วันพฤหัสบดีที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2560

วิชาแห่งความสุข สมัยมัธยมต้น มีวิชาหนึ่งที่โรงเรียนของผมสอนไม่เหมือนโรงเรียนอื่นๆ วิชานั้นใช้ชื่อว่า "วิชาแห่งความสุข" คุณครูที่โรงเรียนเน้นย้ำวิชานี้มาก ท่านเคยพูดว่า วิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาตร์ สังคมศาสตร์บางทีเราอาจไม่ได้ใช้ทั้งหมด แต่วิชาแห่งความสุขนี้ ไม่ว่าเราจะไปประกอบอาชีพอะไรก็ต้องใช้ คนเรากว่าจะโตขึ้นมา ก็ต้องมีความรัก บทที่หนึ่งของวิชานี้จึงสอนเกี่ยวกับความรัก ที่โรงเรียนของผมจึงไม่มีนักเรียนคนไหนเสียคนเพราะความรัก เพราะในหนังสือบอกเราไว้หมดแล้วว่า ความรู้สึกแรกรักเป็นอย่างไร อกหักเป็นอย่างไร และเราจะจัดการกับอาการอกหักได้อย่างไร จริงอยู่ว่า เรื่องพวกนี้เราไม่อาจรู้ได้ถ้าไม่เผชิญ แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้เรารู้ว่า ความรักแบบหนุ่มสาวนั้น ไม่ได้มีแต่ด้านของความสวยงามเพียงด้านเดียว เราเรียนวิชาแห่งความสุขกันอยู่หลายเทอมตั้งแต่ชั้น ม. 1 จนถึงชั้น ม. 6 เรียนกันหลายบท หลายเรื่อง นอกจากบทที่ว่าด้วยเรื่องความรักแล้ว ยังมีอีกบทที่ผมชอบมากเป็นพิเศษ นั่นคือบทที่มีชื่อว่า "คนธรรมดาที่มีความสุข" บทนี้สอนให้ผมรู้ว่า บางครั้งชื่อเสียง เงินทอง ก็ไม่ได้นำมาซึ่งความสุขเสมอไป เราอาจไม่ได้รวยกว่าใคร ไม่ได้มีชื่อเสียงกว่าใคร แต่เราก็มีความสุขในแบบของเราได้ ในบทนี้จะสอนเราหมดว่าอะไรคือความสุขที่แท้จริงของชีวิต มีการเชิญผู้คนที่มีความสุขในชีวิตมากๆ ซึ่งมีทั้งคนรวยและคนไม่รวย มาพูดคุยกับนักเรียนด้วย จำได้ว่า หลังจากเรียนบทนี้เสร็จ ผมและเพื่อนๆ หัวเราะชอบใจกันใหญ่ พวกเรารู้สึกมีความหวัง และดีใจที่โลกนี้ยังมีพื้นที่ให้คนธรรมดาอย่างพวกเรามีความสุขได้เหมือนกัน อีกบทที่ผมประทับใจเป็นพิเศษ รู้สึกจะเป็นบทท้ายๆ ของวิชา เป็นบทที่มีชื่อว่า "ชีวิตคืออะไร" ชื่อบทนี้เป็นชื่อง่ายๆ แต่ผมคิดว่ามันเป็นบทที่ยากที่สุด คุณครูผู้สอนให้นักเรียนลองหานิยามของชีวิตในแบบของตนเอง มีเพื่อนผมคนหนึ่งให้นิยามว่า "ชีวิตคือลมหายใจ" เพื่อนอีกคนให้นิยามว่า "ชีวิตคือการตั้งคำถาม" เพื่อนอีกคนให้นิยามว่า "ชีวิตคือการแสวงหา" ส่วนผมเองให้นิยามว่า "ชีวิตคือความเปลี่ยนแปลง" ในบทนี้เราต่างถกเถียงกัน มันเป็นการถกเถียงที่สนุกที่สุดในชีวิตของผม ไม่ใช่เพียงแต่ผมและเพื่อนๆ เท่านั้นที่ล้อมวงนั่งคุย แม้แต่คุณครูก็เข้ามามีส่วนร่วมด้วย คุณครูสารภาพว่า ทุกวันนี้ท่านยังไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่า ชีวิตคืออะไร คุณครูให้ข้อสังเกตว่า เราอาจรู้ได้ง่ายขึ้นว่าชีวิตคืออะไร ถ้าเราสามารถตอบตัวเองได้ว่า เราจะใช้ชีวิตเพื่อทำอะไร ผมได้ฟังสิ่งที่คุณครูอธิบายก็รู้สึกเห็นด้วยมากๆ มันเหมือนกับบางบทที่พูดถึงเรื่องราวของการแสวงหาคำตอบ ซึ่งครูสอนก็พวกเราว่า... "การที่เราจะพบคำตอบที่ถูกได้ เราอาจต้องเริ่มด้วยการตั้งคำถามที่ถูกก่อน และบางครั้ง คำว่าถูก หรือผิด อาจเป็นสองคำที่ไม่มีอยู่จริง" แน่นอนว่า เมื่อคุณครูพูดจบ ผมและเพื่อนๆ ก็เถียงกันยกใหญ่เช่นเคย เพราะวิชาแห่งความสุขนี้ไม่มีคำว่าถูกหรือผิด ใครจะคิดอย่างไร พูดอะไร นี่คือความเสรีของผู้เรียน จุดประสงค์ของมันก็เพื่อให้เราได้วิเคราะห์ และขบคิดกันอยู่แล้ว บางบทบางตอน เราอาจกลับมาคิดต่อที่บ้านได้เป็นปีๆ "วิชาจบ แต่คนไม่เคยจบ" นี่คือคำที่ผมและเพื่อนๆ พูดกันจนติดปาก เมื่อออกมารายงานหน้าชั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ผมรู้สึกภูมิใจมาก ที่โรงเรียนของผมตัดสินใจฉีกกฏกระทรวงศึกษาธิการ สร้างหลักสูตรนี้ขึ้นมาเพื่อสอนพวกเรา "วิชาแห่งความสุข" ผมยังจำชื่อของมันได้แม่น มันเป็นวิชาที่ใกล้ตัวผมมากที่สุด ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ จะมีสิ่งใดสำคัญไปกว่าความสุขได้อีก เราเรียนผูกเงื่อนพิรอดในวิชาลูกเสือ เรียนทำขนมบัวลอยในวิชาคหกรรม เรียนเรื่องรังไข่และท่ออสุจิในวิชาสุขศึกษา แล้วเราจะไม่เรียนรู้เรื่องความสุขแห่งชีวิตได้อย่างไร ผมถามออกไปลอยๆ ถึงใครบางคนขณะที่เขียนบทความนี้อยู่ สายลมวูบหนึ่งปะทะใบหน้าอย่างจัง พลันรู้สึกตัว ตื่นจากจิตนาการโง่ๆ และวิชาในฝันที่ไม่เคยมีอยู่จริง พศิน อินทรวงค์

วิชาแห่งความสุข

สมัยมัธยมต้น มีวิชาหนึ่งที่โรงเรียนของผมสอนไม่เหมือนโรงเรียนอื่นๆ วิชานั้นใช้ชื่อว่า "วิชาแห่งความสุข" คุณครูที่โรงเรียนเน้นย้ำวิชานี้มาก ท่านเคยพูดว่า วิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาตร์ สังคมศาสตร์บางทีเราอาจไม่ได้ใช้ทั้งหมด แต่วิชาแห่งความสุขนี้ ไม่ว่าเราจะไปประกอบอาชีพอะไรก็ต้องใช้

คนเรากว่าจะโตขึ้นมา ก็ต้องมีความรัก บทที่หนึ่งของวิชานี้จึงสอนเกี่ยวกับความรัก ที่โรงเรียนของผมจึงไม่มีนักเรียนคนไหนเสียคนเพราะความรัก เพราะในหนังสือบอกเราไว้หมดแล้วว่า ความรู้สึกแรกรักเป็นอย่างไร อกหักเป็นอย่างไร และเราจะจัดการกับอาการอกหักได้อย่างไร จริงอยู่ว่า เรื่องพวกนี้เราไม่อาจรู้ได้ถ้าไม่เผชิญ แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้เรารู้ว่า ความรักแบบหนุ่มสาวนั้น ไม่ได้มีแต่ด้านของความสวยงามเพียงด้านเดียว เราเรียนวิชาแห่งความสุขกันอยู่หลายเทอมตั้งแต่ชั้น ม. 1 จนถึงชั้น ม. 6 เรียนกันหลายบท หลายเรื่อง

