วันอาทิตย์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

"ไม่คิด ก็ไม่ทุกข์"" ""ไม่มีสิ่งใด ๆ ในโลกที่ดีหรือเลว มีแต่ความคิดของเราเท่านั้นที่ทำให้เกิดความดีและความเลว"" ...วิลเลียม เชคสเปียร์... คนเรานั้น สามารถคิดให้ตัวเองเป็นทุกข์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ หลายครั้งเหลือเกินที่เราเป็นผู้ทำให้ตัวเราเองเป็นทุกข์ด้วยความคิดและเรามองให้เป็นทุกข์ก็ทุกข์ ถ้าเรามองให้เป็นสุขก็สุขได้ โบราณเขาถึงกล่าวไว้ว่าสุขทุกข์อยู่ที่ใจ สมมติว่ายกตัวอย่างในเรื่องที่ใกล้ตัวที่สุดเพียงแค่เรื่องคนรักของเราไม่โทรศัพท์มาถ้าเราคิดว่าเขาคงคิดธุระเราก็จะไม่โกรธ ไม่ทุรนทุรายใจ เพราะนั่นเป็นการมองโลกในแง่ดี แต่ถ้าเรามองโลกในแง่ลบแง่ร้ายก็จะคิดไปว่า เขาไม่สนใจเราอีกต่อไป เราก็จะนั่งเศร้าเสียใจ ลองมาแยกแยะเป็นหัวข้อกันดูบ้างว่า ความคิดที่ทำให้คนเรามีความทุกข์มีอะไรบ้าง ๑. การมองโลกแบบไม่ขาว ข้อนี้ขอเล่าเรื่องให้คุณอ่านสักเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องง่าย ๆ ใกล้ ๆ ตัว ที่อาจเกิดกับใครก็ได้ เป็นเรื่องของชายหญิงคู่หนึ่ง เป็นคู่รักที่วางแผนจะแต่งงานกันอยู่แล้ว แต่เอาเข้าจริง ๆ ปรากฏว่าฝ่ายชายเกิดไปเจอผู้หญิงคนใหม่ที่ถูกใจกว่า เมื่อฝ่ายหญิงรู้เรื่องเข้า เธอผิดหวังและเสียใจในตัวฝ่ายชายมาก เมื่อเธอเลิกกับเขาเธอแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่ ความคิดของฝ่ายหญิง เราจะเห็นได้ว่า ความคิดของเธอมีส่วนทำให้ชีวิตของเธอมีความทุกข์ได้อย่างมากมาย เนื่องจากฝ่ายหญิงคิดว่า ""เขาไปมีคนใหม่ เขาคงไม่เห็นว่าเรามีคุณค่า เราไม่เหลืออะไรเลย นี่หรือคือผลตอบแทนของความรัก ทำไมเราจึงเป็นคนโชคร้ายไม่มีใครรักเราจริง และมาหลงเชื่อคนที่ไม่จริงใจเช่นนี้"" หมายความว่า จะมีการคิดแบ่งเป็น ๒ ขั้ว เช่น ถ้าไม่แพ้ก็ชนะ ไม่ดีก็ชั่ว ไม่สำเร็จก็ล้มเหลว ดังเช่นกรณีของหญิงผู้นั้น เธอไม่คำนึงเลยว่า การที่คนรักนอกใจ อาจจะมาจากสาเหตุตั้งร้อยแปดประการ พิจารณาสักนิดเธอก็จะรู้ว่า การมาหรือการไปของคนรัก ไม่เกี่ยวข้องกับคุณค่าของเธอแต่อย่างใดเลยแม้แต่น้อย คุณค่าของบุคคลแต่ละคน ย่อมอยู่ที่ตัวบุคคลผู้นั้นเอง มิได้อยู่กับการที่จะมีคนมารักหรือชังในตัวเราเลย การมองโลกแบบไม่ดำก็ขาว ที่มีแต่ความถูกกับความผิด ความดีกับความชั่ว มีทั้งความดีและความชั่วปะปนกันอยู่ในตัวเอง โปรดอย่าลงโทษตัวเองและคนที่เรารู้จักหรือคนที่เรารัก โดยการมองโลกแบบ ๒ ขั้ว