ประวัติผู้สร้างปราสาทสัจธรรม คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ #เจ้าของวิริยะประกันภัย
#ติดตามชมภาพสวยๆต่อพรุ่งนี้ครับ
คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2457 และศึกษาชั้นอุดมศึกษาที่ประเทศจีน คุณเล็กมีโอกาสท่องเที่ยวและศึกษาไปยังแหล่งศิลปวัฒนธรรมและได้สั่งสมความรู้ ความเข้าใจ ในด้านศิลปะ ศาสนา ปรัชญาและวัฒนธรรมต่างๆไว้เป็นอันมาก จนเมื่อกลับมาสานต่อธุรกิจเดิมของครอบครัวที่ประเทศไทย จึงเริ่มเรียนรู้และรู้สึกหวงแหนศิลปะของชาติมากขึ้น ประกอบกับการตระหนักถึงความวุ่นวายของสังคมโลกที่กำลังเกิดขึ้นจากการขาดคุณธรรมของ มนุษย์และยังไม่มีคนตระหนักถึงปัญหาใหญ่ที่ว่านั้น คุณเล็กจึงมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ศิลปะสถาปัตย์ เพื่อสะท้อนความคิดของตัวเองได้แก่ เมืองโบราณที่สมุทรปราการ เพื่อเป็นสื่อแสดงถึงศิลปะ วัฒนธรรมและวิถีชีวิตที่แตกต่าง คุณเล็กสร้างพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณเป็นสื่อที่ว่าเสาหลักของโลกที่จะเชื่อมต่อจักรวาล ที่เท้าทั้งสี่ของช้างเอราวัณพาหนะของพระอินทร์ที่ท่องเที่ยวไปในจักรวาล และสร้างปราสาทสัจธรรมที่สื่อแสดงถึงแก่นแท้ของศาสนา สะท้อนความเท่าเทียมของทุกสิ่งเป็นการเชื่อมโยงจิตวิญญาณ ความเป็นมนุษย์ เทพเทวดา และจักรวาลซึ่งล้วนเป็นอันหนึ่งอันเดียว
ประวัติคุณเล็กโดยย่อ
บุตรนายชีเซ็ง และนางเต่ง
เกิดที่จังหวัดพระนคร เมื่อปีขาล ตรงกับ พ.ศ. 2457
อายุ 17 ปี (ราว 2474) เข้าเรียนมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน
อายุ 22 ปี (ราว 2479) กลับมาเมืองไทย รับช่วงกิจการร้านขายยาเทียนแซตึ๊ง สืบต่อจากบิดา
ในระยะเวลาใกล้เคียงกันนั้น ออกหนังสือพิมพ์จีน กวงหัวป่อ ที่ถนนพาดสาย
2482 สมรสกับประไพ วิริยะพานิช บุตรสาวขุนวิจารณ์พานิช (ชุ่ม) เจ้าของบริษัทวิริยะพานิช
2485 ร่วมก่อตั้งธนาคารมณฑล และทำหน้าที่เป็น "กอมประโดร์" ดูแลด้านสินเชื่อ (ภายหลังธนาคารมณฑลควบรวมกิจการกับธนาคารเกษตร และเปลี่ยนชื่อเป็นธนาคารกรุงไทย)
2490 ก่อตั้งบริษัทอาเซียพานิชการ (ต่อมาคือบริษัทวิริยะประกันภัย)
2492 ซื้อกิจการของบริษัทธนบุรีพานิช
2493 ก่อตั้งบริษัทธนบุรีประกอบรถยนต์
2506 เริ่มการก่อสร้างที่เมืองโบราณ บางปู
2515 เปิดเมืองโบราณอย่างเป็นทางการ
