วันพฤหัสบดีที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2560

สิ่งที่ยิ่งใหญ่ของประเทศ สิ่งที่ยิ่งใหญ่ของประเทศไม่ใช่ตัวบุคคล แต่อยู่ที่ความเป็นชาติ ความเป็นอธิปไตย เราต้องไม่สูญเสียอะไรอีกแล้ว และต้องไม่ถูกทำลายจากน้ำมือของใครอีก สยามประเทศ เมื่อ ๑๐๐ กว่าปีก่อน ในช่วงรัชกาลที่ ๕ ซึ่งทรงทำทุกวิถีทางเพื่อให้ประชาชน กินดี อยู่ดี มีสุข ทัดเทียมประเทศอื่นๆ ถ้าเทียบกับปัจจุบัน ผู้มีอำนาจสูงสุดในการบริหารประเทศไทยจะนำมาปรับใช้ได้อย่างไร กว่าประเทศไทยที่ประคองตัวมาถึง ณ วันนี้ ไม่ได้มาด้วยตัวของมันเอง ไม่ใช่เรื่องของฟ้าประทาน หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ แต่เป็นเรื่องของผู้นำที่ทำเพื่อความอยู่รอดของประเทศ ช่วงต้นรัชกาาลที่ ๕ บ้านเมืองมีหลากหลายความคิด เฉพาะในส่วนราชธานีมีหลายกลุ่ม ในราชธานีมีหลายกลุ่ม และจะยังในส่วนหัวเมือง ชายขอบพระราชอาณาเขต แต่ทุกคนที่เป็นผู้นำในขณะนั้นได้ร่วมมือร่วมใจขจัดความแตกแยกนี้ออกไปโดยยอมรับในพระราชอำนาจของศูนย์กลางอำนาจ ขณะเดียวกันศูนย์กลางราชอำนาจก็ไม่คิดที่จะรวบพระราชอำนาจ พระองค์ได้สร้างสังคมใหม่ที่ประชาชนมีความเสมอภาค มีเสรีภาพที่จะประกอบอาชีพ ที่จะศึกษาพัฒนาตนเอง และได้รับความช่วยเหลือจากทางการ ด้านสาธารณูปโภค สาธารณสุข การแพทย์ ฯลฯ ตามที่มนุษย์ควรจะมี เพราะพระองค์เห็นตัวอย่างจากประเทศเพื่อนบ้านที่ถูกยึดครองว่ามีที่มาเป็นอย่างไร เพราะความแตกแยกทางความคิด การแก่งแยกอำนาจกันเอง ทำให้ประเทศเหล่านั้นเสียดินแดน นี่คือประสบการณ์จริงที่เรามองเห็น เพราะฉะนั้นทุกกลุ่มในสยามต้องลดทอนความแตกแยกลงเพื่อความอยู่รอดของประเทศ และทำให้ประเทศเข้มแข็งที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น ๑๐๐ กว่า ปีก่อน และเราต้องหันมาพิจารณาตนเองให้ได้ในปัจจุบัน การรับรู้ข้อมูลข่าวสารของราษฎรในยุคนั้นน้อยกว่าปัจจุบันมาก ด้วยข้อจำกัดทางการศึกษา การคมนาคม การสื่อสาร ยังไม่เจริญเท่าสมัยนี้ แต่ในการปกครองประเทศของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าอยู่หัว ทรงเป็นผู้นำประเทศที่สร้างศรัทธาให้กับประชาชนเป็นอย่างมากสมัยนั้น ทรงคิดถึงประเทศชาติมาก ในเรื่องของพระราชทรัพย์หรือเงินท้องพระคลัง เวลาพระองค์จะใช้จ่ายสิ่งใด ก็ทรงชี้แจงที่มาที่ไปให้กับพสกนิกรทราบทุกอย่างด้วยความบริสุทธิ์ โปร่งใสในการทำงาน จึงเป็นสิ่งที่ผู้นำยุคนี้ควรจะทำให้ได้อย่างนี้ ทุกสิ่งอย่างที่พระองค์ทรงทุ่มเทพระวรกายและสละเวลาตลอดพระชนมายุ เป็นการวางรากฐานคุณภาพชีวิตให้กับชาติบ้านเมืองและปวงชนชาวไทย ดังนั้น ถ้าบ้านเมืองนี้จะไปรอดแค่ไหน ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับ "พลังของคนในชาติ" ที่ต้องนึกถึงให้มากๆ ว่ากว่าสยามจะกลายเป็นปึกแผ่นมั่นคงภายใต้ชื่อประเทศไทย สยามต้องพบเจออะไรมาบ้าง หยุดความคิดที่เอาตัวเองเป็นใหญ่กันเสียที เราต้องมองไปที่ประเทศชาติ รัชกาลที่ ๕ ทรงเป็นสัญลักษณ์ของการเติบโต ประเทศเราฝ่าฟันสารพันปัญหามาได้ด้วยเพราะพระองค์ทรงงงานทุกอย่าง และทุกวันโดยมิทรงได้มีวันหยุดเพื่อให้สยามอยู่รอด เรื่องอะไรที่เราจะให้คนไม่กี่คนมาทำให้เกิดความแตกแยก ผู้นำประเทศไม่ว่าจะเปลี่ยนมากี่คนก็ไม่ใช่ชาติ ความเป็นชาติไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ตัวบุคคลใดบุคคลหนี่ง แต่ชาติคือการรวมพลังของคนทั้งประเทศ เราถึงจะก้าวเดินไปข้างหน้าได้อย่างเข้มแข็ง