เพราะมันเป็นการสร้างเงื่อนไขแห่งความผิดหวังให้แก่ตัวคุณเอง ๒. ขยายเรื่องที่เกิดเรื่องเดียว ไปกับทุกเรื่องในอนาคต จะเห็นจากการที่หญิงสาวผู้นั้นคิดว่า ""ทำไมเธอจึงโชคร้าย คงไม่มีใครรักเธออีกต่อไป"" ความคิดนี้เป็นเรื่องที่ผิดพลาดอย่างยิ่ง จริง ๆ แล้ว เรื่องอกหักนี่ใคร ๆ เขาก็เคยอกหักมาแล้วทั้งสิ้น ความรักยังเป็นเรื่องที่หนุ่มสาวทุกคนต้องการ แล้วที่เธอคิดว่าโชคร้ายนั้น จริง ๆ แล้ว มันก็อาจเป็นโชคดีเสียด้วยซ้ำ ที่เธอได้เห็นลวดลายของเขา เสียก่อนที่เธอจะตกลงใจแต่งงานไปกับเขาจริง ๆ เสียใจตอนนี้ดีกว่าแต่งงานกันไปแล้วมีปัญหายิ่งใหญ่โตและบานปลายหาข้อสรุปและทำใจได้ยากกว่า ๓. ข้อสุดท้ายที่ทำให้คนทุกข์ก็คือ การให้สมญาแก่ตัวเองและผู้อื่น หญิงสาวผู้นี้คิดว่าเธอ ""เกลียด"" ตัวเองและมองผู้ชายคนนั้นว่า ""ไม่จริงใจ"" จริง ๆ แล้วคงไม่มีใครในโลกที่จะรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อเราเริ่มมีความสัมพันธ์กับใครสักคน เราคงอยากให้ความสัมพันธ์นั้นเป็นไปอย่างราบรื่นยั่งยืนตลอดไป แต่เมื่อเวลาผ่านไป มีตัวแปรมากมายกาลเวลาเปลี่ยน สิ่งแวดล้อมเปลี่ยน แม้กระทั่งตัวเราเองทั้งสองฝ่ายก็มีรายละเอียดบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน มันคงไม่ใช่ความผิดของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเสียทีเดียว การลงโทษตัวเองหรือลงโทษผู้อื่นคงไม่ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น ฝ่ายหญิงจึงไม่จำเป็นต้อง ""เกลียด"" ตัวเองเพราะความรัก ทั้ง ๓ ข้อที่ได้กล่าวมาแล้ว เป็นวิธีการคิดของคนที่ชอบคิดให้ตัวเองเป็นทุกข์ใจในสถานการณ์ต่าง ๆ เมื่อคุณรู้สึกมีความทุกข์ ส่งผลให้ไม่สดชื่นแจ่มใส ไม่ยิ้มแย้ม แล้วใครที่ไหนจะกล้าเข้าใกล้ เปิดโอกาสใหม่ ๆ ให้กับตัวเองได้มีความสุขเสียบ้าง จงคิดเสียว่าใครจะไปจากชีวิตเราก็ช่างปะไร ให้เขาไปแต่ตัว แต่อย่าเอาความสุขไปจากชีวิตเราด้วย ถึงผู้ชายไม่รัก แต่พ่อแม่ครอบครัวของเราลุงป้าน้าอารึก็รักเราตั้งมากมาย แถมเป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไขเสียด้วย ความรักที่ยิ่งใหญ่บริสุทธิ์และไม่เป็นพิษเป็นภัยที่สุดก็คือความรักจากคนในบ้านเรานั่นเอง เมื่อได้บทเรียนแล้ว ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ชีวิต และถึงอย่างไรชีวิตก็ต้องดำเนินไป ตื่นเช้ามาลองยิ้มให้กับตัวเองแล้วบอกว่าวันนี้ฉันจะมีความสุขที่สุดในโลก ลองหันไปยิ้มหวานให้ใครต่อใครดูบ้าง รอยยิ้มมันพิมพ์ใจรู้ไหม..."

