วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

"คำสัญญา" ณ หมู่บ้านแห่งนี้ หนึ่งในภาพที่คนในหมู่บ้านเห็นกันจนคุ้นตา คือเด็กชายสองคนที่มักจะจูงมือเดินไปกลับโรงเรียนด้วยกันเสมอ คนโตตัวสูงนั้นคือเด็กชายไม้ ลูกของนายดำกับนางแก้วตา ครอบครัวที่มีร้านขายปุ๋ยอยู่ที่ตลาด ฐานะไม่เลวทีเดียว กับเด็กชายตัวเล็กผิวขาว แก้มแดงน่าหยิก ชื่อเด็กชายอู๋ ............... หลังจากพ่อผู้เป็นเสาหลักครอบครัวเสียชีวิตลง ครอบครัวก็ค่อนข้างลำบาก แม่ของอู๋ที่เคยอยู่บ้านเฉยๆ ที่บ้าน ก็ต้องดิ้นรนหาเงินด้วยการขายข้าวต้มมัดที่ตลาด หนึ่งในวิชาติดตัวไม่กี่อย่างที่เธอรู้เพราะไม่ได้เรียนหนังสือ หากว่ามันก็เป็นบางสิ่งที่เธอรู้จนเชี่ยวชาญ การขายข้าวต้มมัดนี้จึงสามารถพอจุนเจือสามชีวิตที่เหลือ คือตัวเธอ อู๋ และคุณตาที่เป็นอัมพฤกษ์อยู่ที่บ้านได้อย่างขอไปที ทุกสิ่งมันเริ่มต้นมาจากเมื่อหลายปีที่แล้ว... ................... "ไม้ วันนี้ลูกช่วยไปรับน้องอู๋ไปโรงเรียนกับลูกด้วยนะ ขากลับแวะซื้อด้ายเย็บผ้าให้แม่ด้วยน่ะ" เมื่อแม่บอกเช่นนั้น ไม้จึงเข้าใจเหตุผลที่น้าจันทร์ แม่ของอู๋แวะมาหาแม่ของเขาที่บ้านเมื่อวานนี้ .................. ปกติคนบ้านนั้นมีนิสัยที่เหมือนกันอย่างหนึ่ง คือไม่ใช่อัธยาสัยไม่ดี แต่ทั้งหมดเป็นคนเก็บตัว เงียบๆ ไม่ชอบสุงสิงกับใคร "แต่ลึกๆ พวกเขาก็เป็นคนดีนะ มีน้ำใจทั้งบ้านเลย" แม่เสริม .................. ช่วงเวลาที่ได้เดินไปกลับโรงเรียนที่ห่างจากบ้านพวกเขาเกือบหนึ่งกิโล เป็นช่วงเวลาเพี่ยงไม่กี่นาทีที่เด็กชายอู๋ จะชวนเด็กชายไม้คุยสนุกสนานตลอดทาง ทั้งกระโดดโลดเต้นตามประสาเด็กๆ ................. เด็กชายไม้มองท่าทีร่าเริงของน้องชายอย่างหงุดหงิด ต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องผละมาจากกลุ่มเพื่อนๆ ที่เคยเล่นฟุตบอล เล่นเกมส์ เพื่อมาทำตามข้อตกลงของผู้ใหญ่สองคน ซึ่งเขาไม่มีส่วนรู้เห็นด้วยเลยสักนิด! แล้วเขาก็นึกขึ้นได้... "อู๋ พี่ลืมซื้อด้ายเย็บผ้าให้แม่ อู๋รอพี่ตรงนี้นะ เดี๋ยวพี่มา" "ไปด้วย" เด็กชายอู๋พูดขึ้น สายตาเว้าวอน "ไม่ต้องไปหรอก ตลาดมันไกลนะ ร้อน รอพี่อยู่ใต้ต้นมะม่วงนี่แหละ เดี๋ยวพี่มารับ" "อย่าไปนานนะ" "ไม่นาน แป๊บเดียว" เด็กชายไม้เดินจากไป รู้สึกสดชื่นกับความเป็นอิสระของตนท่ามกลางอากาศร้อนเปรี้ยงยามสี่โมงเย็น เนื่องจากไม่ได้นำ "ภาระ" ติดตัวไปด้วย ................ เด็กชายผู้พี่ลิงโลดกับความเป็นอิสระของตัวเอง จนกระทั่งเดินผ่านร้านขายผ้าไปอย่างง่ายดาย ลืมที่แม่ฝากซื้อ แวะซื้อน้ำอัดลมในตลาดเดินกินไปเรื่อยๆสักพัก... "ไม้!" เสียงเรียกมาจากประตูห้องกระจกข้างๆ แล้วเด็กชายไม้ก็เดินหายเข้าไปในร้านเกมส์กับเพื่อนๆ .............. เย็นวันนั้น "หวัดดีครับพ่อ หวัดดีครับแม่" "กลับมาเย็นจังไม้" แม่เขาทักขณะที่ไม้เดินเข้าประตูบ้านมา ไม้มองไปที่นาฬิกาแขวน 'หกโมงเย็น' "มา ไปล้างมือแล้วมากินข้าวเร็ว วันนี้แม่เขาทำน้ำพริกปลาทู ของโปรดไม้เลยนะ" นายดำผู้เป็นพ่อเร่งเร้า ลูกชายพยักหน้าแล้วเดินไปที่อ้างล้างมือหลังบ้าน ขณะที่ไม้นั่งลงเพื่อร่วมวงข้าว "ไม้ได้ซื้อด้ายสีแดงที่แม่ฝากซื้อหรือเปล่า" เด็กชายสะดุ้ง "เอ่อ ผมลืมสนิทเลยครับแม่" "ไม่เป็นไรจ้ะ พรุ่งนี้ค่อยซื้อให้แม่ก็ได้" แม่กล่าวขณะตักข้าวใส่จานส่งให้ ............... แต่สิ่งที่ทำให้ไม้สะดุ้งกลับไม่ใช่เพราะเขาลืมของที่แม่สั่งซื้อ หากแต่เป็นอย่างอื่นที่ใหญ่กว่า สำคัญกว่า มีชีวิตมาแล้วเจ็ดปีที่ใต้ต้นมะม่วงนั้นต่างหาก โชคดีที่แม่และพ่อไม่ได้ถามถึง รวมถึงไม่ได้ถามด้วยว่าถ้าอย่างนั้นเขาหายไปไหนมา จะด้วยไว้ใจหรืออะไรก็ตาม แต่เขาควรรีบๆ กินให้เสร็จๆ ไป ............... สี่ทุ่มกว่าๆ เด็กชายไม้ขึ้นนอนบนเตียงได้สักพักใหญ่ๆ แล้ว ทว่าไม่ได้หลับเลย เสียงนาฬิกาตั้งโต๊ะดังติ๊กๆ น่ารำคาญอยู่ข้างๆ ท่ามกลางความมืด 'ป่านนี้เจ้าอู๋คงกลับบ้านไปแล้วล่ะมั้ง' เด็กชายไม้คิดปลอบใจตัวเองวนไปวนมาแบบนี้หลายรอบแล้วเหลือเกิน แต่แล้วในวินาทีต่อมาเขาก็กระโดดลงจากเตียง แอบย่องออกไปนอกบ้านแล้วขี่จักรยานคันเก่าของพ่อออกไปดูที่ใต้ต้นมะม่วงเพราะคำว่า "สัญญา" ที่เขาให้ไว้ ............... เด็กชายไม้ในชุดนอนสังเกตเห็นเงาตะคุ่มใต้ต้นมะม่วง เขาจอดจักรยานและส่องไฟฉายไปหา ปรากฎว่าเป็นเด็กชายอู๋อย่างที่เขาหวังและไม่หวังว่าจะเจอในเวลาเดียวกัน เด็กชายอู๋หยีตาเมื่อแสงไฟสะท้อนมาหา "ไปนานจัง" เด็กชายอู๋บอกพี่ชายคนนั้น "พ...พี่นึกว่าอู๋กลับบ้านเองไปแล้ว" เด็กชายตัวสูงละล่ำละลักแก้ตัว ก่อนบอก "กลับบ้านเถอะ พี่ไปส่ง" เขายื่นมือให้เด็กชายตัวน้อยดึงให้ลุกขึ้นอีกครั้งเหมือนเมื่อตอนเย็น ................ เด็กชายนั่งเล่นก้อนหินบนพื้นอีกแล้วขณะรอเขา ท่าทางดูเดียวดายเหลือเกิน และสิ่งที่เด็กชายตัวเล็กพูดนั่นก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำลงไปเท่าทวี....... "ดีใจที่พี่รักษาสัญญา" รอยยิ้มของเด็กชายอู๋ทำให้เด็กชายไม้รู้สึกโหวงไปทั่วท้องด้วยความละอายใจ อู๋ดูมีความสุขอย่างเหลือเชื่อ "แต่...