2517 ก่อตั้งวารสารเมืองโบราณ
2524 เริ่มก่อสร้างปราสาทไม้ที่พัทยา
2537 เริ่มก่อสร้างพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ
ถึงแก่กรรมที่กรุงเทพฯ เมื่อ 17 พฤศจิกายน 2543
เปิดประตูสู่ “ปราสาทสัจธรรม” ปราสาทไม้ที่ใหญ่ที่สุด ในโลกความวิจิตร
แห่งศิลปะ สื่อถึงปรัชญา ศาสนา และสัจธรรม เพื่อต้านกระแส แห่งการทำลายล้าง
ด้วยแนวคิดและการทุ่มเท ของเอกบุคคล “เล็ก วิริยะพันธุ์” ที่ถ่ายทอดมาสู่รุ่นลูก เพื่อสานต่อแนวคิด เจตนารมณ์ ดำเนินการสร้างสรรค์ผลงาน อลังการของมนุษย์ชิ้นนี้ ให้สำเร็จ แม้ผู้เป็นพ่อ จะล่วงลับไปแล้ว ให้มวลมนุษย์ทั้งหลายได้รู้ซึ้ง ถึงสัจธรรมแห่งชีวิตที่แท้จริง “ปราสาทสัจธรรม” สถาปัตยกรรมปราสาทไม้ ที่ยิ่งใหญ่ที่สร้าง ขึ้นริมทะเลบริเวณแหลมราชเวช ต.นาเกลือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี นับเป็นผล งานความ คิดและการสร้างสรรค์ขึ้นโดยเจตนารมณ์ของชายผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นต้น ตระกูล วิริยะพันธุ์ ผู้ล่วงลับ นั่นคือ นายเล็ก วิริยะพันธุ์ หรือที่เรียกขานใน วงการธุรกิจว่า “เสี่ยเล็ก” เจ้าของ บริษัท วิริยะประกันภัน และบริษัท ธนบุรี ประกอบรถยนต์ ผู้ก่อตั้งเมืองโบราณที่บางปู สมุทรปราการ และพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ
“เสี่ยเล็ก” มีความมุ่งหวังอย่างแรงกล้า ต้องการสร้างผลงาน ชิ้นสำคัญชิ้นนี้ให้กลายเป็นมรดกทางวัฒนธรรม ของประเทศไทยและของโลก สื่อให้มนุษย์ทุกคนตระหนักในสัจธรรมแห่งชีวิต เป็นตัวแทนต่อต้าน วิวัฒนาการของโลกที่ถูกใช้ไปในการทำลายล้างมนุษย์ด้วยกัน ปราสาทสัจธรรมจึงกำเนิดขึ้น โดยยึดถือ 7 สิ่ง ที่มนุษย์ถือกำเนิดและต้องดำรงอยู่อย่างขาดไม่ได้จำนวน 7 สิ่ง อันได้แก่ ฟ้า ดิน พ่อ แม่ อาทิตย์ พระจันทร์ และดวงดาว เป็นทีมหลักในการนำเสนอสิ่งกำเนิดทั้ง 7
ในรูปไม้แกะสลักที่ประดับอยู่ภายในปราสาท ปราสาทเรือนไม้ทั้งหลังแห่งนี้ ใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างมา อย่างต่อเนื่องและยาวนานถึง 20 ปีเต็ม โดยมีช่างไม้ ช่างแกะสลักที่มาร่วม ทำงานเป็นจำนวนมากกว่า 200คน ใช้เงินลงทุนมหาศาลไปแล้วกว่า 1,200 ล้านบาท จนกระทั่ง เสี่ยเล็กเสียชีวิตลงในปี 2543
