วันอาทิตย์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2560

เจ้ากรรมนายเวร ของพระโมคคัลลานะ เจ้ากรรมนายเวร ของพระโมคคัลลานะตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเรื่องเจ้ากรรมนายเวรในสมัยพุทธกาล เป็นเรื่องของพระโมคคัลลานะอัครสาวกเบื้องซ้าย ซึ่งเป็นธรรมเสนาบดีของพระพุทธเจ้า พระโมคคัลลานะนั้นได้รับการยกย่องว่าเป็น เอตทัคคะในด้านมีฤทธิ์มาก นอกจากนี้ท่านยังเป็นผู้ที่มีความสามารถในการก่อสร้างเป็นอย่างมาก โดยท่านได้รับมอบหมายจากพระพุทธองค์ให้เป็นผู้ควบคุมดูแลการก่อสร้างวัด “บุพพาราม” ซึ่งนางวิสาขามหาอุบาสิกาบริจาคทรัพย์จำนวนมากถวายให้ ณ เมืองสาวัตถี แต่ใครจะทราบบ้างว่า ตัวท่านเองนั้นมีเจ้ากรรมนายเวรที่ท่านต้องรับผลของกรรมนั้นเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ มูลเหตุเรื่องกรรมเก่าของท่านเกิดขึ้นเมื่อ พระพุทธองค์มีรับสั่งให้พระโมคคัลลานะไปอบรมสั่งสอนนักบวชนอกศาสนาให้ลดความดื้อดึงและการยึดมั่นถือมั่นในลัทธิอันไร้ประโยชน์ที่พวกเขาเหล่านั้นให้ความนับถืออยู่เสีย เพราะว่าจะทำให้เสียเวลาและชีวิตเกิดความสูญเปล่าไปโดยใช่เหตุ จ้าวลัทธิเหล่านั้นก็อยากลองวิชากับพระโมคคัลลานะที่เดินทางมาโปรด จึงทำการปล่อยพญานาคมาทำร้ายหวังจะเอาชีวิต พระโมคคัลลานะได้ตั้งจิตภาวนาสวดมนต์แผ่ส่วนกุศลให้พญานาคเพื่อคลายความเกรี้ยวกราดลง และในที่สุดก็ทำให้พญานาคสงบจิตลงได้ นักบวชที่หลงผิดและเกรงในอำนาจของพระโมคคัลลานะบางกลุ่มก็สำนึกได้ และหันกลับมาฟังธรรมของพระพุทธองค์จนบรรลุเป็นพระโสดาบันหันมาบวชในพระพุทธศาสนา เหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นเมื่อ เศรษฐีผู้หนึ่งเป็นชาวเมืองราชคฤห์ แห่งแคว้นมคธเกิดอยากจะเห็นพระอรหันต์ที่แท้จริง จึงต้องการทดสอบเพื่อค้นหาพระอรหันต์ที่แท้ จึงสั่งให้ช่างกลึงไม้จันทน์แดงทำเป็นบาตรแล้วแขวนไว้ในที่สูงเกินกว่าจะมีใครเอื้อมถึงได้ ผู้ใดที่เป็นอรหันต์จริงก็จงเหาะมาเอาบาตรนั้นไปแล้วตนจึงจะให้การยอมรับว่าพระอรหันต์นั้นมีอยู่จริง ในเมืองราชคฤห์นั้นเป็นเมืองใหญ่ที่มีความเจริญสูง มีจ้าวลัทธิหลายสำนักที่ต่างก็โอ้อวดตนเองว่าเป็นอรหันต์แต่เมื่อให้ลองมาพิสูจน์ก็ไม่มีผู้ใดสามารถจะนำบาตรลงมาได้ หลายวันผ่านไปก็ไม่มีใครเหาะขึ้นไปเอาบาตรได้เสียทีจนผู้คนในเมืองต่างพากันเชื่อว่าในโลกนี้คงจะไม่มีพระอรหันต์อยู่จริงเป็นแน่แท้ ในขณะนั้นพระโมคคัลลานะ กับ พระปิณโฑลภารทวาชะ กำลังยืนห่มจีวรเพื่อที่จะเข้าไปบิณฑบาตในเมืองได้ยินชาวบ้านกล่าวถึงเรื่องการพิสูจน์การมีอยู่ของพระอรหันต์ว่ามีจริงหรือไม่ ทั้งสองท่านเห็นว่าควรจะประกาศให้ประชาชนรู้ว่า พระอรหันต์มีอยู่จริงเพื่อเป็นการลดทิฐิมานะของเหล่าชาวเมืองลง