วันพุธที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ผู้สืบทอดของวอร์เร็น วอร์เร็น บัฟเฟ็ตต์ มหาเศรษฐีหมายเลข 3 ของโลกวัย 81 ปี ออกมาประกาศว่าเมื่อตัวเองเสียชีวิต ผู้ที่จะสืบทอดตำแหน่งประธานบริษัทการลงทุน เบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ของเขาคือ ฮาเวิร์ด บัฟเฟ็ตต์ ลูกชายคนโตที่ปัจจุบันอายุ 57 ปี วันอาทิตย์ที่ผ่านมา วอร์เร็นและฮาเวิร์ดให้สัมภาษณ์ในรายการ 60 Minutes ของช่อง CBS ไม่บ่อยนักที่วอร์เร็นออกมาให้สัมภาษณ์เรื่องส่วนตัว แต่ทุกครั้งก็มีมุมมองและแนวคิดดีๆ เกี่ยวกับการใช้ชีวิตเสมอ ยิ่งมีลูกชายมาร่วมเล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูก ก็ทำให้ทราบถึงเรื่องราวน่ารักปนขบขัน ตลอดจนถึงวิธีการเลี้ยงลูกว่าทำอย่างไรที่จะไม่ให้เป็นลูกเศรษฐีไม่เอาถ่านเมื่อโตขึ้น ฮาเวิร์ด บัฟเฟ็ตต์ ประกอบอาชีพอะไรและมีคุณสมบัติอย่างไรที่ทำให้พ่อเชื่อใจว่าจะสืบทอดตำแหน่งประธานบริษัทการลงทุน เบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ คำตอบคือฮาเวิร์ดเป็นเกษตรกรไร่ข้าวโพด ซึ่งวอร์เร็นมั่นใจว่าลูกชายคนนี้จะสามารถบริหารงานบริษัทให้เป็นไปตามเจตนารมณ์และวัฒนธรรมของบริษัทที่ได้วางรากฐานเอาไว้ โดยเปรียบว่าฮาเวิร์ด จะทำหน้าที่เป็น Guardian of the Culture หรือ “ผู้พิทักษ์วัฒนธรรม” องค์กร วอร์เร็นเคยกังวลว่าเมื่อเขาตายไปแล้ว ประธานคนใหม่อาจบริหารงานแบบตักตวงผลประโยชน์เข้าตัวเอง แม้โอกาสที่จะเกิดขึ้นนั้นต่ำมากๆ แต่การได้ฮาเวิร์ดมาดำรงตำแหน่งประธานก็เหมือนกับการสร้างเกราะป้องกันอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งฮาเวิร์ดจะไม่ได้รับเงินเดือน และไม่ต้องเข้าทำงานทุกวัน หลายคนสงสัยว่าฮาเวิร์ดซึ่งเป็นเกษตรกรไร่ข้าวโพด มีความรู้ความสามารถพอที่จะบริหารบริษัทการลงทุนที่มีมูลค่ามหาศาลเป็นล้านล้านบาทหรือ? วอร์เร็นบอกเขามั่นใจว่าลูกชายมีความรู้ความสามารถมากพอ ซึ่งในจำนวนลูก 3 คน ฮาเวิร์ดเป็นลูกคนเดียวที่ดำรงตำแหน่งบอร์ดของบริษัท ตอนทราบว่าพ่อจะส่งทอดตำแหน่งประธานให้ ฮาเวิร์ดบอกว่าเซอร์ไพรส์ พร้อมหัวเราะแล้วพูดต่อว่าไม่อยากจะบอกว่าพ่อไม่มีวันที่จะลงจากตำแหน่งจนกว่าจะถูกฝังลงดิน ถามฮาเวิร์ดว่ากังวลหรือเปล่าที่จะมารับตำแหน่งใหญ่โตขนาดนี้ เขาอมยิ้มและหัวเราะเช่นเคย ก่อนตอบว่าตราบใดที่เขาได้ทำไร่ ตัวเขาก็ไม่มีปัญหา ฮาเวิร์ด สนใจทำไร่ตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ตอนนั้นใช้สวนหลังบ้านปลูกข้าวโพด ตอนเด็กเขาและพี่สาวกับน้องชายไม่ทราบเลยว่าพ่อร่ำรวยมาก เขาเล่าเรื่องตลกของพี่สาวสมัยเป็นนักเรียนชั้นประถมว่า ครูถามนักเรียนทุกคนในห้องว่าพ่อทำงานอะไร ซึ่งแต่ไหนแต่ไรสามคนพี่น้องทราบเพียงแต่ว่าพ่อมีอาชีพเป็นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ (Securities Analyst) แต่ตอนนั้นไม่ทราบว่าอาชีพนี้คืออะไร ดังนั้น พี่สาวก็ตอบครูไปว่า พ่อเป็น Security Guard หรือพนักงานรักษาความปลอดภัย! ซึ่งสามพี่น้องก็เข้าใจผิดอยู่นานว่าพ่อมีอาชีพนี้ เมื่อเข้ามหาวิทยาลัย ฮาเวิร์ดเปลี่ยนคณะที่เรียนถึง 3 หน ถามวอร์เร็นว่ากังวลหรือเปล่าที่ลูกเปลี่ยนคณะเรียนบ่อย เขาตอบว่าไม่กังวลเลยเพราะเข้าใจดีว่าลูกต้องการค้นหาตัวเองว่าต้องการทำอะไร แม้ในที่สุดฮาเวิร์ดเรียนไม่จบมหาวิทยาลัย แต่วอร์เร็นก็บอกว่าไม่รู้สึกผิดหวังอะไร เพราะสำหรับเขาแล้วลูกจะค้นพบสิ่งที่ตัวเองชอบจากมหาวิทยาลัยหรือไม่ ไม่มีอะไรแตกต่างกัน วอร์เร็นยอมรับว่าตัวเองเป็นพ่อที่แปลก แต่ภรรยาของเขาก็มีความคิดเช่นเดียวกัน ซึ่งลูกทั้งสามคนไม่มีใครเรียนจบมหาวิทยาลัย และพูดตลกว่าถ้านำหน่วยกิตของลูกทั้ง 3 คนมารวมกัน ก็สามารถได้ปริญญารวมกัน 1 ใบ! เมื่อฮาเวิร์ดค้นพบว่าอยากเป็นเกษตรกร วอร์เร็นก็ซื้อที่ดินให้ลูกทำไร่ ไม่ได้ยกที่ดินให้เลย แต่ให้ฮาเวิร์ดเช่า โดยคิดค่าเช่าตามน้ำหนักตัวที่ขึ้นลงของฮาเวิร์ด! สาเหตุก็เพราะฮาเวิร์ดตัวอ้วนใหญ่ เพื่อกระตุ้นให้ลูกลดน้ำหนัก วอร์เร็นจึงตั้งกฎค่าเช่าที่ดินไว้ว่าค่าเช่าขึ้นลงตามน้ำหนัก หากน้ำหนักตัวเพิ่มค่าเช่าก็สูงขึ้น หากน้ำหนักตัวลดค่าเช่าก็ลดตาม ถามว่าทำไมถึงไม่ยกที่ดินให้ลูก วอร์เร็นตอบว่าการที่ฮาเวิร์ดใช้นามสกุลบัฟเฟ็ตต์ไม่ได้หมายความว่าจะได้สิทธิ์ในการเป็นเจ้าของที่ดิน เพราะเขาไม่ต้องการให้ลูกได้รับการเลี้ยงดูอย่างลูกมหาเศรษฐีที่จะได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการ แม้จะให้ฮาเวิร์ดจ่ายค่าเช่าที่ดิน แต่วอร์เร็นก็ให้เงินฮาเวิร์ดและลูกอีกสองคนเท่ากันคนละ 1,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 31,000 ล้านบาท แต่มีข้อแม้ว่าต้องใช้เงินจำนวนนี้เพื่อการกุศล ซึ่งฮาเวิร์ดก็ใช้เงินนี้ในการช่วยเหลือเกษตรกรที่ยากไร้ในประเทศกำลังพัฒนา สอนวิธีการเพิ่มผลผลิต ฮาเวิร์ดบอกว่าเกษตรกรจำนวนมากที่ปลูกพืชผักผลไม้ขายกลับไม่ค่อยมีจะกิน ถือเป็นเรื่องที่ต้องแก้ไข แม้ว่าจะได้เงินจากพ่อเพื่อใช้ในการกุศลตั้งสามหมื่นล้านบาท แต่ก็มีบ้างเหมือนกันที่ลูกๆ รู้สึกหงุดหงิดที่พ่อบริจาคเงิน 3 หมื่นล้านดอลลาร์หรือหนึ่งล้านล้านบาทให้แก่มูลนิธิของ บิลล์ เกตส์ ซึ่งสนิทกันเหมือนน้องชายอีกคน แม้จะทราบมาตลอดว่าพ่อจะไม่ยกทรัพย์สมบัติส่วนใหญ่ให้ แต่บางครั้งลูกๆ ก็รู้สึกว่ายังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ทำได้ดียิ่งขึ้นหากมีเงินมากกว่านี้ ปัจจุบันฮาเวิร์ดมีความสุขกับการทำไร่ข้าวโพด 3,750 ไร่ในรัฐอิลลินอยส์ เขาบอกว่าคงไม่มีสิ่งไหนที่เขาสามารถทำแล้วประสบความสำเร็จได้อย่างพ่อ แต่พ่อกับแม่ก็บอกเสมอว่าไม่เป็นไร วอร์เร็นบอกว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่ลูกๆ จะพยายามแข่งขันกับเขา ลูกควรทำสิ่งที่ตัวเองถนัด โดยสอนลูกว่าให้ทำในสิ่งที่รักเหมือนกับที่พ่อรักที่จะทำเงิน ความสำเร็จในชีวิตคือการทำในสิ่งที่ตัวเองรักและทำออกมาดี และสุดยอดแห่งความหรูหราในชีวิตก็คือการได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักทุกวัน ขอบคุณ: “ฟังคนรวยเบอร์ 3 ของโลกสอนลูก” จากคอลัมน์คลุกวงใน โดยพิศณุ นิลกลัด

