วันอังคารที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ถอดรหัส Mark Zuckerberg : นักสร้างแบรนด์ vs. นักธุรกิจ ตอนที่ 1 ก่อนอื่นต้องขอบอกว่านี่ไม่ใช่บทความที่เอาคำพูดของ Mark ในงานรับปริญญาที่ Harvard มาให้อ่านนะครับ แต่เป็นการวิเคราะห์สิ่งที่ Mark พูด กับสิ่งที่ Mark ทำ และที่สำคัญที่สุด สิ่งที่เราสามารถถอดจากเขาออกเป็นวิธีคิดที่“เลียนแบบได้” เนื่องจาก Mark พูดไว้ยาวมาก ผมคงเขียนบทความราวซัก 3 ตอนนะครับ ขอให้บทความนี้เป็นประโยชน์ครับ : ) ————— สิ่งที่ทั่วทั้งโลกคงได้รับรู้ตรงกัน คือ Mark ได้ทำให้แบรนด์ Facebook กลายเป็นแบรนด์ที่ยืนอยู่เพื่ออะไรบางอย่าง (Stand for something) แทนที่จะเป็นแบรนด์ที่อยู่เพื่อเงิน (Stand for money) ตามแนวทางปกติของโลกธุรกิจ ซึ่งด้วยแนวคิด Values before Market Values ทำให้การอยู่เพื่ออะไรบางอย่างสร้างรายได้มหาศาลให้กับ Facebook โดยปริยาย ใช่แล้วครับ สิ่งที่ทำให้แบรนด์กับธุรกิจแตกต่างกัน คือ ธุรกิจนั้นมีเป้าหมายที่ชัดเจนเพียงอย่างเดียว คือ สร้างรายได้ (และไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไร มันจะเป็นส่วนหนึ่งของการได้มาซึ่งรายได้) แต่แบรนด์นั้น เป้าหมายอาจจะเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นมาก ไม่ได้หมายความว่าการสร้างแบรนด์ ไม่สนใจรายได้นะครับ แต่หมายความว่ารายได้เป็นผลลัพท์ที่เกิดขึ้นจากบางสิ่งบางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่านั่นมาก ลองไปดูว่า Mark บอกอะไรกับเราบ้าง และอะไรที่ซ่อนอยู่ในความแตกต่างระหว่างแบรนด์กับธุรกิจ 1. Finding purpose is not enough. Creating the world where everyone has a sense of purpose. Purpose is that the sense that we are part of something bigger than ourselves. ข้อนี้ตอบเรื่องของยุค 4.0 ที่มนุษย์แสวงหา Self Actualisation ได้เป็นอย่างดี สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่ใช่การที่เราไปถึงเป้าหมาย แต่เป็นการช่วยให้ผู้คนไปถึงเป้าหมายของพวกเขาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถาวะที่การทำธุรกิจเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็สามารถทำได้ ทั้งหมดนั้นเป็นบทบาทสำคัญของแบรนด์ที่คุณค่ามาก่อนมูลค่า และต้องเป็นคุณค่าที่มีร่วมกัน ความร่วมมือจึงจะเกิดขึ้น 2. A change in the world that seems so clear. you are sure someone else will do it. But they wont, you will ข้อนี้สำคัญมากครับ มันเหมือนพวกเราทุกคนรู้ดีว่าปัจจุบัน อะไรคือ ปัญหาหรือสิ่งที่โลกต้องการ (โดยไม่ต้องไปนั่งทำ Market Research ให้มันวุ่นวาย) และเราก็ได้แต่หวังว่าจะมีใครซักคน เมื่อทุกคนเอาแต่รอ ปัญหาเหล่านั้นมันก็ยังอยู่ต่อไป จนกระทั่งเราตกผลึกว่า เราเนี่ยจะเป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ปัญหา หัวใจของข้อนี้ คือ ถ้าคุณทำธุรกิจ การแก้ปัญหาเหล่านี้จะเป็นเรื่องใหญ่ ยาก และไม่คุ้มค่า คุณจะเลิกทำมันไปในท้ายที่สุด แต่ถ้าคุณสร้างแบรนด์ คุณจะอดทนรอคอยความสำเร็จ คุณจะจดจ่อ และที่สำคัญคุณจะไม่ล้มเลิกก่อนที่คุณจะไปถึงเป้าหมายดังกล่าว เพราะคุณรู้ดีว่าคุณเริ่มทำไม 3. My hope was never to build a company, but to make an impact ในบรรดาทั้งหมด ผมชอบประโยคนี้ที่สุด เพราะมันสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า Mark กำลังสร้างแบรนด์ Facebook เค้าไม่ได้ตั้งต้นมันด้วยคำถามที่ว่า ทำธุรกิจอะไรดี เค้าเพียงแค่ต้องการเชื่อมโยงผู้คน ธุรกิจเป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยให้เขาทำสำเร็จ มันแตกต่างกันมากนะครับผู้สร้างแบรนด์ขึ้นมากับผู้ที่หาประโยชน์จากมัน เมื่อคุณค่าชัดเจน มันจะดึงดูดสิ่งที่จำเป็นต่อความสำเร็จทุกอย่างตามมาเอง 4. Some big companies wanted to buy us. I didn’t want to sell. I wanted to see if we could connect more people. ผมอยากฝากข้อนี้ของ Mark ไปยังธุรกิจ Start up ทุกราย จริงอยู่ การได้มาซึ่งเงินคือ ส่วนสำคัญในการทำธุรกิจ แต่มันไม่ได้สำคัญเท่ากับเป้าหมายว่าคุณทำมันทำไม ถ้าเงินไม่ได้ช่วยให้คุณไปถึงจุดนั้น การขายย่อมไม่เป็นประโยชน์ สิ่งที่ผมเชื่อว่ามันถูกมาตลอดคือ เป้าหมายต้องสลักไว้บนหินผา ส่วนวิธีการเขียนไว้บนผืนทราย เขียนใหม่ได้ เปลี่ยนใหม่ได้ หากมันยังคงถูกทิศถูกทาง ตลอดสองข้างทางในการทำธุรกิจ เงินคือสิ่งที่ทำให้เราสุข และเงินคือสิ่งที่ทำให้เราทุกข์ในเวลาเดียวกัน การทำธุรกิจเงินเปรียบเสมือนน้ำมันหล่อลื่น มันทำให้ทุกอย่างดูง่าย แต่ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้เราสำเร็จ เป้าหมายที่ชัดเจนและมี Focus ต่างหากที่ช่วยเรา 5. That was my hardest time leading Facebook (where everyone else wanted to sell the company). I believed in what we were doing, but I felt lonely. นี่คือ อีกสิ่งหนึ่งที่ปริญญาเอกด้านบริหารธุรกิจอาจไม่ได้ทำให้คุณสัมผัสมันอย่างลึกซึ้งจนกว่าคุณจะทำเอง ความสำเร็จในธุรกิจบ่อยครั้งวัดกันที่คุณจะบริหารจัดการกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างไรตลอดทาง เมื่อคนรอบข้างบอกว่าเงิน คือ เป้าหมายทางธุรกิจ ในขณะที่คุณบอกว่า ธุรกิจคือ เครื่องมือไปสู่เป้าหมายต่างหาก มันไม่ใช่แค่การทำให้ผู้คนรอบข้างเข้าใจและเข้ามามีส่วนร่วมกับเรา แต่มันคือการอยู่ร่วมกับคนที่ไม่เข้าใจให้ได้ จิตใจเราต้องแข็งแรงมากพอ จนกระทั่งวันหนึ่งเราประสบความสำเร็จให้เค้าเห็น ความเชื่อจึงจะเกิด 6. Three ways to create a world where everyone has a sense of purpose: by taking on the big meaningful projects together, by redefining equality and by building community across the world ทั้งหมดที่ Mark กล่าวถึงไม่ได้มีเรื่องผลลัพท์ทางธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้องเลย เพราะเป้าหมายทางธุรกิจเป็นเป้าหมายส่วนบุคคล เป็นเป้าหมายของเจ้าของหรือผู้ถือหุ้น แต่สิ่งที่ Mark พูดถึงคือ สิ่งที่สังคมต้องการ มันมีรายละเอียดอีกมากในสิ่งที่เขาทำ แต่มันตั้งอยู่บน Purpose ชัดเจน ไม่ใช่ Profit ทุนนิยมเป็นแค่ตัวกลางในการทำสิ่งต่างๆ ให้เกิดขึ้น “คุณค่านิยม” ต่างหาก คือ เป้าหมายที่เรามีร่วมกัน 7. Every generation has its defining works อันนี้แหละ คือ สิ่งที่ทำให้โลกยุค 1.0 2.0 3.0 และ 4.0 แตกต่างกัน ถึงแม้ว่าเราจะยังคงอยู่บนโลกใบเดิม แต่ภารกิจนั้นได้เปลี่ยนไปตามกาลเวลา หากเปรียบเทียบตามหลักของ Maslow เราเคยดำรงอยู่เพียงเพื่อมีปัจจัย 4 ต่อมาเราเรียกร้องหาความมั่นคงและปลอดภัย สู่การเป็นที่รักของคนรอบข้าง และประสบความสำเร็จในแบบที่สังคมขีดเส้นไว้ วันนี้เราก้าวสู่ยุคที่ เราออกแบบความสำเร็จของเราเอง และมุ่งมั่นไปให้ถึงตรงนั้นด้วยตัวเอง ไม่มีใครถูก ไม่มีใครผิด ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเราเลือก ตรงตามโจทย์ของ Mark ที่กล่าวโดยสรุปว่า การประสบความสำเร็จ ไม่ยิ่งใหญ่เท่ากับการช่วยเหลือให้ผู้คนประสบความสำเร็จ 8. Let me tell you a secret: no one does (know how to build things) when they begin. Ideas don’t come out fully formed. They only become clear as you work on them. You just have to get started. ผมขอใช้ประโยคนี้มาเสริมความคิดของ Mark “ถ้าเราไม่เคยสร้างบ้าน เราจะไม่มีทางเข้าใจว่าบ้านที่สมบูรณ์แบบเป็นอย่างไร” การมีความรู้การเข้าใจอย่างถ่องแท้เป็นเสมือนภูมิคุ้มกัน ช่วยให้เราประคองตัวเองไปได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะหลีกเลี่ยงความผิดพลาด ความลำบาก หรือความล้มเหลวได้ บ่อยครั้งสิ่งเหล่านั้นเป็นธรรมชาติของความสำเร็จด้วยซ้ำ ดังนั้น เราต้องหาจุดที่พอดีกับตัวเอง รอให้รู้ครบ ก็ไม่ได้ทำ ไม่รู้เลย ทำไปก็มีแต่ปัญหา ขาดภูมิคุ้มัน ในที่สุดก็เลิก สำคัญ คือ เมื่อได้รู้ ต้องได้เริ่ม 9. If I had to understand everything about connecting people before I began. I never would have started Facebook. ประโยคนี้ช่วยเติมเต็มความเชื่อด้านบนของ Mark และมันเป็นข้อสรุปที่ว่า ไม่มีอะไรเกิดมาแล้วใหญ่เลย มันเกิดจากอะไรที่เล็กและสะสมได้แค่นั้น นี่คือ หัวใจของการสร้างแบรนด์และการทำธุรกิจในปัจจุบัน ถ้าไม่เรื่มเล็ก ถ้าสะสมผู้คนไม่ได้ ก็ไม่มีทางใหญ่และไม่มีวันใหญ่ 10. Its good to be idealistic. But be prepared to be misunderstood. ผมคิดว่าคงมีคนจำนวนมากที่ขำกับสิ่งที่ Mark ทำเมื่อ 10 ปีก่อน เพราะอะไร เพราะไม่มีใครเคยเห็นหน่ะสิ แล้วทำไมถึงไม่มีใครเคยเห็น เพราะมันยังไม่เกิด แล้วทำไมมันถึงยังไม่เกิด เพราะยังไม่มีคนทำได้หน่ะสิ สำหรับนักสร้างแบรนด์หรือคนทำธุรกิจ คุณควรจะต้องดีใจกับสิ่งนี้นะครับ เพราะมันหมายถึงโอกาสที่เปิดกว้าง เมื่อก่อนเคยมีคนถามผมว่า อ้าว แบบนี้ถ้าเราผลิตของที่ไม่มีคนอยากได้หล่ะ จะทำยังไง คำถามนี้ดู make sense นะครับ แต่ในความเป็นจริง ไม่มีใครผลิตสิ่งที่ไม่มีใครอยากได้ออกมาหรอก มันอาจจะดูตลกสำหรับคนกลุ่มหนึ่ง แต่มันจะมีค่าสำหรับคนกลุ่มหนึ่ง ดังนั้น การทำอะไรก็ตามถ้าคุณดูส่ิงที่คนอื่นทำแล้วทำตาม มันจะปลอดภัย แต่มันจะไม่ไปไกลเท่าที่คิด แต่ถ้าคุณสร้างบางอย่างขึ้นมา มันจะมีความเสี่ยง เสี่ยงต่อการไม่เข้าใจ เสี่ยงต่อการไม่เห็นด้วย เสี่ยงต่อการไม่ง่าย แต่ถ้าคุณไม่ล้มเลิก คุณจะไม่มีทางล้มเหลวครับ อยากให้ทุกคนได้อ่านและได้คิดตามนะครับ ไม่มีอะไรถูกและไม่มีอะไรผิด มันคือสิ่งที่เราเลือกที่จะเชื่อ และเลือกที่จะเป็น เพราะท้ายที่สุด ทุกความสำเร็จเป็นผลิตผลจาก แบรนด์บุคคลของเราทั้งสิ้น เดี๋ยวส่วนที่เหลือจะทยอยตามมานะครับ นักสร้างแบรนด์ทุกท่าน #BRAND #BRANDi #BRANDist #BRANDing4pointO #BRANDigital #BRANDinnovativeCenter #Mark #Harvard Credit Pic: Quartz