พระโมคคัลลานะแม้จะมีฤทธิ์มากกว่าใครแต่ก็เป็นผู้ใจกว้างเปิดโอกาสให้พระปิณโฑลภารทวาชะได้แสดงปาฏิหาริย์เหาะขึ้นไปนำบาตรลงมา ซึ่งพระปิณโฑลภารทวาชะก็สำแดงฤทธิ์ให้ชาวบ้านทั้งหลายเป็นที่ประจักษ์แก่สายตารวมไปถึง เศรษฐีต้นตอของเรื่องด้วยทำให้ชาวเมืองทั้งหมดได้ลดทิฐิมานะทั้งหลายลงพากันเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาโดยทั้งสิ้น การเปิดโอกาสให้พระผู้อ่อนพรรษากว่าอย่างพระปิณโฑลภารทวาชะให้เป็นผู้แสดงฤทธิ์แทนตนเองนั้นเป็นความต้องการของพระโมคคัลลานะโดยมีจุดประสงค์ต้องการยกย่องความรู้ความสามารถของพระพุทธสาวกอื่นๆให้ปรากฏบ้างนั่นเอง แทรกตรงนี้สักเล็กน้อย ด้วยเหตุที่พระปิณโฑลภารทวารชะ ได้เหาะขึ้นไปเอาบาตรนี่เองทำให้พระพุทธองค์ต้องทรงบัญญัติให้มีกฎ “ห้าม” พระอรหันต์แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ให้กับเหล่าคฤหัสถ์ทั้งหลายชมเป็นอันขาดเพราะเกรงว่า คนทั้งหลายจะเข้าใจผิดเรื่องการมีอิทธิวิธีหรือการแสดงปาฏิหาริย์ต่าง ๆนั้นหมายถึงการสำเร็จถึงความเป็นพระอรหันต์ ซึ่งความจริงแล้วไม่ได้เป็นอย่างนั้น อิทธิวิธีทั้งหลายไม่ว่าการเหาะเหินเดินอากาศ,การมีหูทิพย์, ตาทิพย์, การรำลึกชาติได้ หรือการอ่านใจคนได้ เป็นเพียงความสามารถส่วนของหนึ่งของพระผู้เป็นอรหันต์เท่านั้น ความเป็นอรหันต์ที่แท้จริง คือการสามารถบรรลุธรรมและตัดกิเลสออกจากกมลสันดานได้หมดจดนั่นจึงหมายถึงความเป็นอรหันต์ที่แท้ นอกจากนั้นบาตรไม้ที่เศรษฐีนำไปแขวนไว้นั้น พระพุทธองค์ก็ทรงห้ามให้ภิกษุทั้งหลายไม่ให้ใช้บาตรไม้เป็นอันขาดเพราะการนำไม้มาทำเป็นบาตรก็เป็นการเบียดเบียนเหล่าพืชซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตเช่นเดียวกับมนุษย์ บรรดาจ้าวลัทธิที่ยังมีจิตใจเป็นพาลไม่ได้บรรลุธรรมเหมือนจ้าวลัทธิบางพวก เมื่อการแสดงปาฏิหาริย์ของพระอรหันต์บังเกิดผล พวกตนจึงได้รับผลกระทบเงินทองของบริจาคที่เคยได้ก็เริ่มลดน้อยไม่มีคนกราบไหว้นับถือเช่นเดิม จ้าวลัทธิทั้งหลายจึงคิดกำจัดพระโมคคัลลานะอันเป็นต้นเหตุเสีย จึงได้ร่วมมือกันว่าจ้างโจรกลุ่มหนึ่งเพื่อไปทำการสังหารพระโมคคัลลานะด้วยธนู ซึ่งในขณะนั้นท่านกำลังนั่งสมาธิอยู่ในถ้ำกาฬศิลา อยู่ใกล้กรุงราชคฤห์ ท่านก็รับรู้ถึงอันตรายได้ด้วยฌานและใช้อภิญญาอิทธิฤทธิ์หายตัวทำให้พวกโจรหาไม่พบ แล้วก็พากันล่าถอยกลับไป แต่ไม่นานพวกโจรก็กลับมาตามล่าพระโมคคัลลานะอีกครั้ง แต่ก็ทำอะไรพระโมคคัลลานะไม่ได้ท่านก็แสดงฤทธิ์หายตัวหนีไปได้อีก แต่ในขณะนั้นเองท่านก็ได้เข้าฌานสมาบัติ เพื่อตรวจดูกรรมในกาลก่อนของตนแล้วพบว่าตนเองได้สร้างกรรมให้ผูกพันทำให้เหล่าโจรนี้กลับมาเป็นเจ้ากรรมนายเวรของตน ในอดีตชาติ พระโมคคัลลานะนั้นเกิดในตระกูลพราหมณ์ที่ยากจนเป็นลูกคนเดียวอีกทั้งพ่อแม่ ประสบเคราะห์กรรมตาบอดด้วยกันทั้งสองคนเป็นภาระให้ลูกชายต้องคอยปรนนิบัติเลี้ยงดูแต่ลูกชายก็ไม่ได้รังเกียจพ่อแม่หรือรำคาญที่พ่อแม่ต้องตาบอดให้การเลี้ยงดูอย่างดีเสมอมา ต่อมาพ่อแม่ได้จัดการสู่ขอหญิงสาวที่มีชาติตระกูลมาและจัดพิธีแต่งงานให้แต่ตนเองก็ไม่ได้เต็มใจนักเพราะตระหนักว่าตนเองเพียงลำพังก็สามารถดูแลพ่อแม่ได้ ในระยะแรกครอบครัวก็มีความสุขดีตามอัตภาพ แต่พอเวลาผ่านไปลูกสะใภ้ก็เริ่มมีความรังเกียจพ่อแม่สามีที่ตาบอดต้องคอยเป็นภาระให้ลูกและสะใภ้อยู่มากอีกทั้งไม่สามารถทำงานใด ๆได้ก็เกิดความเบื่อหน่ายและรังเกียจ จึงหาวิธียุแหย่ให้สามีเกลียดชังพ่อแม่ โดยกล่าวหาว่าพ่อแม่กลั่นแกล้งนางผู้เป็นสะใภ้สารพัด ในที่สุดเมื่อถูกยุแหย่มาก ๆเข้า ลูกชายก็คล้อยตามคำของภรรยารับปากว่าจะหาวิธีจัดการกับพ่อแม่ขของตนเองโดยให้นั่งเกวียนแล้วออกเดินทางพอไปถึงที่เปลี่ยวก็จัดการจอดเกวียนแล้วแสร้งตะโกนว่าถูกโจรปล้น จากนั้นก็จัดการหยิบไม้เพื่อกลับไปสังหารพ่อและแม่ของตัวเองทันที!! เมื่อพระโมคคัลลานะได้รำลึกถึงอดีตชาติจนชัดแจ้งแล้วก็เข้าใจว่า เหล่าโจรที่มาตามล่าตนเองก็คือ เจ้ากรรมนายเวรของตนที่ตามมาล้างแค้นเหมือนที่ตนเองก็เคยเป็นเจ้ากรรมนายเวรกลับไปทำร้ายพ่อแม่ของตัวเองเช่นกัน เมื่อคิดได้ดังนั้นท่านจึงปลงใจยอมรับกรรมที่จะเกิดขึ้นในเบื้องหน้า นั่งคอยให้พวกโจรมาทุบตีจนกระดูกแหลกไม่มีชิ้นดี จากนั้นก็พากันหลบหนีไปทิ้งร่างของพระโมคคัลลานะเอาไว้ พระโมคคัลลานะได้รวบรวมกำลังกายพยุงร่างอันบอบช้ำขึ้นมานั่งแล้วใช้อิทธิฤทธิ์ประสานกระดูกให้เข้าที่จัดจีวรให้เรียบร้อยแล้วเหาะไปยังวัดเวฬุวันอันเป็นที่ประทับของพระพุทธองค์ในขณะนั้นกราบทูลอำลาเพื่อนิพพาน ก่อนที่จะนิพพานนั้น พระพุทธองค์โปรดขอให้พระโมคคัลลานะแสดงธรรมเป็นครั้งสุดท้ายเพราะนี่เป็นครั้งสุดท้ายที่พระองค์จะได้พบสาวกดังเช่นพระโมคคัลลานะอีก ท่านก็ปฏิบัติตามตามที่พระพุทธองค์ได้ขอและเหาะกลับไปยังถ้ำกาฬศิลาปรินิพพาน ณ ที่แห่งนั้นตรงกับ วันแรม 15 ค่ำเดือน 12 หลังจากที่พระสารีบุตรอัครสาวกเบื้องขวาได้นิพพานไปก่อนหน้านั้นได้ 15 วัน จากตัวอย่างของพระโมคคัลลานะ แสดงให้เห็นว่าแม้แต่ในผู้ที่บรรลุธรรมชั้นสูงสุดก็ยังมีเจ้ากรรมนายเวรคอยตามอาฆาตอยู่ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากผลกรรมที่ตนเองได้ทำไว้ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ ทางแก้ของท่านคือการปลงใจยอมรับแต่โดยดีเพื่อให้เจ้ากรรมนายเวรหายแค้น แต่ทว่าผลของกรรมอันหนักก็ต้องตกกับผู้ที่เป็นเจ้ากรรมนายเวรอันคือเหล่าโจรต่อไป https://torthammarak.wordpress.com/2013/03/08/%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%A3-%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A1/