นอกจากบทที่ว่าด้วยเรื่องความรักแล้ว ยังมีอีกบทที่ผมชอบมากเป็นพิเศษ นั่นคือบทที่มีชื่อว่า "คนธรรมดาที่มีความสุข" บทนี้สอนให้ผมรู้ว่า บางครั้งชื่อเสียง เงินทอง ก็ไม่ได้นำมาซึ่งความสุขเสมอไป เราอาจไม่ได้รวยกว่าใคร ไม่ได้มีชื่อเสียงกว่าใคร แต่เราก็มีความสุขในแบบของเราได้ ในบทนี้จะสอนเราหมดว่าอะไรคือความสุขที่แท้จริงของชีวิต มีการเชิญผู้คนที่มีความสุขในชีวิตมากๆ ซึ่งมีทั้งคนรวยและคนไม่รวย มาพูดคุยกับนักเรียนด้วย จำได้ว่า หลังจากเรียนบทนี้เสร็จ ผมและเพื่อนๆ หัวเราะชอบใจกันใหญ่ พวกเรารู้สึกมีความหวัง และดีใจที่โลกนี้ยังมีพื้นที่ให้คนธรรมดาอย่างพวกเรามีความสุขได้เหมือนกัน

อีกบทที่ผมประทับใจเป็นพิเศษ รู้สึกจะเป็นบทท้ายๆ ของวิชา เป็นบทที่มีชื่อว่า "ชีวิตคืออะไร" ชื่อบทนี้เป็นชื่อง่ายๆ แต่ผมคิดว่ามันเป็นบทที่ยากที่สุด คุณครูผู้สอนให้นักเรียนลองหานิยามของชีวิตในแบบของตนเอง มีเพื่อนผมคนหนึ่งให้นิยามว่า "ชีวิตคือลมหายใจ" เพื่อนอีกคนให้นิยามว่า "ชีวิตคือการตั้งคำถาม" เพื่อนอีกคนให้นิยามว่า "ชีวิตคือการแสวงหา" ส่วนผมเองให้นิยามว่า "ชีวิตคือความเปลี่ยนแปลง" ในบทนี้เราต่างถกเถียงกัน มันเป็นการถกเถียงที่สนุกที่สุดในชีวิตของผม ไม่ใช่เพียงแต่ผมและเพื่อนๆ เท่านั้นที่ล้อมวงนั่งคุย แม้แต่คุณครูก็เข้ามามีส่วนร่วมด้วย คุณครูสารภาพว่า ทุกวันนี้ท่านยังไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่า ชีวิตคืออะไร คุณครูให้ข้อสังเกตว่า เราอาจรู้ได้ง่ายขึ้นว่าชีวิตคืออะไร ถ้าเราสามารถตอบตัวเองได้ว่า เราจะใช้ชีวิตเพื่อทำอะไร ผมได้ฟังสิ่งที่คุณครูอธิบายก็รู้สึกเห็นด้วยมากๆ มันเหมือนกับบางบทที่พูดถึงเรื่องราวของการแสวงหาคำตอบ ซึ่งครูสอนก็พวกเราว่า...
"การที่เราจะพบคำตอบที่ถูกได้ เราอาจต้องเริ่มด้วยการตั้งคำถามที่ถูกก่อน และบางครั้ง คำว่าถูก หรือผิด อาจเป็นสองคำที่ไม่มีอยู่จริง" แน่นอนว่า เมื่อคุณครูพูดจบ ผมและเพื่อนๆ ก็เถียงกันยกใหญ่เช่นเคย เพราะวิชาแห่งความสุขนี้ไม่มีคำว่าถูกหรือผิด ใครจะคิดอย่างไร พูดอะไร นี่คือความเสรีของผู้เรียน จุดประสงค์ของมันก็เพื่อให้เราได้วิเคราะห์ และขบคิดกันอยู่แล้ว บางบทบางตอน เราอาจกลับมาคิดต่อที่บ้านได้เป็นปีๆ "วิชาจบ แต่คนไม่เคยจบ" นี่คือคำที่ผมและเพื่อนๆ พูดกันจนติดปาก เมื่อออกมารายงานหน้าชั้น

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ผมรู้สึกภูมิใจมาก
ที่โรงเรียนของผมตัดสินใจฉีกกฏกระทรวงศึกษาธิการ
สร้างหลักสูตรนี้ขึ้นมาเพื่อสอนพวกเรา
"วิชาแห่งความสุข" ผมยังจำชื่อของมันได้แม่น
มันเป็นวิชาที่ใกล้ตัวผมมากที่สุด
ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ จะมีสิ่งใดสำคัญไปกว่าความสุขได้อีก
เราเรียนผูกเงื่อนพิรอดในวิชาลูกเสือ
เรียนทำขนมบัวลอยในวิชาคหกรรม
เรียนเรื่องรังไข่และท่ออสุจิในวิชาสุขศึกษา
แล้วเราจะไม่เรียนรู้เรื่องความสุขแห่งชีวิตได้อย่างไร
ผมถามออกไปลอยๆ ถึงใครบางคนขณะที่เขียนบทความนี้อยู่
สายลมวูบหนึ่งปะทะใบหน้าอย่างจัง
พลันรู้สึกตัว ตื่นจากจิตนาการโง่ๆ และวิชาในฝันที่ไม่เคยมีอยู่จริง

พศิน อินทรวงค์

วันอาทิตย์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2560

วันหยุดสุดสัปดาห์ทั้งที แต่หน้าที่ของครูต้องดำเนินต่อไป มีนักเรียนคนหนึ่งได้โทรมาปรึกษาครูเรื่อง เพิ่งเลิกกับแฟนคนปัจจุบัน... ฟังดูอาจจะเป็นเรื่องขี้หีขี้เปียกควยมากสำหรับผู้ใหญ่อย่างเราๆ แต่มันอาจเป็นปัญหาค่อนข้างใหญ่สำหรับเด็กในวัยเจริญพันธุ์ ลองนึกถึงวันวานที่เรายังเป็นเด็ก เออตอนครูเด็กๆครูก็เสียใจฟูมฟายสารพัดอย่างกับพ่อแม่ตายเสียอย่างงั้น เคสนี้ครูว่าเด็กนักเรียนเลือกถูกทางแล้วที่เข้ามาปรึกษาครู "ปัญหาของหนูไม่สำคัญว่าใครทิ้งหนูไป แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือใครที่อยู่กับหนูในวันที่หนูไม่เหลือใครต่างหาก... มองไปรอบๆสิ ว่าใครที่ยังอยู่กับหนู..." พูดจนถึงตรงนี้เด็กนักเรียนก็หยุดร้องไห้ฟูมฟาย... "แฟนเก่าหนูค่ะครู แฟนเก่าหนูเข้ามาตบไหล่หนูเบาๆ ตอนนั้นใจของหนูสั่นสะท้านราวกับโลกนี้จะอวสานแล้ว... เขาบอกว่าเขารับรู้เรื่องราวที่หนูเผชิญ แต่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ตัวเขานั้นผ่านมาเห็นหนูกำลังเสียใจ ถึงแม้หนูจะเคยทิ้งเขาไปอย่างไม่ใยดี แต่เขายังคอยติดตามดูหนูอยู่ห่างๆ" ครูได้ฟังจนถึงตรงนี้ขนแขนสแตนด์อัพขึ้นมาทันที ว้าววว ความรักของเด็กสมัยนี้นี่ก็ทำให้เรารู้สึกถึงพลังอันยิ่งใหญ่ที่มาพร้อมกับภาระที่ใหญ่ยิ่ง ครูถามเด็กนักเรียนญิงคนนั้นต่ออีกว่า "หนูทิ้งผู้ชายคนนี้ไปเพราะสาเหตุอะไร เขาดูดีกับหนูอยู่นะ" เด็กนักเรียนหญิงเงียบไปครู่หนึ่ง... "เขาไม่รวยค่ะครู หนูทิ้งเขาเพราะเขาไม่ยอมซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งหน้าโรงเรียนมาฝากหนูแบบคู่อื่นๆที่เขาทำกัน" ... ครูถึงกับพูดไม่ออก เหตุผลนี้มันช่างสร้างบาดแผลในหัวใจเสียเหลือเกิน แต่ครูจะมาช็อคกับเรื่องส้นตีนแบบนี้ไม่ได้ ต้องทำหน้าที่ครูแนะแนวส์ต่อไป ครูถามต่อว่า "แล้วตอนที่แฟนเก่าหนูเข้ามาตบไหล่หนูเบาๆ เขาพูดอะไรกับหนู เขาอยากกลับมาดูแลหนูใช่มั้ย ? เขาอยากกลับมาแก้ไขเรื่องที่เขาบกพร่องหรือเปล่า ?" เด็กนักเรียนหญิงตอบครูด้วยเสียงที่ค่อนข้างแผ่วเบา มันเป็นคำตอบที่กระเทาะหัวใจให้เกิดรอยร้าว "เขาทำเสียงแข็งกร้าวแล้วบอกหนูว่า สมน้ำหน้า ค่ะครู" ครูนี่ลุกปรบมือเลยลูก ซึ้งมากอีเหี้ย จำไว้นะเด็กๆ วันที่หนูไม่เหลือใคร อย่างน้อยๆก็ยังมีแฟนเก่าคอยดูหนูอยู่ห่างๆนะลูก... รอซ้ำเติมน่ะอีดอก เคส by : ครู Charleo (Charleo ถ้าอ่านออกเสียงแนวผู้ดีอังกฤษจะอ่านว่า ชาลีโอ ฟังแล้วดูเท่ไม่หยอก แต่ครูอยากจะบอก จริงๆแล้วมันอ่านว่า เฉลียว อีสัส)