ถอดรหัส Mark Zuckerberg : นักสร้างแบรนด์ vs. นักธุรกิจ
ตอนที่ 1

ก่อนอื่นต้องขอบอกว่านี่ไม่ใช่บทความที่เอาคำพูดของ Mark ในงานรับปริญญาที่ Harvard มาให้อ่านนะครับ แต่เป็นการวิเคราะห์สิ่งที่ Mark พูด กับสิ่งที่ Mark ทำ และที่สำคัญที่สุด สิ่งที่เราสามารถถอดจากเขาออกเป็นวิธีคิดที่“เลียนแบบได้” เนื่องจาก Mark พูดไว้ยาวมาก ผมคงเขียนบทความราวซัก 3 ตอนนะครับ ขอให้บทความนี้เป็นประโยชน์ครับ : )

—————

สิ่งที่ทั่วทั้งโลกคงได้รับรู้ตรงกัน คือ Mark ได้ทำให้แบรนด์ Facebook กลายเป็นแบรนด์ที่ยืนอยู่เพื่ออะไรบางอย่าง (Stand for something) แทนที่จะเป็นแบรนด์ที่อยู่เพื่อเงิน (Stand for money) ตามแนวทางปกติของโลกธุรกิจ ซึ่งด้วยแนวคิด Values before Market Values ทำให้การอยู่เพื่ออะไรบางอย่างสร้างรายได้มหาศาลให้กับ Facebook โดยปริยาย

ใช่แล้วครับ สิ่งที่ทำให้แบรนด์กับธุรกิจแตกต่างกัน คือ ธุรกิจนั้นมีเป้าหมายที่ชัดเจนเพียงอย่างเดียว คือ สร้างรายได้ (และไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไร มันจะเป็นส่วนหนึ่งของการได้มาซึ่งรายได้) แต่แบรนด์นั้น เป้าหมายอาจจะเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นมาก

