึงที่เริ่มโตขึ้นก็เริ่มเปิดใจ และคิดถึงสมัยผมเด็กๆที่อาม่าคอยทำหมูบ๊ะช่อให้กิน เวลาขอตังค์แม่ไม่ให้อาม่าก็ชอบแอบให้ ก็เลยเริ่มมาสนิทกันมากขึ้น เริ่มมาแกล้ง มากวนตีนอาม่า รู้มั๊ยครับเมื่อ4ปีก่อน ตอนนั้นอาม่านี่หาหมอสัปดาห์ละ3-4ครั้ง ทั้งรัฐบาลทั้งเอกชน คือแกติดหมอมากครับ ขอให้ได้หาเถอะ ทั้งความดัน หัวใจ กระดูก ภูมิแพ้ คลอเลสเตอรอล ฯลฯ แล้วก็ชอบป่วนคนนั้นคนนี้จนวุ่นวายไปหมด โทรไปสั่งก๋วยเตี๋ยวที่ร้านบอกเดี๋ยวให้เด็กไปเอา แต่ครึ่งชั่วโมงโทรไปสั่ง3-4ครั้งจนคนขายด่า จนกระทั่งวันที่ผมได้ทำเพจนี้ขึ้นมา และเริ่มเอาอาม่าผู้น่ารำคาญมาเล่นด้วย แกล้งอาม่า หาไรให้ม่าทำต่างๆนาๆ รู้มั๊ยครับ ตั้งแต่อาม่ามาเล่นแบบนี้ อาม่าหาหมอแค่เดือนละ3ครั้ง คือไปหาหมอนัดและไปฉีดยาภูมิแพ้ อาม่าจำเบอร์โทรศัพท์ลูกหลานทุกคนได้ จำเบอร์ร้านข้าว เบอร์โรงพยาบาล เบอร์วินมอไซด์ อาม่ากินทุกอย่างที่แกอยากกินแล้วมีความสุข (ปล. ผมคิดอีกแง่คือ แกอายุ86แล้ว ไม่อยากไปห้ามไปบังคับแกแล้วครับ) ที่ตั้งสเตตัสนี้เพราะผมอยากบอกใครอีกนับล้านคน ที่ที่บ้านมีผู้สูงอายุว่า "ให้แกเป็นคนสำคัญ เป็นคนที่มีตัวตนที่บ้านเราเถอะครับ อย่าให้เค้ารู้สึกว่าเป็นภาระของพวกเรา พาเค้าทำอะไรสนุกๆมั่ง พาไปทำไรมันส์ๆมั่ง เค้าจะได้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเราครับ แล้วผมว่าการดูแลผู้สูงอายุมันก็จะไม่ใช่เรื่องน่าเบื่ออีกต่อไป" ผมอยากให้คนเลียนแบบเราเยอะๆครับ มันอาจดูสร้างภาพ แต่ผมบอกแล้วว่า ผมก็เป็นคนนึงที่เคยรำคาญอาม่ามากครับ Cr. Benz Apache

เมื่อก่อนผมโคตรรำคาญอาม่าเลยครับ
เรียกว่าแอบเกลียดเลยก็ได้ เพราะผมเป็นวัยรุ่นผู้ชายที่อยากเตะบอล ขี่จักรยาน เล่นเกมส์
แต่อาม่าชอบเรียกไปซื้อของเรียกไปถามอะไรซ้ำๆน่ารำคาญมากกกก 

วันนึงที่เริ่มโตขึ้นก็เริ่มเปิดใจ
และคิดถึงสมัยผมเด็กๆที่อาม่าคอยทำหมูบ๊ะช่อให้กิน เวลาขอตังค์แม่ไม่ให้อาม่าก็ชอบแอบให้
ก็เลยเริ่มมาสนิทกันมากขึ้น เริ่มมาแกล้ง
มากวนตีนอาม่า 

รู้มั๊ยครับเมื่อ4ปีก่อน ตอนนั้นอาม่านี่หาหมอสัปดาห์ละ3-4ครั้ง ทั้งรัฐบาลทั้งเอกชน คือแกติดหมอมากครับ ขอให้ได้หาเถอะ ทั้งความดัน  หัวใจ  กระดูก ภูมิแพ้ คลอเลสเตอรอล ฯลฯ
แล้วก็ชอบป่วนคนนั้นคนนี้จนวุ่นวายไปหมด
โทรไปสั่งก๋วยเตี๋ยวที่ร้านบอกเดี๋ยวให้เด็กไปเอา
แต่ครึ่งชั่วโมงโทรไปสั่ง3-4ครั้งจนคนขายด่า

จนกระทั่งวันที่ผมได้ทำเพจนี้ขึ้นมา
และเริ่มเอาอาม่าผู้น่ารำคาญมาเล่นด้วย  
แกล้งอาม่า หาไรให้ม่าทำต่างๆนาๆ รู้มั๊ยครับ
ตั้งแต่อาม่ามาเล่นแบบนี้ อาม่าหาหมอแค่เดือนละ3ครั้ง คือไปหาหมอนัดและไปฉีดยาภูมิแพ้ อาม่าจำเบอร์โทรศัพท์ลูกหลานทุกคนได้ จำเบอร์ร้านข้าว เบอร์โรงพยาบาล เบอร์วินมอไซด์ อาม่ากินทุกอย่างที่แกอยากกินแล้วมีความสุข
(ปล. ผมคิดอีกแง่คือ แกอายุ86แล้ว ไม่อยากไปห้ามไปบังคับแกแล้วครับ)

ที่ตั้งสเตตัสนี้เพราะผมอยากบอกใครอีกนับล้านคน ที่ที่บ้านมีผู้สูงอายุว่า
"ให้แกเป็นคนสำคัญ เป็นคนที่มีตัวตนที่บ้านเราเถอะครับ อย่าให้เค้ารู้สึกว่าเป็นภาระของพวกเรา
พาเค้าทำอะไรสนุกๆมั่ง พาไปทำไรมันส์ๆมั่ง เค้าจะได้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเราครับ แล้วผมว่าการดูแลผู้สูงอายุมันก็จะไม่ใช่เรื่องน่าเบื่ออีกต่อไป"

ผมอยากให้คนเลียนแบบเราเยอะๆครับ
มันอาจดูสร้างภาพ แต่ผมบอกแล้วว่า
ผมก็เป็นคนนึงที่เคยรำคาญอาม่ามากครับ

Cr. Benz Apache

ใจคนเราเหมือนภาชนะ ใส่ความสุขไว้มาก ก็มีพื้นที่เหลือให้ความกลัดกลุ้มน้อยลง ใส่ความเรียบง่ายไว้มาก ก็มีพื้นที่เหลือให้ความซับซ้อนน้อยลง ใส่ความพอเพียงไว้มาก ก็มีพื้นที่เหลือให้ความทุกข์น้อยลง ใส่ความเข้าใจไว้มาก ก็มีพื้นที่เหลือให้ความขัดแย้งน้อยลง ใส่ความอภัยไว้มาก ก็มีพื้นที่เหลือให้ความแค้นเคืองน้อยลง คนอื่นเอาอะไรใส่ไปในใจของเขา เราไม่รู้ แต่เราใส่อะไรลงไปที่ใจของเรา เราต้องกระจ่างชัดเจน อย่าให้พื้นที่ของหัวใจถูกสีดำควบคุมมากกว่าสีขาว เพราะใจของเรา เราเลือกเอง ...................... นุสนธิ์บุคส์ธรรมะ #นุสนธิ์บุคส์ธรรมะ

ใจคนเราเหมือนภาชนะ
ใส่ความสุขไว้มาก ก็มีพื้นที่เหลือให้ความกลัดกลุ้มน้อยลง
ใส่ความเรียบง่ายไว้มาก ก็มีพื้นที่เหลือให้ความซับซ้อนน้อยลง
ใส่ความพอเพียงไว้มาก ก็มีพื้นที่เหลือให้ความทุกข์น้อยลง
ใส่ความเข้าใจไว้มาก ก็มีพื้นที่เหลือให้ความขัดแย้งน้อยลง
ใส่ความอภัยไว้มาก ก็มีพื้นที่เหลือให้ความแค้นเคืองน้อยลง
คนอื่นเอาอะไรใส่ไปในใจของเขา เราไม่รู้
แต่เราใส่อะไรลงไปที่ใจของเรา เราต้องกระจ่างชัดเจน
อย่าให้พื้นที่ของหัวใจถูกสีดำควบคุมมากกว่าสีขาว เพราะใจของเรา เราเลือกเอง