เจ้ากรรมนายเวร ของพระโมคคัลลานะ

เจ้ากรรมนายเวร ของพระโมคคัลลานะตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเรื่องเจ้ากรรมนายเวรในสมัยพุทธกาล เป็นเรื่องของพระโมคคัลลานะอัครสาวกเบื้องซ้าย ซึ่งเป็นธรรมเสนาบดีของพระพุทธเจ้า พระโมคคัลลานะนั้นได้รับการยกย่องว่าเป็น เอตทัคคะในด้านมีฤทธิ์มาก นอกจากนี้ท่านยังเป็นผู้ที่มีความสามารถในการก่อสร้างเป็นอย่างมาก โดยท่านได้รับมอบหมายจากพระพุทธองค์ให้เป็นผู้ควบคุมดูแลการก่อสร้างวัด “บุพพาราม” ซึ่งนางวิสาขามหาอุบาสิกาบริจาคทรัพย์จำนวนมากถวายให้ ณ เมืองสาวัตถี

แต่ใครจะทราบบ้างว่า ตัวท่านเองนั้นมีเจ้ากรรมนายเวรที่ท่านต้องรับผลของกรรมนั้นเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ

มูลเหตุเรื่องกรรมเก่าของท่านเกิดขึ้นเมื่อ พระพุทธองค์มีรับสั่งให้พระโมคคัลลานะไปอบรมสั่งสอนนักบวชนอกศาสนาให้ลดความดื้อดึงและการยึดมั่นถือมั่นในลัทธิอันไร้ประโยชน์ที่พวกเขาเหล่านั้นให้ความนับถืออยู่เสีย เพราะว่าจะทำให้เสียเวลาและชีวิตเกิดความสูญเปล่าไปโดยใช่เหตุ