"ไม่คิด ก็ไม่ทุกข์""

""ไม่มีสิ่งใด ๆ ในโลกที่ดีหรือเลว มีแต่ความคิดของเราเท่านั้นที่ทำให้เกิดความดีและความเลว""
...วิลเลียม เชคสเปียร์...

คนเรานั้น สามารถคิดให้ตัวเองเป็นทุกข์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ หลายครั้งเหลือเกินที่เราเป็นผู้ทำให้ตัวเราเองเป็นทุกข์ด้วยความคิดและเรามองให้เป็นทุกข์ก็ทุกข์ ถ้าเรามองให้เป็นสุขก็สุขได้ โบราณเขาถึงกล่าวไว้ว่าสุขทุกข์อยู่ที่ใจ สมมติว่ายกตัวอย่างในเรื่องที่ใกล้ตัวที่สุดเพียงแค่เรื่องคนรักของเราไม่โทรศัพท์มาถ้าเราคิดว่าเขาคงคิดธุระเราก็จะไม่โกรธ ไม่ทุรนทุรายใจ เพราะนั่นเป็นการมองโลกในแง่ดี แต่ถ้าเรามองโลกในแง่ลบแง่ร้ายก็จะคิดไปว่า เขาไม่สนใจเราอีกต่อไป เราก็จะนั่งเศร้าเสียใจ ลองมาแยกแยะเป็นหัวข้อกันดูบ้างว่า ความคิดที่ทำให้คนเรามีความทุกข์มีอะไรบ้าง

๑. การมองโลกแบบไม่ขาว ข้อนี้ขอเล่าเรื่องให้คุณอ่านสักเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องง่าย ๆ ใกล้ ๆ ตัว ที่อาจเกิดกับใครก็ได้ เป็นเรื่องของชายหญิงคู่หนึ่ง เป็นคู่รักที่วางแผนจะแต่งงานกันอยู่แล้ว แต่เอาเข้าจริง ๆ ปรากฏว่าฝ่ายชายเกิดไปเจอผู้หญิงคนใหม่ที่ถูกใจกว่า เมื่อฝ่ายหญิงรู้เรื่องเข้า เธอผิดหวังและเสียใจในตัวฝ่ายชายมาก เมื่อเธอเลิกกับเขาเธอแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่ ความคิดของฝ่ายหญิง เราจะเห็นได้ว่า ความคิดของเธอมีส่วนทำให้ชีวิตของเธอมีความทุกข์ได้อย่างมากมาย เนื่องจากฝ่ายหญิงคิดว่า ""เขาไปมีคนใหม่ เขาคงไม่เห็นว่าเรามีคุณค่า เราไม่เหลืออะไรเลย นี่หรือคือผลตอบแทนของความรัก ทำไมเราจึงเป็นคนโชคร้ายไม่มีใครรักเราจริง และมาหลงเชื่อคนที่ไม่จริงใจเช่นนี้""

หมายความว่า จะมีการคิดแบ่งเป็น ๒ ขั้ว เช่น ถ้าไม่แพ้ก็ชนะ ไม่ดีก็ชั่ว ไม่สำเร็จก็ล้มเหลว ดังเช่นกรณีของหญิงผู้นั้น เธอไม่คำนึงเลยว่า การที่คนรักนอกใจ อาจจะมาจากสาเหตุตั้งร้อยแปดประการ พิจารณาสักนิดเธอก็จะรู้ว่า การมาหรือการไปของคนรัก ไม่เกี่ยวข้องกับคุณค่าของเธอแต่อย่างใดเลยแม้แต่น้อย คุณค่าของบุคคลแต่ละคน ย่อมอยู่ที่ตัวบุคคลผู้นั้นเอง มิได้อยู่กับการที่จะมีคนมารักหรือชังในตัวเราเลย การมองโลกแบบไม่ดำก็ขาว ที่มีแต่ความถูกกับความผิด ความดีกับความชั่ว มีทั้งความดีและความชั่วปะปนกันอยู่ในตัวเอง โปรดอย่าลงโทษตัวเองและคนที่เรารู้จักหรือคนที่เรารัก โดยการมองโลกแบบ ๒ ขั้ว เพราะมันเป็นการสร้างเงื่อนไขแห่งความผิดหวังให้แก่ตัวคุณเอง