ปราสาทสัจธรรมการก่อสร้างเพิ่งลุล่วงไปได้เพี ยง 60 - 70% เท่านั้น ทำให้มีหลายคนไม่มั่นใจว่าทายาทใน ตระกูลสนใจที่จะ สานต่อโครงการดังกล่าวให้แล้วเสร็จหรือไม่ เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่า ปราสาทดังกล่าว จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างอีกยาวนาน และต้องสิ้นเปลืองงบประมาณค่าใช้จ่ายอีกนับพันล้านบาท
นายศรีศักร วัลลิโภดม ในฐานะที่ปรึกษาด้านศิลปะของเสี่ย เล็ก และคลุกคลีอยู่กับโครงการก่อสร้างปราสาท สัจธรรม ให้สัมภาษณ์แทน ทายาทตระกูลวิริยะพันธุ์ว่า ในส่วนของลูกหลานเสี่ยเล็กนั้น แม้ว่าทุกคนจะมีธุรกิจ ส่วนตัวที่ต้องดูแลรับผิดชอบก็ตาม แต่ทุกคนต่างก็ยืนยันที่จะสานต่อ เจตนารมณ์ของเสี่ยเล็กกันอย่างเต็มที่
โดยเฉพาะในส่วนของปราสาทสัจธรรมนั้น ลูกๆ ทุกคนของ เสี่ยเล็ก ไม่ว่าจะเป็น นางสุวพร นายพากเพียร นายพิจารณ์ ทุกคนต่างรับรู้ ถึงความมุ่งมั่นและตั้งใจของเสี่ยเล็กที่มีต่อการก่อสร้างปราสาทแห่งนี้โดยถ้วน หน้า ซึ่งรายละเอียดต่างๆ ของการทำงานจะได้รับการถ่ายทอดและพูดคุยให้ ฟังกันมาตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ทำงานกันมา
“ลูกๆ ทุกคนถึงเขาจะมีธุรกิจ มีการงานของเขายังไง เขาก็คงไม่ทิ้งตรงนี้ไปแน่ ผมกล้าพูดยืนยันเลยว่า ยังไงแล้วลูกหลานในตระกูลต้องสานต่อโครงการนี้ให้แล้วเสร็จอย่างแน่นอนบรรดาทายาททุกคนก็ช่วยกัน อยู่แล้ว ไม่มีใครขัดแย้ง ส่วนเรื่องสานต่อโครงการนั้น เราก็ต้องเข้าใจว่าต้องใช้เงินลงทุนสูง แต่ทุกคน ก็ต้องหาทางทำให้เสร็จจนได้ ส่วนจะต้องเสียค่าใช้จ่ายมากมายแค่ไหน ทั้งเสี่ยเล็ก หรือไม่ว่าใครในครอบครัว ทุกคนไม่เคยพูดถึง เรียกว่าทุกคนสนับสนุนหมด เพราะเป็นความชอบและความพอใจของพ่อ เรื่องเงิน ไม่มีใครเคยพูดถึง และไม่มีใครมานั่งคิดว่าหมดไปเท่าไหร่ ทุกคนรู้แต่ว่าคุณค่าของสิ่งที่สร้างขึ้น มันมีมาก เสียยิ่งกว่าเงินที่จ่ายไปเสียอีก” ส่วนผู้ที่จะมาดูแลรับผิดชอบโดยตรงนั้น อ.ศรีศักรกล่าวว่า ลูกๆ ทุกคนของเสี่ย เล็ก คงพร้อมใจกันช่วยดูแลมากกว่า ซึ่งในส่วนของเนื้อ งานที่จะดำเนินการต่อไปก็จะต้องเข้าที่ประชุม เพื่อพูดคุยกันตามปกติเหมือนสมัยที่เสี่ยเล็กยังอยู่ “ผมว่าลูกๆ ทุกคนของเสี่ยเล็กเอง เขาก็ภูมิใจในสิ่งที่พ่อ เขาทำ มาจนถึงวันนี้ เพราะมันเป็นสิ่งที่ดีและมีประโยชน์ อย่างน้อยเมื่อสร้างเสร็จ อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ก็คงเป็นสถานที่ที่ให้ความรู้ในด้านคุณธรรม ศีลธรรม โดยที่เด็กเยาวชนและอนุชนคนรุ่นหลังจะได้มี โอกาสเห็นและสัมผัสได้”