จ้าวลัทธิเหล่านั้นก็อยากลองวิชากับพระโมคคัลลานะที่เดินทางมาโปรด จึงทำการปล่อยพญานาคมาทำร้ายหวังจะเอาชีวิต พระโมคคัลลานะได้ตั้งจิตภาวนาสวดมนต์แผ่ส่วนกุศลให้พญานาคเพื่อคลายความเกรี้ยวกราดลง และในที่สุดก็ทำให้พญานาคสงบจิตลงได้ นักบวชที่หลงผิดและเกรงในอำนาจของพระโมคคัลลานะบางกลุ่มก็สำนึกได้ และหันกลับมาฟังธรรมของพระพุทธองค์จนบรรลุเป็นพระโสดาบันหันมาบวชในพระพุทธศาสนา

เหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นเมื่อ เศรษฐีผู้หนึ่งเป็นชาวเมืองราชคฤห์ แห่งแคว้นมคธเกิดอยากจะเห็นพระอรหันต์ที่แท้จริง จึงต้องการทดสอบเพื่อค้นหาพระอรหันต์ที่แท้  จึงสั่งให้ช่างกลึงไม้จันทน์แดงทำเป็นบาตรแล้วแขวนไว้ในที่สูงเกินกว่าจะมีใครเอื้อมถึงได้ ผู้ใดที่เป็นอรหันต์จริงก็จงเหาะมาเอาบาตรนั้นไปแล้วตนจึงจะให้การยอมรับว่าพระอรหันต์นั้นมีอยู่จริง

ในเมืองราชคฤห์นั้นเป็นเมืองใหญ่ที่มีความเจริญสูง มีจ้าวลัทธิหลายสำนักที่ต่างก็โอ้อวดตนเองว่าเป็นอรหันต์แต่เมื่อให้ลองมาพิสูจน์ก็ไม่มีผู้ใดสามารถจะนำบาตรลงมาได้ หลายวันผ่านไปก็ไม่มีใครเหาะขึ้นไปเอาบาตรได้เสียทีจนผู้คนในเมืองต่างพากันเชื่อว่าในโลกนี้คงจะไม่มีพระอรหันต์อยู่จริงเป็นแน่แท้

ในขณะนั้นพระโมคคัลลานะ กับ พระปิณโฑลภารทวาชะ กำลังยืนห่มจีวรเพื่อที่จะเข้าไปบิณฑบาตในเมืองได้ยินชาวบ้านกล่าวถึงเรื่องการพิสูจน์การมีอยู่ของพระอรหันต์ว่ามีจริงหรือไม่ ทั้งสองท่านเห็นว่าควรจะประกาศให้ประชาชนรู้ว่า พระอรหันต์มีอยู่จริงเพื่อเป็นการลดทิฐิมานะของเหล่าชาวเมืองลง

พระโมคคัลลานะแม้จะมีฤทธิ์มากกว่าใครแต่ก็เป็นผู้ใจกว้างเปิดโอกาสให้พระปิณโฑลภารทวาชะได้แสดงปาฏิหาริย์เหาะขึ้นไปนำบาตรลงมา ซึ่งพระปิณโฑลภารทวาชะก็สำแดงฤทธิ์ให้ชาวบ้านทั้งหลายเป็นที่ประจักษ์แก่สายตารวมไปถึง เศรษฐีต้นตอของเรื่องด้วยทำให้ชาวเมืองทั้งหมดได้ลดทิฐิมานะทั้งหลายลงพากันเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาโดยทั้งสิ้น

การเปิดโอกาสให้พระผู้อ่อนพรรษากว่าอย่างพระปิณโฑลภารทวาชะให้เป็นผู้แสดงฤทธิ์แทนตนเองนั้นเป็นความต้องการของพระโมคคัลลานะโดยมีจุดประสงค์ต้องการยกย่องความรู้ความสามารถของพระพุทธสาวกอื่นๆให้ปรากฏบ้างนั่นเอง

แทรกตรงนี้สักเล็กน้อย ด้วยเหตุที่พระปิณโฑลภารทวารชะ ได้เหาะขึ้นไปเอาบาตรนี่เองทำให้พระพุทธองค์ต้องทรงบัญญัติให้มีกฎ “ห้าม” พระอรหันต์แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ให้กับเหล่าคฤหัสถ์ทั้งหลายชมเป็นอันขาดเพราะเกรงว่า คนทั้งหลายจะเข้าใจผิดเรื่องการมีอิทธิวิธีหรือการแสดงปาฏิหาริย์ต่าง ๆนั้นหมายถึงการสำเร็จถึงความเป็นพระอรหันต์ ซึ่งความจริงแล้วไม่ได้เป็นอย่างนั้น