......................
นุสนธิ์บุคส์ธรรมะ
#นุสนธิ์บุคส์ธรรมะ

ผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริง คุณพ่อมีเพื่อนคนหนึ่ง เป็นนักวาดภาพชื่อดัง ทุกครั้งที่คุณพ่อพาผมไปเยี่ยมคุณลุง ผมมักจะเห็นมีนักวาดรุ่นใหม่มาขอคำชี้แนะจากคุณลุง คุณลุงก็แสนใจดี เห็นนั่งแนะนั่งสอนไม่หยุดไม่หย่อน แต่ละครั้งก็กินเวลายาวนานพอควร บางครั้ง คุณลุงเจอนักวาดรุ่นใหม่ที่ฝีมือดีมีศักยภาพเพียงพอ ก็ยังใจดีช่วยสนับสนุนแนะนำไปหาช่องทางที่สามารถช่วยต่อยอดได้ หรือแนะนำให้สื่อมวลชนที่รู้จักกันช่วยสนับสนุน คุณลุงยอมอุทิศเวลาและกำลังความสามารถช่วยอย่างจริงใจอยู่บ่อยๆ ผมรู้ว่าเวลาของคุณลุงมีค่ามาก แต่ก็เต็มที่กับการหนุนนำชนรุ่นหลัง ห้ามใจไม่อยู่จึงต้องถามว่า "คุณลุงครับ ทำไมไม่เอาเวลาไปตั้งหน้าตั้งตาวาดรูป เพราะรูปคุณลุงแต่ละรูปก็ได้เงินเป็นหมื่นเป็นแสน ทำไมยอมเสียสละเวลามากมายให้กับนักวาดรุ่นใหม่พวกนี้" คุณลุงชงักไปนิดนึง ก่อนจะตอบอย่างยิ้มแย้มว่า "ต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงที่จะเล่าให้หลานฟัง เมื่อสี่สิบปีที่แล้ว มีชายหนุ่มคนหนึ่งนำเอาภาพวาดของตนไปพบนักวาดในดวงใจของตน อยากให้นักวาดเรืองนามท่านนั้นช่วยวิจารณ์และชี้แนะในฝีมือตน แน่นอนที่สุด ชายหนุ่มผู้นั้นก็ยังเป็นนักวาดที่ไร้ชื่อเสียงในตอนนั้น แต่นักวาดเรืองนามท่านนั้นใช้หางตามองชายหนุ่ม ภาพก็ไม่ยอมคลี่ออกมาดู แค่พูดว่า ตนไม่เคยเสียเวลากับเรื่องพวกนี้ กลับไปเถอะ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความยะโส ชายหนุ่มรู้ซึ้งถึงการถูกไล่อย่างไร้ศักดิ์ศรี ก่อนก้าวออกจากบ้าน หันกลับไปบอกนักวาดยะโสท่านนั้นว่า "อาจารย์ครับ ตอนนี้อาจารย์ยืนอยู่บนยอดเขา เมื่อมองลงไปเชิงเขา ก็คงเห็นคนที่ไร้ชื่อเสียงอย่างผมมีตัวตนแค่เล็กนิดเดียว แต่อาจารย์ช่วยรับรู้ไว้ด้วย ผมยืนอยู่ตีนเขา แหงนหน้ามองขึ้นไปยังยอดเขา อาจารย์ก็ตัวเล็กนิดเดียวเหมือนกัน" พูดจบเขาก็หันหลังเดินจากไปอย่างทรนง อาจเพราะเหตุนี้ ชายหนุ่มผู้นั้นจึงมุ่งมั่นศึกษาและฝึกฝนอย่างหนัก ฝีมือและชื่อเสียงจึงค่อยๆสั่งสมขึ้นมา จนสามารถกลายเป็นศิลปินระดับแนวหน้าของประเทศ แต่สิ่งที่เขาไม่เคยลืมก็คือ เหตุการณ์ที่ถูกเหยียบย่ำศักดิ์ศรีครั้งนั้นในชีวิต เขามักเตือนตัวเองว่า ความยิ่งใหญ่ของคนนั้น ไม่ได้อยู่เพียงแค่ตำแหน่งที่เขายึดครองหรือชื่อเสียงที่เขามี แต่ต้องรวมเอาอุปนิสัย ใจคอ พฤติกรรม และการวางตัวที่ดีของเขาผู้นั้นด้วย และชายหนุ่มคนนั้นเมื่อสี่สิบปีที่แล้ว ก็คือลุงของหลานในวันนี้" ตอนหลัง คุณลุงให้ภาพวาดผมมาภาพหนึ่ง ผมแขวนมันไว้ในห้องหนังสือ ในภาพเป็นรูปภูเขาที่สูงสง่า บนยอดเขามีคนยืนอยู่กำลังมองลงมายังเชิงเขา และที่เชิงเขาก็มีรูปคนยืนอยู่ที่กำลังแหงนหน้ามองขึ้นไปยังยอดเขา และคนทั้งสองก็มีขนาดเท่ากันจริงๆ "ขจรศักดิ์" แปลและเรียบเรียง Rensheng5.com/renshengzheli/id-3683.html

ผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริง

คุณพ่อมีเพื่อนคนหนึ่ง เป็นนักวาดภาพชื่อดัง

ทุกครั้งที่คุณพ่อพาผมไปเยี่ยมคุณลุง ผมมักจะเห็นมีนักวาดรุ่นใหม่มาขอคำชี้แนะจากคุณลุง คุณลุงก็แสนใจดี เห็นนั่งแนะนั่งสอนไม่หยุดไม่หย่อน แต่ละครั้งก็กินเวลายาวนานพอควร

บางครั้ง คุณลุงเจอนักวาดรุ่นใหม่ที่ฝีมือดีมีศักยภาพเพียงพอ ก็ยังใจดีช่วยสนับสนุนแนะนำไปหาช่องทางที่สามารถช่วยต่อยอดได้ หรือแนะนำให้สื่อมวลชนที่รู้จักกันช่วยสนับสนุน คุณลุงยอมอุทิศเวลาและกำลังความสามารถช่วยอย่างจริงใจอยู่บ่อยๆ

ผมรู้ว่าเวลาของคุณลุงมีค่ามาก แต่ก็เต็มที่กับการหนุนนำชนรุ่นหลัง ห้ามใจไม่อยู่จึงต้องถามว่า "คุณลุงครับ ทำไมไม่เอาเวลาไปตั้งหน้าตั้งตาวาดรูป เพราะรูปคุณลุงแต่ละรูปก็ได้เงินเป็นหมื่นเป็นแสน ทำไมยอมเสียสละเวลามากมายให้กับนักวาดรุ่นใหม่พวกนี้"

คุณลุงชงักไปนิดนึง ก่อนจะตอบอย่างยิ้มแย้มว่า "ต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงที่จะเล่าให้หลานฟัง เมื่อสี่สิบปีที่แล้ว มีชายหนุ่มคนหนึ่งนำเอาภาพวาดของตนไปพบนักวาดในดวงใจของตน อยากให้นักวาดเรืองนามท่านนั้นช่วยวิจารณ์และชี้แนะในฝีมือตน แน่นอนที่สุด ชายหนุ่มผู้นั้นก็ยังเป็นนักวาดที่ไร้ชื่อเสียงในตอนนั้น แต่นักวาดเรืองนามท่านนั้นใช้หางตามองชายหนุ่ม ภาพก็ไม่ยอมคลี่ออกมาดู แค่พูดว่า ตนไม่เคยเสียเวลากับเรื่องพวกนี้ กลับไปเถอะ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความยะโส ชายหนุ่มรู้ซึ้งถึงการถูกไล่อย่างไร้ศักดิ์ศรี ก่อนก้าวออกจากบ้าน หันกลับไปบอกนักวาดยะโสท่านนั้นว่า "อาจารย์ครับ ตอนนี้อาจารย์ยืนอยู่บนยอดเขา เมื่อมองลงไปเชิงเขา ก็คงเห็นคนที่ไร้ชื่อเสียงอย่างผมมีตัวตนแค่เล็กนิดเดียว แต่อาจารย์ช่วยรับรู้ไว้ด้วย ผมยืนอยู่ตีนเขา แหงนหน้ามองขึ้นไปยังยอดเขา อาจารย์ก็ตัวเล็กนิดเดียวเหมือนกัน" พูดจบเขาก็หันหลังเดินจากไปอย่างทรนง อาจเพราะเหตุนี้ ชายหนุ่มผู้นั้นจึงมุ่งมั่นศึกษาและฝึกฝนอย่างหนัก ฝีมือและชื่อเสียงจึงค่อยๆสั่งสมขึ้นมา จนสามารถกลายเป็นศิลปินระดับแนวหน้าของประเทศ แต่สิ่งที่เขาไม่เคยลืมก็คือ เหตุการณ์ที่ถูกเหยียบย่ำศักดิ์ศรีครั้งนั้นในชีวิต เขามักเตือนตัวเองว่า ความยิ่งใหญ่ของคนนั้น ไม่ได้อยู่เพียงแค่ตำแหน่งที่เขายึดครองหรือชื่อเสียงที่เขามี แต่ต้องรวมเอาอุปนิสัย ใจคอ พฤติกรรม และการวางตัวที่ดีของเขาผู้นั้นด้วย และชายหนุ่มคนนั้นเมื่อสี่สิบปีที่แล้ว ก็คือลุงของหลานในวันนี้"