พี่มาช้ามากเลยนะ" เด็กชายไม้หลบตา "มาช้าดีกว่าไม่มา" เด็กชายอู๋หัวเราะเสียงใส ................... เด็กชายไม้ขี่จักรยานช้าๆ อย่างระวังเพราะถนนมืด เจ้าตัวน้อยกอดเอวพี่ชายไปตลอดทางด้วยความรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย เด็กชายไม้มองดูเด็ก ชายอู๋จนขึ้นบ้าน เจ้าตัวเล็กโบกมือแรงๆ แบบเด็กๆ ให้ก่อนเข้าบ้านไป และเมื่อได้รักษาสัญญา กลับบ้านไปเด็กชายไม้ก็หลับลงได้อย่างอัศจรรย์ .................. วันนี้เป็นวันเสาร์ ..เด็กชายไม้เดินลงบันไดมารับพ่อแม่ที่เพิ่งกลับจากไปทำบุญที่วัดมาเมื่อเช้า ทว่าสีหน้าของพ่อกับแม่ดูไม่สดชื่นอิ่มบุญอย่างที่เคย เมื่อสังเกตเขาจึงรู้ว่าที่จริงแม่ร้องไห้เลยต่างหาก เมื่อเด็กชายไม้เดินเข้ามาใกล้ ................ "เมื่อวานตอนเย็นไม้ไปไหนมา" แม่ถามเสียงเขียว "ก..เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ" ไม้หันไปสบตาพ่อขอคำอธิบาย "น้องอู๋ ตายแล้วไม้" พ่อพูดเสียงสั่น "น้องอู๋นั่งเล่นก้อนหินอยู่ริมถนน รถกระบะไม่เห็น เลยชนน้องอู๋ตายเมื่อห้าโมงครึ่งวานนี้!!" .................... สิ้นเสียงของพ่อ ไม้ก็ทรุดตัวระเบิดร้องไห้ และเล่าเรื่องทั้งหมดให้คนทั้งสองฟังเรื่องที่เขาทิ้งเด็กชายอู๋ไว้ให้อยู่คนเดียว นางแก้วตาได้ฟังเสียงร่ำไห้เสียใจอย่าสุดซึ้งของลูกชายก็สงสารเกินกว่าจะดุว่าอะไรอีก พ่อแนะนำให้ไม้ไปขอขมาน้าจันทร์ แม่ของเด็กชายอู๋ ซึ่งแม้ว่าเธอจะเจ็บปวดอย่างที่สุด แต่ก็ไม่อาจจะว่าอะไรเด็กชายไม้ผู้รู้เท่าไม่ถึงการณ์ที่สำนึกผิดและยอมมาขอโทษเธอถึงบ้าน เธอซ่อนความรู้สึกไว้ภายใต้สีหน้าเรียบเฉยและดวงตาแดงๆ ที่มีน้ำเอ่อไหลออกมาเป็นระยะเท่านั้น ............... ครอบครัวของเด็กชายไม้เป็นเจ้าภาพจัดงานศพให้เด็กชายอู๋ ช่วยเรื่องเงินทองให้ครอบครัวเด็กชายอู๋ทุกเดือนและทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ กระนั้น ไม้ก็รู้สึกว่าทุกสิ่งก็ไม่เคยเพียงพอกับ "สัญญา" ที่เขารักษาไม่ได้แม้สักนิด สัญญาที่เป็นเพียงลมปากของเขา เขาไม่เคยรู้เลยว่ามันมีความสำคัญกับคนอื่นมากมายเพียงใด. .............. "วันนี้คุณสัญญากับใครไว้หรือเปล่า คิดดูดีๆน่ะครับ"

"คำสัญญา"

ณ หมู่บ้านแห่งนี้  หนึ่งในภาพที่คนในหมู่บ้านเห็นกันจนคุ้นตา คือเด็กชายสองคนที่มักจะจูงมือเดินไปกลับโรงเรียนด้วยกันเสมอ  คนโตตัวสูงนั้นคือเด็กชายไม้  ลูกของนายดำกับนางแก้วตา  ครอบครัวที่มีร้านขายปุ๋ยอยู่ที่ตลาด  ฐานะไม่เลวทีเดียว  กับเด็กชายตัวเล็กผิวขาว  แก้มแดงน่าหยิก  ชื่อเด็กชายอู๋
...............
