วันเสาร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

เรื่องแปล.... จาก zeng too. Com เรื่อง"他叫我一句"妈" "เขาเรียกฉันว่า แม่"..... อั้วซิวหลิ่วหมึ่งไจ๊คิกท่อตีหน่ำไฮ้, หยี่จับหนี่เอ๋า, ทาเก๊งเหยี่ยงต่ออั๋วแซแป่จือจี่, เจียงกี ป๋าอั้วตีปั่งจื้อจิเหลี่ยว เหยี่ยงอั๋วขื่อ...... ฉัน" รับเด็กชายขอทานหน้าบ้านเข้ามาอยู่, ยี่สิบปีให้หลัง ในขณะที่ ฉัน" ป่วยหนัก เขาให้เครื่องจักร มารื้อบ้านฉัน บังคับให้ฉันไป...... ฉันแต่งงานตอนอายุ 22 ปี มีลูกสาวติดต่อกัน 3 คน ทั้งๆที่สามีอยากได้ลูกชายมาก จากที่ ฉัน" ไม่สามารถมีลูกชาย ทำให้ความสัมพันธ์ ระหว่าง ฉัน" กับพ่อแม่สามี ไม่ค่อยสู้จะดีนัก ความสำคัญของตัวฉันในครอบครัวสามี ก็มีแค่น้อยนิด, สามีก็ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับฉันมากนัก ในขณะที่ฉันทำกับข้าว สามีจะกินก่อนแทบทุกครั้ง พอฉันทำกับข้าวเสร็จ สามีก็กินเสร็จพร้อมกับไม่เหลือกับข้าวให้ฉันสักเท่าไหร่ ,..... จำได้ว่า ประมาณ20ปีก่อน ช่วงหน้าหนาวของเย็นวันหนึ่ง ใกล้เทศกาลตรุษจีน ในขณะที่หิมะตกหนัก มีเด็กผู้ชายขอทาน อายุประมาณ 6--7 ปี ยืนหนาวสั่นอยู่หน้าบ้าน สวมใส่เสื้อผ้าทั้งบาง, เก่า, ขาด, และสกปรก, ที่ขาใส่รองเท้ากีฬาขาดๆ, ที่มือและเท้า ถูกหิมะกัดจนเป็นแผลซีดๆ ตอนนั้น ฉัน"กำลังล้างถ้วยชามเก็บเข้าที่อยู่ เด็กขอทานร้องครางเสียงสั่น ขอให้ช่วยชีวิต ฉัน"เห็นเป็นเด็กขอทาน ก็ไม่สนใจ จะปิดประตูบ้านแล้ว เด็กขอทานพูดด้วยเสียงสั่นและอ่อนล้าว่า หากไม่ให้ผมกินข้าวตอนนี้ ผมคงจะหิวตายแน่..... ฉันได้เพ่งพิจารณาดูอีกที เห็นแล้วก็ให้นึกสงสาร ระคนเวทนาจนทำใจไม่ได้ เพราะยังไงก็เป็นแค่เด็กคนหนึ่ง, วันนั้น บังเอิญพ่อแม่สามีไม่อยู่ ลูกสาวก็เข้าไปเรียนอยู่ในเมืองทั้ง 3 คน จะกลับบ้านเฉพาะวันหยุด สามีก็ออกไปเล่นไพ่ ฉันตัดสินใจนำเด็กชายขอทานคนนั้น เข้ามาในบ้าน หลบหลีกลมหนาว และหิมะที่หนาวเหน็บ, ฉันตักข้าวสวยก้นหม้อ ที่ยังเหลืออยู่สัก1ชามได้ กับข้าวก็ไม่มีอะไรเหลือแล้ว นอกจากขิงดองเล็กน้อย กับมีน้ำผักที่กำลังจะเททิ้ง ฉันเทคลุกรวมกันให้เด็กขอทานกินทั้งหมด เด็กขอทานรับข้าวที่ราดน้ำผักด้วยมือสั่นเทา นั่งลงตรงมุมห้อง