ผู้สืบทอดของวอร์เร็น

วอร์เร็น บัฟเฟ็ตต์ มหาเศรษฐีหมายเลข 3 ของโลกวัย 81 ปี ออกมาประกาศว่าเมื่อตัวเองเสียชีวิต ผู้ที่จะสืบทอดตำแหน่งประธานบริษัทการลงทุน เบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ของเขาคือ ฮาเวิร์ด บัฟเฟ็ตต์ ลูกชายคนโตที่ปัจจุบันอายุ 57 ปี

วันอาทิตย์ที่ผ่านมา วอร์เร็นและฮาเวิร์ดให้สัมภาษณ์ในรายการ 60 Minutes ของช่อง CBS

ไม่บ่อยนักที่วอร์เร็นออกมาให้สัมภาษณ์เรื่องส่วนตัว แต่ทุกครั้งก็มีมุมมองและแนวคิดดีๆ เกี่ยวกับการใช้ชีวิตเสมอ ยิ่งมีลูกชายมาร่วมเล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูก ก็ทำให้ทราบถึงเรื่องราวน่ารักปนขบขัน ตลอดจนถึงวิธีการเลี้ยงลูกว่าทำอย่างไรที่จะไม่ให้เป็นลูกเศรษฐีไม่เอาถ่านเมื่อโตขึ้น

ฮาเวิร์ด บัฟเฟ็ตต์ ประกอบอาชีพอะไรและมีคุณสมบัติอย่างไรที่ทำให้พ่อเชื่อใจว่าจะสืบทอดตำแหน่งประธานบริษัทการลงทุน เบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์

คำตอบคือฮาเวิร์ดเป็นเกษตรกรไร่ข้าวโพด ซึ่งวอร์เร็นมั่นใจว่าลูกชายคนนี้จะสามารถบริหารงานบริษัทให้เป็นไปตามเจตนารมณ์และวัฒนธรรมของบริษัทที่ได้วางรากฐานเอาไว้ โดยเปรียบว่าฮาเวิร์ด จะทำหน้าที่เป็น Guardian of the Culture หรือ “ผู้พิทักษ์วัฒนธรรม” องค์กร