ตอนหลัง คุณลุงให้ภาพวาดผมมาภาพหนึ่ง ผมแขวนมันไว้ในห้องหนังสือ ในภาพเป็นรูปภูเขาที่สูงสง่า บนยอดเขามีคนยืนอยู่กำลังมองลงมายังเชิงเขา และที่เชิงเขาก็มีรูปคนยืนอยู่ที่กำลังแหงนหน้ามองขึ้นไปยังยอดเขา และคนทั้งสองก็มีขนาดเท่ากันจริงๆ

"ขจรศักดิ์"
แปลและเรียบเรียง

Rensheng5.com/renshengzheli/id-3683.html

วันอาทิตย์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2560

กำลังใจจากความเจ็บปวด หากจมอยู่ในมุมของตัวเอง เราจะมองไม่เห็นอะไรเลย แม้เป็นเรื่องง่ายดาย ก็ไม่อาจมองเห็น ต่อเมื่อเราถอยหลังออกมา แล้วสร้างช่องว่างระหว่างเรากับสถานการณ์ เราก็จะมองเห็นว่า ไม่มีเรื่องใดที่ใหญ่โตเลย ทุกเรื่องเข้ามาเพื่อผ่านไป และผ่านไปเพื่อเข้ามา เพียงแต่เราต้องรู้จักรอคอย อดทน บางครั้งจงนั่งมองดูความเจ็บปวด โดยไม่จำเป็นต้องพูดหรือทำอะไร บางครั้งจงปล่อยให้น้ำตาไหลริน และอย่าได้ส่งเสียงตะโกนให้ดังเกินไป ร้องไห้บางก็ได้แต่อย่าฟูมฟาย จนจิตวิญญาณของเราเตลิดเปิดเปิง ในบางเวลาการไม่ทำอะไรก็ดีกว่าการทำอะไร ทุกอย่างคือศิลปะของการปรับตัว ผสมกลมกลืน จงอย่าทำอะไรเมื่อยังไม่ถึงเวลาที่ควรทำ และจงทำทุกอย่างสุดแรงเกิดเมื่อถึงเวลาของมัน ฤดูกาลต่างๆ นั้นมีเวลาของมัน มีจุดสมดุล มีความพอเหมาะพอดีเป็นของตนเอง และเราต้องรู้จักเรียนรู้ในสิ่งเหล่านี้ ฤดูร้อนผ่านไป ฤดูฝนผ่านไป ฤดูหนาวผ่านไป อย่าได้สวมเสื้อกันหนาวในฤดูร้อน อย่าได้ทอดทิ้งร่มคันใหญ่ในฤดูฝน และอย่าได้ละเลยผ้าห่มอุ่นในฤดูอันหนาวเหน็บ ขอให้เต้นรำไปกับวันเวลา และสถานการณ์ตรงหน้าอย่างผู้ตื่นรู้ จงสร้างช่องว่างให้เกิดขึ้น จงปล่อยให้สายลมเย็นพัดผ่านช่องว่างของชีวิต ความเจ็บปวดผิดหวังหาใช่สิ่งมั่นคงถาวร และมันจะถูกชำระล้างด้วยกลไกแห่งกาลเวลา สูดลมหายใจลึกๆ แล้วเดินต่อไป ไม่ต้องเร็ว ไม่ต้องช้า ไม่ต้องหยุด ไม่ต้องเคลื่อนไหว และอย่าได้จมไปกับท้องทะเลแห่งความเจ็บช้ำน้ำใจ เปิดใจ ยอมรับ แล้วปล่อยวาง แสงสว่างเกิดขึ้น ความสุขเล็กๆเกิดขึ้น สิ่งดีงามเกิดขึ้น เด็กโง่หายตัวไป เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่เรียนรู้โลกตามความเป็นจริง... นำเสนอโดย เรื่องดีๆมีข้อคิด > http://bit.ly/2iFE1x4 Line : ts2502 Instagram : th.thamma พศิน อินทรวงค์ ภาพ : http://zena.blic.rs/…/2012…/30420_shutterstock_81448972.jpg…

กำลังใจจากความเจ็บปวด

หากจมอยู่ในมุมของตัวเอง เราจะมองไม่เห็นอะไรเลย
แม้เป็นเรื่องง่ายดาย ก็ไม่อาจมองเห็น
ต่อเมื่อเราถอยหลังออกมา

แล้วสร้างช่องว่างระหว่างเรากับสถานการณ์
เราก็จะมองเห็นว่า ไม่มีเรื่องใดที่ใหญ่โตเลย
ทุกเรื่องเข้ามาเพื่อผ่านไป และผ่านไปเพื่อเข้ามา

เพียงแต่เราต้องรู้จักรอคอย อดทน
บางครั้งจงนั่งมองดูความเจ็บปวด
โดยไม่จำเป็นต้องพูดหรือทำอะไร

บางครั้งจงปล่อยให้น้ำตาไหลริน
และอย่าได้ส่งเสียงตะโกนให้ดังเกินไป
ร้องไห้บางก็ได้แต่อย่าฟูมฟาย
จนจิตวิญญาณของเราเตลิดเปิดเปิง

ในบางเวลาการไม่ทำอะไรก็ดีกว่าการทำอะไร
ทุกอย่างคือศิลปะของการปรับตัว ผสมกลมกลืน

จงอย่าทำอะไรเมื่อยังไม่ถึงเวลาที่ควรทำ
และจงทำทุกอย่างสุดแรงเกิดเมื่อถึงเวลาของมัน

ฤดูกาลต่างๆ นั้นมีเวลาของมัน
มีจุดสมดุล มีความพอเหมาะพอดีเป็นของตนเอง
และเราต้องรู้จักเรียนรู้ในสิ่งเหล่านี้

ฤดูร้อนผ่านไป ฤดูฝนผ่านไป ฤดูหนาวผ่านไป
อย่าได้สวมเสื้อกันหนาวในฤดูร้อน
อย่าได้ทอดทิ้งร่มคันใหญ่ในฤดูฝน
และอย่าได้ละเลยผ้าห่มอุ่นในฤดูอันหนาวเหน็บ

ขอให้เต้นรำไปกับวันเวลา
และสถานการณ์ตรงหน้าอย่างผู้ตื่นรู้

จงสร้างช่องว่างให้เกิดขึ้น
จงปล่อยให้สายลมเย็นพัดผ่านช่องว่างของชีวิต

ความเจ็บปวดผิดหวังหาใช่สิ่งมั่นคงถาวร
และมันจะถูกชำระล้างด้วยกลไกแห่งกาลเวลา

สูดลมหายใจลึกๆ แล้วเดินต่อไป
ไม่ต้องเร็ว ไม่ต้องช้า ไม่ต้องหยุด ไม่ต้องเคลื่อนไหว
และอย่าได้จมไปกับท้องทะเลแห่งความเจ็บช้ำน้ำใจ
เปิดใจ ยอมรับ แล้วปล่อยวาง

แสงสว่างเกิดขึ้น ความสุขเล็กๆเกิดขึ้น สิ่งดีงามเกิดขึ้น
เด็กโง่หายตัวไป เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่เรียนรู้โลกตามความเป็นจริง...