อ.ศรีศักร เล่าย้อนถึงประวัติความเป็นมาของปราสาทสัจธรรม ที่ก่อสร้างขึ้นมานานถึง 20 ปี แต่ยังไม่แล้ว เสร็จว่า ปราสาทสัจธรรมนั้นเกี่ยว ข้องกับที่ดินที่เสี่ยเล็กซื้อไว้ ซึ่งบริเวณดังกล่าวค่อนข้างสวยงามมาก ท่านจึงเล็งเห็นว่าควรจัดทำอะไรที่เป็นประโยชน์ขึ้นมา ซึ่งในย่านพัทยาซึ่งมี แต่ความเจริญทางด้าน วัตถุนิยม เสี่ยเล็กจึงเกิดความอึดอัด เลยเกิดความคิดที่ จะทำอะไรที่สวนกระแสกับโลกที่มัวแต่สร้างวัตถุที่เลว ร้าย อาทิ อาวุธ “ท่านก็อยากทวนกระแสการสร้างพวกอาวุธ ด้วยการสร้างสิ่งที่ ดีงามของโลก ทั้งทางด้านศาสนา และปรัชญา มันก็จะเป็นประโยชน์ เพียงแต่วิธีที่สื่อ ท่านก็เลือกสื่อโดยศิลปะ นี่คือความคิดของคุณเล็กแต่วิธี คิดของคุณเล็กนั้น ท่านไม่เคยคิดสร้างความยิ่งใหญ่ให้ตัวเอง ท่านไม่ได้ต้องการเป็นผู้นำทาง ด้านศาสนา ปรัชญา ไม่ใช่ แต่ท่านต้อง การเอาสิ่งที่ปรัชญาเมธี นักปราชญ์ต่างๆ ที่ให้อะไรที่เป็นประโยชน์ แก่โลกเอา มารวมกัน แล้วนำเอามารวมไว้ที่เป็นปราสาทสัจธรรม คือเอามารวมมาปรุง แต่งไว้ในสถานที่ เดียวกัน”
อ.ศรีศักร ยอมรับในแง่ความสามารถของเสี่ยเล็กต่อวิธีที่จะสื่อในด้านปรัชญาของโลกว่า เสี่ยเล็กเลือกที่จะสร้าง ปราสาทสัจธรรมขึ้นมา โดยสื่อด้วยการใช้ศิลปะเป็นตัวสื่อ และสิ่งที่เสี่ยเล็กสร้างขึ้นมานั้นไม่ใช่สิ่งที่ เกิดขึ้น ใหม่ แต่เป็นของเก่าที่เอามาปรุงใหม่เพื่อสื่อออกไปในรูปของศิลปะ “ไม่ใช่ว่าไปดูปราสาทเพื่อดูว่าเป็นศิลปะ แต่ไปดูปราสาทเพื่อ ดูความหมายว่า ให้มองศิลปะในแง่ที่เป็นสื่อ มองในแง่ความดีงาม และปรัชญา ท่านเริ่มจากทำโมเดลก่อนที่จะมาลงมือทำจริง แต่โมเดลก็ไม่ได้ ตายตัว สามารถยืดหยุ่นเปลี่ยนแปลงได้
คือเสี่ยเล็กจะค่อยๆ ทำไป ปรับไปตามความเหมาะสม เพราะฉะนั้นปราสาทสัจธรรมมันถึงไม่เสร็จในทันที มันต้องค่อยเป็นค่อยไป”
ปราสาทสัจธรรมแห่งนี้ อ.ศรีศักรกล่าวว่า หากใครได้ไปดู จะเห็นได้ถึงความเคลื่อนไหวของเทพเจ้าต่างๆ ซึ่งลวดลายต่างๆ ล้วนแต่คัด ลอกมาจากแหล่งต่างๆ ทั้งมาจากหนังสือ งานแกะ งานฝาผนังตามสถานที่ ต่างๆ มารวมกัน ไม่ว่าศิลปะเขมร พุทธ ฮินดู อิสลาม จีน มาประกอบ รวมกัน โดยสร้างเป็นรูปสัญลักษณ์ แทนความหมายที่ต้องการสื่อให้เห็น