สิ่งที่ยิ่งใหญ่ของประเทศ

สิ่งที่ยิ่งใหญ่ของประเทศไม่ใช่ตัวบุคคล แต่อยู่ที่ความเป็นชาติ ความเป็นอธิปไตย เราต้องไม่สูญเสียอะไรอีกแล้ว และต้องไม่ถูกทำลายจากน้ำมือของใครอีก
สยามประเทศ เมื่อ ๑๐๐ กว่าปีก่อน ในช่วงรัชกาลที่ ๕ ซึ่งทรงทำทุกวิถีทางเพื่อให้ประชาชน กินดี อยู่ดี มีสุข ทัดเทียมประเทศอื่นๆ ถ้าเทียบกับปัจจุบัน ผู้มีอำนาจสูงสุดในการบริหารประเทศไทยจะนำมาปรับใช้ได้อย่างไร
กว่าประเทศไทยที่ประคองตัวมาถึง ณ วันนี้ ไม่ได้มาด้วยตัวของมันเอง ไม่ใช่เรื่องของฟ้าประทาน หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ แต่เป็นเรื่องของผู้นำที่ทำเพื่อความอยู่รอดของประเทศ

ช่วงต้นรัชกาาลที่ ๕ บ้านเมืองมีหลากหลายความคิด เฉพาะในส่วนราชธานีมีหลายกลุ่ม ในราชธานีมีหลายกลุ่ม และจะยังในส่วนหัวเมือง ชายขอบพระราชอาณาเขต แต่ทุกคนที่เป็นผู้นำในขณะนั้นได้ร่วมมือร่วมใจขจัดความแตกแยกนี้ออกไปโดยยอมรับในพระราชอำนาจของศูนย์กลางอำนาจ ขณะเดียวกันศูนย์กลางราชอำนาจก็ไม่คิดที่จะรวบพระราชอำนาจ พระองค์ได้สร้างสังคมใหม่ที่ประชาชนมีความเสมอภาค มีเสรีภาพที่จะประกอบอาชีพ ที่จะศึกษาพัฒนาตนเอง และได้รับความช่วยเหลือจากทางการ ด้านสาธารณูปโภค สาธารณสุข การแพทย์ ฯลฯ ตามที่มนุษย์ควรจะมี
เพราะพระองค์เห็นตัวอย่างจากประเทศเพื่อนบ้านที่ถูกยึดครองว่ามีที่มาเป็นอย่างไร เพราะความแตกแยกทางความคิด การแก่งแยกอำนาจกันเอง ทำให้ประเทศเหล่านั้นเสียดินแดน นี่คือประสบการณ์จริงที่เรามองเห็น เพราะฉะนั้นทุกกลุ่มในสยามต้องลดทอนความแตกแยกลงเพื่อความอยู่รอดของประเทศ และทำให้ประเทศเข้มแข็งที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น ๑๐๐ กว่า ปีก่อน และเราต้องหันมาพิจารณาตนเองให้ได้ในปัจจุบัน

การรับรู้ข้อมูลข่าวสารของราษฎรในยุคนั้นน้อยกว่าปัจจุบันมาก ด้วยข้อจำกัดทางการศึกษา การคมนาคม การสื่อสาร ยังไม่เจริญเท่าสมัยนี้ แต่ในการปกครองประเทศของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าอยู่หัว ทรงเป็นผู้นำประเทศที่สร้างศรัทธาให้กับประชาชนเป็นอย่างมากสมัยนั้น ทรงคิดถึงประเทศชาติมาก
ในเรื่องของพระราชทรัพย์หรือเงินท้องพระคลัง เวลาพระองค์จะใช้จ่ายสิ่งใด ก็ทรงชี้แจงที่มาที่ไปให้กับพสกนิกรทราบทุกอย่างด้วยความบริสุทธิ์ โปร่งใสในการทำงาน จึงเป็นสิ่งที่ผู้นำยุคนี้ควรจะทำให้ได้อย่างนี้

ทุกสิ่งอย่างที่พระองค์ทรงทุ่มเทพระวรกายและสละเวลาตลอดพระชนมายุ เป็นการวางรากฐานคุณภาพชีวิตให้กับชาติบ้านเมืองและปวงชนชาวไทย ดังนั้น ถ้าบ้านเมืองนี้จะไปรอดแค่ไหน ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับ "พลังของคนในชาติ" ที่ต้องนึกถึงให้มากๆ ว่ากว่าสยามจะกลายเป็นปึกแผ่นมั่นคงภายใต้ชื่อประเทศไทย สยามต้องพบเจออะไรมาบ้าง

หยุดความคิดที่เอาตัวเองเป็นใหญ่กันเสียที เราต้องมองไปที่ประเทศชาติ รัชกาลที่ ๕ ทรงเป็นสัญลักษณ์ของการเติบโต ประเทศเราฝ่าฟันสารพันปัญหามาได้ด้วยเพราะพระองค์ทรงงงานทุกอย่าง และทุกวันโดยมิทรงได้มีวันหยุดเพื่อให้สยามอยู่รอด
เรื่องอะไรที่เราจะให้คนไม่กี่คนมาทำให้เกิดความแตกแยก ผู้นำประเทศไม่ว่าจะเปลี่ยนมากี่คนก็ไม่ใช่ชาติ ความเป็นชาติไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ตัวบุคคลใดบุคคลหนี่ง แต่ชาติคือการรวมพลังของคนทั้งประเทศ เราถึงจะก้าวเดินไปข้างหน้าได้อย่างเข้มแข็ง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น