วันหยุดสุดสัปดาห์ทั้งที แต่หน้าที่ของครูต้องดำเนินต่อไป

มีนักเรียนคนหนึ่งได้โทรมาปรึกษาครูเรื่อง เพิ่งเลิกกับแฟนคนปัจจุบัน... ฟังดูอาจจะเป็นเรื่องขี้หีขี้เปียกควยมากสำหรับผู้ใหญ่อย่างเราๆ แต่มันอาจเป็นปัญหาค่อนข้างใหญ่สำหรับเด็กในวัยเจริญพันธุ์

ลองนึกถึงวันวานที่เรายังเป็นเด็ก เออตอนครูเด็กๆครูก็เสียใจฟูมฟายสารพัดอย่างกับพ่อแม่ตายเสียอย่างงั้น

เคสนี้ครูว่าเด็กนักเรียนเลือกถูกทางแล้วที่เข้ามาปรึกษาครู "ปัญหาของหนูไม่สำคัญว่าใครทิ้งหนูไป แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือใครที่อยู่กับหนูในวันที่หนูไม่เหลือใครต่างหาก... มองไปรอบๆสิ ว่าใครที่ยังอยู่กับหนู..."

พูดจนถึงตรงนี้เด็กนักเรียนก็หยุดร้องไห้ฟูมฟาย... "แฟนเก่าหนูค่ะครู แฟนเก่าหนูเข้ามาตบไหล่หนูเบาๆ ตอนนั้นใจของหนูสั่นสะท้านราวกับโลกนี้จะอวสานแล้ว... เขาบอกว่าเขารับรู้เรื่องราวที่หนูเผชิญ แต่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ตัวเขานั้นผ่านมาเห็นหนูกำลังเสียใจ ถึงแม้หนูจะเคยทิ้งเขาไปอย่างไม่ใยดี แต่เขายังคอยติดตามดูหนูอยู่ห่างๆ"

ครูได้ฟังจนถึงตรงนี้ขนแขนสแตนด์อัพขึ้นมาทันที ว้าววว ความรักของเด็กสมัยนี้นี่ก็ทำให้เรารู้สึกถึงพลังอันยิ่งใหญ่ที่มาพร้อมกับภาระที่ใหญ่ยิ่ง ครูถามเด็กนักเรียนญิงคนนั้นต่ออีกว่า "หนูทิ้งผู้ชายคนนี้ไปเพราะสาเหตุอะไร เขาดูดีกับหนูอยู่นะ"

เด็กนักเรียนหญิงเงียบไปครู่หนึ่ง... "เขาไม่รวยค่ะครู หนูทิ้งเขาเพราะเขาไม่ยอมซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งหน้าโรงเรียนมาฝากหนูแบบคู่อื่นๆที่เขาทำกัน"

... ครูถึงกับพูดไม่ออก เหตุผลนี้มันช่างสร้างบาดแผลในหัวใจเสียเหลือเกิน แต่ครูจะมาช็อคกับเรื่องส้นตีนแบบนี้ไม่ได้ ต้องทำหน้าที่ครูแนะแนวส์ต่อไป ครูถามต่อว่า "แล้วตอนที่แฟนเก่าหนูเข้ามาตบไหล่หนูเบาๆ เขาพูดอะไรกับหนู เขาอยากกลับมาดูแลหนูใช่มั้ย ? เขาอยากกลับมาแก้ไขเรื่องที่เขาบกพร่องหรือเปล่า ?"

เด็กนักเรียนหญิงตอบครูด้วยเสียงที่ค่อนข้างแผ่วเบา มันเป็นคำตอบที่กระเทาะหัวใจให้เกิดรอยร้าว "เขาทำเสียงแข็งกร้าวแล้วบอกหนูว่า สมน้ำหน้า ค่ะครู"

ครูนี่ลุกปรบมือเลยลูก ซึ้งมากอีเหี้ย จำไว้นะเด็กๆ วันที่หนูไม่เหลือใคร อย่างน้อยๆก็ยังมีแฟนเก่าคอยดูหนูอยู่ห่างๆนะลูก... รอซ้ำเติมน่ะอีดอก

เคส by : ครู Charleo
(Charleo ถ้าอ่านออกเสียงแนวผู้ดีอังกฤษจะอ่านว่า ชาลีโอ ฟังแล้วดูเท่ไม่หยอก แต่ครูอยากจะบอก จริงๆแล้วมันอ่านว่า เฉลียว อีสัส)

ฝรั่ง ขายแฮมเบอร์เกอร์ แถวบ้านผมมีฝรั่งคนนึงได้เมียคนไทย และพากันมาอยู่บ้านผู้หญิง ทั้งคู่ตั้งใจทำมาหากิน ฝรั่งเอารถมอร์ไซค์พ่วง มาติดป้ายขายแฮมเบอร์เกอร์ที่ตลาดนัดแถวบ้านผม เคยซื้อกินครั้งนึงถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว แต่ขายไม่ดี เพราะตลาดนัดตรงที่เขาขายกลุ่มลูกค้าเป็นชาวบ้าน ที่รายได้ไม่มากนัก แม้จะถูกโอบล้อมไปด้วยหมู่บ้านจัดสรรราคาแพง แฮมเบอร์เกอร์ราคา40-60บาท จึงสู้ข้าวแกงถุง10บาทหมูปิ้ง10บาทไม่ได้ ผมเห็นเขาขายอยู่ระยะนึงแล้วหายไป มีโอกาสจึงได้ถามหาเขาว่าหายไปไหน ได้คำตอบว่า เขาย้ายไปขายหน้าห้างโลตัสหัวทะเล จากที่ขายไม่ดี ตอนนี้วันละ80-90ชิ้นต่อวัน!! และที่สำคัญคือเขามีบริการแบบเดลิเวอร์รี่! ให้เมียเอารถมอร์ไซค์อีกคันมาส่งแฮมเบอร์เกอร์ ขายดิบขายดี จากเรื่องราวของฝรั่งขายแฮมเบอร์เกอร์ มันทำให้เราได้ข้อคิดหลายอย่างนะ เขาขายไม่ดี...แต่เขาไม่ล้มเลิก ตรงนี้ไม่ดี....ไปหาที่ใหม่ ไม่ยอมแพ้ มีแต่คนล้มเหลวเท่านั้นแหละ ที่รู้ทั้งรู้ว่าไปไม่รอดแต่ยังทนทำอยู่ที่เดิม เจ๊งจากอีกที่นึง ไม่ได้แปลว่าจะเจ๊งทุกที่ จริงมั้ย? เพื่อนๆที่เป็นเพื่อนผมมานานๆ สังเกตมั้ยว่าตั้งแต่รู้จักกันมา ผมทำมากี่อาชีพแล้ว บางอย่างก็เจ๊ง บางอย่างพอใจแล้ว บางอย่างหมดสนุกแล้ว และบางอย่างผมเลิกทำ เพราะรู้ว่าจุดสูงสุดของมันไม่ใช่เป้าหมายผม พูดตรงๆก็คือ ทำไปก็ไม่รวย เอาเวลาไปทำอย่าอื่นดีกว่า มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่ทนทำบางสิ่งต่อไป ทั้งๆที่รู้อยู่เต็มอกว่าทุ่มเทแค่ไหนก็ได้แค่นี้ ผมเข้าใจดีว่า....มันไม่ง่าย บางคนผ่อนรถอยู่ บางคนผ่อนบ้านอยู่ บางคนลูกกำลังเรียน ให้ออกมาทำอะไรตามฝันตัวเองคงไม่ได้ แต่คุณเชื่อมั้ยว่าคนสำเร็จส่วนใหญ่ ลงมือทำ ตัดสินใจทำ สิ่งที่ตัวเองตั้งใจ ทั้งๆที่เขาจนกว่าเราอีก ผมจำไม่ได้ว่าเศรษฐีคนไหนพูดกับผมเมื่อ20ปีที่แล้วว่า อย่าไปกลัวการลงทุนเลย คนจนโชคดี จนอยู่แล้วลงทุนเจ๊งก็แค่กลับไปจนเหมือนเดิม ไม่มีอะไรจะเสีย แต่หากลงทุนแล้วสำเร็จ...ชีวิตจะไม่เหมือนเดิม! เพื่อนๆครับ คนล้มเหลวคือคนที่ล้มเลิก แต่คนที่ไม่ยอมเลิกทั้งๆที่รู้ว่าทางที่เดินจะนำไปสู่ความล้มเหลว คนแบบนั้น.....คนขาดสติ ดูฝรั่งขายแฮมเบอร์เกอร์เป็นตัวอย่าง ขายตลาดนัดไม่ดี...กูหาที่ใหม่ ทางแห่งความสำเร็จไม่ได้มีทางเดียว ผมก็เช่นกัน ไม่มีเงิน20ล้าน ก่อนอายุ45 ต่อให้เปลี่ยนอีกพันอาชีพผมก็จะทำ เราเกิดมาเพื่อสู้ เพื่ออิสระภาพ ไม่ได้เกิดมาเพื่อตื่นแต่เช้าขับรถไปทำตามคำสั่งใคร! สิริทัศน์ สมเสงี่ยม เป็นกำลังใจให้ครับ^^ สิริทัศน์ สมเสงี่ยม พลิกชีวิต คิดแบบโจร