“ที่เป็นแกนที่สุดของสัจธรรมก็คือ ตรงกลางซึ่งจะเป็นบุษบก แต่บุษบกนั้นจะว่างเปล่า เพราะหมายถึงว่า ถ้ามนุษย์เราประพฤติอยู่ในธรรม ก็สามารถไปอยู่ในนั้นได้ ตรงกลางของปราสาทสัจธรรม คือสิ่งที่ว่างเปล่า นี่คือความคิดของคุณเล็ก”
จุดมุ่งหมายสำคัญของเสี่ยเล็กที่ลงทุนสร้างปราสาทสัจธรรมคือ
มุ่งเน้นให้เยาวชนได้มีโอกาสเรียนรู้ในเรื่องคุณธรรม ศีลธรรมเป็นหลัก เพราะเป็นสิ่งที่สภาพสังคมขาด แคลน และไม่เคยได้รับการกระตุ้น แม้ว่าโป รเจ็กต์ดังกล่าวจะต้องใช้เงินลงทุนมากมายมหาศาลเพียงแต่ แต่เท่าที่ดำเนิน งานมา 20 ปีนั้น เสี่ยเล็กไม่เคยพูดถึงค่าใช้จ่ายเลยแม้แต่น้อย
“คุณเล็กไม่เคยคิดเรื่องงบประมาณ แกเป็นนายทุนด้วยตัวเอง เป็นคนคิดและออกแบบเอง และคุมงาน ทำทุกอย่างเองมาตลอด เพราะความ อยากที่จะทำ เพราะฉะนั้นเรื่องเงินไม่ต้องพูดถึง คุณค่าของสิ่งที่สร้าง ขึ้นมัน มากกว่าเงินลงทุนที่จ่ายไปหลายเท่านัก
ท่านไม่เคยมองว่าต้องเสียเงินเท่าไหร่ ท่านไม่เคยนับทุกอย่างไปตามความคิด ตามงานที่ทำ”
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ในปราสาทสัจธรรมที่คลุกคลีอยู่ใน สถานที่ดังกล่าว ประเมินค่าใช้จ่ายต่างๆ ในแต่ละปีอย่างคร่าวๆ ว่า อย่างน้อยเสี่ยเล็กจะต้องเสียเงินในการสร้างปราสาทสัจธรรมต่อปีไม่ต่ำกว่า 60 ล้านบาท ซึ่งระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา น่าจะเสียค่าใช้จ่ายไปแล้วไม่ต่ำ กว่า 1,200 ล้านบาท
อ.ศรีศักรกล่าวว่า ปราสาทสัจธรรมแห่งนี้ จุดเด่นอันเป็นสิ่ง สำคัญคือความเป็นปราสาทไม้ และเป็นปราสาทไม้หลังใหญ่ที่สุดในโลกที่ใช้ เทคนิควิธีการก่อสร้างแบบไทย โดยอาศัยการเข้าลิ่ม และไม่มีการตอกตะปู เลยแม้แต่ตัวเดียวถึงวันนี้ แม้จะยังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง แต่ก็สามารถเดิน ขึ้นไปชมภายในปราสาทได้ เพราะบริเวณฐานรากซึ่งเป็นพื้นของอาคารได้ทำ เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยพื้นทั้งหมดปูด้วยไม้กระดานแผ่นใหญ่ขนาดกว้างเป็น เมตร และรับกับต้นเสาไม้ใหญ่ที่มีขนาดความ กว้างโดยรอบถึงสามคนโอบ ซึ่งใช้เป็นเสาแบกรับโครงสร้างส่วนบนที่เป็นโครง จำนวน 8 คู่
“คงต้องเรียกได้ว่า ปราสาทหลังนี้ไม่มีส่วนประกอบใดที่เป็น เหล็กหรือปูนเลย แม้แต่สิ่งที่ยึดติดไว้ ด้วยกันยังใช้วิธีการสลักไม้แทนตะปูด้วยซ้ำ