ตักกินอย่างหิวโหย อึดใจเดียวก็เหลือแต่ชามเปล่าๆ เด็กน้อยคุกเข่าต่อหน้า ฉัน" และเรียกฉันคำหนึ่งว่า"แม่" แม่"ขอให้ผมอยู่กับแม่"ด้วยนะครับ..... เวลานั้น สถานภาพในบ้าน ฉันไม่มีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจเรื่องนี้เลย หากรับเด็กคนนี้ไว้ พ่อแม่สามีคงเอาเรื่องฉันแน่ อีกอย่าง ฉันเองก็มีลูกสาวที่เป็นภาระส่งเสียเลี้ยงดูอีกตั้ง3คน เป็นภาระที่หนักอยู่แล้ว จึงปฏิเสธไป แต่..... นี่ก็กำลังจะตรุษจีนแล้ว จะไล่ให้ไปไหนละ? ฉันตัดสินใจให้เด็กไปพักอยู่ที่ห้องเก็บฟืน ช่วงหลายวันนี้ ฉันแอบแบ่งอาหารและเสื้อนวมเก่าๆ ให้เด็กขอทานใส่.... ถึงวันตรุษจีน สามีเกิดรู้เรื่องเข้า โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ จับเด็กขอทานมาทุบตีขนานใหญ่ ฉันตกใจมาก รีบเข้าไปห้ามปราม สามีโกรธมาก เลยพาลทุบตีฉันอีกคน ด่าว่าฉัน พาเด็กขี้ขโมยเข้าบ้าน แถมยังด่าว่า สงสัยเด็กคนนี้จะเป็นลูกชู้ของฉันที่เกิดก่อนที่ฉันจะแต่งเข้าบ้านนี้ พ่อแม่สามีแทนที่จะช่วยห้าม กลับยุยงให้สามีตีฉันเพิ่มอีกหลายที........ หลังจากเด็กขอทาน ถูกสามีฉันไล่ไปแล้ว ฉันมานึกเสียใจว่า ความใจดีของฉัน กลับทำให้เด็กคนนี้ต้องออกไปหิวตาย หรือ หนาวตายอีกครั้ง ฉันโทษตัวเองที่ไม่เอาไหน อ่อนแอ แม้แต่เรี่ยวแรงปกป้องเด็กคนหนึ่ง ยังทำไม่ได้....... ยี่สิบปีให้หลัง ลูกสาวทั้ง 3 คนแต่งงานหมดแล้ว คนโตแต่งกับผู้ชายต่างหมู่บ้าน อาชีพทำฟาร์มปศุสัตว์, ความเป็นอยู่นับว่าพอใช้ได้ คนที่ 2 แต่งให้กับลูกเศรษฐีในเมืองใหญ่ มีฐานะดี สมบูรณ์แบบ ลูกสาวคนเล็ก แต่งไปอยู่ไกลถึงฮ่องกง .... ในช่วง20ปีมานี้ พ่อสามีเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว 2 ปีก่อน สามีก็มาเสียชีวิตไปอีกคน ปีที่แล้ว แม่สามี ตรวจพบว่า เป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย ส่วนฉัน ก็ตรวจพบว่า เป็นโรค 3 สูง คือความดันสูง น้าตาลสูง ยูลิกสูง แถมยังมีโรคหัวใจอีกด้วย เวลากระทบอากาศหนาวมากๆ มักจะหายใจไม่ค่อยออก แม้ฉันจะไม่ค่อยแข็งแรง แต่ก็ยังมีภาระต้องดูแลแม่สามีที่เป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย... มาคิดๆดูอีกทีก็แปลก แม่สามี ทำไม่ดีกับฉันมาตลอด แต่เวลานี้ ที่นางล้มหมอนนอนเสื่อ ฉันกลับต้องเป็นคนดูแล ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย ช่วงที่แม่สามีป่วยหนัก ฉันส่งข่าวเรียกให้ลูกๆทั้ง3คน หมั่นกลับมาเยี่ยมคุณย่าบ่อยๆ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครมา จนแม่สามีเสียชีวิต ในงานศพ คงมีแต่ลูกสาวคนโตที่อยู่ใกล้ที่สุด มาคนเดียว คนที่2และคนเล็ก ต่างบอกว่างานยุ่ง มาไม่ได้ ฉันได้แต่บอกว่า อนิจจา นี่คุณย่าของลูกแท้ๆนะ มโนธรรมไม่มีกันเลยหรือ...... หลังจากแม่สามีเสียชีวิตแล้ว ฉันต้องอยู่คนเดียวอย่างโดดเดี่ยว กับอายุที่มากขึ้น พร้อมกับโรคภัยที่รุมเร้า หากได้ไปอยู่กับลูกๆ อย่างน้อยก็มีคนดูแลยามเจ็บไข้ได้ป่วยบ้าง ฉันจึงคิดว่า จะลองไปอาศัยอยู่กับลูกๆดูสักคนละหลายเดือน ผลัดเปลี่ยนกันไป เพื่อไม่ให้เป็นภาระกับคนใดคนหนึ่งมากเกินไป ฉันทดลองไปอยู่กับลูกสาวคนโต 1 เดือน ผลที่ออกมา พ่อแม่สามีของลูกสาวคนโต มีอาการไม่ค่อยพอใจนัก, ฉันไปขออยู่กับลูกสาวคนที่2 ซึ่งมีฐานะขั้นเศรษฐี 1 เดือนผ่านไป ฉันมีสถานะ ไม่แตกต่างจากแม่บ้านคนหนึ่ง แม้แต่น้ำร้อนแช่เท้าของลูกเขยเอง ลูกสาวยังใช้ให้ฉันเป็นคนไปจัดการมาให้ นับว่าลูกสาวคนนี้ เปลี่ยนเป็นคุณนายแล้วจริงๆ..... ฉันทำหนังสือเดินทางเสร็จ เตรียมจะไปอยู่กับลูกสาวคนเล็กที่ฮ่องกง พอแจ้งว่าจะไปวันที่นั้นๆ ลูกสาวคนเล็กกลับตอบมาว่า โอ้..แม่ ไม่สะดวกนะ หนูกับสามีจะพาครอบครัวไปท่องเที่ยวพักผ่อนที่เวียตนาม คงกลับมาไม่ทัน แม่อย่าเพิ่งมานะ.... ฉันทราบดีว่า นี่เป็นการปฏิเสธ ที่ง่ายที่สุด ฉันเสียใจ หมดกำลังใจ นี่คงเป็นเวรกรรมของฉัน มีลูกสาวถึง 3 คน แต่ไม่เคยมีใครส่งเสียเงินทองให้ฉันได้ใช้ดำรงชีวิตยามแก่เช่นวันนี้เลย ทุกวันนี้ฉันต้องปลูกผักขาย เพื่อยังชีพไปวันๆ ต่อให้ประหยัดแค่ไหน ก็ยังต้องมีค่าหมอในยามเจ็บป่วย คิดๆอีกที ฉันนี้ก็ น่าจะตายให้พ้นเวรพ้นกรรมไป จะได้ไม่เดือดร้อนคนอื่นอีก...... ในชั่วชีวิตฉันมีแต่จะหาสิ่งที่ดีๆให้กับสามีและลูกๆ สุดท้ายแล้ว วันนี้ ฉัน" พึ่งใครไม่ได้เลยสักคน.... ความน้อยเนื้อต่ำใจ บวกกับอายุที่มากขึ้น ร่างกายที่เสื่อมถอยลง กลางปีที่ผ่านมา ฉันล้มป่วยลงด้วยไข้หวัดใหญ่ ทำให้ฉันต้องล้มหมอนนอนเสื่อหลายวัน ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะลุกขึ้นมาหุงหาอาหาร ...... ในขณะที่ฉันมีแต่ความสิ้นหวัง ก็ปรากฎมีชายหนุ่มคนหนึ่ง รูปร่างสูงเพรียว หน้าตาดี ผิวขาว บ่งบอกถึงคนมีฐานะและความรู้ ได้ยืนจ้องมองเข้ามาทางหน้าต่าง จนฉัน"ต้องฝืนใจเอ่ยถามไปว่า มาหาใครหรือ? ชายหนุ่มคนนั้นตอบว่า ผมชื่อ"ก๋วยก้วย"... ฉันตกใจ จำได้ว่า 20 กว่าปีก่อน เคยมีเด็กขอทานมาขอข้าวกินตอนตรุษจีน และบอกว่าชื่อ "ก๋วยก้วย" ฉันนึกไม่ถึงว่า เด็กขอทานอายุ6--7ขวบคนนั้น จะยังมีชีวิตอยู่ ท่ามกลางหิมะตกหนัก อากาศที่หนาวเหน็บขนาดนั้น ถ้าไม่หนาวตาย ก็น่าจะหิวตายไปแล้ว... ไม่น่าเชื่อว่าจะเติบโตจนทั้งสูงใหญ่และหล่อเหลาถึงเพียงนี้......... วันนั้น เขา "ก๋วยก้วย"รับฉันไปส่งที่โรงพยาบาลในเมือง หมอรักษาจนฉัน"หายป่วยแล้ว ฉันบอกว่า จะกลับไปที่หมู่บ้าน แต่"ก๋วยก้วย"ได้จ้างรถแทรคเตอร์คันหนึ่ง ไปไถบ้านของฉันจนพังราบไปหมด แล้วคุกเข่าต่อหน้าฉันพร้อมกับพูดว่า, "แม่"ไปอยู่กับผมเถิด ผมจำเป็นต้องทำแบบนี้ ไม่งั้น"แม่"ก็ไม่ยอมไปกับผม..... วันนั้น วันที่แม่ให้ข้าวผมกิน....แม้ว่า "แม่"จะเป็นแม่ผมแค่วันเดียว แต่ผมก็จะขอให้"แม่" เป็น"แม่"ผมตลอดชีวิตครับ แม่อยู่กับผม ผมจะไม่ให้แม่ต้องโดดเดี่ยวอีก ฉัน"กลั้นน้ำตาไม่อยู่ ได้แต่ตาม"ก๋วยก้วย"กลับไป......... ตอนที่"ก๋วยก้วย"ถูกสามีฉัน" ทุบตีพร้อมๆกับฉัน แล้วไล่ออกจากบ้านไป ระหว่างที่เร่ร่อนขอทานไปนั้น ถูกนักข่าวคนหนึ่งช่วยใว้ และได้ช่วยสืบ จนตามหาพ่อแม่ที่พลัดหลงระหว่างทางจนพบ หลังจากต้องเร่ร่อนขอทานอยู่นานหลายเดือน ครอบครัว"ก๋วยก้วย" คุณพ่อเปิดบริษัท กิจการค่อนข้างดี มีฐานะมั่นคง "ก๋วยก้วย"เรียนจบมหาวิทยาลัย ก็มารับช่วงช่วยกิจการของครอบครัว จนถึงปัจจุบัน....... สิ่งที่เด็กน้อย อายุไม่ถึง10ขวบ จำฝังใจคือฉันเป็นแม่ผู้ให้ชีวิต ด้วยข้าวราดน้ำผัก1ชาม ใช่... บุญคุณของข้าวแค่1 ชาม.... น้ำตาฉันไหลอาบแก้ม ชั่วชีวิตของฉัน" ฉัน"ยังไม่เคยได้ยินคำพูดไหนที่ลึกซึ้ง กินใจเท่ากับคำพูดของ"ก๋วยก้วย" คำนี้..."แม่" ไป เรากลับบ้านด้วยกัน"........... แปล และเรียบเรียง โดย เจงเอี่ยม แซ่อึ้ง 黄振炎 4/2/2017 ภาพประกอบไม่เกี่ยวกับบทความ

