วันอังคารที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2560

"คุณธรรมเหนือการแพ้ชนะ" #สุดยอดจริงๆ มีชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อว่า อากิก รู้สึกเบื่อหน่ายในความไร้สาระของชีวิตตนเองอย่างมาก จึงเดินทางไปที่วัดเซนแห่งหนึ่ง ครั้นพบอาจารย์เซนผู้เป็นเจ้าอาวาสและกล่าวว่า "ผมรู้สึกเบื่อหน่ายต่อชีวิต จึงปรารถนาจะแสวงหาการรู้แจ้ง เพื่อให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทางจิตใจนี้ แต่ผมไร้ความสามารถที่จะปฏิบัติสิ่งใดติดต่อกันเป็นเวลานานๆ ผมไม่อาจใช้เวลานั่งสมาธิได้นานเป็นปีๆ หรืออดทนจากกิเลสเย้ายวนต่างๆ ผมคงอาจกลับไปเลวอย่างเก่าได้อีก คนอย่างผมนี้จะพอมีหนทางสั้นๆ เพื่อเข้าถึงธรรมะได้ไหมครับ" อาจารย์เซนตอบว่า "มีสิ ถ้าเจ้าตั้งใจจริง จงบอกข้าหน่อยว่า เจ้าศึกษาค้นคว้าอะไรมาบ้าง เจ้าได้ตั้งสมาธิและชอบสิ่งใดมากที่สุดในชีวิตของเจ้า" อากิกตอบว่า "ผมไม่ได้ศึกษาหรือตั้งสมาธิเรื่องใดหรอกครับ ครอบครัวของผมร่ำรวย ผมจึงไม่ต้องทำงาน ผมคิดว่า สิ่งที่ผมสนใจและชอบมากที่สุดก็คือ หมากรุก ผมใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในการเล่นหมากรุก เท่านั้นครับ" อาจารย์เซน นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วสั่งลูกศิษย์ว่า "จงไปตามตัวพระฮุยมาหาข้าที่นี่ บอกให้นำเอากระดานหมากรุก และตัวหมากรุกมาด้วย" สักครู่หนึ่งพระฮุยก็เดินถือกระดานหมากรุกมาวางลง อาจารย์เซนจึงจัดวางตัวหมากรุก และบอกให้ลูกศิษย์หยิบดาบมาให้ และชูดาบให้พระฮุยและอากิกดู และพูดขึ้นว่า "พระฮุยท่านนี้เคยได้ให้คำมั่นสัญญาว่า จะเชื่อฟังข้าในฐานะที่เป็นอาจารย์ บัดนี้ ข้าขอให้ท่านพิสูจน์ตัวตามคำสัญญา ท่านจงเล่นหมากรุกกับชายหนุ่มคนนี้ ถ้าท่านเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ข้าจะตัดศีรษะของท่านด้วยดาบเล่มนี้ แต่ข้าสัญญากับท่านว่า ท่านจะได้ไปเกิดใหม่ในสรวงสวรรค์ แต่ถ้าท่านเป็นฝ่ายชนะ ข้าก็จะตัดศีรษะของชายหนุ่มคนนี้เช่นกัน เพราะชายหนุ่มผู้นี้พยายามอยู่อย่างเดียวคือการเล่นหมากรุกเท่านั้น ถ้าเขาเล่นแพ้ เขาก็ควรสูญเสียศีรษะของเขาด้วย" พระฮุยกับอากิกมองหน้าอาจารย์เซน และเห็นว่า ท่านมีทีท่าเอาจริงในคำพูด...ถ้าใครเป็นฝ่ายแพ้ คนนั้นจะต้องถูกตัดศีรษะด้วยดาบ พระฮุยกับอากิกเริ่มต้นเล่นหมากรุกแข่งขันกัน เมื่อเริ่มเล่น อากิกรู้สึกว่า เหงื่อของเขาไหลย้อย หยดลงไปจนถึงปลายเท้า ขณะที่เขาเล่นเพื่อเอาชีวิตรอด กระดานหมากรุกกลายเป็นโลกทั้งโลกสำหรับเขา อากิกมุ่งสมาธิอยู่ที่กระดานหมากรุกเท่านั้น ในช่วงแรก อากิกทำท่าว่าจะสู้ไม่ได้ แต่เมื่อพระฮุยเดินแต้มเพลี่ยงพล้ำ อากิกจึงฉวยโอกาสบุกอย่างหนัก ขณะที่คู่ต่อสู้เขาเสียที อากิกก็ลอบมองดูหน้าพระฮุย เขาเห็นใบหน้าซึ่งแสดงความฉลาดและจริงใจ มีริ้วรอยแห่งกาลเวลาของความสมถะและพากเพียร แล้วเขาก็นึกถึงชีวิตอันไร้ค่าของตนเอง อากิกรู้สึกเมตตาสงสารพระฮุยอย่างสุดซึ้ง เขาจึงจงใจแสร้งเดินหมากรุกให้ตัวเองเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ...ซ้ำแล้วซ้ำอีก จนเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และไม่อาจป้องกันตัวเองได้อีกต่อไป แต่พระฮุย ก็ไม่ยอมเผด็จศึกเพราะสงสารอากิกเช่นกัน ทันใดนั้น อาจารย์เซน ก็ชะโงกหน้ามาพลิกกระดานหมากรุกล้มคว่ำ คู่แข่งขันทั้งสองต่างตกตะลึงนิ่งงงงัน..??? อาจารย์เซนพูดว่า "ตกลงว่า ไม่มีใครแพ้ใครชนะ ไม่ต้องมีใครเสียศีรษะ ต้องการเพียงสองอย่างเท่านั้น คือสมาธิที่มุ่งมั่น และความเมตตาสงสาร..." แล้วหันไปทางอากิกและบอกเขาว่า "วันนี้เจ้าก็ได้เรียนรู้ทั้งสองอย่างนี้แล้ว เจ้าตั้งสมาธิมุ่งมั่นในการเล่นหมากรุก แต่ในสมาธินั้นเอง ก็เกิดเมตตาสงสาร และยอมอุทิศชีวิตของตัวเองเอาละ....เจ้าจงอยู่ที่วัดนี้สักสองสามเดือน เพื่อติดตามการฝึกการรู้จักตัวเองต่อไป แล้วการรู้แจ้งก็จะเป็นผลแน่ๆ" อากิกก็ปฏิบัติตามที่อาจารย์เซนบอก และได้รับสิ่งที่เขาปรารถนาคือการรู้จักตัวเอง ...บางครั้งคุณธรรมความเมตตาก็อยู่เหนือการแพ้-ชนะ Cr : พระสุรินทร์ ก่อนการคิด