ฝรั่ง ขายแฮมเบอร์เกอร์

แถวบ้านผมมีฝรั่งคนนึงได้เมียคนไทย
และพากันมาอยู่บ้านผู้หญิง ทั้งคู่ตั้งใจทำมาหากิน

ฝรั่งเอารถมอร์ไซค์พ่วง
มาติดป้ายขายแฮมเบอร์เกอร์ที่ตลาดนัดแถวบ้านผม

เคยซื้อกินครั้งนึงถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว

แต่ขายไม่ดี
เพราะตลาดนัดตรงที่เขาขายกลุ่มลูกค้าเป็นชาวบ้าน
ที่รายได้ไม่มากนัก แม้จะถูกโอบล้อมไปด้วยหมู่บ้านจัดสรรราคาแพง

แฮมเบอร์เกอร์ราคา40-60บาท
จึงสู้ข้าวแกงถุง10บาทหมูปิ้ง10บาทไม่ได้

ผมเห็นเขาขายอยู่ระยะนึงแล้วหายไป
มีโอกาสจึงได้ถามหาเขาว่าหายไปไหน ได้คำตอบว่า

เขาย้ายไปขายหน้าห้างโลตัสหัวทะเล
จากที่ขายไม่ดี ตอนนี้วันละ80-90ชิ้นต่อวัน!!

และที่สำคัญคือเขามีบริการแบบเดลิเวอร์รี่!
ให้เมียเอารถมอร์ไซค์อีกคันมาส่งแฮมเบอร์เกอร์

ขายดิบขายดี

จากเรื่องราวของฝรั่งขายแฮมเบอร์เกอร์
มันทำให้เราได้ข้อคิดหลายอย่างนะ

เขาขายไม่ดี...แต่เขาไม่ล้มเลิก
ตรงนี้ไม่ดี....ไปหาที่ใหม่ ไม่ยอมแพ้

มีแต่คนล้มเหลวเท่านั้นแหละ
ที่รู้ทั้งรู้ว่าไปไม่รอดแต่ยังทนทำอยู่ที่เดิม

เจ๊งจากอีกที่นึง ไม่ได้แปลว่าจะเจ๊งทุกที่ จริงมั้ย?

เพื่อนๆที่เป็นเพื่อนผมมานานๆ
สังเกตมั้ยว่าตั้งแต่รู้จักกันมา ผมทำมากี่อาชีพแล้ว

บางอย่างก็เจ๊ง บางอย่างพอใจแล้ว บางอย่างหมดสนุกแล้ว

และบางอย่างผมเลิกทำ
เพราะรู้ว่าจุดสูงสุดของมันไม่ใช่เป้าหมายผม

พูดตรงๆก็คือ ทำไปก็ไม่รวย เอาเวลาไปทำอย่าอื่นดีกว่า

มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่ทนทำบางสิ่งต่อไป
ทั้งๆที่รู้อยู่เต็มอกว่าทุ่มเทแค่ไหนก็ได้แค่นี้

ผมเข้าใจดีว่า....มันไม่ง่าย

บางคนผ่อนรถอยู่ บางคนผ่อนบ้านอยู่
บางคนลูกกำลังเรียน ให้ออกมาทำอะไรตามฝันตัวเองคงไม่ได้

แต่คุณเชื่อมั้ยว่าคนสำเร็จส่วนใหญ่
ลงมือทำ ตัดสินใจทำ สิ่งที่ตัวเองตั้งใจ ทั้งๆที่เขาจนกว่าเราอีก

ผมจำไม่ได้ว่าเศรษฐีคนไหนพูดกับผมเมื่อ20ปีที่แล้วว่า

อย่าไปกลัวการลงทุนเลย
คนจนโชคดี จนอยู่แล้วลงทุนเจ๊งก็แค่กลับไปจนเหมือนเดิม
ไม่มีอะไรจะเสีย แต่หากลงทุนแล้วสำเร็จ...ชีวิตจะไม่เหมือนเดิม!

เพื่อนๆครับ
คนล้มเหลวคือคนที่ล้มเลิก
แต่คนที่ไม่ยอมเลิกทั้งๆที่รู้ว่าทางที่เดินจะนำไปสู่ความล้มเหลว

คนแบบนั้น.....คนขาดสติ

ดูฝรั่งขายแฮมเบอร์เกอร์เป็นตัวอย่าง
ขายตลาดนัดไม่ดี...กูหาที่ใหม่ ทางแห่งความสำเร็จไม่ได้มีทางเดียว

ผมก็เช่นกัน ไม่มีเงิน20ล้าน ก่อนอายุ45
ต่อให้เปลี่ยนอีกพันอาชีพผมก็จะทำ

เราเกิดมาเพื่อสู้
เพื่ออิสระภาพ ไม่ได้เกิดมาเพื่อตื่นแต่เช้าขับรถไปทำตามคำสั่งใคร!

สิริทัศน์ สมเสงี่ยม เป็นกำลังใจให้ครับ^^

สิริทัศน์ สมเสงี่ยม
พลิกชีวิต คิดแบบโจร

วันเสาร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ชีวิตไม่ต่างจากใบไม้ ลูกศิษย์ที่มาบวชที่วัด 45 วัน เล่าให้ฟังว่า พอกลับไปอ่านข้อความทาง facebook แล้ว ไม่มี 'เพื่อน' คนไหนทักมาเลยว่าเขาหายไปไหนตั้งนาน อาตมาตอบลูกศิษย์ว่า น่าจะเป็นเรื่องปกติสำหรับคนส่วนใหญ่ เพราะแต่ละวันจะมีเรื่องราวใหม่ๆ เกิดขึ้นอยู่เสมอ การหายไปของคนหนึ่งคน แทบจะไม่ส่งผลอะไรเลย ข้อมูลข่าวสารก็ยังเต็มล้นเหมือนเดิม ไม่มีใครมีเวลาสังเกตอย่างจริงจังว่าใครหายไปไหน เว้นแต่จะหายไปนานเหลือเกิน น่าคิดว่า 'ตัวตนทาง facebook' ที่ดูเหมือนคนจำนวนมากจะให้ความสำคัญกับมันนั้น แท้จริงแล้วอาจไม่มีคุณค่าหรือความหมายกับใครอย่างที่เรารู้สึกกัน เวลาเราโพสต์อะไร อาจมีคนกดไลค์เป็นร้อยเป็นพัน แต่เมื่อถึงเวลาที่เราหายไป คนก็ไม่ใส่ใจรับรู้เสียด้วยซ้ำว่าเราหายไปไหน บางทีชีวิตคงไม่ต่างจากใบไม้สักใบหนึ่ง การดำรงอยู่และหลุดร่วงไป ไม่ได้ส่งผลสะเทือนต่อต้นไม้ใหญ่ ต้นไม้ยังคงดำรงอยู่ต่อไป โดยไม่จำเป็นต้องมีใบไม้ใบนั้นเลย แต่ขณะที่ดำรงอยู่ ใบไม้หนึ่งใบก็มีคุณค่าและความหมาย เพราะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ต้นไม้นั้นเติบโตงอกงาม การตระหนักว่าชีวิตไม่ได้มีความหมายยิ่งใหญ่อย่างที่ใจเราต้องการ ไม่ควรจะทำให้ทุกข์ใจหรือเศร้าหมอง แต่ควรทำให้เรายอมรับความจริงด้วยจิตใจเบิกบาน และพอใจในสิ่งที่เราสามารถจะทำได้ แม้จะเป็นประโยชน์เล็กน้อยเพียงใดก็ตาม เครดิต ปิยสีโลภิกขุ - พระภูวดล ปิยสีโล

ชีวิตไม่ต่างจากใบไม้

ลูกศิษย์ที่มาบวชที่วัด 45 วัน เล่าให้ฟังว่า พอกลับไปอ่านข้อความทาง facebook แล้ว
ไม่มี 'เพื่อน' คนไหนทักมาเลยว่าเขาหายไปไหนตั้งนาน

อาตมาตอบลูกศิษย์ว่า น่าจะเป็นเรื่องปกติสำหรับคนส่วนใหญ่
เพราะแต่ละวันจะมีเรื่องราวใหม่ๆ เกิดขึ้นอยู่เสมอ
การหายไปของคนหนึ่งคน แทบจะไม่ส่งผลอะไรเลย
ข้อมูลข่าวสารก็ยังเต็มล้นเหมือนเดิม
ไม่มีใครมีเวลาสังเกตอย่างจริงจังว่าใครหายไปไหน
เว้นแต่จะหายไปนานเหลือเกิน