ไม่ได้หมายความว่าการสร้างแบรนด์ ไม่สนใจรายได้นะครับ แต่หมายความว่ารายได้เป็นผลลัพท์ที่เกิดขึ้นจากบางสิ่งบางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่านั่นมาก ลองไปดูว่า Mark บอกอะไรกับเราบ้าง และอะไรที่ซ่อนอยู่ในความแตกต่างระหว่างแบรนด์กับธุรกิจ

1. Finding purpose is not enough. Creating the world where everyone has a sense of purpose. Purpose is that the sense that we are part of something bigger than ourselves.
ข้อนี้ตอบเรื่องของยุค 4.0 ที่มนุษย์แสวงหา Self Actualisation ได้เป็นอย่างดี สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่ใช่การที่เราไปถึงเป้าหมาย แต่เป็นการช่วยให้ผู้คนไปถึงเป้าหมายของพวกเขาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถาวะที่การทำธุรกิจเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็สามารถทำได้ ทั้งหมดนั้นเป็นบทบาทสำคัญของแบรนด์ที่คุณค่ามาก่อนมูลค่า และต้องเป็นคุณค่าที่มีร่วมกัน ความร่วมมือจึงจะเกิดขึ้น

2. A change in the world that seems so clear. you are sure someone else will do it. But they wont, you will
ข้อนี้สำคัญมากครับ มันเหมือนพวกเราทุกคนรู้ดีว่าปัจจุบัน อะไรคือ ปัญหาหรือสิ่งที่โลกต้องการ (โดยไม่ต้องไปนั่งทำ Market Research ให้มันวุ่นวาย) และเราก็ได้แต่หวังว่าจะมีใครซักคน เมื่อทุกคนเอาแต่รอ ปัญหาเหล่านั้นมันก็ยังอยู่ต่อไป จนกระทั่งเราตกผลึกว่า เราเนี่ยจะเป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ปัญหา

หัวใจของข้อนี้ คือ ถ้าคุณทำธุรกิจ การแก้ปัญหาเหล่านี้จะเป็นเรื่องใหญ่ ยาก และไม่คุ้มค่า คุณจะเลิกทำมันไปในท้ายที่สุด แต่ถ้าคุณสร้างแบรนด์ คุณจะอดทนรอคอยความสำเร็จ คุณจะจดจ่อ และที่สำคัญคุณจะไม่ล้มเลิกก่อนที่คุณจะไปถึงเป้าหมายดังกล่าว เพราะคุณรู้ดีว่าคุณเริ่มทำไม

3. My hope was never to build a company, but to make an impact
ในบรรดาทั้งหมด ผมชอบประโยคนี้ที่สุด เพราะมันสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า Mark กำลังสร้างแบรนด์ Facebook เค้าไม่ได้ตั้งต้นมันด้วยคำถามที่ว่า ทำธุรกิจอะไรดี เค้าเพียงแค่ต้องการเชื่อมโยงผู้คน ธุรกิจเป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยให้เขาทำสำเร็จ มันแตกต่างกันมากนะครับผู้สร้างแบรนด์ขึ้นมากับผู้ที่หาประโยชน์จากมัน เมื่อคุณค่าชัดเจน มันจะดึงดูดสิ่งที่จำเป็นต่อความสำเร็จทุกอย่างตามมาเอง

4. Some big companies wanted to buy us. I didn’t want to sell. I wanted to see if we could connect more people.
ผมอยากฝากข้อนี้ของ Mark ไปยังธุรกิจ Start up ทุกราย จริงอยู่ การได้มาซึ่งเงินคือ ส่วนสำคัญในการทำธุรกิจ แต่มันไม่ได้สำคัญเท่ากับเป้าหมายว่าคุณทำมันทำไม ถ้าเงินไม่ได้ช่วยให้คุณไปถึงจุดนั้น การขายย่อมไม่เป็นประโยชน์ สิ่งที่ผมเชื่อว่ามันถูกมาตลอดคือ เป้าหมายต้องสลักไว้บนหินผา ส่วนวิธีการเขียนไว้บนผืนทราย เขียนใหม่ได้ เปลี่ยนใหม่ได้ หากมันยังคงถูกทิศถูกทาง

ตลอดสองข้างทางในการทำธุรกิจ เงินคือสิ่งที่ทำให้เราสุข และเงินคือสิ่งที่ทำให้เราทุกข์ในเวลาเดียวกัน การทำธุรกิจเงินเปรียบเสมือนน้ำมันหล่อลื่น มันทำให้ทุกอย่างดูง่าย แต่ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้เราสำเร็จ เป้าหมายที่ชัดเจนและมี Focus ต่างหากที่ช่วยเรา

5. That was my hardest time leading Facebook (where everyone else wanted to sell the company). I believed in what we were doing, but I felt lonely.
นี่คือ อีกสิ่งหนึ่งที่ปริญญาเอกด้านบริหารธุรกิจอาจไม่ได้ทำให้คุณสัมผัสมันอย่างลึกซึ้งจนกว่าคุณจะทำเอง ความสำเร็จในธุรกิจบ่อยครั้งวัดกันที่คุณจะบริหารจัดการกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างไรตลอดทาง เมื่อคนรอบข้างบอกว่าเงิน คือ เป้าหมายทางธุรกิจ ในขณะที่คุณบอกว่า ธุรกิจคือ เครื่องมือไปสู่เป้าหมายต่างหาก

มันไม่ใช่แค่การทำให้ผู้คนรอบข้างเข้าใจและเข้ามามีส่วนร่วมกับเรา แต่มันคือการอยู่ร่วมกับคนที่ไม่เข้าใจให้ได้ จิตใจเราต้องแข็งแรงมากพอ จนกระทั่งวันหนึ่งเราประสบความสำเร็จให้เค้าเห็น ความเชื่อจึงจะเกิด

6. Three ways to create a world where everyone has a sense of purpose: by taking on the big meaningful projects together, by redefining equality and by building community across the world
ทั้งหมดที่ Mark กล่าวถึงไม่ได้มีเรื่องผลลัพท์ทางธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้องเลย เพราะเป้าหมายทางธุรกิจเป็นเป้าหมายส่วนบุคคล เป็นเป้าหมายของเจ้าของหรือผู้ถือหุ้น แต่สิ่งที่ Mark พูดถึงคือ สิ่งที่สังคมต้องการ มันมีรายละเอียดอีกมากในสิ่งที่เขาทำ แต่มันตั้งอยู่บน Purpose ชัดเจน ไม่ใช่ Profit ทุนนิยมเป็นแค่ตัวกลางในการทำสิ่งต่างๆ ให้เกิดขึ้น

“คุณค่านิยม” ต่างหาก คือ เป้าหมายที่เรามีร่วมกัน

7. Every generation has its defining works
อันนี้แหละ คือ สิ่งที่ทำให้โลกยุค 1.0 2.0 3.0 และ 4.0 แตกต่างกัน ถึงแม้ว่าเราจะยังคงอยู่บนโลกใบเดิม แต่ภารกิจนั้นได้เปลี่ยนไปตามกาลเวลา หากเปรียบเทียบตามหลักของ Maslow เราเคยดำรงอยู่เพียงเพื่อมีปัจจัย 4 ต่อมาเราเรียกร้องหาความมั่นคงและปลอดภัย สู่การเป็นที่รักของคนรอบข้าง และประสบความสำเร็จในแบบที่สังคมขีดเส้นไว้

วันนี้เราก้าวสู่ยุคที่ เราออกแบบความสำเร็จของเราเอง และมุ่งมั่นไปให้ถึงตรงนั้นด้วยตัวเอง ไม่มีใครถูก ไม่มีใครผิด ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเราเลือก

ตรงตามโจทย์ของ Mark ที่กล่าวโดยสรุปว่า การประสบความสำเร็จ ไม่ยิ่งใหญ่เท่ากับการช่วยเหลือให้ผู้คนประสบความสำเร็จ