ผมถึงกล้าบอกได้ว่า ปราสาทแห่งนี้เมื่อทำจนเสร็จสมบูรณ์เมื่อไหร่ จะช็อกสายตาคนที่มีโอกาสได้เข้ามาชม เพราะปราสาทจะเป็นสิ่งที่ ท้าทายในความเป็นโลกตะวันตกและโลกตะวันออก และสื่อให้เห็นถึงสิ่งที่ดีงาม ในอดีต ทั้งทางด้านปรัชญา ศาสนา ในเอเชีย งานที่คุณเล็กทำออกมาจึง ถือได้ว่าเป็นงานที่มีมิติ ด้านวิญญาณ มากกว่าที่จะมองว่ามีมิติในเชิงวัตถุ ผมเชื่อว่า มันน่าจะเป็นปราสาทไม้ที่เป็นเรือนไม้ที่ใหญ่ ที่สุด ในโลก ซึ่งแฝงไว้ด้วยความหมายในเชิงปรัชญา และเป็นแลนด์มาร์กแห่งหนึ่ง ที่สำคัญในพัทยา”
ด้านนายประดิษฐ์ วรกาญจนบุญ ผู้จัดการเมืองโบราณพัทยา ผู้ที่ร่วมงานดูแลโครงการปราสาทสัจธรรม ตั้งแต่ช่วงบุกเบิก บอกเล่าถึง ภาพรวมของปราสาทสัจธรรมขณะที่พาเดินชมโดยรอบว่า จุดใหญ่ๆ ที่เสี่ยเล็ก พยายามสื่อให้เห็นคือ เรื่องของศาสนา ซึ่งรูปแบบและสัญลักษณ์ที่ สื่อไปในรูปของเทวดา สัตว์ต่างๆ ก็ล้วนแล้วแต่มาจากการเขียนร่าง และออก แบบมาจากคำพูดที่ถ่ายทอดมาจากเสี่ยเล็กแทบทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเป็นตุ๊กตาไม้แกะสลัก รูปสัตว์ต่างๆ หรือรูปเทวดา เสี่ยเล็กเป็นผู้ออกแบบ และคุมงานแกะสลัก พร้อมกับเทรนด์ช่างด้วยตนเอง มาโดยตลอด และระยะเวลากว่า 20 ปีที่ทำงานมานั้น มีช่างไม้ ช่างแกะ สลัก ที่ทำงานด้วยกันเป็นจำนวนมากถึง 200 คน โดยทุกวันนี้ ถึงกับมีโรงเลื่อยเป็นของตัวเองเพื่อที่จะจัดการ เลื่อยและตัดท่อนไม้มาใช้งานกันภายใน แต่อย่างไรก็ตาม ไม้ที่ใช้ในปัจจุบัน นี้อาทิ ไม้สัก ไม้เต็ง ไม้แดง จำเป็นต้องสั่งนำเข้าจากต่างประเทศแทน เนื่องจากเมืองไทยปิดป่าแล้ว
“ช่างแกะของเราจะไม่เหมือนใคร ไม่ว่าใครเก่งมาจากไหนก็ ต้องมาเรียนรู้และเริ่มใหม่ที่นี่ทั้งนั้น และเสี่ยก็จะเป็นคนสอน เป็นคนแนะนำ ให้ตลอด จนเดี๋ยวนี้เรามีช่างที่มีฝีมือในการแกะสลัก
และทุกคนก็ไม่เคยท้อ ถึงจะทำงานกันมานานเป็นสิบๆ ปี และก็ไม่เคยถามว่าจะเสร็จเมื่อไหร่ เราทำไปเรื่อยๆ ซึ่งเสี่ยเล็กก็ไม่เคยบอก ว่าจะต้องทำให้เสร็จปีไหน วันไหน ขอให้ทำให้ดีที่สุด ค่อยปรับค่อยแก้กัน ไป แต่ก็ยอมรับว่าเราต้องดูแลรักษาสภาพให้ดี แม้ว่าจะผ่านไปนานเป็นสิบ ยี่สิบปี”