น่าคิดว่า 'ตัวตนทาง facebook' ที่ดูเหมือนคนจำนวนมากจะให้ความสำคัญกับมันนั้น
แท้จริงแล้วอาจไม่มีคุณค่าหรือความหมายกับใครอย่างที่เรารู้สึกกัน
เวลาเราโพสต์อะไร อาจมีคนกดไลค์เป็นร้อยเป็นพัน
แต่เมื่อถึงเวลาที่เราหายไป คนก็ไม่ใส่ใจรับรู้เสียด้วยซ้ำว่าเราหายไปไหน

บางทีชีวิตคงไม่ต่างจากใบไม้สักใบหนึ่ง
การดำรงอยู่และหลุดร่วงไป ไม่ได้ส่งผลสะเทือนต่อต้นไม้ใหญ่
ต้นไม้ยังคงดำรงอยู่ต่อไป โดยไม่จำเป็นต้องมีใบไม้ใบนั้นเลย
แต่ขณะที่ดำรงอยู่ ใบไม้หนึ่งใบก็มีคุณค่าและความหมาย
เพราะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ต้นไม้นั้นเติบโตงอกงาม

การตระหนักว่าชีวิตไม่ได้มีความหมายยิ่งใหญ่อย่างที่ใจเราต้องการ
ไม่ควรจะทำให้ทุกข์ใจหรือเศร้าหมอง
แต่ควรทำให้เรายอมรับความจริงด้วยจิตใจเบิกบาน
และพอใจในสิ่งที่เราสามารถจะทำได้
แม้จะเป็นประโยชน์เล็กน้อยเพียงใดก็ตาม

เครดิต ปิยสีโลภิกขุ - พระภูวดล ปิยสีโล

คุณจะเลือกทำข้อไหนก่อน เป็นแบบทดสอบทางจิตวิทยาที่อยากเอามาให้ คุณๆ เล่นกันสนุกๆ เคยเกิดเหตุกาณ์อย่างนี้กับคุณไหมคะ ในวันที่คุณอยู่บ้านเพียง คนเดียว แล้วมีเหตุการณ์หลายๆ เหตุการณ์เกิดขึ้นในเวลาเดียว พร้อมๆ กัน คุณจะเลือกทำสิ่งไหนก่อนคะ ? 1. มีคนมาเคาะหรือกดกริ่งประตูหน้าบ้านคุณ 2. และบังเอิญเหลือเกินที่ เสียงโทรศัพท์ ก็ดังขึ้นมาพร้อมกัน 3. แถมเด็กอ่อนในเปลก็เกิดร้องไห้จ้าขึ้นมา.... 4. แถมโชคยังไม่เข้าข้างคุณอีกที่ ฝนฟ้าเกิดจะตกขึ้นมาซะอย่างนั้น ผ้าที่ตากไว้ที่ราวตากผ้าก็ยังไม่ได้เก็บ 5. และแล้วเสียงน้ำไหลทิ้งก็ดังออกมาจากห้องน้ำ เป็นคุณ คุณจะเลือกทำอย่างไหนเป็นอันดับแรกคะ ระหว่าง 1. เปิดประตูบ้าน 2. รับโทรศัพท์ 3. ไปอุ้มเด็กในเปล 4. ไปเก็บผ้าที่ตากไว้ 5. ปิดก็อกน้ำ ตอบได้เลยค่ะ ไม่ต้องคิดเยอะ !!! คำตอบแรกที่ดังอยู่ในใจ คุณนั่นแหละค่ะ คือคำตอบ . . . .. . . . . . . .. . . . . .. ................ เฉลย : ฝนตก ก๊อกน้ำไหล คุณจะเลือกทำอะไรก่อนคะ ? คำตอบ แบบทดสอบนี้ เป็นแบบสอบถามที่วัดว่าลึกๆ แล้ว ในจิตใต้สำนึกคุณ จะลำดับความสำคัญของสิ่งไหนในชีวิตมาเป็นอันดับแรก ลองมาดู เฉลยคำถามกันค่ะ ถ้าคุณเลือก..... 1. เปิดประตูบ้านก่อน นั่นแสดงว่า คุณ ให้ความสำคัญกับเพื่อนฝูง และความสัมพันธ์ใน ความเป็นเพื่อนมาเป็นอันดับหนึ่ง เรื่องไหนๆ ก็ไม่ใหญ่เท่าเรื่องเพื่อน ค่ะ 2. รับโทรศัพท์ก่อน คุณเป็นคนให้ความสำคัญกับ หน้าที่การงาน ธุรกิจ กิจการ ต่างๆ อย่างมาก จนอาจถึงขั้นเข้าข่ายว่าเป็นพวกบ้างานได้เลยทีเดียว 3. ไปอุ้มเด็กในเปลก่อน ครอบครัวเป็นอันดับหนึ่งเสมอ ในชีวิตของคุณ หากคุณต้องตัดสินใจ ทำอะไรสักอย่าง คุณจะนึกเสียก่อนว่าแล้วครอบครัวคุณจะแฮปปี้ไหม ถ้าไม่ คุณก็จะไม่ทำ 4. ไปเก็บผ้าที่ตากไว้ก่อน ถึงแม้ว่า เงินทอง มันเป็นของนอกกาย แต่ถ้ามันปลิวหายไป โดยที่คุณ ไม่ฉวยมันเอาไว้ คุณจะนั่งเสียดาย และเสียใจได้เป็นวันๆ เลยเชียว การที่คุณเลือกไปเก็บผ้าก่อน นั่นก็คือ เรื่องเงิน เป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตคุณ 5. ปิดก็อกน้ำก่อน เรื่อง SEX เป็นเรื่องยิ่งใหญ่มากสำหรับคุณ ภายนอกคุณอาจดูเป็น คนเงียบเฉย แต่ใครไหนจะรู้ว่าคุณเร่าร้อนและอ่อนไหวต่อเรื่องนี้ อย่างมากเลยทีเดียว ได้คำตอบแล้ว ตรงกับภาพของตัวคุณเองที่คุณเคยวาดจินตนาการ ไว้มาก่อนไหมคะ อย่าซีเรียสค่ะ แบบทดสอบนี้เอาไว้เป็นกระจก ส่องดูตัวเองเล่นๆ เท่านั้นเอง

คุณจะเลือกทำข้อไหนก่อน

เป็นแบบทดสอบทางจิตวิทยาที่อยากเอามาให้ คุณๆ เล่นกันสนุกๆ 

     เคยเกิดเหตุกาณ์อย่างนี้กับคุณไหมคะ   ในวันที่คุณอยู่บ้านเพียง

คนเดียว แล้วมีเหตุการณ์หลายๆ เหตุการณ์เกิดขึ้นในเวลาเดียว

พร้อมๆ กัน   คุณจะเลือกทำสิ่งไหนก่อนคะ ? 

1. มีคนมาเคาะหรือกดกริ่งประตูหน้าบ้านคุณ
    

2. และบังเอิญเหลือเกินที่ เสียงโทรศัพท์ ก็ดังขึ้นมาพร้อมกัน

3. แถมเด็กอ่อนในเปลก็เกิดร้องไห้จ้าขึ้นมา....

4. แถมโชคยังไม่เข้าข้างคุณอีกที่ ฝนฟ้าเกิดจะตกขึ้นมาซะอย่างนั้น

ผ้าที่ตากไว้ที่ราวตากผ้าก็ยังไม่ได้เก็บ

5. และแล้วเสียงน้ำไหลทิ้งก็ดังออกมาจากห้องน้ำ

     เป็นคุณ คุณจะเลือกทำอย่างไหนเป็นอันดับแรกคะ ระหว่าง 

1. เปิดประตูบ้าน
  

2. รับโทรศัพท์
  

3. ไปอุ้มเด็กในเปล

  4. ไปเก็บผ้าที่ตากไว้

   5. ปิดก็อกน้ำ

ตอบได้เลยค่ะ   ไม่ต้องคิดเยอะ !!!   คำตอบแรกที่ดังอยู่ในใจ

คุณนั่นแหละค่ะ คือคำตอบ
.

.

.

..

.

.

.

.

.

.

..

.

.

.

.

..


................

เฉลย  :  ฝนตก ก๊อกน้ำไหล  คุณจะเลือกทำอะไรก่อนคะ ?  

 
    คำตอบ

แบบทดสอบนี้ เป็นแบบสอบถามที่วัดว่าลึกๆ แล้ว ในจิตใต้สำนึกคุณ

จะลำดับความสำคัญของสิ่งไหนในชีวิตมาเป็นอันดับแรก ลองมาดู

เฉลยคำถามกันค่ะ

     ถ้าคุณเลือก..... 