เรื่องแปล.... จาก zeng too. Com เรื่อง"他叫我一句"妈" "เขาเรียกฉันว่า แม่".....

อั้วซิวหลิ่วหมึ่งไจ๊คิกท่อตีหน่ำไฮ้, หยี่จับหนี่เอ๋า, ทาเก๊งเหยี่ยงต่ออั๋วแซแป่จือจี่, เจียงกี ป๋าอั้วตีปั่งจื้อจิเหลี่ยว เหยี่ยงอั๋วขื่อ......

ฉัน" รับเด็กชายขอทานหน้าบ้านเข้ามาอยู่, ยี่สิบปีให้หลัง ในขณะที่ ฉัน" ป่วยหนัก เขาให้เครื่องจักร มารื้อบ้านฉัน บังคับให้ฉันไป......

ฉันแต่งงานตอนอายุ 22 ปี มีลูกสาวติดต่อกัน 3 คน ทั้งๆที่สามีอยากได้ลูกชายมาก
จากที่ ฉัน" ไม่สามารถมีลูกชาย ทำให้ความสัมพันธ์ ระหว่าง ฉัน" กับพ่อแม่สามี ไม่ค่อยสู้จะดีนัก ความสำคัญของตัวฉันในครอบครัวสามี ก็มีแค่น้อยนิด,

สามีก็ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับฉันมากนัก ในขณะที่ฉันทำกับข้าว สามีจะกินก่อนแทบทุกครั้ง พอฉันทำกับข้าวเสร็จ สามีก็กินเสร็จพร้อมกับไม่เหลือกับข้าวให้ฉันสักเท่าไหร่ ,.....

จำได้ว่า ประมาณ20ปีก่อน ช่วงหน้าหนาวของเย็นวันหนึ่ง ใกล้เทศกาลตรุษจีน ในขณะที่หิมะตกหนัก มีเด็กผู้ชายขอทาน อายุประมาณ 6--7 ปี ยืนหนาวสั่นอยู่หน้าบ้าน สวมใส่เสื้อผ้าทั้งบาง, เก่า, ขาด, และสกปรก, ที่ขาใส่รองเท้ากีฬาขาดๆ, ที่มือและเท้า ถูกหิมะกัดจนเป็นแผลซีดๆ

ตอนนั้น ฉัน"กำลังล้างถ้วยชามเก็บเข้าที่อยู่

เด็กขอทานร้องครางเสียงสั่น ขอให้ช่วยชีวิต ฉัน"เห็นเป็นเด็กขอทาน ก็ไม่สนใจ จะปิดประตูบ้านแล้ว เด็กขอทานพูดด้วยเสียงสั่นและอ่อนล้าว่า หากไม่ให้ผมกินข้าวตอนนี้ ผมคงจะหิวตายแน่.....

ฉันได้เพ่งพิจารณาดูอีกที เห็นแล้วก็ให้นึกสงสาร ระคนเวทนาจนทำใจไม่ได้ เพราะยังไงก็เป็นแค่เด็กคนหนึ่ง,

วันนั้น บังเอิญพ่อแม่สามีไม่อยู่ ลูกสาวก็เข้าไปเรียนอยู่ในเมืองทั้ง 3 คน จะกลับบ้านเฉพาะวันหยุด สามีก็ออกไปเล่นไพ่

ฉันตัดสินใจนำเด็กชายขอทานคนนั้น เข้ามาในบ้าน หลบหลีกลมหนาว และหิมะที่หนาวเหน็บ,

ฉันตักข้าวสวยก้นหม้อ ที่ยังเหลืออยู่สัก1ชามได้ กับข้าวก็ไม่มีอะไรเหลือแล้ว นอกจากขิงดองเล็กน้อย กับมีน้ำผักที่กำลังจะเททิ้ง

ฉันเทคลุกรวมกันให้เด็กขอทานกินทั้งหมด เด็กขอทานรับข้าวที่ราดน้ำผักด้วยมือสั่นเทา นั่งลงตรงมุมห้อง ตักกินอย่างหิวโหย อึดใจเดียวก็เหลือแต่ชามเปล่าๆ

เด็กน้อยคุกเข่าต่อหน้า ฉัน" และเรียกฉันคำหนึ่งว่า"แม่" แม่"ขอให้ผมอยู่กับแม่"ด้วยนะครับ.....

