วันศุกร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

เพราะมีแม่ บ้านจึงเป็นบ้าน #repost “แม่ มีอะไรให้ผมกินบ้าง? ผมหิวจังเลย” เป็นประโยคซ้ำๆเดิมๆสมัยที่ผมยังเป็นเด็ก ชีวิตเด็กต่างจังหวัด วันหยุดเสาร์อาทิตย์เป็นช่วงชีวิตที่แสนสนุก เด็กผู้ชายอย่างผม จับกลุ่มเฮโลเข้าบ้านนั้นทีบ้านนี้ที ปั่นจักรยานไปเล่นที่โรงเรียนบ้างที่วัดบ้าง พอถึงตอนเที่ยง พวกเราต่างก็กลับไปกินข้าวบ้านใครบ้านมันด้วยเหงื่อเต็มหน้า “แม่ หนูกลับมาแล้ว แม่มีอะไรให้หนูกินไหม?” ผมตะโกนเสียงดังตั้งแต่ยังไม่เข้าบ้าน แม่นั่งเย็บผ้าอยู่ที่หน้าบ้านแล้วก็เงยหน้าขึ้นมอง “วันหยุดนี่ไม่ช่วยแม่ทำงานเลยนะ เอ็งนี่เอาแต่เที่ยวเล่นไปวันๆจริงๆ” แม่ตำหนิแล้วก็ชี้ไปที่ตู้กับข้าว “ไข่พะโล้อยู่ในตู้โน้น อย่ากินให้มุมมามละ!” ผมตรงไปคดข้าวใส่จาน ตักไข่และน้ำพะโล้ราดข้าวแบบชุ่มๆ “แหม๊!มันอร่อยจริงๆไข่พะโล้ฝีมือของแม่เนี่ย ใครก็สู้ไม่ได้เลยเชียว” กินเสร็จก็วิ่งออกจากบ้านไปเล่นกับเพื่อนต่อ โดยมีเสียงของแม่ตามหลังมาติดๆ “ไอ้แดง กินข้าวเพิ่งอิ่ม อย่าวิ่ง! ไอ้เจ้าลูกคนนี้นี่สอนไม่รู้จักจำ เดี๋ยวก็จุกตายหรอก” พอพวกเราโต พี่น้องทั้ง 6 ก็เข้ามาทำงานในตัวเมือง คนที่อยู่ไกลหน่อยก็อาจจะกลับเดือนละครั้งสองครั้ง แต่ผมกลับบ้านทุกอาทิตย์ เย็นวันเสาร์เป็นมื้อรวมพี่น้อง แม่จะเตรียมกับข้าวไว้รอพวกเรา แม้กับข้าวจะไม่ได้หรูหรา แต่พวกเราต่างพากันแย่งกินกับข้าวที่แม่ทำ เหมือนตายอดตายอยากมาจากไหนก็ไม่รู้ โดยมีแม่นั่งยิ้มและบางครั้งก็หลุดหัวเราะที่พวกเราหยอกล้อกัน ปีนี้เป็นปีที่ 5 แล้วที่แม่จากไป เรา 6 คนพี่น้อง ต่างคนต่างมีครอบครัว และต่างก็ย้ายถิ่นฐานไปตั้งรกรากและทำมาหากินตามสามีหรือภรรยาที่จังหวัดอื่นๆ เราไม่ค่อยได้กลับบ้านเกิดสักเท่าไหร่ ได้แต่โทรศัพท์สอบถามสารทุกข์สุกดิบของกันและกัน ใช่สินะ แม่อยู่ บ้านจึงเป็นบ้าน แม่ไม่อยู่แล้ว บ้านก็ไม่อบอุ่นเหมือนเดิม ใช่สินะ แม่อยู่ พี่น้องจึงเป็นพี่น้องเป็นครอบครัวเดียวกัน แม่ไม่อยู่แล้ว พี่น้องก็เหมือนญาติห่างๆ ไม่สนิทกันเหมือนเดิม ผมนั่งกินข้าวกลางวันที่ร้านอาหาร มองดูไข่พะโล้ที่อยู่ในชาม จึงหยิบรูปของแม่ในกระเปาสตางค์ขึ้นมาดู จู่ๆก็เหมือนมีก้อนอะไรสักอย่างจุกอยู่ที่คอ ผมนั่งมองรูปแม่แล้วน้ำตาตก “แม่ครับ ผมคิดถึงแม่เหลือเกิน!” นุสนธิ์บุคส์