8. Let me tell you a secret: no one does (know how to build things) when they begin. Ideas don’t come out fully formed. They only become clear as you work on them. You just have to get started.
ผมขอใช้ประโยคนี้มาเสริมความคิดของ Mark “ถ้าเราไม่เคยสร้างบ้าน เราจะไม่มีทางเข้าใจว่าบ้านที่สมบูรณ์แบบเป็นอย่างไร” การมีความรู้การเข้าใจอย่างถ่องแท้เป็นเสมือนภูมิคุ้มกัน ช่วยให้เราประคองตัวเองไปได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะหลีกเลี่ยงความผิดพลาด ความลำบาก หรือความล้มเหลวได้ บ่อยครั้งสิ่งเหล่านั้นเป็นธรรมชาติของความสำเร็จด้วยซ้ำ ดังนั้น เราต้องหาจุดที่พอดีกับตัวเอง รอให้รู้ครบ ก็ไม่ได้ทำ ไม่รู้เลย ทำไปก็มีแต่ปัญหา ขาดภูมิคุ้มัน ในที่สุดก็เลิก

สำคัญ คือ เมื่อได้รู้ ต้องได้เริ่ม

9. If I had to understand everything about connecting people before I began. I never would have started Facebook.
ประโยคนี้ช่วยเติมเต็มความเชื่อด้านบนของ Mark และมันเป็นข้อสรุปที่ว่า ไม่มีอะไรเกิดมาแล้วใหญ่เลย มันเกิดจากอะไรที่เล็กและสะสมได้แค่นั้น นี่คือ หัวใจของการสร้างแบรนด์และการทำธุรกิจในปัจจุบัน ถ้าไม่เรื่มเล็ก ถ้าสะสมผู้คนไม่ได้ ก็ไม่มีทางใหญ่และไม่มีวันใหญ่

10. Its good to be idealistic. But be prepared to be misunderstood.
ผมคิดว่าคงมีคนจำนวนมากที่ขำกับสิ่งที่ Mark ทำเมื่อ 10 ปีก่อน เพราะอะไร เพราะไม่มีใครเคยเห็นหน่ะสิ แล้วทำไมถึงไม่มีใครเคยเห็น เพราะมันยังไม่เกิด แล้วทำไมมันถึงยังไม่เกิด เพราะยังไม่มีคนทำได้หน่ะสิ สำหรับนักสร้างแบรนด์หรือคนทำธุรกิจ คุณควรจะต้องดีใจกับสิ่งนี้นะครับ เพราะมันหมายถึงโอกาสที่เปิดกว้าง

เมื่อก่อนเคยมีคนถามผมว่า อ้าว แบบนี้ถ้าเราผลิตของที่ไม่มีคนอยากได้หล่ะ จะทำยังไง คำถามนี้ดู make sense นะครับ แต่ในความเป็นจริง ไม่มีใครผลิตสิ่งที่ไม่มีใครอยากได้ออกมาหรอก มันอาจจะดูตลกสำหรับคนกลุ่มหนึ่ง แต่มันจะมีค่าสำหรับคนกลุ่มหนึ่ง ดังนั้น การทำอะไรก็ตามถ้าคุณดูส่ิงที่คนอื่นทำแล้วทำตาม มันจะปลอดภัย แต่มันจะไม่ไปไกลเท่าที่คิด

แต่ถ้าคุณสร้างบางอย่างขึ้นมา มันจะมีความเสี่ยง เสี่ยงต่อการไม่เข้าใจ เสี่ยงต่อการไม่เห็นด้วย เสี่ยงต่อการไม่ง่าย แต่ถ้าคุณไม่ล้มเลิก คุณจะไม่มีทางล้มเหลวครับ

อยากให้ทุกคนได้อ่านและได้คิดตามนะครับ ไม่มีอะไรถูกและไม่มีอะไรผิด มันคือสิ่งที่เราเลือกที่จะเชื่อ และเลือกที่จะเป็น เพราะท้ายที่สุด ทุกความสำเร็จเป็นผลิตผลจาก แบรนด์บุคคลของเราทั้งสิ้น เดี๋ยวส่วนที่เหลือจะทยอยตามมานะครับ นักสร้างแบรนด์ทุกท่าน
#BRAND #BRANDi #BRANDist #BRANDing4pointO #BRANDigital #BRANDinnovativeCenter #Mark #Harvard  