วอร์เร็นเคยกังวลว่าเมื่อเขาตายไปแล้ว ประธานคนใหม่อาจบริหารงานแบบตักตวงผลประโยชน์เข้าตัวเอง แม้โอกาสที่จะเกิดขึ้นนั้นต่ำมากๆ แต่การได้ฮาเวิร์ดมาดำรงตำแหน่งประธานก็เหมือนกับการสร้างเกราะป้องกันอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งฮาเวิร์ดจะไม่ได้รับเงินเดือน และไม่ต้องเข้าทำงานทุกวัน

หลายคนสงสัยว่าฮาเวิร์ดซึ่งเป็นเกษตรกรไร่ข้าวโพด มีความรู้ความสามารถพอที่จะบริหารบริษัทการลงทุนที่มีมูลค่ามหาศาลเป็นล้านล้านบาทหรือ?

วอร์เร็นบอกเขามั่นใจว่าลูกชายมีความรู้ความสามารถมากพอ ซึ่งในจำนวนลูก 3 คน ฮาเวิร์ดเป็นลูกคนเดียวที่ดำรงตำแหน่งบอร์ดของบริษัท

ตอนทราบว่าพ่อจะส่งทอดตำแหน่งประธานให้ ฮาเวิร์ดบอกว่าเซอร์ไพรส์ พร้อมหัวเราะแล้วพูดต่อว่าไม่อยากจะบอกว่าพ่อไม่มีวันที่จะลงจากตำแหน่งจนกว่าจะถูกฝังลงดิน

ถามฮาเวิร์ดว่ากังวลหรือเปล่าที่จะมารับตำแหน่งใหญ่โตขนาดนี้ เขาอมยิ้มและหัวเราะเช่นเคย ก่อนตอบว่าตราบใดที่เขาได้ทำไร่ ตัวเขาก็ไม่มีปัญหา

ฮาเวิร์ด สนใจทำไร่ตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ตอนนั้นใช้สวนหลังบ้านปลูกข้าวโพด

ตอนเด็กเขาและพี่สาวกับน้องชายไม่ทราบเลยว่าพ่อร่ำรวยมาก เขาเล่าเรื่องตลกของพี่สาวสมัยเป็นนักเรียนชั้นประถมว่า ครูถามนักเรียนทุกคนในห้องว่าพ่อทำงานอะไร ซึ่งแต่ไหนแต่ไรสามคนพี่น้องทราบเพียงแต่ว่าพ่อมีอาชีพเป็นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ (Securities Analyst) แต่ตอนนั้นไม่ทราบว่าอาชีพนี้คืออะไร ดังนั้น พี่สาวก็ตอบครูไปว่า พ่อเป็น Security Guard หรือพนักงานรักษาความปลอดภัย!

ซึ่งสามพี่น้องก็เข้าใจผิดอยู่นานว่าพ่อมีอาชีพนี้

เมื่อเข้ามหาวิทยาลัย ฮาเวิร์ดเปลี่ยนคณะที่เรียนถึง 3 หน

ถามวอร์เร็นว่ากังวลหรือเปล่าที่ลูกเปลี่ยนคณะเรียนบ่อย

เขาตอบว่าไม่กังวลเลยเพราะเข้าใจดีว่าลูกต้องการค้นหาตัวเองว่าต้องการทำอะไร แม้ในที่สุดฮาเวิร์ดเรียนไม่จบมหาวิทยาลัย แต่วอร์เร็นก็บอกว่าไม่รู้สึกผิดหวังอะไร เพราะสำหรับเขาแล้วลูกจะค้นพบสิ่งที่ตัวเองชอบจากมหาวิทยาลัยหรือไม่ ไม่มีอะไรแตกต่างกัน

วอร์เร็นยอมรับว่าตัวเองเป็นพ่อที่แปลก แต่ภรรยาของเขาก็มีความคิดเช่นเดียวกัน ซึ่งลูกทั้งสามคนไม่มีใครเรียนจบมหาวิทยาลัย และพูดตลกว่าถ้านำหน่วยกิตของลูกทั้ง 3 คนมารวมกัน ก็สามารถได้ปริญญารวมกัน 1 ใบ!

