บทความ ตื่นเพื่อลูก
คอลัมน์ ห้องเรียนธรรมะ
นิตยสาร Amarin Baby & Kids
เขียนโดย พศิน อินทรวงค์
ถ้าพูดถึงแนวคิดในการเลี้ยงลูก ทุกวันนี้พ่อแม่จะแบ่งเป็นสองกลุ่มหลักๆ หนึ่งคือ กลุ่มที่มุ่งเลี้ยงลูกให้เป็นผู้ประสบความสำเร็จ สองคือกลุ่มที่มุ่งเลี้ยงลูกให้มีความสุข ฝ่ายหนึ่งเอาความสำเร็จเป็นตัวตั้ง ขณะที่อีกฝ่ายใช้ความสุขเป็นตัวตั้ง ในแบบแรกนั้นเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยาก พ่อแม่กลุ่มที่หนึ่งจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อเสริมทักษะให้ลูกมีความสามารถในการแข่งขันอันจะนำไปสู่ความเจริญก้าวหน้าของลูกในอนาคต พ่อแม่กลุ่มนี้มักให้ความสำคัญกับเรื่องของภาษา อาจจะส่งลูกไปเรียนโรงเรียนนานาชาติ หรือฝึกภาษาวันเสาร์อาทิตย์ ไม่ก็มีการกวดวิชาเพื่อที่ลูกจะสามารถสอบเข้าโรงเรียนดังๆ ได้ ความคิดเช่นนี้มีมานานแล้ว ตั้งแต่60-70 ปีก่อน ซึ่งพักหลังก็มีกระแสต่อต้านแนวคิดลักษณะนี้กันพอสมควร โดยอ้างว่า จะทำให้เด็กไม่ได้รับความสุขบ้าง ตกเป็นทาสสังคมบ้าง และเกิดความเครียดจนนำไปสู่ความบกพร่องทางอารมณ์บ้าง
ในที่สุดกระแสต่อต้านนี้ก็ถูกพัฒนาต่อยอดกลายเป็นพ่อแม่ในกลุ่มที่สอง คือพ่อแม่ที่ต้องการให้ลูกมีความสุขและมีความเป็นตัวของตัวเอง เท่าที่สังเกต แนวทางการเลี้ยงลูกของพ่อแม่กลุ่มที่สองนี้ก็จะเป็นไปในทิศทางคล้ายๆ กัน นั่นคือเริ่มจากส่งลูกไปเรียนศิลปะ ให้ลูกเล่นดินเล่นทราย บางคนให้ลูกไปฝึกเล่นกีฬา เล่นดนตรี พยายามสังเกตว่าลูกของตนมีความถนัดทางด้านไหน ถ้ามองผิวเผินเราจะรู้สึกเหมือนว่า พ่อแม่กลุ่มที่สองได้ทำอะไรที่ต่างออกไปจากพ่อแม่กลุ่มแรก แต่ถ้ามองให้ลึก เพ่ง ล้วงเข้าไปในความคิดของพ่อแม่ แล้วจับแก่นมาตีให้แตก จะพบว่า พ่อแม่กลุ่มที่สองไม่ได้มีอะไรที่ต่างไปจากพ่อแม่กลุ่มแรกเลย เพราะลึกๆ แล้วพ่อแม่กลุ่มที่สองก็ยังคาดหวังให้ลูกประสบความสำเร็จอยู่ดี เพียงแต่เป็นการประสบความสำเร็จในลักษณะที่ต่างออกไป อาจไม่ได้ต้องการให้ลูกเติบโตไปเป็นนักธุรกิจ คุณหมอ วิศวกร ไม่อยากให้ลูกไปเป็นอะไรที่อยู่ในรูปแบบ แต่ก็ยังคาดหวังให้ลูกไปเป็นอะไรสักอย่างที่มีหน้ามีตา เช่นช่างภาพใหญ่ จิตรกรใหญ่ หรือนักเขียนดัง ไม่ก็เป็นบุคคลที่สามารถคิดค้นนวัตกรรมอะไรได้สักอย่าง หรืออาชีพอะไรสักอย่างที่นำไปสู่คำชื่นชม และความร่ำรวยในอนาคต
จากความคาดหวังเดิมๆ ที่ซ่อนเร้นอยู่ในจิตใจของพ่อแม่ ไปๆมาๆ กลายเป็นว่า พ่อแม่กลุ่มที่สองได้ติดกับกิเลสของตัวเองเข้าอย่างจัง นั่นคือ ปากบอกว่าต้องการอย่างหนึ่ง แต่ใจต้องการอีกอย่าง และเลี้ยงลูกไปอีกอย่าง เป็นการเลี้ยงลูกในลักษณะคาบลูกคาบดอก พยายามย้ายลูกออกจากคุกแบบทุนนิยม เข้าไปติดคุกในลักษณะเสรีนิยม ซึ่งอาจมีสภาพที่ดูดีกว่า แต่ดูยังไงๆ ก็ยังไม่สามารถพาลูกข้ามพ้นไปจากคุกแห่งความคาดหวังได้อยู่ดี