Credit Pic: Quartz

10 สิ่งควรทำเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิต 1.ค้นหาความหมายของชีวิต หาเวลาว่างเพื่อค้นหาว่าอะไรคือสิ่งสำคัญในชีวิตของคุณและเหตุผลว่าทำไมมันถึงสำคัญ อะไรคือสิ่งที่คุณอยากบรรลุเป้าหมายในชีวิต ความฝันของคุณคืออะไร อะไรคือสิ่งที่ทำให้คุณมีความสุข การหาความหมายของชีวิตจะมอบจุดมุ่งหมายและตั้งทิศทางการใช้ชีวิตให้กับคุณ การใช้ชีวิตอย่างไร้ความหมายจะทำให้คุณใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมาย ไร้ทิศทางและหลงทางได้ 2. สร้างบอร์ดแห่งความฝัน ในตอนที่เราเป็นเด็กเราสามารถฝันกลางวันได้ตลอดเวลาเรามีความสามารถในการฝันและจินตนาการว่าเราจะเป็นอย่างไรเมื่อเติบโตขึ้นและเราเชื่อว่าทุกสิ่งเป็นไปได้ แต่เมื่อเราเติบโตขึ้น เราก็สูญเสียความสามารถในการฝันไป ความฝันถูกซุกซ่อนเอาไว้และเราเริ่มจะเชื่อว่าการไปถึงฝั่งฝันเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ บอร์ดแห่งความฝันเป็นวิธีที่ดีเพื่อทำให้เรากลับมาเชื่อในความฝันอีกครั้ง การมองเห็นความฝันบนบอร์ดในทุกๆวันจะทำให้เราพยายามทำให้มันเป็นจริงและความฝันจะเป็นจริงได้ ก็ต่อเมื่อเราเริ่มที่จะเชื่อในความเป็นไปได้ของความฝันนั้นเท่านั้น 3. วางเป้าหมายเพื่อเอาชนะความฝัน เมื่อคุณรู้ว่าอะไรคือสิ่งสำคัญในชีวิตและรู้ว่าชีวิตในฝันหน้าตาเป็นอย่างไร คุณจำเป็นต้องลงมือทำและวางเป้าหมายในระยะยาว ระยะกลางและระยะสั้นเอาไว้ เพราะการวางเป้าหมายเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่ช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายได้ แต่จงจำไว้ว่าเป้าหมายของคุณเปลี่ยนแปลงได้เสมอเพราะชีวิตเป็นสิ่งไม่แน่นอน เพราะฉะนั้นจงทำตัวให้ยืดหยุ่นเข้าไว้ 4. ปล่อยความผิดหวังไป ความผิดหวังมีแต่จะดึงรั้งคุณเอาไว้ ถ้าคุณใช้เวลาทั้งหมดในชีวิตเพื่อคิดถึงสิ่งที่ผ่านไปแล้ว คุณก็จะพลาดปัจจุบันและอนาคตไป คุณไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอดีตได้ เพราะฉะนั้นจงปล่อยมันไป สิ่งที่คุณสามารถควบคุมได้คือวิธีที่คุณเลือกใช้ชีวิตในปัจจุบันเท่านั้น 5. เขียนสิ่งที่คุณกลัวแล้วลงมือทำมัน นี่คือวิธีที่ดีที่จะพาคุณออกจาก Comfort Zone เช่นการพูดในที่สาธารณะที่หลายคนหวาดกลัว คุณอาจจะมือสั่น เหงื่อแตกและพูดตะกุกตะกักแต่เมื่อคุณทำได้ คุณก็จะได้รับประสบการณ์ใหม่ๆที่คุณไม่เคยเจอมาก่อน ลองเขียนลิสต์สิ่งที่คุณอยากจะทำแต่ก็กลัวที่จะทำเช่นเดียวกัน แล้วลงมือทำมัน สิ่งสำคัญคือคุณต้องไม่หยุดเด็ดขาด เพราะถ้าคุณหยุด ชีวิตของคุณก็ติดอยู่กับความพึงพอใจเดิมๆ ไปตลอดชีวิต 6. เริ่มใช้ชีวิตที่สมดุล สุขภาพของเราไม่มีวันเหมือนเดิม ทั้งทางร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ เมื่อเราโตขึ้น เราสามารถควบคุมสิ่งที่เราป้อนเข้าสู่สมองและร่างกายของเราได้ การใช้ชีวิตอย่างสมดุลและมีสุขภาพดีจะช่วยสร้างความยืดหยุ่นให้กับการเปลี่ยนแปลงของชีวิตได้ดีและการออกกำลังกายเป็นวิธีที่ดีที่จะช่วยรักษาทัศนคติในแง่ดีเอาไว้ รวมทั้งทำให้เรามีความสุขขึ้น พึงพอใจมากขึ้นและมีชีวิตที่เติมเต็มขึ้นเช่นกัน 7. เผชิญหน้ากับความกลัว การปฏิเสธความกลัวและหวังให้มันหายไปเป็นเรื่องง่าย แต่น่าเสียดายที่มันไม่ได้เป็นแบบนั้น ถ้าคุณอยากจะเปลี่ยนแปลงชีวิต จงเรียนรู้ที่จะควบคุมความกลัว แทนที่จะปล่อยให้มันควบคุมคุณ ความกลัวเป็นแค่ความคิดที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง ความกลัวเป็นสิ่งที่หยุดเราจากการใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเผชิญหน้ากับความกลัว เราจะได้นำพลังของเรากลับคืนมาและเลือกใช้ชีวิตได้อย่างที่ต้องการ 8. ยอมรับตัวเอง คนที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงในชีวิตคุณได้ก็มีแต่คุณเท่านั้น และเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงนั้น คุณต้องรักตัวเองเสียก่อน อาจมีช่วงเวลาในชีวิตที่คุณต้องเผชิญกับการถูกปฏิเสธและเผชิญหน้ากับคนที่ไม่ชอบคุณ การยอมรับในสิ่งที่คุณเป็นและรักตัวเองจะทำให้คุณเดินหน้าต่อไปได้ การฉุดตัวเองให้ต่ำลงตลอดเวลาและหวังให้ชีวิตดีขึ้นจะทำให้ชีวิตของคุณ ไม่มีความสุขมากกว่าเดิม จงหาความกล้า รักตัวเองและเดินออกมาเพื่อทำในสิ่งที่แตกต่าง อย่ากังวลถึงสิ่งที่คนอื่นคิดหรือสิ่งที่ถูกต้อง ถ้าหัวใจของคุณรู้สึกว่าใช้ จงตอบรับความรู้สึกนั้นและลงมือทำมันซะ 9. ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันขณะ เรามักจะคิดว่ามีสิ่งดีๆในอีกด้านเสมอและเมื่อเราไปยืนอยู่ที่จุดนั้น เรามักจะพบว่ามันไม่ได้ดีเหมือนที่เราคิดเอาไว้ แรงจูงใจในการเปลี่ยนแปลงชีวิตของเรามักจะมาจากความต้องการที่จะมีความสุข เรามักจะยุ่งอยู่กับการไล่ตามความสุขจนลืมที่จะมีความสุขในสิ่งที่เรามีในปัจจุบัน การซาบซึ้งและแสดงความซึ้งใจในชีวิตประจำวันคือการมีความสุขกับปัจจุบันขณะอย่างแท้จริง 10. สัมผัสประสบการณ์แห่งความสุขจากการเรียนรู้ ทุกครั้งที่คุณเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ คุณจะได้ความรู้มากขึ้นและด้วยความรู้ที่มากขึ้นคุณก็จะมีความมั่นใจมากขึ้น การเรียนรู้จะช่วยให้เราสามารถปรับตัวกับสถานการณ์ต่างๆ ได้ดี นอกจากนี้มันยังทำให้เรามีความคิดสร้างสรรค์มากกว่าเดิมและทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายกับสิ่งที่เราไม่รู้มากขึ้น การอ่านหนังสือเป็นวิธีที่ดีที่จะเรียนรู้ จงเปิดรับความสุขแห่งการเรียนรู้และอย่าหยุดอ่านหรือค้นหาความรู้ใหม่ๆ เพราะการเรียนรู้จะช่วยมอบความหมายของชีวิตและทำให้ชีวิตของเราเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณค่าอย่างแท้จริง ขอบคุณที่มา : New Heart New World

10 สิ่งควรทำเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิต

1.ค้นหาความหมายของชีวิต

หาเวลาว่างเพื่อค้นหาว่าอะไรคือสิ่งสำคัญในชีวิตของคุณและเหตุผลว่าทำไมมันถึงสำคัญ อะไรคือสิ่งที่คุณอยากบรรลุเป้าหมายในชีวิต ความฝันของคุณคืออะไร อะไรคือสิ่งที่ทำให้คุณมีความสุข การหาความหมายของชีวิตจะมอบจุดมุ่งหมายและตั้งทิศทางการใช้ชีวิตให้กับคุณ การใช้ชีวิตอย่างไร้ความหมายจะทำให้คุณใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมาย ไร้ทิศทางและหลงทางได้

2. สร้างบอร์ดแห่งความฝัน

ในตอนที่เราเป็นเด็กเราสามารถฝันกลางวันได้ตลอดเวลาเรามีความสามารถในการฝันและจินตนาการว่าเราจะเป็นอย่างไรเมื่อเติบโตขึ้นและเราเชื่อว่าทุกสิ่งเป็นไปได้ แต่เมื่อเราเติบโตขึ้น เราก็สูญเสียความสามารถในการฝันไป ความฝันถูกซุกซ่อนเอาไว้และเราเริ่มจะเชื่อว่าการไปถึงฝั่งฝันเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้

บอร์ดแห่งความฝันเป็นวิธีที่ดีเพื่อทำให้เรากลับมาเชื่อในความฝันอีกครั้ง การมองเห็นความฝันบนบอร์ดในทุกๆวันจะทำให้เราพยายามทำให้มันเป็นจริงและความฝันจะเป็นจริงได้ ก็ต่อเมื่อเราเริ่มที่จะเชื่อในความเป็นไปได้ของความฝันนั้นเท่านั้น

3. วางเป้าหมายเพื่อเอาชนะความฝัน

เมื่อคุณรู้ว่าอะไรคือสิ่งสำคัญในชีวิตและรู้ว่าชีวิตในฝันหน้าตาเป็นอย่างไร คุณจำเป็นต้องลงมือทำและวางเป้าหมายในระยะยาว ระยะกลางและระยะสั้นเอาไว้ เพราะการวางเป้าหมายเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่ช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายได้ แต่จงจำไว้ว่าเป้าหมายของคุณเปลี่ยนแปลงได้เสมอเพราะชีวิตเป็นสิ่งไม่แน่นอน เพราะฉะนั้นจงทำตัวให้ยืดหยุ่นเข้าไว้

4. ปล่อยความผิดหวังไป

ความผิดหวังมีแต่จะดึงรั้งคุณเอาไว้ ถ้าคุณใช้เวลาทั้งหมดในชีวิตเพื่อคิดถึงสิ่งที่ผ่านไปแล้ว คุณก็จะพลาดปัจจุบันและอนาคตไป คุณไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอดีตได้ เพราะฉะนั้นจงปล่อยมันไป สิ่งที่คุณสามารถควบคุมได้คือวิธีที่คุณเลือกใช้ชีวิตในปัจจุบันเท่านั้น

