วันเสาร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2560

พวกที่ชอบคำคมเป็นชีวิตจิตใจ..โน๊ต อุดมได้กว่าวไว้ว่า...ทื่อๆ บ้างก็ได้ [ถาม]: ยุคนี้เขาฮิตการไปพูดสร้างแรงบันดาลใจ ทำไมเราไม่ค่อยเห็นคุณไปพูดไปบรรยายเรื่องพวกนี้บ้างเลย [ตอบ]: เออ ชอบคำถามนี้นะ เพราะคิดเหมือนกันว่าประเทศนี้แรงบันดาลใจมันเยอะเกินไปแล้วว่ะ สังคมไทยตอนนี้มันเต็มไปด้วยคำคมกับแรงบันดาลใจ ซึ่งของที่มันเยอะเกินไปมากๆ มันก็เป็นขยะได้ไง ซึ่งสิ่งที่เราต้องการก็คือ อยากให้คนลุกขึ้นมาทำอย่างที่ตัวเองคิด ไม่ใช่นั่งหาแรงบันดาลใจกันอยู่นั่นแหละ… ทั้งที่ประเทศเรามีแรงบันดาลใจเยอะมาก…แต่ก็ไม่เห็นผลงานที่มันปี๊ดออกมาเลย สองปีมานี้รู้สึกตลกไหมที่เราไม่มีเพลงใหม่ๆ จะฟังกัน มันไม่เหมือนสมัยก่อนที่เราจะรู้ว่าเดี๋ยวเดือนหน้าเราก็จะได้ฟังอัลบั้มใหม่ๆ มันยังมีความสร้างสรรค์อะไรบ้าง มีความเคลื่อนไหวดีๆ ให้เห็น มันไม่มีเลย มันเหี่ยวเฉามากเลย… แล้วไหนจะคำคมอีก มันเยอะมากจนรู้สึกว่าตอนนี้มีใครไม่คมบ้างวะ…แทนที่จะเอาเวลาไปคิดคำคมนั้น มึงก็เอาเวลาไปใช้ชีวิตของมึงนั่นแหละ ไปทำอะไรที่มันทื่อๆ บ้างก็ได้…เหมือนเป็นกองหน้าทีมฟุตบอลก็ต้องก้มหน้าก้มตายิงไปก่อนเลย ยังไม่ต้องไซด์โค้งเหมือนเบ็กแฮมหรอก ยิงไปเถอะ ไม่ต้องง้าง กูว่าประเทศกูง้างมาพอละ – อุดม แต้พานิช a day bulletin issue 363, 6-12 July 2015 —– ผมเป็นคนที่ชอบคำคมเป็นชีวิตจิตใจ จำได้ว่าตั้งแต่สมัยวัยรุ่น พออ่านเจอคำคมอะไรก็จะจดเก็บไว้หรือเขียนเป็นตัวใหญ่ๆ แปะตามฝาผนังในห้องนอน ในบล็อก anontawong.com หลายต่อหลายครั้งผมก็เอาคำคมดังๆ มาเป็นจุดเริ่มต้นในการเขียนบทความ ถึงจะโปรดปรานคำคมมากแค่ไหน แต่ผมก็เห็นด้วยกับสิ่งที่พี่โน้ส อุดม แต้พานิชให้สัมภาษณ์ไว้ใน a day bulletin นะครับ ว่าตอนนี้เราชักจะมีคำคมและแรงบ้นดาลใจกันเยอะไปหน่อยแล้วรึเปล่า (เมื่อไม่กี่เดือนก่อน พี่โน๊สออกมาจิกกัดเรื่องชีวิต Slow Life จนกลายเป็นประเด็นฮอตในสังคมออนไลน์ ผมก็หวังว่าการที่ผมเอาเรื่องที่พี่โน๊สจิกกัดเรื่องคำคมและแรงบันดาลใจขึ้นมาเขียนในบล็อกนี้จะไม่ทำให้พี่โน๊สโดนก้อนอิฐนะครับ) ผมคิดว่าประเด็นที่พี่โน๊สอยากบอก คือคุณควรจะลงมือทำ โดยไม่จำเป็นต้องรอให้เกิดความคิดเจ๋งมากๆ ก็ได้ เพราะถ้ามัวแต่รอจังหวะนั้น พวกเราก็คงต้อง “ง้าง” ต่อไป ไม่มีที่สิ้นสุด เราทุกคนมีไอเดียดีๆ ที่พร้อมจะปล่อยออกมาอยู่แล้ว แต่เราอาจกังวลว่าสิ่งที่เราคิดยังไม่ดีพอ ไม่คมพอ ไม่เท่พอ สุดท้ายก็เลยเก็บมันเอาไว้คนเดียว หรือทำอย่างมากก็แค่แชร์ความคิดลงในเฟซบุ๊คให้มีคนกดไลค์นิดๆ หน่อยๆ แล้วก็ปล่อยให้มันหายไปกับกาลเวลา ผมนึกถึง “คำคม” ของโทมัส เอดิสัน ผู้คิดค้นหลอดไฟให้คนได้ใช้กันทั้งโลกว่า “Genius is one percent inspiration and 99 percent perspiration” – อัจฉริยะ คือ แรงบันดาลใจ 1 เปอร์เซ็นต์ และหยาดเหงื่อแรงกาย 99 เปอร์เซ็นต์ และอีก “คำคม” หนึ่งจากจิตกรและช่างภาพอย่าง Chuck Close “Inspiration is for amateurs — the rest of us just show up and get to work” – แรงบันดาลใจมีไว้สำหรับมือสมัครเล่นเท่านั้น ส่วน(มืออาชีพอย่าง)พวกเราก็แค่มารายงานตัว*แล้วก้มหน้าก้มตาทำงานไป คำคมและแรงบันดาลใจต่างๆ ถ้าแค่อ่านแล้วกดไลค์ ก็แทบไม่มีคุณค่าอันใด ผลงานที่เราสร้างสรรค์และจับต้องได้ต่างหากที่มีความหมาย ต่อให้มันเป็นผลงานที่อาจจะดูทื่อๆ ไม่สมบูรณ์หรือไม่เท่อะไรมากนัก แต่มันก็อาจสร้างประโยชน์ได้มากกว่าโวหารอันว่างเปล่านะครับ ขอบคุณภาพจาก Wikimedia ขอบคุณคำสัมภาษณ์คุณโน๊ส อุดมจาก a day bulletin