หลังจากพ่อผู้เป็นเสาหลักครอบครัวเสียชีวิตลง  ครอบครัวก็ค่อนข้างลำบาก  แม่ของอู๋ที่เคยอยู่บ้านเฉยๆ ที่บ้าน  ก็ต้องดิ้นรนหาเงินด้วยการขายข้าวต้มมัดที่ตลาด  หนึ่งในวิชาติดตัวไม่กี่อย่างที่เธอรู้เพราะไม่ได้เรียนหนังสือ  หากว่ามันก็เป็นบางสิ่งที่เธอรู้จนเชี่ยวชาญ  การขายข้าวต้มมัดนี้จึงสามารถพอจุนเจือสามชีวิตที่เหลือ  คือตัวเธอ  อู๋  และคุณตาที่เป็นอัมพฤกษ์อยู่ที่บ้านได้อย่างขอไปที  ทุกสิ่งมันเริ่มต้นมาจากเมื่อหลายปีที่แล้ว...
...................
"ไม้  วันนี้ลูกช่วยไปรับน้องอู๋ไปโรงเรียนกับลูกด้วยนะ  ขากลับแวะซื้อด้ายเย็บผ้าให้แม่ด้วยน่ะ"  เมื่อแม่บอกเช่นนั้น  ไม้จึงเข้าใจเหตุผลที่น้าจันทร์  แม่ของอู๋แวะมาหาแม่ของเขาที่บ้านเมื่อวานนี้ 
..................
ปกติคนบ้านนั้นมีนิสัยที่เหมือนกันอย่างหนึ่ง  คือไม่ใช่อัธยาสัยไม่ดี  แต่ทั้งหมดเป็นคนเก็บตัว  เงียบๆ ไม่ชอบสุงสิงกับใคร  "แต่ลึกๆ พวกเขาก็เป็นคนดีนะ  มีน้ำใจทั้งบ้านเลย" แม่เสริม 
..................
ช่วงเวลาที่ได้เดินไปกลับโรงเรียนที่ห่างจากบ้านพวกเขาเกือบหนึ่งกิโล  เป็นช่วงเวลาเพี่ยงไม่กี่นาทีที่เด็กชายอู๋  จะชวนเด็กชายไม้คุยสนุกสนานตลอดทาง ทั้งกระโดดโลดเต้นตามประสาเด็กๆ
.................
เด็กชายไม้มองท่าทีร่าเริงของน้องชายอย่างหงุดหงิด  ต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องผละมาจากกลุ่มเพื่อนๆ ที่เคยเล่นฟุตบอล  เล่นเกมส์ เพื่อมาทำตามข้อตกลงของผู้ใหญ่สองคน  ซึ่งเขาไม่มีส่วนรู้เห็นด้วยเลยสักนิด!  แล้วเขาก็นึกขึ้นได้...
"อู๋  พี่ลืมซื้อด้ายเย็บผ้าให้แม่  อู๋รอพี่ตรงนี้นะ  เดี๋ยวพี่มา"
"ไปด้วย" เด็กชายอู๋พูดขึ้น  สายตาเว้าวอน
"ไม่ต้องไปหรอก  ตลาดมันไกลนะ  ร้อน  รอพี่อยู่ใต้ต้นมะม่วงนี่แหละ  เดี๋ยวพี่มารับ"
"อย่าไปนานนะ"
"ไม่นาน  แป๊บเดียว"
เด็กชายไม้เดินจากไป  รู้สึกสดชื่นกับความเป็นอิสระของตนท่ามกลางอากาศร้อนเปรี้ยงยามสี่โมงเย็น  เนื่องจากไม่ได้นำ "ภาระ" ติดตัวไปด้วย
................