5. เขียนสิ่งที่คุณกลัวแล้วลงมือทำมัน

นี่คือวิธีที่ดีที่จะพาคุณออกจาก Comfort Zone เช่นการพูดในที่สาธารณะที่หลายคนหวาดกลัว คุณอาจจะมือสั่น เหงื่อแตกและพูดตะกุกตะกักแต่เมื่อคุณทำได้ คุณก็จะได้รับประสบการณ์ใหม่ๆที่คุณไม่เคยเจอมาก่อน ลองเขียนลิสต์สิ่งที่คุณอยากจะทำแต่ก็กลัวที่จะทำเช่นเดียวกัน แล้วลงมือทำมัน สิ่งสำคัญคือคุณต้องไม่หยุดเด็ดขาด เพราะถ้าคุณหยุด ชีวิตของคุณก็ติดอยู่กับความพึงพอใจเดิมๆ ไปตลอดชีวิต

6. เริ่มใช้ชีวิตที่สมดุล

สุขภาพของเราไม่มีวันเหมือนเดิม ทั้งทางร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ เมื่อเราโตขึ้น เราสามารถควบคุมสิ่งที่เราป้อนเข้าสู่สมองและร่างกายของเราได้ การใช้ชีวิตอย่างสมดุลและมีสุขภาพดีจะช่วยสร้างความยืดหยุ่นให้กับการเปลี่ยนแปลงของชีวิตได้ดีและการออกกำลังกายเป็นวิธีที่ดีที่จะช่วยรักษาทัศนคติในแง่ดีเอาไว้ รวมทั้งทำให้เรามีความสุขขึ้น พึงพอใจมากขึ้นและมีชีวิตที่เติมเต็มขึ้นเช่นกัน

7. เผชิญหน้ากับความกลัว

การปฏิเสธความกลัวและหวังให้มันหายไปเป็นเรื่องง่าย แต่น่าเสียดายที่มันไม่ได้เป็นแบบนั้น ถ้าคุณอยากจะเปลี่ยนแปลงชีวิต จงเรียนรู้ที่จะควบคุมความกลัว แทนที่จะปล่อยให้มันควบคุมคุณ ความกลัวเป็นแค่ความคิดที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง ความกลัวเป็นสิ่งที่หยุดเราจากการใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเผชิญหน้ากับความกลัว เราจะได้นำพลังของเรากลับคืนมาและเลือกใช้ชีวิตได้อย่างที่ต้องการ

8. ยอมรับตัวเอง

คนที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงในชีวิตคุณได้ก็มีแต่คุณเท่านั้น และเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงนั้น คุณต้องรักตัวเองเสียก่อน อาจมีช่วงเวลาในชีวิตที่คุณต้องเผชิญกับการถูกปฏิเสธและเผชิญหน้ากับคนที่ไม่ชอบคุณ การยอมรับในสิ่งที่คุณเป็นและรักตัวเองจะทำให้คุณเดินหน้าต่อไปได้

การฉุดตัวเองให้ต่ำลงตลอดเวลาและหวังให้ชีวิตดีขึ้นจะทำให้ชีวิตของคุณ ไม่มีความสุขมากกว่าเดิม จงหาความกล้า รักตัวเองและเดินออกมาเพื่อทำในสิ่งที่แตกต่าง อย่ากังวลถึงสิ่งที่คนอื่นคิดหรือสิ่งที่ถูกต้อง ถ้าหัวใจของคุณรู้สึกว่าใช้ จงตอบรับความรู้สึกนั้นและลงมือทำมันซะ

9. ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันขณะ

เรามักจะคิดว่ามีสิ่งดีๆในอีกด้านเสมอและเมื่อเราไปยืนอยู่ที่จุดนั้น เรามักจะพบว่ามันไม่ได้ดีเหมือนที่เราคิดเอาไว้ แรงจูงใจในการเปลี่ยนแปลงชีวิตของเรามักจะมาจากความต้องการที่จะมีความสุข เรามักจะยุ่งอยู่กับการไล่ตามความสุขจนลืมที่จะมีความสุขในสิ่งที่เรามีในปัจจุบัน การซาบซึ้งและแสดงความซึ้งใจในชีวิตประจำวันคือการมีความสุขกับปัจจุบันขณะอย่างแท้จริง

10. สัมผัสประสบการณ์แห่งความสุขจากการเรียนรู้

ทุกครั้งที่คุณเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ คุณจะได้ความรู้มากขึ้นและด้วยความรู้ที่มากขึ้นคุณก็จะมีความมั่นใจมากขึ้น การเรียนรู้จะช่วยให้เราสามารถปรับตัวกับสถานการณ์ต่างๆ ได้ดี นอกจากนี้มันยังทำให้เรามีความคิดสร้างสรรค์มากกว่าเดิมและทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายกับสิ่งที่เราไม่รู้มากขึ้น

การอ่านหนังสือเป็นวิธีที่ดีที่จะเรียนรู้ จงเปิดรับความสุขแห่งการเรียนรู้และอย่าหยุดอ่านหรือค้นหาความรู้ใหม่ๆ เพราะการเรียนรู้จะช่วยมอบความหมายของชีวิตและทำให้ชีวิตของเราเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณค่าอย่างแท้จริง

ขอบคุณที่มา : New Heart New World

นักวิ่งคนนี้จงใจยอมแพ้เพราะคิดว่าตนเองไม่สมควรชนะ และนี่คือเรื่องราวที่เต็มไปด้วย “สปิริต” ในโลกของเรานั้นเต็มไปด้วยการแข่งขันซึ่งก็ต้องมี ผู้แพ้ ผู้ชนะ เป็นสิ่งคู่กัน และเชื่อว่าหากลองได้ แข่งขันอะไรเข้าสักอย่างแล้วล่ะก็ ทุกๆ คนก็คงอยากเป็น “ผู้ชนะ” ด้วยกันทั้งนั้น แต่สำหรับบางคนหากต้องชนะแบบไม่สมศักดิ์ศรีแล้วล่ะก็ ตนขอเลือก “การแพ้แบบมีศักดิ์ศรี” ยังดีซะ กว่า ดังเช่นเรื่องราวที่เราจะนำเสนอในวันนี้ นักวิ่งคนนี้จงใจยอมแพ้เพราะคิดว่าตนเองไม่สมควร ชนะ และนี่คือเรื่องราวที่เต็มไปด้วย “สปิริต” ย้อนไปเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2012 มีการแข่งขันวิ่งข้ามประเทศใน Burlada ซึ่งหนึ่งในผู้เข้าแข่ง ขันคือ Iván Fernández Anaya (คนผิวขาว) ที่กำลังวิ่งเข้าสู่เส้นชัยเป็นที่สองโดยตามหลัง Abel Mutai (คนผิวดำ) จากเคนยา ซึ่งในขณะที่การแข่งขันกำลังจะจบลงที่เส้นชัย Abel Mutai (คนผิวดำ) ซึ่งวิ่งนำมาอย่างทิ้งห่างก็ ลดความเร็วลงใน 10 เมตรสุดท้ายด้วยความเข้าใจผิดว่าเขาได้เข้าเส้นชัยไปแล้ว Fernández (คนผิวขาว)ซึึ่งวิ่งตามมาเป็นที่สองจึงสามารถตามผู้นำได้อย่างรวดเร็วแถมพร้อมจะ แซงขึ้นไปเป็นที่หนึ่งในช่วงไม่กี่ก้าวก่อนถึงเส้นชัยได้อย่างสบาย แต่เขาเลือกจะอยู่เป็นที่สอง พร้อม ทั้งพยายามอธิบายให้ Abel Mutai (คนผิวดำ) วิ่งต่อไปเพื่อเข้าเส้นชัยเป็นที่หนึ่ง *Iván Fernández ในวัย 24 ได้ให้สัมภาษณ์ภายหลังเกี่ยวกับการตัดสินใจของเขาดังนี้* “ผมไม่ควรที่จะชนะ ผมได้ทำในสิ่งที่ผมควรจะทำ เขา (Abel) คือผู้ชนะที่ถูกต้องแล้ว เขานำผม ชนิดที่ผมไม่มีทางตามเขาทันถ้าเขาไม่เข้าใจผิด เมื่อผมเห็นว่าเขากำลังจะหยุด ก็ผมก็รู้เลยว่าผมต้องไม่แซงเขาขึ้นไป ต่อให้พวกเขาบอกผมว่าการ ชนะรายการนี้จะทำให้ผมได้ติดทีมชาติสเปนก็ตามที ผมก็ยังทำเหมือนเดิม ผมยังคิดเลยว่าผมได้ชื่อเสียงมากกว่าที่ผมชนะเสียอีก ซึ่งนั่นสำคัญมากในทุกวันนี้ที่ทุกวงการ ไม่ว่าจะ ฟุตบอล การเมือง สังคม ฯลฯ เราพบว่าความซื่อสัตย์มันตกต่ำลงทุกที บางทีชัยชนะในการแข่งขันก็ ไม่ใช่ทุกๆ อย่างเสมอไป” เรื่องราวของ Fernández อาจจะทำให้เราได้คิดอยู่เสียหน่อยว่าในโลกทุกวันนี้นั้น เราเต็มไปด้วย การแข่งขันที่เต็มไปด้วยคนที่พร้อมจะทำทุกวิถีทางเพื่อไปให้ถึงชัยชนะ และหลายๆ ครั้งนั้นทำให้คน เราลดทอนค่าของตัวเองเพียงเพื่อให้ได้รับเกียรติยศหรือรางวัลเท่านั้น อะไรกันแน่คือสิ่งสำคัญที่เราควรจะต้องมี รางวัลและเกียรติยศที่เอาไว้ประดับบนตู้โชว์ หรือว่าการ ได้นับถือตัวเอง ส่งต่อคุณค่านี้ให้คนรุ่นต่อไปเพื่อสังคมจะได้น่าอยู่มากกว่านี้ เครดิตข้อมูล kellimni