พวกที่ชอบคำคมเป็นชีวิตจิตใจ..โน๊ต อุดมได้กว่าวไว้ว่า...ทื่อๆ บ้างก็ได้

[ถาม]: ยุคนี้เขาฮิตการไปพูดสร้างแรงบันดาลใจ ทำไมเราไม่ค่อยเห็นคุณไปพูดไปบรรยายเรื่องพวกนี้บ้างเลย

[ตอบ]: เออ ชอบคำถามนี้นะ เพราะคิดเหมือนกันว่าประเทศนี้แรงบันดาลใจมันเยอะเกินไปแล้วว่ะ สังคมไทยตอนนี้มันเต็มไปด้วยคำคมกับแรงบันดาลใจ ซึ่งของที่มันเยอะเกินไปมากๆ มันก็เป็นขยะได้ไง ซึ่งสิ่งที่เราต้องการก็คือ อยากให้คนลุกขึ้นมาทำอย่างที่ตัวเองคิด ไม่ใช่นั่งหาแรงบันดาลใจกันอยู่นั่นแหละ…

ทั้งที่ประเทศเรามีแรงบันดาลใจเยอะมาก…แต่ก็ไม่เห็นผลงานที่มันปี๊ดออกมาเลย สองปีมานี้รู้สึกตลกไหมที่เราไม่มีเพลงใหม่ๆ จะฟังกัน มันไม่เหมือนสมัยก่อนที่เราจะรู้ว่าเดี๋ยวเดือนหน้าเราก็จะได้ฟังอัลบั้มใหม่ๆ มันยังมีความสร้างสรรค์อะไรบ้าง มีความเคลื่อนไหวดีๆ ให้เห็น มันไม่มีเลย มันเหี่ยวเฉามากเลย…

แล้วไหนจะคำคมอีก มันเยอะมากจนรู้สึกว่าตอนนี้มีใครไม่คมบ้างวะ…แทนที่จะเอาเวลาไปคิดคำคมนั้น มึงก็เอาเวลาไปใช้ชีวิตของมึงนั่นแหละ ไปทำอะไรที่มันทื่อๆ บ้างก็ได้…เหมือนเป็นกองหน้าทีมฟุตบอลก็ต้องก้มหน้าก้มตายิงไปก่อนเลย ยังไม่ต้องไซด์โค้งเหมือนเบ็กแฮมหรอก ยิงไปเถอะ ไม่ต้องง้าง กูว่าประเทศกูง้างมาพอละ