ที่เขียนเกริ่นมายืดยาว ก็เพื่อจะตีประเด็นไปตามความเป็นจริงว่า ตราบใดที่ตัวของพ่อแม่เอง ยังมีความหิวกระหายในลักษณะเดิมๆ ยังพกพากิเลสแบบเดิมๆ มาเลี้ยงลูก หนทางแห่งการเลี้ยงลูกให้มีความสุขและเป็นตัวของตัวเองจะไม่มีวันเกิดขึ้นเด็ดขาด ถ้าท่านต้องการให้ลูกของท่านเป็นต้นฉบับ ไม่ต้องการให้ลูกของท่านเป็นสำเนาเอกสาร ตัวท่านเองก็ต้องเป็นต้นฉบับด้วยเช่นกัน หนทางที่ท่านจะเป็นพ่อแม่ต้นฉบับได้ คือท่านต้องเป็นพ่อแม่ที่มีจิตสำนึกที่ต่างออกไป แน่นอนว่าความรักเป็นสิ่งสำคัญ แต่ความรักไม่ใช่จิตสำนึกที่ต่างออกไป เพราะพ่อแม่คนไหนๆ ก็รักและหวังดีกับลูกทั้งนั้น ท่านไม่ได้เป็นพ่อแม่ที่รักลูกไปกว่าพ่อแม่คนอื่นๆ สิ่งที่จะทำให้ท่านหลุดไปจากกรอบความคิดเก่าๆ จึงไม่ใช่ความรัก แต่ต้องเป็นอะไรที่มากไปกว่านั้น
แม้ท่านปรารถนาให้ลูกมีความสุขและมีแนวคิดเป็นตัวตัวเอง สิ่งแรกที่ท่านต้องทำไม่ใช่การมองไปที่ลูก แต่เป็นการมองไปที่ใจของตนเอง ไม่ใช่การถามตัวเองว่า “ท่านต้องการเป็นพ่อแม่แบบไหน” แต่เป็นการถามตนเองว่า “แท้จริงแล้วท่านเป็นคนแบบไหน” ยอมรับหรือไม่ ลึกๆ แล้วท่านยังรู้สึกเร้าร้อนอยู่เสมอ ท่านยังไม่พอใจในหลายอย่าง ท่านยังดิ้นและไม่เคยนิ่ง ลึกๆ แล้วท่านเต็มไปด้วยความกลัว กลัวสิ่งที่ท่านไม่รู้จัก กลัวไม่ได้รับการยอมรับจากผู้อื่น กลัวโน่นกลัวนี่อยู่ตลอดเวลา ยิ่งไปกว่านั้น แม้ท่านผ่านประสบการณ์มามาก ใช้ชีวิตมาครึ่งคน แต่ถึงวันนี้ ท่านก็ยังมีความทุกข์แวะเวียนมาเยี่ยมอยู่ตลอดเวลา ความสุขของท่านเป็นไปแบบสามวันดีสี่วันไข้ ท่านยังเดินตามเสียงของผู้อื่น ยังไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้ ที่จริงท่านไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรคือตัวการที่ทำให้ท่านถูกจองจำอยู่ในวังวนชีวิตเช่นนี้
พ่อแม่ทั้งหลาย ความรักลูกไม่ใช่ทุกอย่าง ท่านต้องใส่ปัญญาลงในความรักของท่านด้วย ตราบใดที่ท่านยังหลง ไม่ตระหนัก ไม่ยอมรับ ไม่พยายามทำความเข้าใจกิเลสที่ฝังอยู่ในจิตวิญญาณของท่าน กิเลสเหล่านี้จะปั่นหัวให้ท่านทำทุกอย่าง เพื่อจับลูกที่ท่านรักยัดใส่กรงที่มันสร้าง เขาจะเป็นเหมือนท่าน ไม่เป็นตัวของตัวเองแบบท่าน ขี้กลัวเหมือนท่าน แหงนหน้ามองความสำเร็จของผู้อื่นเหมือนท่าน เปรียบเทียบตนเองกับคนทั้งโลกเช่นเดียวกับท่าน
พ่อแม่ทั้งหลาย มีคำถามหนึ่งซึ่งท่านต้องตอบตัวเองให้ได้
“ขณะที่ท่านหลับ
เป็นไปได้อย่างไรที่ท่านจะปลุกลูกของท่านให้ตื่น”
*****************************************************
ติดต่องานบรรยาย(วิทยากร) /พูดคุย/ฝากคำถาม
ติดตามผลงานหนังสือ
หรือติดตามอ่านบทความดีๆ ก็สามารถเข้ามาได้ที่
เพจ พศิน อินทรวงค์ (กรุณาพิมพ์เป็นภาษาไทยนะครับ)
https://www.facebook.com/talktopasin2013
**************************************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น