วันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

มีเงิน 6,000 บาท ก็เป็นเจ้าของเซเว่นได้ มีเงิน 6,000 บาท ก็เป็นเจ้าของเซเว่นได้ รายได้ต่อสาขาของเซเว่นคือ 78,706 บาทต่อวัน และรายได้ต่อบิลเฉลี่ยคือ 65 บาท เฉลี่ยแล้วแต่ละสาขามีคนเข้าเซเว่น 1,216 คนต่อวัน ปัจจุบันเซเว่นมี 9,542 สาขา แบ่งเป็นสาขาใน กทม. 44% และ ต่างจังหวัด 56% ถ้าย้อนกลับเมื่อ 4 ปีที่แล้ว เซเว่นยังมีแค่ 6,822 สาขา นั่นหมายถึงเซเว่นอาจจะยังไม่ได้อิ่มตัว ยังขยายสาขาอยู่เรื่อยๆ และปีนี้จะเป็นปีแรกที่เซเว่นมีครบ 10,000 สาขา เซเว่นมีอัตรากำไรคิดเป็นแค่ 5% ของยอดขาย นี่จึงเป็นสาเหตุที่โชห่วยอยู่ไม่ได้เพราะเซเว่นมีกำไรที่บางมาก แต่อาศัยการขายปริมาณมากจากหลายๆสาขา อย่างไรก็ตาม CPALL บอกกับโชห่วยว่าไม่เป็นไร บริษัทเรายังมีห้าง Makro ไว้ขายสินค้าราคาถูกส่งให้ร้านโชห่วยเหมือนกัน สรุปบริษัทกินรวบตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ด้วยเงิน 6,000 บาท เราจะซื้อหุ้นเซเว่น หรือ CPALL ที่ราคา 60 บาท ได้ 100 หุ้น คงจะดีไม่น้อยถ้าเราได้เป็นเจ้าของร้านสะดวกซื้อที่คนไทยทุกคนก็คงเคยซื้อของที่ร้านนี้ ปัจจุบันบริษัทมีจำนวนหุ้นทั้งหมด 8,983.1 ล้านหุ้น ถ้าเราซื้อหุ้น 100 หุ้นก็เหมือนเราได้ร่วมเป็นเจ้าของสัดส่วน 1 ใน 89 ล้านส่วน อาจจะดูเหมือนน้อย แต่ถ้าเราคิดว่าคนไทย 67 ล้านคนเคยซื้อของที่เซเว่นทุกคน และแต่ละคนซื้อสินค้าของเซเว่นเป็นเงิน 100 บาท เราจะได้ส่วนแบ่งถึง 75 บาท (67ล้าน x 100 / 89ล้าน) แต่รู้หรือไม่ว่า ดร.นิเวศน์ นักลงทุนชื่อดังที่เริ่มต้นจากไม่มีทรัพย์สินอะไร เก็บเงินสะสมจากการทำงานประจำ ปัจจุบันเขาถือหุ้น CPALL อยู่ 45 ล้านหุ้น ถ้าคนไทยทุกคนซื้อสินค้าที่เซเว่นคนละ 100 บาท ดร. นิเวศน์ จะได้ส่วนแบ่งถึง 34 ล้านบาท ปี 2016 CPALL มีรายได้ทั้งหมด 450,000 ล้านบาท แปลว่ารายได้ตามสัดส่วนของ ดร.นิเวศน์ มีมากถึง 2,250 ล้านบาทต่อปี! ที่น่าสนใจคือทั้งตลาดหลักทรัพย์ประเทศไทยตอนนี้มีบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดกว่า 600 บริษัท แต่ครึ่งนึงของบริษัทในตลาดมีรายได้น้อยกว่า รายได้ของ ดร.นิเวศน์ ที่ถือผ่าน CPALL เรื่องนี้ทำให้เห็นได้ว่าการถือหุ้นเพียงบางส่วนของบริษัทใหญ่ๆ อาจจะมีมูลค่ามากกว่า การถือหุ้นใหญ่ในบริษัทเล็กๆ และที่สำคัญคือ ดร.นิเวศน์ไม่ต้องบริหารงานอะไรเลย รอรับเงินปันผลในแต่ละปีไปเรื่อยๆ และถ้ากิจการเซเว่นขยายสาขาได้มากขึ้น ก็หมายความว่าเงินปันผลในปีถัดไปจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน ปีนี้ บริษัท CPALL ประกาศจ่ายปันผลหุ้นละ 1 บาท ซึ่งมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา ถ้าคำนวณแล้วปีนี้ ดร.นิเวศน์ จะได้รับปันผล 45 ล้านบาท หรือคิดง่ายๆว่า ดร.นิเวศน์ได้รับเงินปันผลจาก CPALL ถึงเดือนละ 3.75 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม.. ที่กล่าวมาทั้งหมด ดร. นิเวศน์อาจจะต้องขออนุญาตบุคคลหนึ่งก่อนใช้เงินปันผลนี้ นั่นเพราะท่านใช้ชื่อภรรยาของท่านถือหุ้น CPALL ♥♥ ปล. บทความนี้ผู้เขียนต้องการแสดงมุมมองการลงทุนแบบใหม่ ไม่ได้มีเจตนาชี้นำให้ซื้อหุ้นนี้แต่อย่างใด ผู้อ่านต้องพิจารณาธุรกิจ ราคาเหมาะสมของหุ้นด้วยตนเอง ลงทุนแมน APRIL 19, 2017