"คุณธรรมเหนือการแพ้ชนะ"
#สุดยอดจริงๆ

มีชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อว่า อากิก รู้สึกเบื่อหน่ายในความไร้สาระของชีวิตตนเองอย่างมาก จึงเดินทางไปที่วัดเซนแห่งหนึ่ง ครั้นพบอาจารย์เซนผู้เป็นเจ้าอาวาสและกล่าวว่า "ผมรู้สึกเบื่อหน่ายต่อชีวิต จึงปรารถนาจะแสวงหาการรู้แจ้ง เพื่อให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทางจิตใจนี้ แต่ผมไร้ความสามารถที่จะปฏิบัติสิ่งใดติดต่อกันเป็นเวลานานๆ ผมไม่อาจใช้เวลานั่งสมาธิได้นานเป็นปีๆ หรืออดทนจากกิเลสเย้ายวนต่างๆ ผมคงอาจกลับไปเลวอย่างเก่าได้อีก คนอย่างผมนี้จะพอมีหนทางสั้นๆ เพื่อเข้าถึงธรรมะได้ไหมครับ"

อาจารย์เซนตอบว่า "มีสิ ถ้าเจ้าตั้งใจจริง จงบอกข้าหน่อยว่า เจ้าศึกษาค้นคว้าอะไรมาบ้าง เจ้าได้ตั้งสมาธิและชอบสิ่งใดมากที่สุดในชีวิตของเจ้า"
อากิกตอบว่า "ผมไม่ได้ศึกษาหรือตั้งสมาธิเรื่องใดหรอกครับ ครอบครัวของผมร่ำรวย ผมจึงไม่ต้องทำงาน ผมคิดว่า สิ่งที่ผมสนใจและชอบมากที่สุดก็คือ หมากรุก ผมใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในการเล่นหมากรุก เท่านั้นครับ"

อาจารย์เซน นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วสั่งลูกศิษย์ว่า "จงไปตามตัวพระฮุยมาหาข้าที่นี่ บอกให้นำเอากระดานหมากรุก และตัวหมากรุกมาด้วย" สักครู่หนึ่งพระฮุยก็เดินถือกระดานหมากรุกมาวางลง อาจารย์เซนจึงจัดวางตัวหมากรุก และบอกให้ลูกศิษย์หยิบดาบมาให้ และชูดาบให้พระฮุยและอากิกดู และพูดขึ้นว่า