เวลานั้น สถานภาพในบ้าน ฉันไม่มีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจเรื่องนี้เลย หากรับเด็กคนนี้ไว้ พ่อแม่สามีคงเอาเรื่องฉันแน่ อีกอย่าง ฉันเองก็มีลูกสาวที่เป็นภาระส่งเสียเลี้ยงดูอีกตั้ง3คน เป็นภาระที่หนักอยู่แล้ว จึงปฏิเสธไป

แต่..... นี่ก็กำลังจะตรุษจีนแล้ว จะไล่ให้ไปไหนละ? ฉันตัดสินใจให้เด็กไปพักอยู่ที่ห้องเก็บฟืน

ช่วงหลายวันนี้ ฉันแอบแบ่งอาหารและเสื้อนวมเก่าๆ ให้เด็กขอทานใส่.... ถึงวันตรุษจีน สามีเกิดรู้เรื่องเข้า โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ จับเด็กขอทานมาทุบตีขนานใหญ่

ฉันตกใจมาก รีบเข้าไปห้ามปราม สามีโกรธมาก เลยพาลทุบตีฉันอีกคน ด่าว่าฉัน พาเด็กขี้ขโมยเข้าบ้าน แถมยังด่าว่า สงสัยเด็กคนนี้จะเป็นลูกชู้ของฉันที่เกิดก่อนที่ฉันจะแต่งเข้าบ้านนี้

พ่อแม่สามีแทนที่จะช่วยห้าม กลับยุยงให้สามีตีฉันเพิ่มอีกหลายที........

หลังจากเด็กขอทาน ถูกสามีฉันไล่ไปแล้ว ฉันมานึกเสียใจว่า ความใจดีของฉัน กลับทำให้เด็กคนนี้ต้องออกไปหิวตาย หรือ หนาวตายอีกครั้ง ฉันโทษตัวเองที่ไม่เอาไหน อ่อนแอ แม้แต่เรี่ยวแรงปกป้องเด็กคนหนึ่ง ยังทำไม่ได้.......

ยี่สิบปีให้หลัง ลูกสาวทั้ง 3 คนแต่งงานหมดแล้ว
คนโตแต่งกับผู้ชายต่างหมู่บ้าน อาชีพทำฟาร์มปศุสัตว์, ความเป็นอยู่นับว่าพอใช้ได้

คนที่ 2 แต่งให้กับลูกเศรษฐีในเมืองใหญ่ มีฐานะดี สมบูรณ์แบบ
ลูกสาวคนเล็ก แต่งไปอยู่ไกลถึงฮ่องกง ....

ในช่วง20ปีมานี้ พ่อสามีเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว
2 ปีก่อน สามีก็มาเสียชีวิตไปอีกคน

ปีที่แล้ว แม่สามี ตรวจพบว่า เป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย
ส่วนฉัน ก็ตรวจพบว่า เป็นโรค 3 สูง คือความดันสูง น้าตาลสูง ยูลิกสูง แถมยังมีโรคหัวใจอีกด้วย เวลากระทบอากาศหนาวมากๆ มักจะหายใจไม่ค่อยออก แม้ฉันจะไม่ค่อยแข็งแรง แต่ก็ยังมีภาระต้องดูแลแม่สามีที่เป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย...