เพราะมีแม่ บ้านจึงเป็นบ้าน #repost

“แม่ มีอะไรให้ผมกินบ้าง? ผมหิวจังเลย”
เป็นประโยคซ้ำๆเดิมๆสมัยที่ผมยังเป็นเด็ก
ชีวิตเด็กต่างจังหวัด วันหยุดเสาร์อาทิตย์เป็นช่วงชีวิตที่แสนสนุก
เด็กผู้ชายอย่างผม จับกลุ่มเฮโลเข้าบ้านนั้นทีบ้านนี้ที ปั่นจักรยานไปเล่นที่โรงเรียนบ้างที่วัดบ้าง
พอถึงตอนเที่ยง พวกเราต่างก็กลับไปกินข้าวบ้านใครบ้านมันด้วยเหงื่อเต็มหน้า
“แม่ หนูกลับมาแล้ว แม่มีอะไรให้หนูกินไหม?”
ผมตะโกนเสียงดังตั้งแต่ยังไม่เข้าบ้าน แม่นั่งเย็บผ้าอยู่ที่หน้าบ้านแล้วก็เงยหน้าขึ้นมอง
“วันหยุดนี่ไม่ช่วยแม่ทำงานเลยนะ เอ็งนี่เอาแต่เที่ยวเล่นไปวันๆจริงๆ”
แม่ตำหนิแล้วก็ชี้ไปที่ตู้กับข้าว
“ไข่พะโล้อยู่ในตู้โน้น อย่ากินให้มุมมามละ!”
ผมตรงไปคดข้าวใส่จาน ตักไข่และน้ำพะโล้ราดข้าวแบบชุ่มๆ
“แหม๊!มันอร่อยจริงๆไข่พะโล้ฝีมือของแม่เนี่ย ใครก็สู้ไม่ได้เลยเชียว”
กินเสร็จก็วิ่งออกจากบ้านไปเล่นกับเพื่อนต่อ โดยมีเสียงของแม่ตามหลังมาติดๆ
“ไอ้แดง กินข้าวเพิ่งอิ่ม อย่าวิ่ง! ไอ้เจ้าลูกคนนี้นี่สอนไม่รู้จักจำ เดี๋ยวก็จุกตายหรอก”

พอพวกเราโต พี่น้องทั้ง 6 ก็เข้ามาทำงานในตัวเมือง
คนที่อยู่ไกลหน่อยก็อาจจะกลับเดือนละครั้งสองครั้ง แต่ผมกลับบ้านทุกอาทิตย์
เย็นวันเสาร์เป็นมื้อรวมพี่น้อง แม่จะเตรียมกับข้าวไว้รอพวกเรา
แม้กับข้าวจะไม่ได้หรูหรา แต่พวกเราต่างพากันแย่งกินกับข้าวที่แม่ทำ เหมือนตายอดตายอยากมาจากไหนก็ไม่รู้ โดยมีแม่นั่งยิ้มและบางครั้งก็หลุดหัวเราะที่พวกเราหยอกล้อกัน

ปีนี้เป็นปีที่ 5 แล้วที่แม่จากไป
เรา 6 คนพี่น้อง ต่างคนต่างมีครอบครัว และต่างก็ย้ายถิ่นฐานไปตั้งรกรากและทำมาหากินตามสามีหรือภรรยาที่จังหวัดอื่นๆ
เราไม่ค่อยได้กลับบ้านเกิดสักเท่าไหร่ ได้แต่โทรศัพท์สอบถามสารทุกข์สุกดิบของกันและกัน
ใช่สินะ แม่อยู่ บ้านจึงเป็นบ้าน แม่ไม่อยู่แล้ว บ้านก็ไม่อบอุ่นเหมือนเดิม
ใช่สินะ แม่อยู่ พี่น้องจึงเป็นพี่น้องเป็นครอบครัวเดียวกัน แม่ไม่อยู่แล้ว พี่น้องก็เหมือนญาติห่างๆ ไม่สนิทกันเหมือนเดิม
ผมนั่งกินข้าวกลางวันที่ร้านอาหาร มองดูไข่พะโล้ที่อยู่ในชาม จึงหยิบรูปของแม่ในกระเปาสตางค์ขึ้นมาดู จู่ๆก็เหมือนมีก้อนอะไรสักอย่างจุกอยู่ที่คอ ผมนั่งมองรูปแม่แล้วน้ำตาตก
“แม่ครับ ผมคิดถึงแม่เหลือเกิน!”

นุสนธิ์บุคส์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น