๒. ขยายเรื่องที่เกิดเรื่องเดียว ไปกับทุกเรื่องในอนาคต จะเห็นจากการที่หญิงสาวผู้นั้นคิดว่า ""ทำไมเธอจึงโชคร้าย คงไม่มีใครรักเธออีกต่อไป"" ความคิดนี้เป็นเรื่องที่ผิดพลาดอย่างยิ่ง จริง ๆ แล้ว เรื่องอกหักนี่ใคร ๆ เขาก็เคยอกหักมาแล้วทั้งสิ้น ความรักยังเป็นเรื่องที่หนุ่มสาวทุกคนต้องการ แล้วที่เธอคิดว่าโชคร้ายนั้น จริง ๆ แล้ว มันก็อาจเป็นโชคดีเสียด้วยซ้ำ ที่เธอได้เห็นลวดลายของเขา เสียก่อนที่เธอจะตกลงใจแต่งงานไปกับเขาจริง ๆ เสียใจตอนนี้ดีกว่าแต่งงานกันไปแล้วมีปัญหายิ่งใหญ่โตและบานปลายหาข้อสรุปและทำใจได้ยากกว่า

๓. ข้อสุดท้ายที่ทำให้คนทุกข์ก็คือ การให้สมญาแก่ตัวเองและผู้อื่น หญิงสาวผู้นี้คิดว่าเธอ ""เกลียด"" ตัวเองและมองผู้ชายคนนั้นว่า ""ไม่จริงใจ"" จริง ๆ แล้วคงไม่มีใครในโลกที่จะรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อเราเริ่มมีความสัมพันธ์กับใครสักคน เราคงอยากให้ความสัมพันธ์นั้นเป็นไปอย่างราบรื่นยั่งยืนตลอดไป แต่เมื่อเวลาผ่านไป มีตัวแปรมากมายกาลเวลาเปลี่ยน สิ่งแวดล้อมเปลี่ยน แม้กระทั่งตัวเราเองทั้งสองฝ่ายก็มีรายละเอียดบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน มันคงไม่ใช่ความผิดของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเสียทีเดียว การลงโทษตัวเองหรือลงโทษผู้อื่นคงไม่ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น ฝ่ายหญิงจึงไม่จำเป็นต้อง ""เกลียด"" ตัวเองเพราะความรัก

ทั้ง ๓ ข้อที่ได้กล่าวมาแล้ว เป็นวิธีการคิดของคนที่ชอบคิดให้ตัวเองเป็นทุกข์ใจในสถานการณ์ต่าง ๆ เมื่อคุณรู้สึกมีความทุกข์ ส่งผลให้ไม่สดชื่นแจ่มใส ไม่ยิ้มแย้ม แล้วใครที่ไหนจะกล้าเข้าใกล้ เปิดโอกาสใหม่ ๆ ให้กับตัวเองได้มีความสุขเสียบ้าง จงคิดเสียว่าใครจะไปจากชีวิตเราก็ช่างปะไร ให้เขาไปแต่ตัว แต่อย่าเอาความสุขไปจากชีวิตเราด้วย ถึงผู้ชายไม่รัก แต่พ่อแม่ครอบครัวของเราลุงป้าน้าอารึก็รักเราตั้งมากมาย แถมเป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไขเสียด้วย ความรักที่ยิ่งใหญ่บริสุทธิ์และไม่เป็นพิษเป็นภัยที่สุดก็คือความรักจากคนในบ้านเรานั่นเอง เมื่อได้บทเรียนแล้ว ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ชีวิต และถึงอย่างไรชีวิตก็ต้องดำเนินไป ตื่นเช้ามาลองยิ้มให้กับตัวเองแล้วบอกว่าวันนี้ฉันจะมีความสุขที่สุดในโลก ลองหันไปยิ้มหวานให้ใครต่อใครดูบ้าง รอยยิ้มมันพิมพ์ใจรู้ไหม..."

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น