นำเสนอโดย
เรื่องดีๆมีข้อคิด > http://bit.ly/2iFE1x4
Line : ts2502
Instagram : th.thamma

พศิน อินทรวงค์
ภาพ : http://zena.blic.rs/…/2012…/30420_shutterstock_81448972.jpg…

คุณค่าที่ค้นเจอ วันนี้ได้ไปคุยกับแม่ครัวอาวุโสท่านหนึ่งที่อาศรมวงศ์สนิท ถามแกด้วยคำถามเรียบง่ายว่า "ความสุขของแม่ครัว ความสุขของการทำอาหารคืออะไร" แกตอบยาวกว่าที่คิด ... . "แม่เป็นคนมีปมด้อย" แกแทนตัวเองว่าแม่ "ไม่มีพ่อมีแม่ อยู่กับตายายมาตั้งแต่เกิดสามีก็มีคนใหม่ เราเคยรู้สึกว่าเราไม่มีคุณค่า แต่พอได้มาทำอาหารเพื่อสุขภาพ ได้ทำอาหารให้แขกที่มาที่นี่ มีคนชมว่าอร่อย ไถ่ถามวิธีทำ เราก็ดีใจ แถมยังได้เปิดคอร์สสอนคนอื่นอีกด้วย" แกยิ้มปิดท้าย . แม่ยังเล่าต่อด้วยว่า ฝีมือการทำอาหารของแกพาแกไปถึงศรีลังกาและอินเดียมาแล้วไปสอนทำอาหารที่นั่น ระหว่างคุยกันก็เห็นความชำนาญในการปรุง ผสมผสานวัตถุดิบ และความคิดสร้างสรรค์ของแก ชี้นู่นชี้นี่ ใบไม้รอบตัวดูเหมือนจะกินได้และอร่อยไปเสียทุกอย่าง . แกพูดจาเหมือนคนไม่มั่นใจในตัวเอง แต่พอมาถึงเรื่องอาหารแกก็พูดคล่องเหมือนก๊อกน้ำถูกเปิดสุด . คุณค่าของคนเราซ่อนอยู่ในตัวเราเอง เมื่อเราค้นพบมันเราจะมีความสุขและภูมิใจกับตัวเอง ต่างจากตอนที่เราฝากคุณค่าของตัวเองไว้กับผู้อื่น ที่เมื่อเขามองไม่เห็นคุณค่าในตัวเรา ก็พลอยทำให้เรามองไม่เห็นไปด้วย คุณค่าที่ว่านี้ไม่มีใครขโมยจากเราไปได้และไม่มีวันหายไปไหน รอแค่วันที่เราจะค้นเจอเท่านั้นเอง นำเสนอโดย เรื่องดีๆมีข้อคิด > http://bit.ly/2iFE1x4 Line : ts2502 Instagram : th.thamma นิ้วกลม ภาพ : http://holzhueter.blogspot.com/2013/01/

คุณค่าที่ค้นเจอ

วันนี้ได้ไปคุยกับแม่ครัวอาวุโสท่านหนึ่งที่อาศรมวงศ์สนิท ถามแกด้วยคำถามเรียบง่ายว่า
"ความสุขของแม่ครัว ความสุขของการทำอาหารคืออะไร"
แกตอบยาวกว่าที่คิด ...
.
"แม่เป็นคนมีปมด้อย"
แกแทนตัวเองว่าแม่
"ไม่มีพ่อมีแม่ อยู่กับตายายมาตั้งแต่เกิดสามีก็มีคนใหม่ เราเคยรู้สึกว่าเราไม่มีคุณค่า แต่พอได้มาทำอาหารเพื่อสุขภาพ ได้ทำอาหารให้แขกที่มาที่นี่  มีคนชมว่าอร่อย ไถ่ถามวิธีทำ เราก็ดีใจ แถมยังได้เปิดคอร์สสอนคนอื่นอีกด้วย"
แกยิ้มปิดท้าย
.
แม่ยังเล่าต่อด้วยว่า ฝีมือการทำอาหารของแกพาแกไปถึงศรีลังกาและอินเดียมาแล้วไปสอนทำอาหารที่นั่น ระหว่างคุยกันก็เห็นความชำนาญในการปรุง  ผสมผสานวัตถุดิบ และความคิดสร้างสรรค์ของแก ชี้นู่นชี้นี่  ใบไม้รอบตัวดูเหมือนจะกินได้และอร่อยไปเสียทุกอย่าง
.
แกพูดจาเหมือนคนไม่มั่นใจในตัวเอง   แต่พอมาถึงเรื่องอาหารแกก็พูดคล่องเหมือนก๊อกน้ำถูกเปิดสุด
.
คุณค่าของคนเราซ่อนอยู่ในตัวเราเอง เมื่อเราค้นพบมันเราจะมีความสุขและภูมิใจกับตัวเอง ต่างจากตอนที่เราฝากคุณค่าของตัวเองไว้กับผู้อื่น  ที่เมื่อเขามองไม่เห็นคุณค่าในตัวเรา ก็พลอยทำให้เรามองไม่เห็นไปด้วย คุณค่าที่ว่านี้ไม่มีใครขโมยจากเราไปได้และไม่มีวันหายไปไหน รอแค่วันที่เราจะค้นเจอเท่านั้นเอง

นำเสนอโดย
เรื่องดีๆมีข้อคิด > http://bit.ly/2iFE1x4
Line : ts2502
Instagram : th.thamma

นิ้วกลม
ภาพ : http://holzhueter.blogspot.com/2013/01/

จำใว้นะ... เพราะคุณมีดีกว่าเขาอย่างน้อยหนึ่งอย่าง เขาจึง....อิจฉาคุณ จำใว้นะ....คนที่อิจฉาคุณ เขาจะไม่มีวันพูดถึงคุณในทางที่ดีกับคนอื่น เพราะนั่น...เป็นสิ่งเดียวที่เยียวยาจิตใจเขาให้ รู้สึกดี จำใว้ว่า...คนพวกนี้ ปากบอกไม่สนใจคุณ...แต่กลับรู้เรื่องคุณมากกว่าแม่คุณเสียอีก คนขี้อิจฉา.... สิ่งที่เขาทำได้ดีที่สุดคือ เสือก เรื่องคุณ และสิ่งที่เขาไม่มีวันทำได้คือ...มีชีวิตดีๆแบบคุณ! จำแค่นี้.....คิดแค่นี้พอสำหรับคนพวกนี้ อย่าให้ราคาเขา^^ Cr. สิริทัศน์ สมเสงี่ยม

จำใว้นะ...
เพราะคุณมีดีกว่าเขาอย่างน้อยหนึ่งอย่าง เขาจึง....อิจฉาคุณ

จำใว้นะ....คนที่อิจฉาคุณ
เขาจะไม่มีวันพูดถึงคุณในทางที่ดีกับคนอื่น
เพราะนั่น...เป็นสิ่งเดียวที่เยียวยาจิตใจเขาให้ รู้สึกดี

จำใว้ว่า...คนพวกนี้
ปากบอกไม่สนใจคุณ...แต่กลับรู้เรื่องคุณมากกว่าแม่คุณเสียอีก

คนขี้อิจฉา....
สิ่งที่เขาทำได้ดีที่สุดคือ เสือก เรื่องคุณ
และสิ่งที่เขาไม่มีวันทำได้คือ...มีชีวิตดีๆแบบคุณ!