เมื่อฮาเวิร์ดค้นพบว่าอยากเป็นเกษตรกร วอร์เร็นก็ซื้อที่ดินให้ลูกทำไร่ ไม่ได้ยกที่ดินให้เลย แต่ให้ฮาเวิร์ดเช่า โดยคิดค่าเช่าตามน้ำหนักตัวที่ขึ้นลงของฮาเวิร์ด!

สาเหตุก็เพราะฮาเวิร์ดตัวอ้วนใหญ่ เพื่อกระตุ้นให้ลูกลดน้ำหนัก วอร์เร็นจึงตั้งกฎค่าเช่าที่ดินไว้ว่าค่าเช่าขึ้นลงตามน้ำหนัก หากน้ำหนักตัวเพิ่มค่าเช่าก็สูงขึ้น หากน้ำหนักตัวลดค่าเช่าก็ลดตาม

ถามว่าทำไมถึงไม่ยกที่ดินให้ลูก วอร์เร็นตอบว่าการที่ฮาเวิร์ดใช้นามสกุลบัฟเฟ็ตต์ไม่ได้หมายความว่าจะได้สิทธิ์ในการเป็นเจ้าของที่ดิน เพราะเขาไม่ต้องการให้ลูกได้รับการเลี้ยงดูอย่างลูกมหาเศรษฐีที่จะได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการ

แม้จะให้ฮาเวิร์ดจ่ายค่าเช่าที่ดิน แต่วอร์เร็นก็ให้เงินฮาเวิร์ดและลูกอีกสองคนเท่ากันคนละ 1,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 31,000 ล้านบาท แต่มีข้อแม้ว่าต้องใช้เงินจำนวนนี้เพื่อการกุศล ซึ่งฮาเวิร์ดก็ใช้เงินนี้ในการช่วยเหลือเกษตรกรที่ยากไร้ในประเทศกำลังพัฒนา สอนวิธีการเพิ่มผลผลิต ฮาเวิร์ดบอกว่าเกษตรกรจำนวนมากที่ปลูกพืชผักผลไม้ขายกลับไม่ค่อยมีจะกิน ถือเป็นเรื่องที่ต้องแก้ไข

แม้ว่าจะได้เงินจากพ่อเพื่อใช้ในการกุศลตั้งสามหมื่นล้านบาท แต่ก็มีบ้างเหมือนกันที่ลูกๆ รู้สึกหงุดหงิดที่พ่อบริจาคเงิน 3 หมื่นล้านดอลลาร์หรือหนึ่งล้านล้านบาทให้แก่มูลนิธิของ บิลล์ เกตส์ ซึ่งสนิทกันเหมือนน้องชายอีกคน

แม้จะทราบมาตลอดว่าพ่อจะไม่ยกทรัพย์สมบัติส่วนใหญ่ให้ แต่บางครั้งลูกๆ ก็รู้สึกว่ายังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ทำได้ดียิ่งขึ้นหากมีเงินมากกว่านี้

ปัจจุบันฮาเวิร์ดมีความสุขกับการทำไร่ข้าวโพด 3,750 ไร่ในรัฐอิลลินอยส์ เขาบอกว่าคงไม่มีสิ่งไหนที่เขาสามารถทำแล้วประสบความสำเร็จได้อย่างพ่อ แต่พ่อกับแม่ก็บอกเสมอว่าไม่เป็นไร

วอร์เร็นบอกว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่ลูกๆ จะพยายามแข่งขันกับเขา ลูกควรทำสิ่งที่ตัวเองถนัด โดยสอนลูกว่าให้ทำในสิ่งที่รักเหมือนกับที่พ่อรักที่จะทำเงิน ความสำเร็จในชีวิตคือการทำในสิ่งที่ตัวเองรักและทำออกมาดี

และสุดยอดแห่งความหรูหราในชีวิตก็คือการได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักทุกวัน

ขอบคุณ: “ฟังคนรวยเบอร์ 3 ของโลกสอนลูก” จากคอลัมน์คลุกวงใน โดยพิศณุ นิลกลัด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น