วันอังคารที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด ผู้นำธุรกิจการผลิตทูน่ากระป๋องอันดับ 1 ของไทย และผู้ผลิตอาหารทะเลและกระป๋องอันดับ 1 ของโลก ธีรพงศ์เป็นเจ้าของแบรนด์ดังระดับโลกและระดับภูมิภาคมากมาย อาทิ Chicken of the Sea, Petit Navire, John West, Parmentier, Mareblu, Select เขายังได้รับการโหวตให้เป็น Best CEO ของบริษัทจดทะเบียน 2 ปีติดต่อกัน (2558 และ 2559) จากนิตยสาร Finance Asia ในฐานะผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลและมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างความเติบโตของธุรกิจไปสู่สากลอย่างยั่งยืน จากกิจการที่เริ่มจากก้าวเล็ก ๆ ในการเป็น OEM (Original Equipment Manufacturer) หรือ การเป็นผู้รับจ้างผลิตปลาทูน่ากระป๋องเพื่อส่งออกที่มีเงินลงทุนเริ่มต้นประมาณ 10 ล้านบาทเมื่อปี 2520 ปัจจุบันไทยยูเนี่ยนสามารถสร้างรายได้มากกว่า 5 พันล้านเหรียญต่อปี และตั้งเป้าทะลุ 8 พันล้านเหรียญให้ได้ภายในปี 2020 ความสำเร็จของไทยยูเนี่ยนที่มี “ราชาปลาทูน่า” ผู้นี้เป็นหัวเรือใหญ่ มาจากวิสัยทัศน์ที่มองถึงความมั่นคงและความยั่งยืน ทำให้บริษัทค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนตัวเองจากการเป็นเพียงบริษัทผู้รับจ้างผลิตมาสู่การมีแบรนด์เป็นของตัวเอง, การขยายไลน์การผลิตจากปลาทูน่าเป็นสัตว์ทะเลอื่นๆ, การมีสายการผลิตที่ครบวงจรตั้งแต่ กองเรือจับปลา โรงงานแปรรูป ผลิตกระป๋องและพิมพ์ฉลากบรรจุภัณฑ์ จนถึงการมีช่องทางจัดจำหน่าย รวมถึงการเข้าครอบครองกิจการ “ระดับโลก” และ “ระดับภูมิภาค” ที่เป็นกลยุทธ์ทางลัดสำคัญในการสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดด และกลายเป็น “key player” สำคัญในตลาดโลก เฉพาะแค่ 2 ปีที่ผ่านมา ไทยยูเนี่ยนได้ลงทุนเข้าซื้อกิจการไปแล้ว 700-800 ล้านเหรียญ เฉลี่ยแล้วจะมีดีลใหม่เกิดขึ้น 3 ครั้งต่อปี โดยสาระสำคัญของการขยายการลงทุนนั้นจะเน้นหนักไปที่ตลาดเกิดใหม่ ยุโรป และสหรัฐอเมริกา พร้อมกับเป้าหมายที่ต้องเห็นรายได้จากแบรนด์ในเครือไทยยูเนี่ยนเพิ่มขึ้น จาก 40-43% เป็นกว่า 50% ภายในปี 2563 นอกจากนี้ ธีรพงศ์ยังมองเห็นความสำคัญในเรื่องนวัตกรรม เขาร่วมมือกับหน่วยงานรัฐและมหาวิทยาลัยชั้นนำของไทย เปิดศูนย์นวัตกรรม Global Innovation Incubator-Gii ตามที่ต่างๆ เพื่อให้เป็นศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ และคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่จะนำไปใช้ในอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูง ผ่านแนวคิด 3 ประการคือ 1) ต้องเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่ในตลาด หรือไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน 2) มีการจดสิทธิบัตรในนวัตกรรมนั้น และ 3) ผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาขึ้นมาจะต้องมี Gross Margin ไม่ต่ำกว่า 25% ขึ้นไป และเพราะอุตสาหกรรมอาหารทะเลเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ประเทศไทยมีศักยภาพในระดับโลก ทำให้ราชาปลาทูน่าผู้นี้ตระหนักดีกว่าการจะรักษาความเป็นผู้นำในระดับโลกให้ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน การทำธุรกิจอย่างโปร่งใส ปฏิบัติถูกต้องตามหลักกฎหมาย และมีความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างเคร่งครัด ก็จะช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดี เกิดความน่าเชื่อถือ และเติบโตในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืนทั้งในวันนี้และอนาคต #KKSME #SME #SMEs #KiatnakinBank

ธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด ผู้นำธุรกิจการผลิตทูน่ากระป๋องอันดับ 1 ของไทย และผู้ผลิตอาหารทะเลและกระป๋องอันดับ 1 ของโลก ธีรพงศ์เป็นเจ้าของแบรนด์ดังระดับโลกและระดับภูมิภาคมากมาย อาทิ Chicken of the Sea, Petit Navire, John West, Parmentier, Mareblu, Select เขายังได้รับการโหวตให้เป็น Best CEO ของบริษัทจดทะเบียน 2 ปีติดต่อกัน (2558 และ 2559) จากนิตยสาร Finance Asia ในฐานะผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลและมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างความเติบโตของธุรกิจไปสู่สากลอย่างยั่งยืน

จากกิจการที่เริ่มจากก้าวเล็ก ๆ ในการเป็น OEM (Original Equipment Manufacturer) หรือ การเป็นผู้รับจ้างผลิตปลาทูน่ากระป๋องเพื่อส่งออกที่มีเงินลงทุนเริ่มต้นประมาณ 10 ล้านบาทเมื่อปี 2520 ปัจจุบันไทยยูเนี่ยนสามารถสร้างรายได้มากกว่า 5 พันล้านเหรียญต่อปี และตั้งเป้าทะลุ 8 พันล้านเหรียญให้ได้ภายในปี 2020

ความสำเร็จของไทยยูเนี่ยนที่มี “ราชาปลาทูน่า” ผู้นี้เป็นหัวเรือใหญ่ มาจากวิสัยทัศน์ที่มองถึงความมั่นคงและความยั่งยืน ทำให้บริษัทค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนตัวเองจากการเป็นเพียงบริษัทผู้รับจ้างผลิตมาสู่การมีแบรนด์เป็นของตัวเอง, การขยายไลน์การผลิตจากปลาทูน่าเป็นสัตว์ทะเลอื่นๆ, การมีสายการผลิตที่ครบวงจรตั้งแต่ กองเรือจับปลา โรงงานแปรรูป ผลิตกระป๋องและพิมพ์ฉลากบรรจุภัณฑ์ จนถึงการมีช่องทางจัดจำหน่าย รวมถึงการเข้าครอบครองกิจการ “ระดับโลก” และ “ระดับภูมิภาค” ที่เป็นกลยุทธ์ทางลัดสำคัญในการสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดด และกลายเป็น “key player” สำคัญในตลาดโลก เฉพาะแค่ 2 ปีที่ผ่านมา ไทยยูเนี่ยนได้ลงทุนเข้าซื้อกิจการไปแล้ว 700-800 ล้านเหรียญ เฉลี่ยแล้วจะมีดีลใหม่เกิดขึ้น 3 ครั้งต่อปี โดยสาระสำคัญของการขยายการลงทุนนั้นจะเน้นหนักไปที่ตลาดเกิดใหม่ ยุโรป และสหรัฐอเมริกา พร้อมกับเป้าหมายที่ต้องเห็นรายได้จากแบรนด์ในเครือไทยยูเนี่ยนเพิ่มขึ้น จาก 40-43% เป็นกว่า 50% ภายในปี 2563

นอกจากนี้ ธีรพงศ์ยังมองเห็นความสำคัญในเรื่องนวัตกรรม เขาร่วมมือกับหน่วยงานรัฐและมหาวิทยาลัยชั้นนำของไทย เปิดศูนย์นวัตกรรม Global Innovation Incubator-Gii ตามที่ต่างๆ เพื่อให้เป็นศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ และคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่จะนำไปใช้ในอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูง ผ่านแนวคิด 3 ประการคือ 1) ต้องเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่ในตลาด หรือไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน 2) มีการจดสิทธิบัตรในนวัตกรรมนั้น และ 3) ผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาขึ้นมาจะต้องมี Gross Margin ไม่ต่ำกว่า 25% ขึ้นไป

และเพราะอุตสาหกรรมอาหารทะเลเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ประเทศไทยมีศักยภาพในระดับโลก ทำให้ราชาปลาทูน่าผู้นี้ตระหนักดีกว่าการจะรักษาความเป็นผู้นำในระดับโลกให้ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน การทำธุรกิจอย่างโปร่งใส ปฏิบัติถูกต้องตามหลักกฎหมาย และมีความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างเคร่งครัด ก็จะช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดี เกิดความน่าเชื่อถือ และเติบโตในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืนทั้งในวันนี้และอนาคต

#KKSME #SME #SMEs #KiatnakinBank

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น