มาคิดๆดูอีกทีก็แปลก แม่สามี ทำไม่ดีกับฉันมาตลอด แต่เวลานี้ ที่นางล้มหมอนนอนเสื่อ ฉันกลับต้องเป็นคนดูแล ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย
ช่วงที่แม่สามีป่วยหนัก ฉันส่งข่าวเรียกให้ลูกๆทั้ง3คน หมั่นกลับมาเยี่ยมคุณย่าบ่อยๆ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครมา จนแม่สามีเสียชีวิต ในงานศพ คงมีแต่ลูกสาวคนโตที่อยู่ใกล้ที่สุด มาคนเดียว คนที่2และคนเล็ก ต่างบอกว่างานยุ่ง มาไม่ได้ ฉันได้แต่บอกว่า อนิจจา นี่คุณย่าของลูกแท้ๆนะ มโนธรรมไม่มีกันเลยหรือ......

หลังจากแม่สามีเสียชีวิตแล้ว ฉันต้องอยู่คนเดียวอย่างโดดเดี่ยว กับอายุที่มากขึ้น พร้อมกับโรคภัยที่รุมเร้า หากได้ไปอยู่กับลูกๆ อย่างน้อยก็มีคนดูแลยามเจ็บไข้ได้ป่วยบ้าง

ฉันจึงคิดว่า จะลองไปอาศัยอยู่กับลูกๆดูสักคนละหลายเดือน ผลัดเปลี่ยนกันไป เพื่อไม่ให้เป็นภาระกับคนใดคนหนึ่งมากเกินไป
ฉันทดลองไปอยู่กับลูกสาวคนโต 1 เดือน ผลที่ออกมา พ่อแม่สามีของลูกสาวคนโต มีอาการไม่ค่อยพอใจนัก,
ฉันไปขออยู่กับลูกสาวคนที่2 ซึ่งมีฐานะขั้นเศรษฐี 1 เดือนผ่านไป ฉันมีสถานะ ไม่แตกต่างจากแม่บ้านคนหนึ่ง แม้แต่น้ำร้อนแช่เท้าของลูกเขยเอง ลูกสาวยังใช้ให้ฉันเป็นคนไปจัดการมาให้ นับว่าลูกสาวคนนี้ เปลี่ยนเป็นคุณนายแล้วจริงๆ.....

ฉันทำหนังสือเดินทางเสร็จ เตรียมจะไปอยู่กับลูกสาวคนเล็กที่ฮ่องกง พอแจ้งว่าจะไปวันที่นั้นๆ ลูกสาวคนเล็กกลับตอบมาว่า โอ้..แม่ ไม่สะดวกนะ หนูกับสามีจะพาครอบครัวไปท่องเที่ยวพักผ่อนที่เวียตนาม คงกลับมาไม่ทัน แม่อย่าเพิ่งมานะ....

ฉันทราบดีว่า นี่เป็นการปฏิเสธ ที่ง่ายที่สุด ฉันเสียใจ หมดกำลังใจ นี่คงเป็นเวรกรรมของฉัน มีลูกสาวถึง 3 คน แต่ไม่เคยมีใครส่งเสียเงินทองให้ฉันได้ใช้ดำรงชีวิตยามแก่เช่นวันนี้เลย ทุกวันนี้ฉันต้องปลูกผักขาย เพื่อยังชีพไปวันๆ ต่อให้ประหยัดแค่ไหน ก็ยังต้องมีค่าหมอในยามเจ็บป่วย คิดๆอีกที ฉันนี้ก็ น่าจะตายให้พ้นเวรพ้นกรรมไป จะได้ไม่เดือดร้อนคนอื่นอีก......

ในชั่วชีวิตฉันมีแต่จะหาสิ่งที่ดีๆให้กับสามีและลูกๆ สุดท้ายแล้ว วันนี้ ฉัน" พึ่งใครไม่ได้เลยสักคน.... ความน้อยเนื้อต่ำใจ บวกกับอายุที่มากขึ้น ร่างกายที่เสื่อมถอยลง กลางปีที่ผ่านมา ฉันล้มป่วยลงด้วยไข้หวัดใหญ่ ทำให้ฉันต้องล้มหมอนนอนเสื่อหลายวัน ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะลุกขึ้นมาหุงหาอาหาร ......