จำแค่นี้.....คิดแค่นี้พอสำหรับคนพวกนี้ อย่าให้ราคาเขา^^

Cr. สิริทัศน์ สมเสงี่ยม

ซึ้งใจ ถูกรัก... ศาสตราจารย์ผู้เกษียณอายุราชการคนหนึ่ง ใช้ชีวิตช่วงบั้นปลายกับภรรยาเฒ่าอย่างมีความสุข ตื่นเช้ามาไปตลาด จับจ่ายซื้อของเล็กๆน้อยๆ บ่ายคล้อยออกไปดื่มชากาแฟตามร้านของเหล่าลูกศิษย์ ค่ำๆหลังทานอาหารเย็น สองสามีภรรยานั่งอ่านนิตยสาร ไม่ก็เช็คภาพถ่ายในไลน์ที่บุตรสาวเพียงคนเดียวมักส่งมาให้ เธออยู่อเมริกา เช้าวันหนึ่งเมื่อเดือนก่อน ตอนที่เขาลุกจากเตียง มือทาบกับผ้าปูที่นอนที่ชื้นด้วยน้ำ "ยายแก่ เธอฉี่รดที่นอนเหรอ?" เขาเอ่ยหยอกภรรยาเฒ่า ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับของฝ่ายภรรยา! เธอสิ้นลมไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว... "อย่าโศกเศร้าเสียใจ ภรรยาของคุณเธอไปในที่ๆดีที่สุดแล้ว" "ให้ผมมานอนเป็นเพื่อนอาจารย์ไหมครับ สมชัยและวีณาก็จะมาด้วยนะครับ" คำปลอบประโลมใจที่เพื่อนๆและเหล่าลูกศิษย์ เข้ามาปลอบประโลมใจ แต่เขายังคงยืนนิ่ง ปฏิเสธด้วยใบหน้าเรียบเฉย เงียบขรึมเหมือนที่เขาเป็นอยู่ในก่อนหน้านั้น คืนหนึ่ง เขาเขียนจดหมายยืดยาวถึงลูกสาวเพียงคนเดียว ด้วยหน้าที่การงานทำให้เธอกลับมาส่งคุณแม่ไม่ทัน ชายชราหยิบจดหมายขึ้นมาจูบ "ลาก่อนลูกรัก" เขาวางจดหมายและหยิบขวดยานอนหลับขึ้นมา ข้างขวดยานอนหลับเหมือนภรรยาของเขากำลังยิ้มให้ จู่ๆ เสียงโทรศัพท์บนหัวนอนก็ดังขึ้น "พ่อค่ะ ตอนนี้หนูอยู่สนามบินแล้วค่ะ เจ้านายใจดีให้หนูลาพักร้อนมาอยู่เป็นเพื่อพ่อหนึ่งเดือนค่ะ อีกครึ่งชั่วโมงเจอกันนะคะพ่อ หนูรักพ่อค่ะ" หลังจากศาตราจารย์เล่าให้ลูกศิษย์ฟังเสร็จ เขาก็ยกแก้วน้ำชาขึ้นดื่ม "คุณรู้ไหม อะไรที่ทำให้คนเลิกคิดฆ่าตัวตาย" "ไม่รู้ครับท่าน" ลูกศิษย์เก่าของชายชราตอบ "ไม่ใช่คำสอนในศาสนา ไม่ใช่นักจิตวิทยา ไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทอง แต่มันคือความรู้สึกง่ายๆที่เรียกว่าถูกรัก นั่นก็คือยังมีคนที่รักเราอยู่" ..... คุณรักคนรอบข้างคุณหรือยัง? ที่มา : https://www.facebook.com/NusonBooks/photos/a.286417594859673.1073741828.286409091527190/811445215690239/?type=3 ภาพ : http://www.sohu.com/a/136081387_750239

ซึ้งใจ ถูกรัก...

ศาสตราจารย์ผู้เกษียณอายุราชการคนหนึ่ง
ใช้ชีวิตช่วงบั้นปลายกับภรรยาเฒ่าอย่างมีความสุข
ตื่นเช้ามาไปตลาด จับจ่ายซื้อของเล็กๆน้อยๆ
บ่ายคล้อยออกไปดื่มชากาแฟตามร้านของเหล่าลูกศิษย์
ค่ำๆหลังทานอาหารเย็น สองสามีภรรยานั่งอ่านนิตยสาร
ไม่ก็เช็คภาพถ่ายในไลน์ที่บุตรสาวเพียงคนเดียวมักส่งมาให้
เธออยู่อเมริกา

เช้าวันหนึ่งเมื่อเดือนก่อน
ตอนที่เขาลุกจากเตียง มือทาบกับผ้าปูที่นอนที่ชื้นด้วยน้ำ
"ยายแก่ เธอฉี่รดที่นอนเหรอ?"
เขาเอ่ยหยอกภรรยาเฒ่า
ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับของฝ่ายภรรยา!
เธอสิ้นลมไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว...

"อย่าโศกเศร้าเสียใจ ภรรยาของคุณเธอไปในที่ๆดีที่สุดแล้ว"
"ให้ผมมานอนเป็นเพื่อนอาจารย์ไหมครับ
สมชัยและวีณาก็จะมาด้วยนะครับ"
คำปลอบประโลมใจที่เพื่อนๆและเหล่าลูกศิษย์
เข้ามาปลอบประโลมใจ
แต่เขายังคงยืนนิ่ง ปฏิเสธด้วยใบหน้าเรียบเฉย
เงียบขรึมเหมือนที่เขาเป็นอยู่ในก่อนหน้านั้น

คืนหนึ่ง เขาเขียนจดหมายยืดยาวถึงลูกสาวเพียงคนเดียว
ด้วยหน้าที่การงานทำให้เธอกลับมาส่งคุณแม่ไม่ทัน
ชายชราหยิบจดหมายขึ้นมาจูบ
"ลาก่อนลูกรัก"
เขาวางจดหมายและหยิบขวดยานอนหลับขึ้นมา
ข้างขวดยานอนหลับเหมือนภรรยาของเขากำลังยิ้มให้
จู่ๆ เสียงโทรศัพท์บนหัวนอนก็ดังขึ้น
"พ่อค่ะ ตอนนี้หนูอยู่สนามบินแล้วค่ะ
เจ้านายใจดีให้หนูลาพักร้อนมาอยู่เป็นเพื่อพ่อหนึ่งเดือนค่ะ
อีกครึ่งชั่วโมงเจอกันนะคะพ่อ หนูรักพ่อค่ะ"

หลังจากศาตราจารย์เล่าให้ลูกศิษย์ฟังเสร็จ
เขาก็ยกแก้วน้ำชาขึ้นดื่ม
"คุณรู้ไหม อะไรที่ทำให้คนเลิกคิดฆ่าตัวตาย"
"ไม่รู้ครับท่าน"
ลูกศิษย์เก่าของชายชราตอบ
"ไม่ใช่คำสอนในศาสนา ไม่ใช่นักจิตวิทยา ไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทอง แต่มันคือความรู้สึกง่ายๆที่เรียกว่าถูกรัก นั่นก็คือยังมีคนที่รักเราอยู่"

.....
คุณรักคนรอบข้างคุณหรือยัง?

ที่มา : https://www.facebook.com/NusonBooks/photos/a.286417594859673.1073741828.286409091527190/811445215690239/?type=3
ภาพ : http://www.sohu.com/a/136081387_750239

1. ความล้มเหลวเป็นสิ่งที่เจอบ่อยมากกว่าความสำเร็จ 2. “ความไม่มี”ไม่เคยทำให้ใครจน แต่คนจะจนมักเกิดจาก “ความอยากมี” 3. รู้จักมองไปข้างหน้าและวางแผนชีวิต 4. อย่าโลกสวย เพราะโลกไม่เคยหมุนตามเรา 5. หากคุณภาระยังน้อย ให้ถือซะว่าเป็นโชคดี 6. จงคาดหวังและให้น้ำหนัก “เฉพาะ” กับสิ่งที่จับต้องได้ 7. จงอ้างให้น้อย แต่ทำให้มาก 8. เงินหมื่นมาจากแรงงาน เงินล้านมาจากความคิด 9. ใช้อารมณ์ให้น้อย มีเหตุผลให้มาก 10. เรียนรู้วิธีหารายได้ให้มากกว่าหนึ่งช่องทาง 11. ระวัง “ดาบสองคม” เพราะคำพูด

1.    ความล้มเหลวเป็นสิ่งที่เจอบ่อยมากกว่าความสำเร็จ
2.    “ความไม่มี”ไม่เคยทำให้ใครจน แต่คนจะจนมักเกิดจาก “ความอยากมี”
3.    รู้จักมองไปข้างหน้าและวางแผนชีวิต
4.    อย่าโลกสวย เพราะโลกไม่เคยหมุนตามเรา
5.    หากคุณภาระยังน้อย ให้ถือซะว่าเป็นโชคดี
6.    จงคาดหวังและให้น้ำหนัก “เฉพาะ” กับสิ่งที่จับต้องได้
7.    จงอ้างให้น้อย แต่ทำให้มาก
8.    เงินหมื่นมาจากแรงงาน เงินล้านมาจากความคิด
9.    ใช้อารมณ์ให้น้อย มีเหตุผลให้มาก
10.    เรียนรู้วิธีหารายได้ให้มากกว่าหนึ่งช่องทาง
11.    ระวัง “ดาบสองคม” เพราะคำพูด