อิทธิวิธีทั้งหลายไม่ว่าการเหาะเหินเดินอากาศ,การมีหูทิพย์, ตาทิพย์, การรำลึกชาติได้ หรือการอ่านใจคนได้ เป็นเพียงความสามารถส่วนของหนึ่งของพระผู้เป็นอรหันต์เท่านั้น ความเป็นอรหันต์ที่แท้จริง คือการสามารถบรรลุธรรมและตัดกิเลสออกจากกมลสันดานได้หมดจดนั่นจึงหมายถึงความเป็นอรหันต์ที่แท้ นอกจากนั้นบาตรไม้ที่เศรษฐีนำไปแขวนไว้นั้น พระพุทธองค์ก็ทรงห้ามให้ภิกษุทั้งหลายไม่ให้ใช้บาตรไม้เป็นอันขาดเพราะการนำไม้มาทำเป็นบาตรก็เป็นการเบียดเบียนเหล่าพืชซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตเช่นเดียวกับมนุษย์

บรรดาจ้าวลัทธิที่ยังมีจิตใจเป็นพาลไม่ได้บรรลุธรรมเหมือนจ้าวลัทธิบางพวก เมื่อการแสดงปาฏิหาริย์ของพระอรหันต์บังเกิดผล พวกตนจึงได้รับผลกระทบเงินทองของบริจาคที่เคยได้ก็เริ่มลดน้อยไม่มีคนกราบไหว้นับถือเช่นเดิม

จ้าวลัทธิทั้งหลายจึงคิดกำจัดพระโมคคัลลานะอันเป็นต้นเหตุเสีย จึงได้ร่วมมือกันว่าจ้างโจรกลุ่มหนึ่งเพื่อไปทำการสังหารพระโมคคัลลานะด้วยธนู ซึ่งในขณะนั้นท่านกำลังนั่งสมาธิอยู่ในถ้ำกาฬศิลา อยู่ใกล้กรุงราชคฤห์  ท่านก็รับรู้ถึงอันตรายได้ด้วยฌานและใช้อภิญญาอิทธิฤทธิ์หายตัวทำให้พวกโจรหาไม่พบ แล้วก็พากันล่าถอยกลับไป

แต่ไม่นานพวกโจรก็กลับมาตามล่าพระโมคคัลลานะอีกครั้ง แต่ก็ทำอะไรพระโมคคัลลานะไม่ได้ท่านก็แสดงฤทธิ์หายตัวหนีไปได้อีก แต่ในขณะนั้นเองท่านก็ได้เข้าฌานสมาบัติ เพื่อตรวจดูกรรมในกาลก่อนของตนแล้วพบว่าตนเองได้สร้างกรรมให้ผูกพันทำให้เหล่าโจรนี้กลับมาเป็นเจ้ากรรมนายเวรของตน

ในอดีตชาติ พระโมคคัลลานะนั้นเกิดในตระกูลพราหมณ์ที่ยากจนเป็นลูกคนเดียวอีกทั้งพ่อแม่ ประสบเคราะห์กรรมตาบอดด้วยกันทั้งสองคนเป็นภาระให้ลูกชายต้องคอยปรนนิบัติเลี้ยงดูแต่ลูกชายก็ไม่ได้รังเกียจพ่อแม่หรือรำคาญที่พ่อแม่ต้องตาบอดให้การเลี้ยงดูอย่างดีเสมอมา

