ช่างตีเหล็กกับกาน้ำชา
ในหมู่บ้านมีร้านตีเหล็กอยู่ร้านหนึ่ง เจ้าของร้านซึ่งเป็นช่างตีเหล็ก
เป็นตาเฒ่าสูงวัยพอประมาณ
ยุคสมัยมันเปลี่ยนไป เดี๋ยวนี้ก็ไม่มีลูกค้ามาสั่งทำอุปกรณ์อะไรเป็น
พิเศษเหมือนสมัยก่อน ในร้านเลยกลายสภาพไปขายพวกสินค้า
สำเร็จรูป เช่น หม้อ ขวาน หรือแม้กระทั่งโซ่คล้องคอหมา เป็นต้น
ตาเฒ่ามักนั่งอยู่ในร้าน ส่วนสินค้าก็วางเรียงรายอยู่หน้าร้าน ไม่มี
การเรียกลูกค้า ไม่มีการต่อรองราคา การค้าก็พอประคองตัวรอดไป
วันๆ มีกินมีใช้ไปเรื่อยๆไม่ถึงกับขัดสน
เวลาเดินผ่านร้านนี้ มักจะเห็นตาเฒ่านั่งเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้ไม้
ไผ่ ในมือมักถือวิทยุ ข้างๆมีโต๊ะเล็กๆวางกาน้ำชาดินม่วงอยู่ใบหนึ่ง
อยู่มาวันหนึ่ง มีพ่อค้าซื้อขายวัตถุโบราณเดินผ่านมา พอดีเห็น
กาน้ำชาดินม่วงใบนั้น พ่อค้าเดินเข้ามาขออนุญาตตาเฒ่าอยากดู
กาน้ำชาใบนั้น แกดูอย่างพินิจพิเคราะห์ หลังจากเพ่งมองอย่าง
ละเอียด รู้แน่ว่านี่เป็นงานปั้นของศิลปินชั้นเอกยุคราชวงศ์ชิงเป็น
แน่แท้
พ่อค้าพออกพอใจ เสนอทันทีขอซื้อกาน้ำชาใบนั้นด้วยราคาหนึ่ง
แสนหยวน ตาเฒ่ารู้สึกตกใจ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจปฏิเสธข้อ
เสนอของพ่อค้า เพราะนี่เป็นสมบัติเก่าแก่ตั้งแต่ยุคก๋งที่ทิ้งไว้ให้
เป็นกาน้ำชาที่ใช้ชงชาดื่มกัน ตั้งแต่รุ่นก๋งจนมาถึงเขาทุกวี่ทุกวัน
หยาดเหงื่อที่ไหลหยดของพวกเขาทั้งสามรุ่นล้วนมาจากกาน้ำชา
ใบนี้
แม้จะตัดสินใจไม่ยอมขาย แต่หลังจากพ่อค้าผู้นั้นจากไปแล้ว คืน
นั้นเป็นคืนแรกในชีวิตที่ตาเฒ่าเริ่มรู้สึกนอนไม่หลับ เขาคุ้นเคยกับ
กาน้ำชาใบนั้นมาร่วมหกสิบปี คิดแค่ว่า เป็นกาน้ำชาธรรมดาใบ
หนึ่ง แต่กลับมีคนมาเสนอในราคาสูงถึงแสนหยวน
แต่ไหนแต่ไรมาก็นั่งดื่มน้ำชาตามปกตินิสัย หลับตาสบายๆ กาน้ำ
ชาก็วางอยู่ข้างตัวมาตลอด แต่ตอนนี้พอมีเสียงอะไรแปลกปลอม
ขึ้นมา ตาเฒ่าต้องรีบนั่งตัวตรง มองดูว่ากาน้ำชายังอยู่ตามปกติ
หรือเปล่า เขารู้สึกอึดอัดและสิ่งที่ทนไม่ได้ก็คือ พอคนในหมู่บ้าน
รู้ว่าเขามีกาน้ำชาสูงค่า ผู้คนก็จะแห่มาขอดูของมีค่าชิ้นนั้น แถม
เซ้าซี้พยายามซักถามว่า แล้วยังมีของโบราณล้ำค่าอะไรซ่อนอยู่
อีกหรือเปล่า บางคนถึงกับเอ่ยปากขอยืมเงิน ที่แย่ที่สุดคือมีคน
แอบย่องเข้ามาในร้านเพื่อค้นหาวัตถุมีค่า ชีวิตตาเฒ่าที่เคยสงบ
เกิดความวุ่นวายขึ้นไม่หยุดไม่หย่อน
พ่อค้าคนนั้นเดินทางกลับมาหาตาเฒ่าอีกครั้ง พร้อมพกเงินสอง
แสนหยวนมานำเสนอ ตาเฒ่านั่งไม่ติดแล้ว เขาตะโกนเรียกเพื่อน
บ้านแถวนั้นมารวมพลพร้อมกันที่ร้านแก แล้วแกก็ยกค้อนเหล็กขึ้น
มา ทุบลงไปที่กาน้ำชาสูงค่าใบนั้นอย่างแรงต่อหน้าผู้คน
หลังจากเหตุการณ์วันนั้นผ่านไป ชีวิตที่เคยสงบสุขของเขาก็ค่อยๆ
กลับมาสู่สภาพปกติ ตาเฒ่าก็ยังคงขายหม้อ ขายขวาน ขายโซ่
คล้องคอหมาต่อไป วันๆก็นั่งเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวนั้น ฟัง
วิทยุที่เขาคุ้นเคย ใช้เหยือกชงชาใบใหม่ที่แสนธรรรมดาชงชาดื่ม
ตามปกติ เห็นบอกว่าตอนนี้ตาเฒ่าอายุเกินร้อยปีไปแล้ว
นิทานเรื่องนี้ ฉากที่ตื่นเต้นระทึกขวัญที่สุด คงหนีไม่พ้นตอนยก
ค้อนขึ้นมาทุบลงไปที่กาน้ำชาอย่างแรง และแล้วสิ่งที่แตกกระจาย
ลงสู่พื้นนั้น คงไม่ใช่เพียงแค่เศษดินเผาของกาน้ำชา และก็คงไม่
ใช่แค่ธนบัตรปึกหนาที่หายวับไปกับตา แต่ยังรวมเอาความอยากที่
ไร้ความสิ้นสุดของผู้คน ความละโมบและความลุ่มหลงอย่างไม่ลืม
หูลืมตาของสันดานมนุษย์ ทุกอย่างถูกทุบทิ้งไปพร้อมกัน
มีคนกล่าวเตือนกันไว้ว่า
"คนเราต้องรู้จักคำว่า 'พอ' แล้วชีวิตจะเป็นสุข"
บางครั้ง อาจจำต้องทำชีวิตให้สงบ จึงจะรักษาความสุขให้อยู่กับ
เราได้ตลอดไป
************************************************************************
ขอแอบถามเป็นการส่วนตัวสักนิด ถ้าคุณเป็นตาเฒ่าคนนั้น คุณ
จะเลือกระหว่าง
"ความสุขแบบคนจน หรือ ความทุกข์แบบคนรวย"
ถามใจตัวเองแล้วตอบแบบไม่โกหกตัวเอง
เราว่าเรารู้คำตอบในใจคุณแน่นอน
ฮา ฮา ฮา
"ขจรศักดิ์" แปลและเรียบเรียง
ภาพ : http://krooair.blogspot.com/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น