"พระฮุยท่านนี้เคยได้ให้คำมั่นสัญญาว่า จะเชื่อฟังข้าในฐานะที่เป็นอาจารย์ บัดนี้ ข้าขอให้ท่านพิสูจน์ตัวตามคำสัญญา ท่านจงเล่นหมากรุกกับชายหนุ่มคนนี้ ถ้าท่านเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ข้าจะตัดศีรษะของท่านด้วยดาบเล่มนี้ แต่ข้าสัญญากับท่านว่า ท่านจะได้ไปเกิดใหม่ในสรวงสวรรค์ แต่ถ้าท่านเป็นฝ่ายชนะ ข้าก็จะตัดศีรษะของชายหนุ่มคนนี้เช่นกัน เพราะชายหนุ่มผู้นี้พยายามอยู่อย่างเดียวคือการเล่นหมากรุกเท่านั้น ถ้าเขาเล่นแพ้ เขาก็ควรสูญเสียศีรษะของเขาด้วย"

พระฮุยกับอากิกมองหน้าอาจารย์เซน และเห็นว่า ท่านมีทีท่าเอาจริงในคำพูด...ถ้าใครเป็นฝ่ายแพ้ คนนั้นจะต้องถูกตัดศีรษะด้วยดาบ พระฮุยกับอากิกเริ่มต้นเล่นหมากรุกแข่งขันกัน เมื่อเริ่มเล่น อากิกรู้สึกว่า เหงื่อของเขาไหลย้อย หยดลงไปจนถึงปลายเท้า ขณะที่เขาเล่นเพื่อเอาชีวิตรอด

กระดานหมากรุกกลายเป็นโลกทั้งโลกสำหรับเขา อากิกมุ่งสมาธิอยู่ที่กระดานหมากรุกเท่านั้น ในช่วงแรก อากิกทำท่าว่าจะสู้ไม่ได้ แต่เมื่อพระฮุยเดินแต้มเพลี่ยงพล้ำ อากิกจึงฉวยโอกาสบุกอย่างหนัก ขณะที่คู่ต่อสู้เขาเสียที อากิกก็ลอบมองดูหน้าพระฮุย เขาเห็นใบหน้าซึ่งแสดงความฉลาดและจริงใจ มีริ้วรอยแห่งกาลเวลาของความสมถะและพากเพียร แล้วเขาก็นึกถึงชีวิตอันไร้ค่าของตนเอง

อากิกรู้สึกเมตตาสงสารพระฮุยอย่างสุดซึ้ง เขาจึงจงใจแสร้งเดินหมากรุกให้ตัวเองเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ...ซ้ำแล้วซ้ำอีก จนเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และไม่อาจป้องกันตัวเองได้อีกต่อไป แต่พระฮุย ก็ไม่ยอมเผด็จศึกเพราะสงสารอากิกเช่นกัน ทันใดนั้น อาจารย์เซน ก็ชะโงกหน้ามาพลิกกระดานหมากรุกล้มคว่ำ คู่แข่งขันทั้งสองต่างตกตะลึงนิ่งงงงัน..???

อาจารย์เซนพูดว่า "ตกลงว่า ไม่มีใครแพ้ใครชนะ ไม่ต้องมีใครเสียศีรษะ ต้องการเพียงสองอย่างเท่านั้น คือสมาธิที่มุ่งมั่น และความเมตตาสงสาร..." แล้วหันไปทางอากิกและบอกเขาว่า

"วันนี้เจ้าก็ได้เรียนรู้ทั้งสองอย่างนี้แล้ว เจ้าตั้งสมาธิมุ่งมั่นในการเล่นหมากรุก แต่ในสมาธินั้นเอง ก็เกิดเมตตาสงสาร และยอมอุทิศชีวิตของตัวเองเอาละ....เจ้าจงอยู่ที่วัดนี้สักสองสามเดือน เพื่อติดตามการฝึกการรู้จักตัวเองต่อไป แล้วการรู้แจ้งก็จะเป็นผลแน่ๆ" อากิกก็ปฏิบัติตามที่อาจารย์เซนบอก และได้รับสิ่งที่เขาปรารถนาคือการรู้จักตัวเอง

...บางครั้งคุณธรรมความเมตตาก็อยู่เหนือการแพ้-ชนะ

Cr : พระสุรินทร์ ก่อนการคิด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น