มีเงิน 6,000 บาท ก็เป็นเจ้าของเซเว่นได้

มีเงิน 6,000 บาท ก็เป็นเจ้าของเซเว่นได้
รายได้ต่อสาขาของเซเว่นคือ 78,706 บาทต่อวัน และรายได้ต่อบิลเฉลี่ยคือ 65 บาท เฉลี่ยแล้วแต่ละสาขามีคนเข้าเซเว่น 1,216 คนต่อวัน

ปัจจุบันเซเว่นมี 9,542 สาขา แบ่งเป็นสาขาใน กทม. 44% และ ต่างจังหวัด 56% ถ้าย้อนกลับเมื่อ 4 ปีที่แล้ว เซเว่นยังมีแค่ 6,822 สาขา นั่นหมายถึงเซเว่นอาจจะยังไม่ได้อิ่มตัว ยังขยายสาขาอยู่เรื่อยๆ และปีนี้จะเป็นปีแรกที่เซเว่นมีครบ 10,000 สาขา
เซเว่นมีอัตรากำไรคิดเป็นแค่ 5% ของยอดขาย นี่จึงเป็นสาเหตุที่โชห่วยอยู่ไม่ได้เพราะเซเว่นมีกำไรที่บางมาก แต่อาศัยการขายปริมาณมากจากหลายๆสาขา อย่างไรก็ตาม CPALL บอกกับโชห่วยว่าไม่เป็นไร บริษัทเรายังมีห้าง Makro ไว้ขายสินค้าราคาถูกส่งให้ร้านโชห่วยเหมือนกัน สรุปบริษัทกินรวบตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ

ด้วยเงิน 6,000 บาท เราจะซื้อหุ้นเซเว่น หรือ CPALL ที่ราคา 60 บาท ได้ 100 หุ้น คงจะดีไม่น้อยถ้าเราได้เป็นเจ้าของร้านสะดวกซื้อที่คนไทยทุกคนก็คงเคยซื้อของที่ร้านนี้

ปัจจุบันบริษัทมีจำนวนหุ้นทั้งหมด 8,983.1 ล้านหุ้น ถ้าเราซื้อหุ้น 100 หุ้นก็เหมือนเราได้ร่วมเป็นเจ้าของสัดส่วน 1 ใน 89 ล้านส่วน อาจจะดูเหมือนน้อย แต่ถ้าเราคิดว่าคนไทย 67 ล้านคนเคยซื้อของที่เซเว่นทุกคน และแต่ละคนซื้อสินค้าของเซเว่นเป็นเงิน 100 บาท เราจะได้ส่วนแบ่งถึง 75 บาท (67ล้าน x 100 / 89ล้าน)

แต่รู้หรือไม่ว่า ดร.นิเวศน์ นักลงทุนชื่อดังที่เริ่มต้นจากไม่มีทรัพย์สินอะไร เก็บเงินสะสมจากการทำงานประจำ ปัจจุบันเขาถือหุ้น CPALL อยู่ 45 ล้านหุ้น ถ้าคนไทยทุกคนซื้อสินค้าที่เซเว่นคนละ 100 บาท ดร. นิเวศน์ จะได้ส่วนแบ่งถึง 34 ล้านบาท

ปี 2016 CPALL มีรายได้ทั้งหมด 450,000 ล้านบาท แปลว่ารายได้ตามสัดส่วนของ ดร.นิเวศน์ มีมากถึง 2,250 ล้านบาทต่อปี!

ที่น่าสนใจคือทั้งตลาดหลักทรัพย์ประเทศไทยตอนนี้มีบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดกว่า 600 บริษัท แต่ครึ่งนึงของบริษัทในตลาดมีรายได้น้อยกว่า รายได้ของ ดร.นิเวศน์ ที่ถือผ่าน CPALL

เรื่องนี้ทำให้เห็นได้ว่าการถือหุ้นเพียงบางส่วนของบริษัทใหญ่ๆ อาจจะมีมูลค่ามากกว่า การถือหุ้นใหญ่ในบริษัทเล็กๆ

และที่สำคัญคือ ดร.นิเวศน์ไม่ต้องบริหารงานอะไรเลย รอรับเงินปันผลในแต่ละปีไปเรื่อยๆ และถ้ากิจการเซเว่นขยายสาขาได้มากขึ้น ก็หมายความว่าเงินปันผลในปีถัดไปจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน

ปีนี้ บริษัท CPALL ประกาศจ่ายปันผลหุ้นละ 1 บาท ซึ่งมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา

ถ้าคำนวณแล้วปีนี้ ดร.นิเวศน์ จะได้รับปันผล 45 ล้านบาท

หรือคิดง่ายๆว่า ดร.นิเวศน์ได้รับเงินปันผลจาก CPALL ถึงเดือนละ 3.75 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม..

ที่กล่าวมาทั้งหมด ดร. นิเวศน์อาจจะต้องขออนุญาตบุคคลหนึ่งก่อนใช้เงินปันผลนี้ นั่นเพราะท่านใช้ชื่อภรรยาของท่านถือหุ้น CPALL ♥♥

ปล. บทความนี้ผู้เขียนต้องการแสดงมุมมองการลงทุนแบบใหม่ ไม่ได้มีเจตนาชี้นำให้ซื้อหุ้นนี้แต่อย่างใด ผู้อ่านต้องพิจารณาธุรกิจ ราคาเหมาะสมของหุ้นด้วยตนเอง

ลงทุนแมน
APRIL 19, 2017

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น