#เพื่อนร่วมรุ่นฉันเป็นแค่พ่อครัว # งานเลี้ยงรุ่นทำไมกลายเป็นงานอวดงานอวย หวางมีอาชีพเป็นพ่อครัว ครั้งหนึ่งเคยไปร่วมงานเลี้ยงรุ่น หลัง งานจบไป หวางก็ยืนกรานว่าชาตินี้คงไม่ติดต่อคบค้าสมาคม กับเพื่อนร่วมรุ่นเหล่านั้นอีกแล้ว... เรื่องมีอยู่ว่า... งานเลี้ยงรุ่นที่หวางไปร่วมเป็นงานเลี้ยงรุ่นของ เพื่อนสมัย ม.ต้น จริงๆหวางก็เรียนถึงแค่ ม.ต้น แล้วก็ต้องเลิก เรียนไป เพราะฐานะทางบ้านยากจน หลังจบ ม.ต้น หวางเลย ต้องออกจากโรงเรียน และเริ่มทำงานเป็นพ่อครัวตั้งแต่นั้นมา หวางใจจดใจจ่อรองานเลี้ยงรุ่นในครั้งนี้มาก เพราะมีเพื่อสมัย เด็กหลายคนเลยที่เขาคิดถึงและไม่ได้เจอมาหลายสิบปี บังเอิญประจวบเหมาะ...สถานที่จัดงานเลี้ยงคือโรงแรมห้าดาว ที่หวางทำงานอยู่พอดี พอใกล้เที่ยง ทุกคนในรุ่นก็มากันครบ เกือบหมดแล้ว งานเลี้ยงจึงเริ่มขึ้น ทุกคนต่างตื่นเต้นพากัน ทักทายเพื่อนหลายๆคนที่ไม่ได้เจอกันหลายสิบปี ต่างบอกเล่า เรื่องราวที่ตัวเองไปพบเจอมาหลังจากแยกย้ายกันไป ขณะเดียวกันเอง..อาหารก็ค่อยๆทยอยยกออกมาจากครัว ของโรงแรมมาเสริฟ์ให้เหล่าเพื่อนร่วมรุ่นในงาน พิธีของงานเริ่มขึ้น..คือ ให้เพื่อนนักเรียนในรุ่นได้ขึ้นมาทักทาย และแนะนำตัวกับเพื่อนทุกคนหมุนเวียนกันไปจนครบ... คนแรกที่ขึ้นไปพูดเป็นหัวหน้าห้อง.....เขาบอกว่า ตอนนี้ได้เป็น หัวหน้ากรมที่หน่วยงานราชการในท้องที่แห่งหนึ่ง ขึ้นมาก็พูด จาวางมาดแบบข้าราชการผู้ใหญ่ เสมือนว่าเพื่อนๆที่นั่งฟังเป็น ลูกน้องในกรมก็ไม่ปาน... ก่อนพูดจบเขาฝากไว้กับทุกคน.ถ้าเพื่อนๆมีเหตุเดือดร้อนอะไร ต้องการให้ช่วยบอกเขาได้เลย พร้อมจะช่วยเสมอ...พูดจบทุก คนปรบมือชอบใจใหญ่ เท่ห์จริงๆมีเพื่อนเป็นข้าราชการใหญ่โต คนต่อไปที่ขึ้นพูด...เป็นเพื่อนนักธุรกิจ ระหว่างพูดก็พาดพิงถึง ธุรกิจใหญ่ที่ตัวเองดูแลอยู่ คำสั่งซื้อหลายล้านของธุรกิจตัว เองบ้าง เหล่านาฬิกาหรูและของสะสมราคาแพงที่ตัวเองชอบบ้าง... ก่อนพูดจบเขาฝากไว้กับทุกคน..ถ้าเพื่อนๆมีเหตุร้อนเงินขอให้ บอก เขาพร้อมยื่นมือให้ช่วย พวกเราเพื่อนกันตั้งแต่เด็ก คุย ง่าย... พูดจบทุกคนปรบมือชอบใจใหญ่ เท่ห์จริงๆมีเพื่อนเป็น นักธุรกิจร้อยล้าน หลังจากนั้นก็ถึงคิวขึ้นกล่าวของเพื่อนอีกหลายๆคน....ทั้งนาย ธนาคาร ผู้จัดการใหญ่ พนักงานระดับสูง ฯลฯ ผลัดเปลี่ยนกัน ขึ้นกล่าวทักทาย... แต่ละคนก็พากันพรรณนาว่า ช่วงนี้ตนเอง ทำอะไรอยู่ ได้ดิบได้ดีอย่างไร เห็นคุณค่าในมิตรภาพเพื่อน ร่วมรุ่น และต่างคิดถึงช่วงเวลาที่เรียนร่วมกันขนาดไหน... จนสุดท้ายเหลือเพียง หวาง ที่เพิ่งยุ่งในครัวเสร็จ หลังจาก อาหารจานสุดท้ายยกมาเสริฟ เขากระวีกระวาดขึ้นบนเวทีทัน กล่าวทักทายกับทุกคนพอดี... แต่เพราะรีบร้อนเลยไม่ทันเปลี่ยนชุด หวางออกมาพร้อมกับชุด พ่อครัวและผ้ากันเปื้อนเนื้อตัวมอมแมม พอหวางขึ้นเวที บรรยากาศในห้องจัดเลี้ยงเปลี่ยนเป็นความ เงียบ เพื่อนๆ หลายคนเห็นพ่อครัวเนื้อตัวสกปรกขึ้นเวทีก็กระ ซิบกระซาบ หลายคนจำไม่ได้ว่า นี้คือหวางเพื่อนร่วมรุ่นของ ตัวเอง เพื่อนผู้หญิงบางคนถึงกับกล่าวถากถางแกมตลก "เหม็นกลิ่นน้ำมันถึงนี่เลย ทำไมไม่อยู่ในครัวจนเลิกงานไปเลย" พ่อครัวหวาง กล่าวสั้นๆ... "เราไม่ได้มีความสามารถเก่งกาจเหมือนเพื่อนๆนะ เราทำงานที่ โรงแรมแห่งนี้...เราเป็นพ่อครัว อาหารวันนี้ที่ทุกคนทาน เรากับ เพื่อนในครัวช่วยกันทำสุดฝีมือเลย หวังว่าคงถูกปากเพื่อนๆนะ" เพียงเท่านี้ แล้วหวางก็ลงเวทีไป ตอนที่หวางนั่งลงที่โต๊ะ.เขาบังเอิญได้ยินเพื่อนโต๊ะข้างๆนินทา เขาอยู่ "ตายแล้ว คิดไม่ถึง เพื่อนร่วมชั้นเราจะมีที่ตกต่ำขนาดนี้ อย่า พูดออกไปนะ ขายหน้าคนอื่นเขา" หวางทำเป็นไม่ได้ยิน พูดจายิ้มแย้มกับเพื่อนร่วมโต๊ะ และทัก ทายเพื่อนๆในงานตามประสาเพื่อนวัยเด็กที่ไม่ได้เจอกันนาน... ทุกคนในงานทานอาหารไป รินเหล้า ชนแก้ว สนทนา หัวเราะ เฮฮากันอย่างออกรส...แต่.ไม่มีใครมาขอหวางชนแก้วเลย และ ไม่มีใครตั้งใจคุยกับหวางด้วย ดูเหมือนว่า หวางเป็นเพียงคน เดียวในงานที่ถุกทอดทิ้งให้เงียบเหงา..เพียงเพราะเขาไม่ได้ดิบ ได้ดีแบบเพื่อนๆ... จนเวลาใกล้บ่ายที่งานเลิก..ทุกคนต่างอิ่มหนำสำราญ บางคนก็ เริ่มเมากริ่มๆ....บริกรเดินถือบิลเข้ามาเช็คบิลที่โต๊ะของเพื่อนที่ เป็นเหรัญญิกรับผิดชอบค่าใช้จ่ายงานเลี้ยงรุ่นครั้งนี้ แต่..เหรัญญิกเห็นบิลก็หน้าซีด เพราะค่าใช้จ่ายที่ออกมามันเกิน งบที่เก็บมามาก..มากโข...เพราะที่นี่เป็นโรงแรมห้าดาวที่ดีที่สุด ในมณฑลก็ว่าได้...ค่าใช้จ่ายรวมๆเกือบหมื่นหยวน (ราวห้าหมื่นบาท) สายตาทุกคนเริ่มจับจ้องไปที่เพื่อนๆ ที่เป็นนักธุรกิจกับเถ้าแก่ ใหญ่ เพราะเมื่อครู่หลายคนยังคุยโม้อยู่ว่ามีธุรกิจใหญ่โต ในวง สนทนาก็บอก ตัวเองทำเงินได้เดือนละหลายล้าน แต่เพื่อนเหล่านั้นหน้าแดง หลายคนบอกเงินไม่ขาดมือหรอก... แต่ต้องผ่านการอนุมัติจากเมียก่อน...แล้วก็นิ่งเงียบ ส่วนหัวหน้าห้อง ที่เป็นหัวหน้ากรมก็ไม่พูดอะไร...ยังขอตัวออก ไปคุยโทรศัพท์นอกห้อง...บอกงานราชการด่วนเข้า หวางเห็นเพื่อนๆในห้องนิ่งกันนาน...นานมาก.....แล้วหวางก็ลุกขึ้น ประกาศในห้องจัดเลี้ยง "ไม่เป็นไรเพื่อน มื้อนี้เราขอเลี้ยงนะ!!!" สิ้นเสียงประกาศของหวาง เพื่อนๆหลายคนไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน กับหู... แล้วบริกรก็เข้ามาหาหวาง แล้วโค้งคำนับ "รับทราบค่ะ ประธานหวาง"... ตอนนี้เอง ทุกคนถึงเพิ่งรู้...เพื่อนหวางที่ใส่ชุดพ่อครัวมอมแมม คนนี้ แท้จริงคือเถ้าแก่เจ้าของโรงแรมห้าดาวที่หรูที่สุดในมณฑล แห่งนี้!!! หลายคนก็พูดติดตลกแก้เขินบอก "ข้าน้อยมีตาหามีแววไม่" "เพื่อนหวางนายนี่ก็ ถ่อมตัวจนดูไม่ออกเลย" "เพื่อน นายเป็นใหญ่เป็นโตขนาดนี้อุบเงียบไว้เลยนะ"... แล้วเพื่อนๆก็พากันกรูเข้ามาหาหวาง หวังจะตีสนิทด้วยก่อนเลิกงาน... เวลานี้ ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มตอนเริ่มงานของหวาง...เปลี่ยนเป็น บึ้งตึง...เขาเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงขึงขัง... "ก่อนหน้านั้น ตอนเรากล่าวบนเวทีว่า อาหารกว่าสิบอย่างที่ เพื่อนๆกินกันในงานวันนี้ เรากับเพื่อนพ่อครัวช่วยกันทำสุดฝีมือ ไม่เห็นมีใครขอบคุณเรากับเพื่อนเลย! เพราะเราเป็นแค่พ่อครัว ใช่มั้ย?" "พ่อครัวแบบเราเราอาจจะเนื้อตัวมอมแมม เสื้อติดกลิ่นน้ำมัน ไม่น่าเข้าใกล้นะ แต่ไม่ใช่เพราะพ่อครัวเนื้อตัวสกปรกแบบพวก เราเหรอ? พวกเธอถึงมีอาหารเลิศรส ที่รังสรรค์อย่างปราณีตให้ ทานกัน?" "เรากับเพื่อนพ่อครัวหลายสิบชีวิตในครัว ยุ่งตัวเป็นเกลียวตั้งแต่ เช้า หวังเพียงให้เพื่อนๆอย่างพวกเธอมีอาหารดัีๆทาน...แต่ไม่มี ใครเห็นคุณค่าสิ่งที่เราทำเลย ซ้ำร้ายยังดูถูกเยาะเย้ยงานที่เรา ทำอีก" "คนเรา...ต่อให้งานการใหญ่โต มีหน้ามีตาในสังคม แต่ถ้าความ เคารพในเพื่อนมนุษย์ด้วยกันยังไม่มี ก็เป็นแค่คนชั้นต่ำ..." "พวกเธอทุกคน...ไม่คู่ควรจะมาทานอาหารที่โรงแรมนี้อีก โรงแรมของฉันไม่ต้อนรับพวกเธอ!!!" หลังหวางพูดจบ ก็เดินจากไป....ทิ้งให้เพื่อนๆร่วมรุ่นวัยเด็กของ เขาทั้งห้อง หน้าชาอยู่อย่างนั้น ...เป็นอันจบงานเลี้ยงรุ่น นำเสนอโดย เรื่องดีๆมีข้อคิด > http://bit.ly/2iFE1x4 Line : ts2502 Instagram : th.thamma #นิทานจีนจากเรื่องจริงของชีวิต #Lertดิจิตอลมาร์เก็ตติ้งจีน