เด็กชายผู้พี่ลิงโลดกับความเป็นอิสระของตัวเอง  จนกระทั่งเดินผ่านร้านขายผ้าไปอย่างง่ายดาย ลืมที่แม่ฝากซื้อ แวะซื้อน้ำอัดลมในตลาดเดินกินไปเรื่อยๆสักพัก...
"ไม้!" เสียงเรียกมาจากประตูห้องกระจกข้างๆ แล้วเด็กชายไม้ก็เดินหายเข้าไปในร้านเกมส์กับเพื่อนๆ
..............
เย็นวันนั้น
"หวัดดีครับพ่อ  หวัดดีครับแม่"
"กลับมาเย็นจังไม้" แม่เขาทักขณะที่ไม้เดินเข้าประตูบ้านมา  ไม้มองไปที่นาฬิกาแขวน 'หกโมงเย็น'
"มา  ไปล้างมือแล้วมากินข้าวเร็ว  วันนี้แม่เขาทำน้ำพริกปลาทู  ของโปรดไม้เลยนะ" นายดำผู้เป็นพ่อเร่งเร้า  ลูกชายพยักหน้าแล้วเดินไปที่อ้างล้างมือหลังบ้าน  ขณะที่ไม้นั่งลงเพื่อร่วมวงข้าว
"ไม้ได้ซื้อด้ายสีแดงที่แม่ฝากซื้อหรือเปล่า"
เด็กชายสะดุ้ง "เอ่อ  ผมลืมสนิทเลยครับแม่"
"ไม่เป็นไรจ้ะ  พรุ่งนี้ค่อยซื้อให้แม่ก็ได้" แม่กล่าวขณะตักข้าวใส่จานส่งให้
...............
แต่สิ่งที่ทำให้ไม้สะดุ้งกลับไม่ใช่เพราะเขาลืมของที่แม่สั่งซื้อ   หากแต่เป็นอย่างอื่นที่ใหญ่กว่า  สำคัญกว่า  มีชีวิตมาแล้วเจ็ดปีที่ใต้ต้นมะม่วงนั้นต่างหาก  โชคดีที่แม่และพ่อไม่ได้ถามถึง  รวมถึงไม่ได้ถามด้วยว่าถ้าอย่างนั้นเขาหายไปไหนมา  จะด้วยไว้ใจหรืออะไรก็ตาม  แต่เขาควรรีบๆ กินให้เสร็จๆ ไป
...............
สี่ทุ่มกว่าๆ เด็กชายไม้ขึ้นนอนบนเตียงได้สักพักใหญ่ๆ แล้ว  ทว่าไม่ได้หลับเลย  เสียงนาฬิกาตั้งโต๊ะดังติ๊กๆ น่ารำคาญอยู่ข้างๆ ท่ามกลางความมืด
'ป่านนี้เจ้าอู๋คงกลับบ้านไปแล้วล่ะมั้ง' เด็กชายไม้คิดปลอบใจตัวเองวนไปวนมาแบบนี้หลายรอบแล้วเหลือเกิน  แต่แล้วในวินาทีต่อมาเขาก็กระโดดลงจากเตียง  แอบย่องออกไปนอกบ้านแล้วขี่จักรยานคันเก่าของพ่อออกไปดูที่ใต้ต้นมะม่วงเพราะคำว่า "สัญญา" ที่เขาให้ไว้
...............
เด็กชายไม้ในชุดนอนสังเกตเห็นเงาตะคุ่มใต้ต้นมะม่วง  เขาจอดจักรยานและส่องไฟฉายไปหา  ปรากฎว่าเป็นเด็กชายอู๋อย่างที่เขาหวังและไม่หวังว่าจะเจอในเวลาเดียวกัน  เด็กชายอู๋หยีตาเมื่อแสงไฟสะท้อนมาหา
"ไปนานจัง" เด็กชายอู๋บอกพี่ชายคนนั้น
"พ...พี่นึกว่าอู๋กลับบ้านเองไปแล้ว" เด็กชายตัวสูงละล่ำละลักแก้ตัว  ก่อนบอก "กลับบ้านเถอะ  พี่ไปส่ง"  เขายื่นมือให้เด็กชายตัวน้อยดึงให้ลุกขึ้นอีกครั้งเหมือนเมื่อตอนเย็น
................