  

1. เปิดประตูบ้านก่อน      
    

นั่นแสดงว่า คุณ ให้ความสำคัญกับเพื่อนฝูง และความสัมพันธ์ใน

ความเป็นเพื่อนมาเป็นอันดับหนึ่ง เรื่องไหนๆ  ก็ไม่ใหญ่เท่าเรื่องเพื่อน ค่ะ 

  

2. รับโทรศัพท์ก่อน  
    

  คุณเป็นคนให้ความสำคัญกับ หน้าที่การงาน  ธุรกิจ กิจการ ต่างๆ

อย่างมาก จนอาจถึงขั้นเข้าข่ายว่าเป็นพวกบ้างานได้เลยทีเดียว

    3. ไปอุ้มเด็กในเปลก่อน
      

ครอบครัวเป็นอันดับหนึ่งเสมอ ในชีวิตของคุณ หากคุณต้องตัดสินใจ

ทำอะไรสักอย่าง คุณจะนึกเสียก่อนว่าแล้วครอบครัวคุณจะแฮปปี้ไหม

ถ้าไม่ คุณก็จะไม่ทำ

  

4. ไปเก็บผ้าที่ตากไว้ก่อน
      

ถึงแม้ว่า เงินทอง มันเป็นของนอกกาย แต่ถ้ามันปลิวหายไป โดยที่คุณ

ไม่ฉวยมันเอาไว้ คุณจะนั่งเสียดาย และเสียใจได้เป็นวันๆ เลยเชียว

การที่คุณเลือกไปเก็บผ้าก่อน นั่นก็คือ เรื่องเงิน เป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตคุณ

 

     5. ปิดก็อกน้ำก่อน
  

   เรื่อง SEX เป็นเรื่องยิ่งใหญ่มากสำหรับคุณ  ภายนอกคุณอาจดูเป็น

คนเงียบเฉย แต่ใครไหนจะรู้ว่าคุณเร่าร้อนและอ่อนไหวต่อเรื่องนี้

อย่างมากเลยทีเดียว

     ได้คำตอบแล้ว ตรงกับภาพของตัวคุณเองที่คุณเคยวาดจินตนาการ

ไว้มาก่อนไหมคะ  อย่าซีเรียสค่ะ แบบทดสอบนี้เอาไว้เป็นกระจก

ส่องดูตัวเองเล่นๆ  เท่านั้นเอง

พวกที่ชอบคำคมเป็นชีวิตจิตใจ..โน๊ต อุดมได้กว่าวไว้ว่า...ทื่อๆ บ้างก็ได้ [ถาม]: ยุคนี้เขาฮิตการไปพูดสร้างแรงบันดาลใจ ทำไมเราไม่ค่อยเห็นคุณไปพูดไปบรรยายเรื่องพวกนี้บ้างเลย [ตอบ]: เออ ชอบคำถามนี้นะ เพราะคิดเหมือนกันว่าประเทศนี้แรงบันดาลใจมันเยอะเกินไปแล้วว่ะ สังคมไทยตอนนี้มันเต็มไปด้วยคำคมกับแรงบันดาลใจ ซึ่งของที่มันเยอะเกินไปมากๆ มันก็เป็นขยะได้ไง ซึ่งสิ่งที่เราต้องการก็คือ อยากให้คนลุกขึ้นมาทำอย่างที่ตัวเองคิด ไม่ใช่นั่งหาแรงบันดาลใจกันอยู่นั่นแหละ… ทั้งที่ประเทศเรามีแรงบันดาลใจเยอะมาก…แต่ก็ไม่เห็นผลงานที่มันปี๊ดออกมาเลย สองปีมานี้รู้สึกตลกไหมที่เราไม่มีเพลงใหม่ๆ จะฟังกัน มันไม่เหมือนสมัยก่อนที่เราจะรู้ว่าเดี๋ยวเดือนหน้าเราก็จะได้ฟังอัลบั้มใหม่ๆ มันยังมีความสร้างสรรค์อะไรบ้าง มีความเคลื่อนไหวดีๆ ให้เห็น มันไม่มีเลย มันเหี่ยวเฉามากเลย… แล้วไหนจะคำคมอีก มันเยอะมากจนรู้สึกว่าตอนนี้มีใครไม่คมบ้างวะ…แทนที่จะเอาเวลาไปคิดคำคมนั้น มึงก็เอาเวลาไปใช้ชีวิตของมึงนั่นแหละ ไปทำอะไรที่มันทื่อๆ บ้างก็ได้…เหมือนเป็นกองหน้าทีมฟุตบอลก็ต้องก้มหน้าก้มตายิงไปก่อนเลย ยังไม่ต้องไซด์โค้งเหมือนเบ็กแฮมหรอก ยิงไปเถอะ ไม่ต้องง้าง กูว่าประเทศกูง้างมาพอละ – อุดม แต้พานิช a day bulletin issue 363, 6-12 July 2015 —– ผมเป็นคนที่ชอบคำคมเป็นชีวิตจิตใจ จำได้ว่าตั้งแต่สมัยวัยรุ่น พออ่านเจอคำคมอะไรก็จะจดเก็บไว้หรือเขียนเป็นตัวใหญ่ๆ แปะตามฝาผนังในห้องนอน ในบล็อก anontawong.com หลายต่อหลายครั้งผมก็เอาคำคมดังๆ มาเป็นจุดเริ่มต้นในการเขียนบทความ ถึงจะโปรดปรานคำคมมากแค่ไหน แต่ผมก็เห็นด้วยกับสิ่งที่พี่โน้ส อุดม แต้พานิชให้สัมภาษณ์ไว้ใน a day bulletin นะครับ ว่าตอนนี้เราชักจะมีคำคมและแรงบ้นดาลใจกันเยอะไปหน่อยแล้วรึเปล่า (เมื่อไม่กี่เดือนก่อน พี่โน๊สออกมาจิกกัดเรื่องชีวิต Slow Life จนกลายเป็นประเด็นฮอตในสังคมออนไลน์ ผมก็หวังว่าการที่ผมเอาเรื่องที่พี่โน๊สจิกกัดเรื่องคำคมและแรงบันดาลใจขึ้นมาเขียนในบล็อกนี้จะไม่ทำให้พี่โน๊สโดนก้อนอิฐนะครับ) ผมคิดว่าประเด็นที่พี่โน๊สอยากบอก คือคุณควรจะลงมือทำ โดยไม่จำเป็นต้องรอให้เกิดความคิดเจ๋งมากๆ ก็ได้ เพราะถ้ามัวแต่รอจังหวะนั้น พวกเราก็คงต้อง “ง้าง” ต่อไป ไม่มีที่สิ้นสุด เราทุกคนมีไอเดียดีๆ ที่พร้อมจะปล่อยออกมาอยู่แล้ว แต่เราอาจกังวลว่าสิ่งที่เราคิดยังไม่ดีพอ ไม่คมพอ ไม่เท่พอ สุดท้ายก็เลยเก็บมันเอาไว้คนเดียว หรือทำอย่างมากก็แค่แชร์ความคิดลงในเฟซบุ๊คให้มีคนกดไลค์นิดๆ หน่อยๆ แล้วก็ปล่อยให้มันหายไปกับกาลเวลา ผมนึกถึง “คำคม” ของโทมัส เอดิสัน ผู้คิดค้นหลอดไฟให้คนได้ใช้กันทั้งโลกว่า “Genius is one percent inspiration and 99 percent perspiration” – อัจฉริยะ คือ แรงบันดาลใจ 1 เปอร์เซ็นต์ และหยาดเหงื่อแรงกาย 99 เปอร์เซ็นต์ และอีก “คำคม” หนึ่งจากจิตกรและช่างภาพอย่าง Chuck Close “Inspiration is for amateurs — the rest of us just show up and get to work” – แรงบันดาลใจมีไว้สำหรับมือสมัครเล่นเท่านั้น ส่วน(มืออาชีพอย่าง)พวกเราก็แค่มารายงานตัว*แล้วก้มหน้าก้มตาทำงานไป คำคมและแรงบันดาลใจต่างๆ ถ้าแค่อ่านแล้วกดไลค์ ก็แทบไม่มีคุณค่าอันใด ผลงานที่เราสร้างสรรค์และจับต้องได้ต่างหากที่มีความหมาย ต่อให้มันเป็นผลงานที่อาจจะดูทื่อๆ ไม่สมบูรณ์หรือไม่เท่อะไรมากนัก แต่มันก็อาจสร้างประโยชน์ได้มากกว่าโวหารอันว่างเปล่านะครับ ขอบคุณภาพจาก Wikimedia ขอบคุณคำสัมภาษณ์คุณโน๊ส อุดมจาก a day bulletin

พวกที่ชอบคำคมเป็นชีวิตจิตใจ..โน๊ต อุดมได้กว่าวไว้ว่า...ทื่อๆ บ้างก็ได้

[ถาม]: ยุคนี้เขาฮิตการไปพูดสร้างแรงบันดาลใจ ทำไมเราไม่ค่อยเห็นคุณไปพูดไปบรรยายเรื่องพวกนี้บ้างเลย