ในช่วงที่มีโอกาสเข้าไปเดินชมในปราสาทสัจธรรม เป็นช่วง เดียวกับที่ นายพิจารณ์ วิริยะพันธุ์ หนึ่งในทายาทของเสี่ยเล็กได้เดินทางเข้า ไปตรวจเยี่ยมและดูงานภายในปราสาทด้วย นายพิจารณ์กล่าวกับผู้สื่อข่าว แต่เพียงสั้นๆ ว่า ลูกๆ ทุกคน พร้อมที่จะสานต่อเจตนารมณ์ของพ่อทั้งนั้น และทุกคนอยากเห็นสิ่งที่พ่อมุ่ง หวังและตั้งใจสำเร็จลุล่วงไปได้ตามที่ฝัน โดยขณะนี้ ทุกคคต่างพยายามศึกษา ถึงความต้องการของพ่อ ว่าอยากที่จะให้งานปราสาทสัจธรรมออกมาในรูปแบบใด นายพิจารณ์กล่าวว่า ที่ผ่านมาพ่อไม่เคยสั่งให้ลูกๆ ทำอะไร แม้แต่ในเรื่องของปราสาทสัจธรรม เพราะพ่อต้องการที่จะให้ลูก ได้ทำในสิ่งที่ ชอบ และฝึกให้ลูกได้คิดแก้ไขปัญหาต่างๆ ด้วยตัวเอง
“ท่านเคยบอกว่า ท่านจะไม่สั่งให้ใครทำอะไร ใครสนใจทำ อะไรก็ทำ แล้วท่านจะดูว่าใครชอบแบบไหน อย่างในส่วนของปัญหาต่างๆ เราทุกคนก็ต้องรู้จักแก้ไขกันเอง
กรณีของปราสาทสัจธรรมซึ่งเปรียบเสมือนศิลปะที่ไม่มีขอบ เขตก็เช่นเดียวกัน ในช่วงหลังๆ พอมีปัญหา พวกเราก็แก้ไขกันเองหมด เราไม่ต้องให้ท่านมารับรู้ เพื่อที่ท่านจะได้ไปทำงานอื่น จุดอื่นต่อที่ไป”
ทั้งนี้ นายพิจารณ์กล่าวถึงการก่อสร้างของปราสาทสัจธรรม ณ ปัจจุบันนี้ว่า ดำเนินงานไปได้กว่า 60-70% แล้ว โดยในส่วนโครงหลักๆ แล้วเสร็จเป็นส่วนใหญ่แล้ว ที่เหลืออยู่ในขณะนี้มีเพียงแค่ลายละเอียดปลีก ย่อย อาทิ การแกะสลักลวดลายไม้ภายในเท่านั้น ซึ่งคาด การณ์ว่าน่าจะแล้ว เสร็จภายใน 5 ปีข้างหน้านี้ ส่วนในเรื่องค่าใช้จ่ายนั้น นายพิจารณ์กล่าวแต่เพียงว่า ทางครอบครัวไม่มีการพูดถึง เพราะคิดว่าอยากจะสร้างในสิ่งที่พ่อตั้งใจให้แล้ว เสร็จ และคุณค่าของปราสาท หลังนี้ สำหรับครอบครัวทุกคนไม่เคยคิดว่าจะ สามารถตีค่าออกมาเป็นราคาได้ เพราะคุณค่าต่างๆ นั้นมีมาก เสียยิ่งกว่าเงินทองที่สูญเสียไปทั้งหมด อย่างไรก็ตาม นายพิจารณ์กล่าวว่า ตนเองตั้งใจที่จะเนรมิต สถานที่ตั้ง ของปราสาทสัจธรรมให้ออกในรูปแบบของสถานที่ให้ความรู้ และ เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลากหลาย รูปแบบด้วยเช่นกัน ซึ่งในอนาคตตั้ง เป้าว่า น่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ถือเป็นสุดยอดของสิ่งมหัศจรรย์ ปราสาทไม้ สักที่ใหญ่ที่สุด และไม่มีที่ใดในโลกด้วย
สำหรับความเป็นมาของงานสถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ตัวของปราสาทสัจธรรมแห่งนี้ เกิดขึ้นจาก ความคิดของ นายเล็ก วิริยะพันธุ์ หรือเสี่ยเล็ก ที่ต้องการจะรวบรวมรูปแบบของสถาปัตยกรรมไทยจากทุกสมัย และทุกถิ่นมารวมอยู่ในบริเวณเดียวกัน ซึ่งในเบื้องต้นนั้นเสี่ยเล็กตั้งใจว่าจะใช้ พื้นที่ประมาณ 80 ไร่ ที่ใช้ก่อสร้างปราสาทแห่งนี้เป็นสถานที่พักผ่อน สำหรับผู้ที่สนใจใฝ่หาความรู้จากงานสถาปัตยกรรมที่สร้างขึ้น