ในขณะที่ฉันมีแต่ความสิ้นหวัง ก็ปรากฎมีชายหนุ่มคนหนึ่ง รูปร่างสูงเพรียว หน้าตาดี ผิวขาว บ่งบอกถึงคนมีฐานะและความรู้ ได้ยืนจ้องมองเข้ามาทางหน้าต่าง จนฉัน"ต้องฝืนใจเอ่ยถามไปว่า มาหาใครหรือ? ชายหนุ่มคนนั้นตอบว่า ผมชื่อ"ก๋วยก้วย"...

ฉันตกใจ จำได้ว่า 20 กว่าปีก่อน เคยมีเด็กขอทานมาขอข้าวกินตอนตรุษจีน และบอกว่าชื่อ "ก๋วยก้วย" ฉันนึกไม่ถึงว่า เด็กขอทานอายุ6--7ขวบคนนั้น จะยังมีชีวิตอยู่ ท่ามกลางหิมะตกหนัก อากาศที่หนาวเหน็บขนาดนั้น ถ้าไม่หนาวตาย ก็น่าจะหิวตายไปแล้ว... ไม่น่าเชื่อว่าจะเติบโตจนทั้งสูงใหญ่และหล่อเหลาถึงเพียงนี้.........

วันนั้น เขา "ก๋วยก้วย"รับฉันไปส่งที่โรงพยาบาลในเมือง หมอรักษาจนฉัน"หายป่วยแล้ว ฉันบอกว่า จะกลับไปที่หมู่บ้าน แต่"ก๋วยก้วย"ได้จ้างรถแทรคเตอร์คันหนึ่ง ไปไถบ้านของฉันจนพังราบไปหมด แล้วคุกเข่าต่อหน้าฉันพร้อมกับพูดว่า, "แม่"ไปอยู่กับผมเถิด ผมจำเป็นต้องทำแบบนี้ ไม่งั้น"แม่"ก็ไม่ยอมไปกับผม.....

วันนั้น วันที่แม่ให้ข้าวผมกิน....แม้ว่า "แม่"จะเป็นแม่ผมแค่วันเดียว แต่ผมก็จะขอให้"แม่" เป็น"แม่"ผมตลอดชีวิตครับ แม่อยู่กับผม ผมจะไม่ให้แม่ต้องโดดเดี่ยวอีก ฉัน"กลั้นน้ำตาไม่อยู่ ได้แต่ตาม"ก๋วยก้วย"กลับไป.........

ตอนที่"ก๋วยก้วย"ถูกสามีฉัน" ทุบตีพร้อมๆกับฉัน แล้วไล่ออกจากบ้านไป ระหว่างที่เร่ร่อนขอทานไปนั้น ถูกนักข่าวคนหนึ่งช่วยใว้ และได้ช่วยสืบ จนตามหาพ่อแม่ที่พลัดหลงระหว่างทางจนพบ หลังจากต้องเร่ร่อนขอทานอยู่นานหลายเดือน ครอบครัว"ก๋วยก้วย" คุณพ่อเปิดบริษัท กิจการค่อนข้างดี มีฐานะมั่นคง

"ก๋วยก้วย"เรียนจบมหาวิทยาลัย ก็มารับช่วงช่วยกิจการของครอบครัว จนถึงปัจจุบัน.......

สิ่งที่เด็กน้อย อายุไม่ถึง10ขวบ จำฝังใจคือฉันเป็นแม่ผู้ให้ชีวิต ด้วยข้าวราดน้ำผัก1ชาม ใช่... บุญคุณของข้าวแค่1 ชาม....

น้ำตาฉันไหลอาบแก้ม ชั่วชีวิตของฉัน" ฉัน"ยังไม่เคยได้ยินคำพูดไหนที่ลึกซึ้ง กินใจเท่ากับคำพูดของ"ก๋วยก้วย" คำนี้..."แม่" ไป เรากลับบ้านด้วยกัน"...........

แปล และเรียบเรียง โดย เจงเอี่ยม แซ่อึ้ง
黄振炎 4/2/2017

ภาพประกอบไม่เกี่ยวกับบทความ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น