#เพื่อนร่วมรุ่นฉันเป็นแค่พ่อครัว #
งานเลี้ยงรุ่นทำไมกลายเป็นงานอวดงานอวย

หวางมีอาชีพเป็นพ่อครัว ครั้งหนึ่งเคยไปร่วมงานเลี้ยงรุ่น หลัง
งานจบไป   หวางก็ยืนกรานว่าชาตินี้คงไม่ติดต่อคบค้าสมาคม
กับเพื่อนร่วมรุ่นเหล่านั้นอีกแล้ว...

เรื่องมีอยู่ว่า...  งานเลี้ยงรุ่นที่หวางไปร่วมเป็นงานเลี้ยงรุ่นของ
เพื่อนสมัย ม.ต้น  จริงๆหวางก็เรียนถึงแค่ ม.ต้น  แล้วก็ต้องเลิก
เรียนไป  เพราะฐานะทางบ้านยากจน  หลังจบ ม.ต้น หวางเลย
ต้องออกจากโรงเรียน และเริ่มทำงานเป็นพ่อครัวตั้งแต่นั้นมา

หวางใจจดใจจ่อรองานเลี้ยงรุ่นในครั้งนี้มาก เพราะมีเพื่อสมัย
เด็กหลายคนเลยที่เขาคิดถึงและไม่ได้เจอมาหลายสิบปี

บังเอิญประจวบเหมาะ...สถานที่จัดงานเลี้ยงคือโรงแรมห้าดาว
ที่หวางทำงานอยู่พอดี   พอใกล้เที่ยง  ทุกคนในรุ่นก็มากันครบ
เกือบหมดแล้ว   งานเลี้ยงจึงเริ่มขึ้น    ทุกคนต่างตื่นเต้นพากัน
ทักทายเพื่อนหลายๆคนที่ไม่ได้เจอกันหลายสิบปี ต่างบอกเล่า
เรื่องราวที่ตัวเองไปพบเจอมาหลังจากแยกย้ายกันไป

ขณะเดียวกันเอง..อาหารก็ค่อยๆทยอยยกออกมาจากครัว      
ของโรงแรมมาเสริฟ์ให้เหล่าเพื่อนร่วมรุ่นในงาน

พิธีของงานเริ่มขึ้น..คือ ให้เพื่อนนักเรียนในรุ่นได้ขึ้นมาทักทาย
และแนะนำตัวกับเพื่อนทุกคนหมุนเวียนกันไปจนครบ...

คนแรกที่ขึ้นไปพูดเป็นหัวหน้าห้อง.....เขาบอกว่า ตอนนี้ได้เป็น
หัวหน้ากรมที่หน่วยงานราชการในท้องที่แห่งหนึ่ง   ขึ้นมาก็พูด
จาวางมาดแบบข้าราชการผู้ใหญ่   เสมือนว่าเพื่อนๆที่นั่งฟังเป็น
ลูกน้องในกรมก็ไม่ปาน...

ก่อนพูดจบเขาฝากไว้กับทุกคน.ถ้าเพื่อนๆมีเหตุเดือดร้อนอะไร
ต้องการให้ช่วยบอกเขาได้เลย  พร้อมจะช่วยเสมอ...พูดจบทุก
คนปรบมือชอบใจใหญ่ เท่ห์จริงๆมีเพื่อนเป็นข้าราชการใหญ่โต

คนต่อไปที่ขึ้นพูด...เป็นเพื่อนนักธุรกิจ ระหว่างพูดก็พาดพิงถึง
ธุรกิจใหญ่ที่ตัวเองดูแลอยู่    คำสั่งซื้อหลายล้านของธุรกิจตัว
เองบ้าง เหล่านาฬิกาหรูและของสะสมราคาแพงที่ตัวเองชอบบ้าง...

ก่อนพูดจบเขาฝากไว้กับทุกคน..ถ้าเพื่อนๆมีเหตุร้อนเงินขอให้
บอก   เขาพร้อมยื่นมือให้ช่วย   พวกเราเพื่อนกันตั้งแต่เด็ก คุย
ง่าย... พูดจบทุกคนปรบมือชอบใจใหญ่   เท่ห์จริงๆมีเพื่อนเป็น
นักธุรกิจร้อยล้าน

หลังจากนั้นก็ถึงคิวขึ้นกล่าวของเพื่อนอีกหลายๆคน....ทั้งนาย
ธนาคาร  ผู้จัดการใหญ่  พนักงานระดับสูง ฯลฯ ผลัดเปลี่ยนกัน
ขึ้นกล่าวทักทาย... แต่ละคนก็พากันพรรณนาว่า   ช่วงนี้ตนเอง
ทำอะไรอยู่  ได้ดิบได้ดีอย่างไร    เห็นคุณค่าในมิตรภาพเพื่อน
ร่วมรุ่น  และต่างคิดถึงช่วงเวลาที่เรียนร่วมกันขนาดไหน...