– อุดม แต้พานิช
a day bulletin issue 363, 6-12 July 2015

—–

ผมเป็นคนที่ชอบคำคมเป็นชีวิตจิตใจ

จำได้ว่าตั้งแต่สมัยวัยรุ่น พออ่านเจอคำคมอะไรก็จะจดเก็บไว้หรือเขียนเป็นตัวใหญ่ๆ แปะตามฝาผนังในห้องนอน

ในบล็อก anontawong.com หลายต่อหลายครั้งผมก็เอาคำคมดังๆ มาเป็นจุดเริ่มต้นในการเขียนบทความ

ถึงจะโปรดปรานคำคมมากแค่ไหน แต่ผมก็เห็นด้วยกับสิ่งที่พี่โน้ส อุดม แต้พานิชให้สัมภาษณ์ไว้ใน a day bulletin นะครับ ว่าตอนนี้เราชักจะมีคำคมและแรงบ้นดาลใจกันเยอะไปหน่อยแล้วรึเปล่า

(เมื่อไม่กี่เดือนก่อน พี่โน๊สออกมาจิกกัดเรื่องชีวิต Slow Life จนกลายเป็นประเด็นฮอตในสังคมออนไลน์ ผมก็หวังว่าการที่ผมเอาเรื่องที่พี่โน๊สจิกกัดเรื่องคำคมและแรงบันดาลใจขึ้นมาเขียนในบล็อกนี้จะไม่ทำให้พี่โน๊สโดนก้อนอิฐนะครับ)

ผมคิดว่าประเด็นที่พี่โน๊สอยากบอก คือคุณควรจะลงมือทำ โดยไม่จำเป็นต้องรอให้เกิดความคิดเจ๋งมากๆ ก็ได้

เพราะถ้ามัวแต่รอจังหวะนั้น พวกเราก็คงต้อง “ง้าง” ต่อไป ไม่มีที่สิ้นสุด

เราทุกคนมีไอเดียดีๆ ที่พร้อมจะปล่อยออกมาอยู่แล้ว แต่เราอาจกังวลว่าสิ่งที่เราคิดยังไม่ดีพอ ไม่คมพอ ไม่เท่พอ สุดท้ายก็เลยเก็บมันเอาไว้คนเดียว หรือทำอย่างมากก็แค่แชร์ความคิดลงในเฟซบุ๊คให้มีคนกดไลค์นิดๆ หน่อยๆ แล้วก็ปล่อยให้มันหายไปกับกาลเวลา

ผมนึกถึง “คำคม” ของโทมัส เอดิสัน ผู้คิดค้นหลอดไฟให้คนได้ใช้กันทั้งโลกว่า “Genius is one percent inspiration and 99 percent perspiration” – อัจฉริยะ คือ แรงบันดาลใจ 1 เปอร์เซ็นต์ และหยาดเหงื่อแรงกาย 99 เปอร์เซ็นต์

และอีก “คำคม” หนึ่งจากจิตกรและช่างภาพอย่าง Chuck Close “Inspiration is for amateurs — the rest of us just show up and get to work” – แรงบันดาลใจมีไว้สำหรับมือสมัครเล่นเท่านั้น ส่วน(มืออาชีพอย่าง)พวกเราก็แค่มารายงานตัว*แล้วก้มหน้าก้มตาทำงานไป

คำคมและแรงบันดาลใจต่างๆ ถ้าแค่อ่านแล้วกดไลค์ ก็แทบไม่มีคุณค่าอันใด

ผลงานที่เราสร้างสรรค์และจับต้องได้ต่างหากที่มีความหมาย ต่อให้มันเป็นผลงานที่อาจจะดูทื่อๆ ไม่สมบูรณ์หรือไม่เท่อะไรมากนัก แต่มันก็อาจสร้างประโยชน์ได้มากกว่าโวหารอันว่างเปล่านะครับ

ขอบคุณภาพจาก Wikimedia

ขอบคุณคำสัมภาษณ์คุณโน๊ส อุดมจาก a day bulletin

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น