นักวิ่งคนนี้จงใจยอมแพ้เพราะคิดว่าตนเองไม่สมควรชนะ และนี่คือเรื่องราวที่เต็มไปด้วย “สปิริต”

ในโลกของเรานั้นเต็มไปด้วยการแข่งขันซึ่งก็ต้องมี ผู้แพ้ ผู้ชนะ เป็นสิ่งคู่กัน และเชื่อว่าหากลองได้
แข่งขันอะไรเข้าสักอย่างแล้วล่ะก็ ทุกๆ คนก็คงอยากเป็น “ผู้ชนะ” ด้วยกันทั้งนั้น

แต่สำหรับบางคนหากต้องชนะแบบไม่สมศักดิ์ศรีแล้วล่ะก็ ตนขอเลือก “การแพ้แบบมีศักดิ์ศรี” ยังดีซะ
กว่า ดังเช่นเรื่องราวที่เราจะนำเสนอในวันนี้ นักวิ่งคนนี้จงใจยอมแพ้เพราะคิดว่าตนเองไม่สมควร
ชนะ และนี่คือเรื่องราวที่เต็มไปด้วย “สปิริต”

ย้อนไปเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2012 มีการแข่งขันวิ่งข้ามประเทศใน Burlada ซึ่งหนึ่งในผู้เข้าแข่ง
ขันคือ Iván Fernández Anaya (คนผิวขาว) ที่กำลังวิ่งเข้าสู่เส้นชัยเป็นที่สองโดยตามหลัง
Abel Mutai (คนผิวดำ) จากเคนยา

ซึ่งในขณะที่การแข่งขันกำลังจะจบลงที่เส้นชัย Abel Mutai (คนผิวดำ) ซึ่งวิ่งนำมาอย่างทิ้งห่างก็
ลดความเร็วลงใน 10 เมตรสุดท้ายด้วยความเข้าใจผิดว่าเขาได้เข้าเส้นชัยไปแล้ว

Fernández (คนผิวขาว)ซึึ่งวิ่งตามมาเป็นที่สองจึงสามารถตามผู้นำได้อย่างรวดเร็วแถมพร้อมจะ
แซงขึ้นไปเป็นที่หนึ่งในช่วงไม่กี่ก้าวก่อนถึงเส้นชัยได้อย่างสบาย แต่เขาเลือกจะอยู่เป็นที่สอง พร้อม
ทั้งพยายามอธิบายให้ Abel Mutai (คนผิวดำ) วิ่งต่อไปเพื่อเข้าเส้นชัยเป็นที่หนึ่ง

      *Iván Fernández ในวัย 24 ได้ให้สัมภาษณ์ภายหลังเกี่ยวกับการตัดสินใจของเขาดังนี้*

“ผมไม่ควรที่จะชนะ ผมได้ทำในสิ่งที่ผมควรจะทำ เขา (Abel) คือผู้ชนะที่ถูกต้องแล้ว เขานำผม
ชนิดที่ผมไม่มีทางตามเขาทันถ้าเขาไม่เข้าใจผิด

เมื่อผมเห็นว่าเขากำลังจะหยุด ก็ผมก็รู้เลยว่าผมต้องไม่แซงเขาขึ้นไป ต่อให้พวกเขาบอกผมว่าการ
ชนะรายการนี้จะทำให้ผมได้ติดทีมชาติสเปนก็ตามที ผมก็ยังทำเหมือนเดิม

ผมยังคิดเลยว่าผมได้ชื่อเสียงมากกว่าที่ผมชนะเสียอีก ซึ่งนั่นสำคัญมากในทุกวันนี้ที่ทุกวงการ ไม่ว่าจะ
ฟุตบอล การเมือง สังคม ฯลฯ เราพบว่าความซื่อสัตย์มันตกต่ำลงทุกที บางทีชัยชนะในการแข่งขันก็
ไม่ใช่ทุกๆ อย่างเสมอไป”

เรื่องราวของ Fernández อาจจะทำให้เราได้คิดอยู่เสียหน่อยว่าในโลกทุกวันนี้นั้น เราเต็มไปด้วย
การแข่งขันที่เต็มไปด้วยคนที่พร้อมจะทำทุกวิถีทางเพื่อไปให้ถึงชัยชนะ และหลายๆ ครั้งนั้นทำให้คน
เราลดทอนค่าของตัวเองเพียงเพื่อให้ได้รับเกียรติยศหรือรางวัลเท่านั้น

อะไรกันแน่คือสิ่งสำคัญที่เราควรจะต้องมี รางวัลและเกียรติยศที่เอาไว้ประดับบนตู้โชว์ หรือว่าการ
ได้นับถือตัวเอง ส่งต่อคุณค่านี้ให้คนรุ่นต่อไปเพื่อสังคมจะได้น่าอยู่มากกว่านี้