จนสุดท้ายเหลือเพียง    หวาง  ที่เพิ่งยุ่งในครัวเสร็จ    หลังจาก
อาหารจานสุดท้ายยกมาเสริฟ   เขากระวีกระวาดขึ้นบนเวทีทัน
กล่าวทักทายกับทุกคนพอดี...

แต่เพราะรีบร้อนเลยไม่ทันเปลี่ยนชุด หวางออกมาพร้อมกับชุด
พ่อครัวและผ้ากันเปื้อนเนื้อตัวมอมแมม

พอหวางขึ้นเวที     บรรยากาศในห้องจัดเลี้ยงเปลี่ยนเป็นความ
เงียบ    เพื่อนๆ หลายคนเห็นพ่อครัวเนื้อตัวสกปรกขึ้นเวทีก็กระ
ซิบกระซาบ   หลายคนจำไม่ได้ว่า  นี้คือหวางเพื่อนร่วมรุ่นของ
ตัวเอง เพื่อนผู้หญิงบางคนถึงกับกล่าวถากถางแกมตลก
"เหม็นกลิ่นน้ำมันถึงนี่เลย ทำไมไม่อยู่ในครัวจนเลิกงานไปเลย"

พ่อครัวหวาง กล่าวสั้นๆ...
"เราไม่ได้มีความสามารถเก่งกาจเหมือนเพื่อนๆนะ เราทำงานที่
โรงแรมแห่งนี้...เราเป็นพ่อครัว  อาหารวันนี้ที่ทุกคนทาน เรากับ
เพื่อนในครัวช่วยกันทำสุดฝีมือเลย หวังว่าคงถูกปากเพื่อนๆนะ"
เพียงเท่านี้ แล้วหวางก็ลงเวทีไป

ตอนที่หวางนั่งลงที่โต๊ะ.เขาบังเอิญได้ยินเพื่อนโต๊ะข้างๆนินทา
เขาอยู่
"ตายแล้ว   คิดไม่ถึง  เพื่อนร่วมชั้นเราจะมีที่ตกต่ำขนาดนี้  อย่า
พูดออกไปนะ ขายหน้าคนอื่นเขา"

หวางทำเป็นไม่ได้ยิน   พูดจายิ้มแย้มกับเพื่อนร่วมโต๊ะ   และทัก
ทายเพื่อนๆในงานตามประสาเพื่อนวัยเด็กที่ไม่ได้เจอกันนาน...

ทุกคนในงานทานอาหารไป  รินเหล้า  ชนแก้ว  สนทนา หัวเราะ
เฮฮากันอย่างออกรส...แต่.ไม่มีใครมาขอหวางชนแก้วเลย และ
ไม่มีใครตั้งใจคุยกับหวางด้วย    ดูเหมือนว่า  หวางเป็นเพียงคน
เดียวในงานที่ถุกทอดทิ้งให้เงียบเหงา..เพียงเพราะเขาไม่ได้ดิบ
ได้ดีแบบเพื่อนๆ...

จนเวลาใกล้บ่ายที่งานเลิก..ทุกคนต่างอิ่มหนำสำราญ บางคนก็
เริ่มเมากริ่มๆ....บริกรเดินถือบิลเข้ามาเช็คบิลที่โต๊ะของเพื่อนที่
เป็นเหรัญญิกรับผิดชอบค่าใช้จ่ายงานเลี้ยงรุ่นครั้งนี้

แต่..เหรัญญิกเห็นบิลก็หน้าซีด เพราะค่าใช้จ่ายที่ออกมามันเกิน
งบที่เก็บมามาก..มากโข...เพราะที่นี่เป็นโรงแรมห้าดาวที่ดีที่สุด
ในมณฑลก็ว่าได้...ค่าใช้จ่ายรวมๆเกือบหมื่นหยวน (ราวห้าหมื่นบาท)

สายตาทุกคนเริ่มจับจ้องไปที่เพื่อนๆ    ที่เป็นนักธุรกิจกับเถ้าแก่
ใหญ่ เพราะเมื่อครู่หลายคนยังคุยโม้อยู่ว่ามีธุรกิจใหญ่โต ในวง
สนทนาก็บอก    ตัวเองทำเงินได้เดือนละหลายล้าน
แต่เพื่อนเหล่านั้นหน้าแดง   หลายคนบอกเงินไม่ขาดมือหรอก...
แต่ต้องผ่านการอนุมัติจากเมียก่อน...แล้วก็นิ่งเงียบ

ส่วนหัวหน้าห้อง ที่เป็นหัวหน้ากรมก็ไม่พูดอะไร...ยังขอตัวออก
ไปคุยโทรศัพท์นอกห้อง...บอกงานราชการด่วนเข้า

หวางเห็นเพื่อนๆในห้องนิ่งกันนาน...นานมาก.....แล้วหวางก็ลุกขึ้น
ประกาศในห้องจัดเลี้ยง
"ไม่เป็นไรเพื่อน มื้อนี้เราขอเลี้ยงนะ!!!"

สิ้นเสียงประกาศของหวาง    เพื่อนๆหลายคนไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน
กับหู...

แล้วบริกรก็เข้ามาหาหวาง แล้วโค้งคำนับ
"รับทราบค่ะ ประธานหวาง"...

ตอนนี้เอง ทุกคนถึงเพิ่งรู้...เพื่อนหวางที่ใส่ชุดพ่อครัวมอมแมม
คนนี้  แท้จริงคือเถ้าแก่เจ้าของโรงแรมห้าดาวที่หรูที่สุดในมณฑล
แห่งนี้!!!

หลายคนก็พูดติดตลกแก้เขินบอก
"ข้าน้อยมีตาหามีแววไม่"
"เพื่อนหวางนายนี่ก็  ถ่อมตัวจนดูไม่ออกเลย"
"เพื่อน นายเป็นใหญ่เป็นโตขนาดนี้อุบเงียบไว้เลยนะ"...
แล้วเพื่อนๆก็พากันกรูเข้ามาหาหวาง หวังจะตีสนิทด้วยก่อนเลิกงาน...

เวลานี้ ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มตอนเริ่มงานของหวาง...เปลี่ยนเป็น
บึ้งตึง...เขาเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงขึงขัง...

"ก่อนหน้านั้น   ตอนเรากล่าวบนเวทีว่า    อาหารกว่าสิบอย่างที่
เพื่อนๆกินกันในงานวันนี้ เรากับเพื่อนพ่อครัวช่วยกันทำสุดฝีมือ
ไม่เห็นมีใครขอบคุณเรากับเพื่อนเลย!  เพราะเราเป็นแค่พ่อครัว
ใช่มั้ย?"

"พ่อครัวแบบเราเราอาจจะเนื้อตัวมอมแมม    เสื้อติดกลิ่นน้ำมัน
ไม่น่าเข้าใกล้นะ  แต่ไม่ใช่เพราะพ่อครัวเนื้อตัวสกปรกแบบพวก
เราเหรอ? พวกเธอถึงมีอาหารเลิศรส ที่รังสรรค์อย่างปราณีตให้
ทานกัน?"

"เรากับเพื่อนพ่อครัวหลายสิบชีวิตในครัว ยุ่งตัวเป็นเกลียวตั้งแต่
เช้า หวังเพียงให้เพื่อนๆอย่างพวกเธอมีอาหารดัีๆทาน...แต่ไม่มี
ใครเห็นคุณค่าสิ่งที่เราทำเลย   ซ้ำร้ายยังดูถูกเยาะเย้ยงานที่เรา
ทำอีก"

"คนเรา...ต่อให้งานการใหญ่โต มีหน้ามีตาในสังคม แต่ถ้าความ
เคารพในเพื่อนมนุษย์ด้วยกันยังไม่มี  ก็เป็นแค่คนชั้นต่ำ..."

"พวกเธอทุกคน...ไม่คู่ควรจะมาทานอาหารที่โรงแรมนี้อีก  
โรงแรมของฉันไม่ต้อนรับพวกเธอ!!!"

หลังหวางพูดจบ ก็เดินจากไป....ทิ้งให้เพื่อนๆร่วมรุ่นวัยเด็กของ
เขาทั้งห้อง หน้าชาอยู่อย่างนั้น

...เป็นอันจบงานเลี้ยงรุ่น

นำเสนอโดย
เรื่องดีๆมีข้อคิด > http://bit.ly/2iFE1x4
Line : ts2502
Instagram : th.thamma

#นิทานจีนจากเรื่องจริงของชีวิต
#Lertดิจิตอลมาร์เก็ตติ้งจีน