[ตอบ]: เออ ชอบคำถามนี้นะ เพราะคิดเหมือนกันว่าประเทศนี้แรงบันดาลใจมันเยอะเกินไปแล้วว่ะ สังคมไทยตอนนี้มันเต็มไปด้วยคำคมกับแรงบันดาลใจ ซึ่งของที่มันเยอะเกินไปมากๆ มันก็เป็นขยะได้ไง ซึ่งสิ่งที่เราต้องการก็คือ อยากให้คนลุกขึ้นมาทำอย่างที่ตัวเองคิด ไม่ใช่นั่งหาแรงบันดาลใจกันอยู่นั่นแหละ…

ทั้งที่ประเทศเรามีแรงบันดาลใจเยอะมาก…แต่ก็ไม่เห็นผลงานที่มันปี๊ดออกมาเลย สองปีมานี้รู้สึกตลกไหมที่เราไม่มีเพลงใหม่ๆ จะฟังกัน มันไม่เหมือนสมัยก่อนที่เราจะรู้ว่าเดี๋ยวเดือนหน้าเราก็จะได้ฟังอัลบั้มใหม่ๆ มันยังมีความสร้างสรรค์อะไรบ้าง มีความเคลื่อนไหวดีๆ ให้เห็น มันไม่มีเลย มันเหี่ยวเฉามากเลย…

แล้วไหนจะคำคมอีก มันเยอะมากจนรู้สึกว่าตอนนี้มีใครไม่คมบ้างวะ…แทนที่จะเอาเวลาไปคิดคำคมนั้น มึงก็เอาเวลาไปใช้ชีวิตของมึงนั่นแหละ ไปทำอะไรที่มันทื่อๆ บ้างก็ได้…เหมือนเป็นกองหน้าทีมฟุตบอลก็ต้องก้มหน้าก้มตายิงไปก่อนเลย ยังไม่ต้องไซด์โค้งเหมือนเบ็กแฮมหรอก ยิงไปเถอะ ไม่ต้องง้าง กูว่าประเทศกูง้างมาพอละ

– อุดม แต้พานิช
a day bulletin issue 363, 6-12 July 2015

—–

ผมเป็นคนที่ชอบคำคมเป็นชีวิตจิตใจ

จำได้ว่าตั้งแต่สมัยวัยรุ่น พออ่านเจอคำคมอะไรก็จะจดเก็บไว้หรือเขียนเป็นตัวใหญ่ๆ แปะตามฝาผนังในห้องนอน

ในบล็อก anontawong.com หลายต่อหลายครั้งผมก็เอาคำคมดังๆ มาเป็นจุดเริ่มต้นในการเขียนบทความ

ถึงจะโปรดปรานคำคมมากแค่ไหน แต่ผมก็เห็นด้วยกับสิ่งที่พี่โน้ส อุดม แต้พานิชให้สัมภาษณ์ไว้ใน a day bulletin นะครับ ว่าตอนนี้เราชักจะมีคำคมและแรงบ้นดาลใจกันเยอะไปหน่อยแล้วรึเปล่า

(เมื่อไม่กี่เดือนก่อน พี่โน๊สออกมาจิกกัดเรื่องชีวิต Slow Life จนกลายเป็นประเด็นฮอตในสังคมออนไลน์ ผมก็หวังว่าการที่ผมเอาเรื่องที่พี่โน๊สจิกกัดเรื่องคำคมและแรงบันดาลใจขึ้นมาเขียนในบล็อกนี้จะไม่ทำให้พี่โน๊สโดนก้อนอิฐนะครับ)

ผมคิดว่าประเด็นที่พี่โน๊สอยากบอก คือคุณควรจะลงมือทำ โดยไม่จำเป็นต้องรอให้เกิดความคิดเจ๋งมากๆ ก็ได้

เพราะถ้ามัวแต่รอจังหวะนั้น พวกเราก็คงต้อง “ง้าง” ต่อไป ไม่มีที่สิ้นสุด

เราทุกคนมีไอเดียดีๆ ที่พร้อมจะปล่อยออกมาอยู่แล้ว แต่เราอาจกังวลว่าสิ่งที่เราคิดยังไม่ดีพอ ไม่คมพอ ไม่เท่พอ สุดท้ายก็เลยเก็บมันเอาไว้คนเดียว หรือทำอย่างมากก็แค่แชร์ความคิดลงในเฟซบุ๊คให้มีคนกดไลค์นิดๆ หน่อยๆ แล้วก็ปล่อยให้มันหายไปกับกาลเวลา

ผมนึกถึง “คำคม” ของโทมัส เอดิสัน ผู้คิดค้นหลอดไฟให้คนได้ใช้กันทั้งโลกว่า “Genius is one percent inspiration and 99 percent perspiration” – อัจฉริยะ คือ แรงบันดาลใจ 1 เปอร์เซ็นต์ และหยาดเหงื่อแรงกาย 99 เปอร์เซ็นต์

และอีก “คำคม” หนึ่งจากจิตกรและช่างภาพอย่าง Chuck Close “Inspiration is for amateurs — the rest of us just show up and get to work” – แรงบันดาลใจมีไว้สำหรับมือสมัครเล่นเท่านั้น ส่วน(มืออาชีพอย่าง)พวกเราก็แค่มารายงานตัว*แล้วก้มหน้าก้มตาทำงานไป

คำคมและแรงบันดาลใจต่างๆ ถ้าแค่อ่านแล้วกดไลค์ ก็แทบไม่มีคุณค่าอันใด

ผลงานที่เราสร้างสรรค์และจับต้องได้ต่างหากที่มีความหมาย ต่อให้มันเป็นผลงานที่อาจจะดูทื่อๆ ไม่สมบูรณ์หรือไม่เท่อะไรมากนัก แต่มันก็อาจสร้างประโยชน์ได้มากกว่าโวหารอันว่างเปล่านะครับ