โดยสิ่งสำคัญที่เสี่ยเล็กมุ่งเน้นคือ ต้องการให้งานดังกล่าวเป็น ตัวแทนที่แสดงถึงการพัฒนางานศิลปวัฒนธรรม และงานฝีมือของช่างฝีมือ ไทย ซึ่งเสี่ยเล็กยืนยันตั้งแต่เมื่อ 20 ปีที่ผ่านมาว่า ตนจะสร้างสถาปัตยกรรม ดังกล่าวด้วยไม้ทั้งหมด เนื่องจากสิ่งก่อสร้างด้วยไม้จะมีความสวยงาม และอยู่ได้นานกว่าปูน
สำหรับจุดเด่นที่น่าสนใจของปราสาทดังกล่าวนี้ จะพบได้ว่าใน บริเวณด้านหน้าประสาทที่ติดทะเลนั้น เมื่อใดที่น้ำทะเลขึ้นเต็มฝั่ง ก็จะมี ลักษณะเหมือนมีทะเลโอบล้อมรอบประสาทอีกทั้งปราสาทไม้แห่งนี้ จะมียอดปรางค์ที่สวยงามประดับอยู่ บนสุด และมีความสูงถึงยอดพระศรีอารยะ รวมแล้วถึง 105 เมตร ซึ่งหากมองไกลๆ จะมีความรู้สึกเหมือนกับว่าปราสาทไม้แห่งนี้ลอยอยู่เหนือ ผืนน้ำ โดยมีกำแพงปูนที่สร้างเป็น กำแพงแก้วปิดกั้นอยู่โดยรอบพื้นที่ระหว่าง ทะเลและปราสาท นอกจากนี้ ในส่วนของเสาแต่ละต้นจะมีการ แกะสลักลงบนเสา อย่างละเอียดงดงาม อ่อนช้อย แม้กระทั่งยอดเสาหลายๆ ต้นที่มีอยู่ ก็ล้วนแต่เป็นไม้แกะ สลักที่เป็นรูปเทพยดานางฟ้าประดับอยู่ โดยจากการบอกเล่าของผู้จัดการเมืองโบราณพัทยา กล่าวว่า หากนับจำนวนตุ๊กตาแกะสลักที่มีอยู่ในขณะนี้ จะมีจำนวนมากถึงกว่า 1,000 ตัว หลังคาของมุขทั้ง 4 ด้าน จะออกแบบเป็นปราสาททรงอ่อน ตามแบบสมัยอยุธยา บนยอดประดับด้วยช่อฟ้าใบระกาและไม้แกะสลักเป็น เทพต่างๆ ตามความเชื่อของชาวเอเชียตะวันออก ซึ่งมีทั้งความเชื่อในแบบ ของศิลปะไทย จีน เขมร และอินเดีย ซึ่งมุขทั้ง 4 ด้านจะมีลักษณะเฉพาะตัวที่ต่างกันไป เช่น ด้านที่หันหน้าออกสู่ทะเลจะเปรียบ เสมือน ประตูผู้มาเยือน มีไม้แกะสลักเป็น พรหมสี่หน้าขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนหน้าบัน โดยด้านหน้าจะเปิด เป็นช่องมองออกไปให้เห็นถึงผืนทะเลและ ท้องฟ้าที่กว้างไกล อีกทั้งยังเป็นช่องให้แสงส่องเข้ามาได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเมื่อแสงกระทบกับแผ่นไม้แกะสลักแผ่นใหญ่ที่มีความสูงถึงกว่า 2 เมตร และยาวเกือบ 3 เมตร ก็จะยิ่งแสดงให้เห็นถึงความงดงามและสง่างามของ ปราสาทแห่งนี้เป็นอย่างมาก.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น