ต่อมาพ่อแม่ได้จัดการสู่ขอหญิงสาวที่มีชาติตระกูลมาและจัดพิธีแต่งงานให้แต่ตนเองก็ไม่ได้เต็มใจนักเพราะตระหนักว่าตนเองเพียงลำพังก็สามารถดูแลพ่อแม่ได้ ในระยะแรกครอบครัวก็มีความสุขดีตามอัตภาพ แต่พอเวลาผ่านไปลูกสะใภ้ก็เริ่มมีความรังเกียจพ่อแม่สามีที่ตาบอดต้องคอยเป็นภาระให้ลูกและสะใภ้อยู่มากอีกทั้งไม่สามารถทำงานใด ๆได้ก็เกิดความเบื่อหน่ายและรังเกียจ จึงหาวิธียุแหย่ให้สามีเกลียดชังพ่อแม่ โดยกล่าวหาว่าพ่อแม่กลั่นแกล้งนางผู้เป็นสะใภ้สารพัด

ในที่สุดเมื่อถูกยุแหย่มาก ๆเข้า ลูกชายก็คล้อยตามคำของภรรยารับปากว่าจะหาวิธีจัดการกับพ่อแม่ขของตนเองโดยให้นั่งเกวียนแล้วออกเดินทางพอไปถึงที่เปลี่ยวก็จัดการจอดเกวียนแล้วแสร้งตะโกนว่าถูกโจรปล้น จากนั้นก็จัดการหยิบไม้เพื่อกลับไปสังหารพ่อและแม่ของตัวเองทันที!!

เมื่อพระโมคคัลลานะได้รำลึกถึงอดีตชาติจนชัดแจ้งแล้วก็เข้าใจว่า เหล่าโจรที่มาตามล่าตนเองก็คือ เจ้ากรรมนายเวรของตนที่ตามมาล้างแค้นเหมือนที่ตนเองก็เคยเป็นเจ้ากรรมนายเวรกลับไปทำร้ายพ่อแม่ของตัวเองเช่นกัน เมื่อคิดได้ดังนั้นท่านจึงปลงใจยอมรับกรรมที่จะเกิดขึ้นในเบื้องหน้า นั่งคอยให้พวกโจรมาทุบตีจนกระดูกแหลกไม่มีชิ้นดี จากนั้นก็พากันหลบหนีไปทิ้งร่างของพระโมคคัลลานะเอาไว้

พระโมคคัลลานะได้รวบรวมกำลังกายพยุงร่างอันบอบช้ำขึ้นมานั่งแล้วใช้อิทธิฤทธิ์ประสานกระดูกให้เข้าที่จัดจีวรให้เรียบร้อยแล้วเหาะไปยังวัดเวฬุวันอันเป็นที่ประทับของพระพุทธองค์ในขณะนั้นกราบทูลอำลาเพื่อนิพพาน

ก่อนที่จะนิพพานนั้น พระพุทธองค์โปรดขอให้พระโมคคัลลานะแสดงธรรมเป็นครั้งสุดท้ายเพราะนี่เป็นครั้งสุดท้ายที่พระองค์จะได้พบสาวกดังเช่นพระโมคคัลลานะอีก ท่านก็ปฏิบัติตามตามที่พระพุทธองค์ได้ขอและเหาะกลับไปยังถ้ำกาฬศิลาปรินิพพาน ณ ที่แห่งนั้นตรงกับ วันแรม 15 ค่ำเดือน 12 หลังจากที่พระสารีบุตรอัครสาวกเบื้องขวาได้นิพพานไปก่อนหน้านั้นได้ 15 วัน

จากตัวอย่างของพระโมคคัลลานะ แสดงให้เห็นว่าแม้แต่ในผู้ที่บรรลุธรรมชั้นสูงสุดก็ยังมีเจ้ากรรมนายเวรคอยตามอาฆาตอยู่ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากผลกรรมที่ตนเองได้ทำไว้ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ ทางแก้ของท่านคือการปลงใจยอมรับแต่โดยดีเพื่อให้เจ้ากรรมนายเวรหายแค้น แต่ทว่าผลของกรรมอันหนักก็ต้องตกกับผู้ที่เป็นเจ้ากรรมนายเวรอันคือเหล่าโจรต่อไป

https://torthammarak.wordpress.com/2013/03/08/%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%A3-%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A1/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น