ขอบคุณภาพจาก Wikimedia

ขอบคุณคำสัมภาษณ์คุณโน๊ส อุดมจาก a day bulletin

ถาม : ในสถานที่ทำงานเราควรทำตัวอย่างไร ไม่ให้เป็นที่ติฉินนินทาของผู้อื่นครับ ท่านชยสาโรตอบ : พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าคนพูดมากเขาก็นินทา คน พูดน้อยเขาก็นินทา คนไม่พูดเลยเขาก็นินทา ไม่มีใครในโลกนี้ที่เขาไม่นินทา อย่าไปหวังเลยว่าจะทำงานโดยไม่มีใครนินทา อย่าไปคิดว่าถ้าเราทำงานแบบดีเลิศประเสริฐ ไม่มีข้อบกพร่องแม้แต่ข้อเดียวแล้วคงจะพ้นจากการนินทาไม่เลย ในการนินทาผู้นินทาก็มีเจตนาต่างๆ บางที เขาอาจจะไม่ชอบเรา หรืออิจฉาเรา เขาจะหาอะไรมานินทาเราได้ ทั้งๆ ที่ไม่จริงก็ใส่ร้ายเราได้ ถ้าเป็นคนเก่งก็แน่นอนคือโทษของความเก่งคือต้องมีคนอิจฉา คนอิจฉา แล้วเขาอยากจะทำให้คนที่เคารพเราเสียศรัทธา เพราะ ฉะนั้นก็ต้องหาอะไรมาว่าเราจนได้ การที่เราทำดีทุกประการไม่ใช่ว่าปลอดภัยแล้วไม่มีใครนินทาเราได้ ใช่ ถ้าโลกนี้ถูกต้อง ถ้าโลกนี้ยุติธรรมก็ ใช่ แต่โลกนี้มันไม่ยุติธรรม โลกนี้เป็นโลกของคนมีกิเลส เพราะฉะนั้นต้องยอมรับ แต่ในขณะเดียวกันถ้าหากว่า เราทำดีที่สุดที่เราทำได้ เมื่อเราถูกนินทาในสิ่งที่ไม่จริง ใจหนึ่ง ก็สบายใจว่าไม่ใช่ เราก็คอยชี้แจงตามความเป็นจริงในเวลาอันสมควร แต่ถ้าหากว่าเรามีข้อบกพร่องอยู่ แล้วเขามานินทา ถึงจะเรื่องนั้นไม่จริงเราก็รู้ว่าเรื่องอื่นที่ เป็นจริงก็มีอยู่เหมือนกัน มันก็เลยทุกข์ได้ เราถือว่านินทาเป็นส่วนหนึ่งของโลก สรรเสริญ อยู่ที่ไหนนินทาอยู่ที่นั่น โลกมนุษย์เป็นโลกที่ต้องมีทั้งสองอย่าง แม้แต่พระพุทธเจ้าก็มีคนสรรเสริญด้วยนินทาด้วย พระอริยเจ้าทั้งหลายก็เหมือนกัน พระอริยเจ้าไม่ได้ทำอะไรผิดก็มีคนเข้าใจท่านผิด จับคำพูดของท่านไปบิดเบือน หรือว่าจำผิดแล้วก็ไปพูดต่อ ทำให้ท่านเป็นที่ตำหนิติเตียนก็มี มันธรรมดาของโลก ถาม : แต่ประเด็นคงไม่ได้อยู่ที่ว่าใครจะนินทาว่าอย่างไร เราก็ไม่สนใจ ปล่อยไปเลย คงต้องหยิบมาวิเคราะห์ด้วยเพื่อเป็นบทเรียนใช่ไหมครับ ท่านชยสาโรตอบ : ก็ใช่บางทีเป็นเรื่องจริง เราไม่สนใจเลยมันก็น่าเสียดาย เพราะว่าผลดีของการอยู่ในหมู่อย่างหนึ่งก็คือ เขาสามารถจะชี้ขุมทรัพย์ของเราได้ใช่ไหม เราก็ต้องมี จุดบอดแน่นอน แต่ถ้าเราอยู่คนเดียวเราก็ไม่เห็น อยู่จนวันตายเราก็ยังไม่เห็น ถ้าอยู่กับเพื่อนเวลาคนชี้ให้เราเห็น จุดบอดของตัวเอง เราก็คงไม่ชอบ แต่ที่จริงถ้าพูดในภาพรวมของชีวิตก็เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ ถาม : อีกอย่างหนึ่งก็คงจะขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นผู้พูดด้วยใช่ไหมครับ สมมติว่าใกล้ชิดกับเราขนาดไหน ถ้ายิ่งใกล้มากก็อาจจะยิ่งรู้สึกมาก ท่านชยสาโรตอบ : ใช่ มันอยู่ที่ว่าผู้นินทานั้นมีความหมายกับเราอย่างไร คือถ้าเป็นคนที่เราถือว่าต่ำกว่าเรา เขานินทาเราก็เฉย ๆ ไม่ค่อยรู้สึกอะไร แต่ถ้าเป็นคนที่เราเคารพนับถือ ต้องการให้ท่าน มองเราในแง่ดี ถ้าท่านกลับมองเราในแง่ร้าย เราก็จะทุกข์มาก แต่สิ่งที่เราควรจะระลึกอยู่ก็คือ บางทีคนเป็นศัตรูและคนมีเจตนาร้าย บางทีเขาก็นินทาในเรื่องจริงก็ได้ คือไม่ใช่ว่าเพราะเขาไม่ชอบเรา หรือเพราะเขาอิจฉาเรา คำตำหนิเราต้องผิดเสมอไปไม่ใช่ใส่ร้ายเสมอไป เขาอาจจะหยิบเอาความจริงมาว่าเราก็ได้ ฉะนั้นเราต้องพร้อมที่จะวางใจเป็นกลางเป็นอุเบกขาในการวิเคราะห์สิ่งที่พูดว่าใช่หรือไม่ใช่ *********** เรื่อง : หนังสือ ธรรมเอาการเอางาน หน้าที่ ๓๑-๓๓ เครดิต สาขาวัดหนองป่าพง

ถาม : ในสถานที่ทำงานเราควรทำตัวอย่างไร ไม่ให้เป็นที่ติฉินนินทาของผู้อื่นครับ

ท่านชยสาโรตอบ : พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าคนพูดมากเขาก็นินทา คน พูดน้อยเขาก็นินทา คนไม่พูดเลยเขาก็นินทา ไม่มีใครในโลกนี้ที่เขาไม่นินทา

อย่าไปหวังเลยว่าจะทำงานโดยไม่มีใครนินทา อย่าไปคิดว่าถ้าเราทำงานแบบดีเลิศประเสริฐ ไม่มีข้อบกพร่องแม้แต่ข้อเดียวแล้วคงจะพ้นจากการนินทาไม่เลย

ในการนินทาผู้นินทาก็มีเจตนาต่างๆ บางที เขาอาจจะไม่ชอบเรา หรืออิจฉาเรา เขาจะหาอะไรมานินทาเราได้ ทั้งๆ ที่ไม่จริงก็ใส่ร้ายเราได้ ถ้าเป็นคนเก่งก็แน่นอนคือโทษของความเก่งคือต้องมีคนอิจฉา คนอิจฉา แล้วเขาอยากจะทำให้คนที่เคารพเราเสียศรัทธา เพราะ ฉะนั้นก็ต้องหาอะไรมาว่าเราจนได้

การที่เราทำดีทุกประการไม่ใช่ว่าปลอดภัยแล้วไม่มีใครนินทาเราได้ ใช่ ถ้าโลกนี้ถูกต้อง ถ้าโลกนี้ยุติธรรมก็ ใช่

แต่โลกนี้มันไม่ยุติธรรม โลกนี้เป็นโลกของคนมีกิเลส เพราะฉะนั้นต้องยอมรับ แต่ในขณะเดียวกันถ้าหากว่า เราทำดีที่สุดที่เราทำได้ เมื่อเราถูกนินทาในสิ่งที่ไม่จริง ใจหนึ่ง ก็สบายใจว่าไม่ใช่ เราก็คอยชี้แจงตามความเป็นจริงในเวลาอันสมควร

แต่ถ้าหากว่าเรามีข้อบกพร่องอยู่ แล้วเขามานินทา ถึงจะเรื่องนั้นไม่จริงเราก็รู้ว่าเรื่องอื่นที่ เป็นจริงก็มีอยู่เหมือนกัน มันก็เลยทุกข์ได้

เราถือว่านินทาเป็นส่วนหนึ่งของโลก สรรเสริญ อยู่ที่ไหนนินทาอยู่ที่นั่น โลกมนุษย์เป็นโลกที่ต้องมีทั้งสองอย่าง แม้แต่พระพุทธเจ้าก็มีคนสรรเสริญด้วยนินทาด้วย พระอริยเจ้าทั้งหลายก็เหมือนกัน พระอริยเจ้าไม่ได้ทำอะไรผิดก็มีคนเข้าใจท่านผิด จับคำพูดของท่านไปบิดเบือน หรือว่าจำผิดแล้วก็ไปพูดต่อ ทำให้ท่านเป็นที่ตำหนิติเตียนก็มี มันธรรมดาของโลก

ถาม : แต่ประเด็นคงไม่ได้อยู่ที่ว่าใครจะนินทาว่าอย่างไร เราก็ไม่สนใจ ปล่อยไปเลย คงต้องหยิบมาวิเคราะห์ด้วยเพื่อเป็นบทเรียนใช่ไหมครับ

ท่านชยสาโรตอบ : ก็ใช่บางทีเป็นเรื่องจริง เราไม่สนใจเลยมันก็น่าเสียดาย เพราะว่าผลดีของการอยู่ในหมู่อย่างหนึ่งก็คือ เขาสามารถจะชี้ขุมทรัพย์ของเราได้ใช่ไหม เราก็ต้องมี
จุดบอดแน่นอน แต่ถ้าเราอยู่คนเดียวเราก็ไม่เห็น อยู่จนวันตายเราก็ยังไม่เห็น ถ้าอยู่กับเพื่อนเวลาคนชี้ให้เราเห็น จุดบอดของตัวเอง เราก็คงไม่ชอบ แต่ที่จริงถ้าพูดในภาพรวมของชีวิตก็เป็นสิ่งที่มีประโยชน์

ถาม : อีกอย่างหนึ่งก็คงจะขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นผู้พูดด้วยใช่ไหมครับ สมมติว่าใกล้ชิดกับเราขนาดไหน ถ้ายิ่งใกล้มากก็อาจจะยิ่งรู้สึกมาก

ท่านชยสาโรตอบ : ใช่ มันอยู่ที่ว่าผู้นินทานั้นมีความหมายกับเราอย่างไร คือถ้าเป็นคนที่เราถือว่าต่ำกว่าเรา เขานินทาเราก็เฉย ๆ ไม่ค่อยรู้สึกอะไร แต่ถ้าเป็นคนที่เราเคารพนับถือ ต้องการให้ท่าน มองเราในแง่ดี ถ้าท่านกลับมองเราในแง่ร้าย เราก็จะทุกข์มาก

แต่สิ่งที่เราควรจะระลึกอยู่ก็คือ บางทีคนเป็นศัตรูและคนมีเจตนาร้าย บางทีเขาก็นินทาในเรื่องจริงก็ได้ คือไม่ใช่ว่าเพราะเขาไม่ชอบเรา หรือเพราะเขาอิจฉาเรา คำตำหนิเราต้องผิดเสมอไปไม่ใช่ใส่ร้ายเสมอไป เขาอาจจะหยิบเอาความจริงมาว่าเราก็ได้

ฉะนั้นเราต้องพร้อมที่จะวางใจเป็นกลางเป็นอุเบกขาในการวิเคราะห์สิ่งที่พูดว่าใช่หรือไม่ใช่

***********
เรื่อง : หนังสือ ธรรมเอาการเอางาน หน้าที่ ๓๑-๓๓

เครดิต สาขาวัดหนองป่าพง