เครดิตข้อมูล kellimni

อิฐขี้กลัว ช่างทำอิฐคนหนึ่ง กำลังใส่อิฐลงไปในเตาเผาทีละก้อน อิฐก้อน หนึ่งเริ่มตัวสั่นเทาด้วยความกลัว เมื่อคิดว่ากำลังจะถูกไฟที่ลุก โชนเผาไหม้เกรียมในไม่ช้า “อย่ากลัวไปเลยน้องชาย” อิฐก้อนอื่นๆ พากันปลอบมัน “นั่นน่ะเป็นโอกาสที่หายากนะ เพราะการเผาไฟจะทำให้เราเป็น ประโยชน์” แต่อิฐขี้กลัวก้อนนั้นไม่ยอมเชื่อ มันพยายามหลบหลีกให้พ้นมือ ของช่างทำอิฐ ในที่สุดก็เข้าไปแอบอยู่ในกองฟาง และสามารถ หลบเลี่ยงการถูกเผาได้สำเร็จ ต่อมา อิฐก้อนนี้ได้พบกับบรรดาอิฐที่ถูกเผาไฟแล้วอีกครั้งหนึ่ง อิฐเหล่านั้นต่างรู้สึกเสียดายที่อิฐก้อนนั้นไม่ถูกเผาไฟ แต่อิฐ ก้อนนั้นก็ไม่สนใจ มันเห็นว่าเพื่อนๆ ของมันไม่ได้เปลี่ยนแปลง ไปมากเลย ไม่เพียงแต่มีสีน้ำตาลเข้มขึ้นกว่าเดิม แถมยังดูเข้ม แข็งมากขึ้นด้วย ในไม่ช้าคนงานก็มาขนอิฐทั้งหลายออกไป คนงานคนหนึ่งสัง เกตเห็นอิฐก้อนที่ไม่ได้ถูกเผาไฟอยู่ในกอง “ข้าสงสัยว่ามันรอดจากการถูกเผาไฟไปได้ยังไง” เขาพูดพลางถอนใจ แล้วหยิบมันขว้างทิ้งไป อิฐที่ไม่ได้ถูกเผาไฟเริ่มเสียใจในการกระทำของมัน เมื่อเห็น เพื่อนของมันถูกลำเลียงออกไปจากที่นั่น ด้วยความร่าเริงเบิก บาน แล้วมันก็ถูกทอดทิ้งให้อยู่โดดเดี่ยวเพียงก้อนเดียวที่นั่น และเมื่อลมพัดกระหน่ำและฝนตกลงมา มันก็ค่อยๆ เสียรูปร่าง ไป จนกลายเป็นเพียงโคลนตมในที่สุด สภาวะที่กดดันและการต่อสู้ กับอุปสรรคหลายๆ อย่างในชีวิต เป็นเพียงแค่ขั้นตอน"เผาอิฐ"ของเราเท่านั้นเอง ถ้าเราสามารถ ผ่านมาได้แล้วจะทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น สามารถที่จะดำเนิน ชีวิตได้อย่างเข้มแข็งและน่าภูมิใจ และในที่สุดถ้าเราจะประสบ ความสำเร็จในชีวิต เราก็อาจจะรู้สึกแค่ว่า "ลุยมาขนาดนี้ ไม่ สำเร็จก็แปลกแล้ว" จำไว้ว่า.."อุปสรรคที่ทานทน จะหลอมคนให้ทนทาน" ที่มา : https://www.facebook.com/photo.php? fbid=1050700811610716&set=a.145088498838623.27330.100000124210528&type=1 ภาพ : http://www.coffesaweet.com/

อิฐขี้กลัว

ช่างทำอิฐคนหนึ่ง กำลังใส่อิฐลงไปในเตาเผาทีละก้อน อิฐก้อน
หนึ่งเริ่มตัวสั่นเทาด้วยความกลัว   เมื่อคิดว่ากำลังจะถูกไฟที่ลุก
โชนเผาไหม้เกรียมในไม่ช้า

“อย่ากลัวไปเลยน้องชาย”
อิฐก้อนอื่นๆ พากันปลอบมัน
“นั่นน่ะเป็นโอกาสที่หายากนะ เพราะการเผาไฟจะทำให้เราเป็น
ประโยชน์”

แต่อิฐขี้กลัวก้อนนั้นไม่ยอมเชื่อ  มันพยายามหลบหลีกให้พ้นมือ
ของช่างทำอิฐ ในที่สุดก็เข้าไปแอบอยู่ในกองฟาง และสามารถ
หลบเลี่ยงการถูกเผาได้สำเร็จ

ต่อมา  อิฐก้อนนี้ได้พบกับบรรดาอิฐที่ถูกเผาไฟแล้วอีกครั้งหนึ่ง
อิฐเหล่านั้นต่างรู้สึกเสียดายที่อิฐก้อนนั้นไม่ถูกเผาไฟ     แต่อิฐ
ก้อนนั้นก็ไม่สนใจ มันเห็นว่าเพื่อนๆ ของมันไม่ได้เปลี่ยนแปลง
ไปมากเลย ไม่เพียงแต่มีสีน้ำตาลเข้มขึ้นกว่าเดิม แถมยังดูเข้ม
แข็งมากขึ้นด้วย

ในไม่ช้าคนงานก็มาขนอิฐทั้งหลายออกไป   คนงานคนหนึ่งสัง
เกตเห็นอิฐก้อนที่ไม่ได้ถูกเผาไฟอยู่ในกอง

“ข้าสงสัยว่ามันรอดจากการถูกเผาไฟไปได้ยังไง”
เขาพูดพลางถอนใจ แล้วหยิบมันขว้างทิ้งไป

อิฐที่ไม่ได้ถูกเผาไฟเริ่มเสียใจในการกระทำของมัน     เมื่อเห็น
เพื่อนของมันถูกลำเลียงออกไปจากที่นั่น  ด้วยความร่าเริงเบิก
บาน   แล้วมันก็ถูกทอดทิ้งให้อยู่โดดเดี่ยวเพียงก้อนเดียวที่นั่น
และเมื่อลมพัดกระหน่ำและฝนตกลงมา  มันก็ค่อยๆ เสียรูปร่าง
ไป จนกลายเป็นเพียงโคลนตมในที่สุด

สภาวะที่กดดันและการต่อสู้   กับอุปสรรคหลายๆ อย่างในชีวิต
เป็นเพียงแค่ขั้นตอน"เผาอิฐ"ของเราเท่านั้นเอง ถ้าเราสามารถ
ผ่านมาได้แล้วจะทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น     สามารถที่จะดำเนิน
ชีวิตได้อย่างเข้มแข็งและน่าภูมิใจ และในที่สุดถ้าเราจะประสบ
ความสำเร็จในชีวิต   เราก็อาจจะรู้สึกแค่ว่า  "ลุยมาขนาดนี้ ไม่
สำเร็จก็แปลกแล้ว"

จำไว้ว่า.."อุปสรรคที่ทานทน จะหลอมคนให้ทนทาน"

ที่มา : https://www.facebook.com/photo.php?
fbid=1050700811610716&set=a.145088498838623.27330.100000124210528&type=1
ภาพ : http://www.coffesaweet.com/

เราสนิทกัน แค่ในนั้นจริงๆเหรอ? ทำไมในนั้นเราคุยเหมือนสนิทกัน แต่พอเจอหน้ากันทีไร เรากลับแทบไม่พูดอะไรกันเลย ในนั้นเรารู้สึกอะไร เราก็แสดงออกไป แต่พอเจอกันจริงๆทีไร รู้สึกอะไรกลับไม่เคยได้รับรู้เลย เวลาโกรธน้อยใจหรือไม่พอใจอะไร เราเลือกที่จะป่าวประกาศให้โลกรู้ในนั้น มากกว่าที่เลือกพูดและเปิดใจคุยกันตรงๆ เวลาอยากทำอะไรสักอย่าง เราเลือกที่จะสัญญาทิ้งไว้ในโลกออนไลน์ มากกว่าจะทำให้ได้ในโลกของความเป็นจริง เวลาคิดถึงใครสักคน เราเลือกที่จะส่งสติ๊กเกอร์กอดไปหา มากกว่าที่หาเวลาเพื่อไปกอดคนคนนั้นจริงๆ แล้วตกลง เราสนิทกัน แค่ในนั้นจริงๆเหรอ?

เราสนิทกัน
แค่ในนั้นจริงๆเหรอ?

ทำไมในนั้นเราคุยเหมือนสนิทกัน
แต่พอเจอหน้ากันทีไร เรากลับแทบไม่พูดอะไรกันเลย

ในนั้นเรารู้สึกอะไร เราก็แสดงออกไป
แต่พอเจอกันจริงๆทีไร
รู้สึกอะไรกลับไม่เคยได้รับรู้เลย

เวลาโกรธน้อยใจหรือไม่พอใจอะไร
เราเลือกที่จะป่าวประกาศให้โลกรู้ในนั้น
มากกว่าที่เลือกพูดและเปิดใจคุยกันตรงๆ

เวลาอยากทำอะไรสักอย่าง
เราเลือกที่จะสัญญาทิ้งไว้ในโลกออนไลน์
มากกว่าจะทำให้ได้ในโลกของความเป็นจริง

เวลาคิดถึงใครสักคน
เราเลือกที่จะส่งสติ๊กเกอร์กอดไปหา
มากกว่าที่หาเวลาเพื่อไปกอดคนคนนั้นจริงๆ

แล้วตกลง
เราสนิทกัน
แค่ในนั้นจริงๆเหรอ?