เด็กชายนั่งเล่นก้อนหินบนพื้นอีกแล้วขณะรอเขา  ท่าทางดูเดียวดายเหลือเกิน  และสิ่งที่เด็กชายตัวเล็กพูดนั่นก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำลงไปเท่าทวี.......
"ดีใจที่พี่รักษาสัญญา"
รอยยิ้มของเด็กชายอู๋ทำให้เด็กชายไม้รู้สึกโหวงไปทั่วท้องด้วยความละอายใจ  อู๋ดูมีความสุขอย่างเหลือเชื่อ
"แต่...พี่มาช้ามากเลยนะ" เด็กชายไม้หลบตา
"มาช้าดีกว่าไม่มา" เด็กชายอู๋หัวเราะเสียงใส
...................
เด็กชายไม้ขี่จักรยานช้าๆ อย่างระวังเพราะถนนมืด เจ้าตัวน้อยกอดเอวพี่ชายไปตลอดทางด้วยความรู้สึกอบอุ่น  ปลอดภัย เด็กชายไม้มองดูเด็ก
ชายอู๋จนขึ้นบ้าน  เจ้าตัวเล็กโบกมือแรงๆ แบบเด็กๆ ให้ก่อนเข้าบ้านไป
และเมื่อได้รักษาสัญญา  กลับบ้านไปเด็กชายไม้ก็หลับลงได้อย่างอัศจรรย์
..................
วันนี้เป็นวันเสาร์ ..เด็กชายไม้เดินลงบันไดมารับพ่อแม่ที่เพิ่งกลับจากไปทำบุญที่วัดมาเมื่อเช้า  ทว่าสีหน้าของพ่อกับแม่ดูไม่สดชื่นอิ่มบุญอย่างที่เคย  เมื่อสังเกตเขาจึงรู้ว่าที่จริงแม่ร้องไห้เลยต่างหาก เมื่อเด็กชายไม้เดินเข้ามาใกล้
................
"เมื่อวานตอนเย็นไม้ไปไหนมา" แม่ถามเสียงเขียว
"ก..เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ" ไม้หันไปสบตาพ่อขอคำอธิบาย
"น้องอู๋  ตายแล้วไม้" พ่อพูดเสียงสั่น "น้องอู๋นั่งเล่นก้อนหินอยู่ริมถนน  รถกระบะไม่เห็น  เลยชนน้องอู๋ตายเมื่อห้าโมงครึ่งวานนี้!!"
....................
สิ้นเสียงของพ่อ  ไม้ก็ทรุดตัวระเบิดร้องไห้  และเล่าเรื่องทั้งหมดให้คนทั้งสองฟังเรื่องที่เขาทิ้งเด็กชายอู๋ไว้ให้อยู่คนเดียว  นางแก้วตาได้ฟังเสียงร่ำไห้เสียใจอย่าสุดซึ้งของลูกชายก็สงสารเกินกว่าจะดุว่าอะไรอีก พ่อแนะนำให้ไม้ไปขอขมาน้าจันทร์  แม่ของเด็กชายอู๋ ซึ่งแม้ว่าเธอจะเจ็บปวดอย่างที่สุด  แต่ก็ไม่อาจจะว่าอะไรเด็กชายไม้ผู้รู้เท่าไม่ถึงการณ์ที่สำนึกผิดและยอมมาขอโทษเธอถึงบ้าน  เธอซ่อนความรู้สึกไว้ภายใต้สีหน้าเรียบเฉยและดวงตาแดงๆ ที่มีน้ำเอ่อไหลออกมาเป็นระยะเท่านั้น
...............
ครอบครัวของเด็กชายไม้เป็นเจ้าภาพจัดงานศพให้เด็กชายอู๋
ช่วยเรื่องเงินทองให้ครอบครัวเด็กชายอู๋ทุกเดือนและทุกอย่างเท่าที่จะทำได้  กระนั้น  ไม้ก็รู้สึกว่าทุกสิ่งก็ไม่เคยเพียงพอกับ "สัญญา" ที่เขารักษาไม่ได้แม้สักนิด  สัญญาที่เป็นเพียงลมปากของเขา  เขาไม่เคยรู้เลยว่ามันมีความสำคัญกับคนอื่นมากมายเพียงใด.
..............
"วันนี้คุณสัญญากับใครไว้หรือเปล่า  คิดดูดีๆน่ะครับ"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น