วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

เทศนาเรื่องครอบครัว โดยหลวงพ่อชา เรื่องนี้อาตมาเล่าไปหรอก ตัวเองไม่เคยมีครอบครัว ทำไมไม่มีครอบครัว คืออ่านคำว่าครอบครัว มันก็รู้แล้ว ครอบครัว คืออะไร ครอบมันก็คืออย่างนี้ ถ้าเรานั่งอยู่เฉย ๆ ก็เอาอะไรมาครอบลงนี้จะเป็นอย่างไร เรานั่งอยู่ไม่มีอะไร มาครอบมันก็พอทนได้ ถ้าเอาอะไรมาครอบลง ก็เรียกว่าครอบแล้ว มันเป็นอย่างไรครอบ ก็เป็นอย่างนั้น มันมีวงจำกัดแล้ว ผู้ชายก็อยู่ในวงจำกัด ผู้หญิงก็อยู่ในวงจำกัด อาตมาไปอ่านแล้ว ครอบครัวโอยหนัก ศัพท์ตายนี่ คำนี้ไม่ใช่ศัพท์เล่น ๆ ศัพท์ที่ว่า ครอบ นี้ศัพท์ทุกข์ ไปไม่ได้มันมีจำกัดแล้ว ต่อไปอีก ครัว ก็หมายถึงการก่อกวนแล้ว ทิ่มแทงแล้ว โยมผู้หญิงเคยเข้าครัว เคยโขลกพริกคั่ว พริกแห้งไหม ไอ จาม ทั้งบ้านเลย ศัพท์ครอบครัวมันวุ่น ไม่น่าอยู่หรอก อาตมาอาศัยสองศัพท์นี่แหละจึงบวชไม่สึก ครอบครัวนี่น่ากลัว ขังไว้จะไปไหนก็ไม่ได้ ลำบากเรื่องลูกบ้าง เรื่องเงินเรื่องทองบ้าง สารพัดอย่างอยู่ในนั้น ไม่รู้จะไปที่ไหน มันผูกไว้แล้ว ลูกผู้หญิงก็มี ลูกผู้ชายก็มี มันวุ่นวายเถียงกันอยู่นั่นแหละ จนตายไม่ต้องไปไหนกันละ เจ็บใจขนาดไหนก็ไม่ว่า น้ำตามันไหลออกก็ไหลอยู่นั่นแหละ เออ น้ำตามันไม่หมดนะโยมครอบครัวนี่นะ ถ้าไม่มีครอบครัวน้ำตามันหมดเป็น ถ้ามีครอบครัว น้ำตามันหมดยาก หมดไม่ได้ โยมเห็นไหม มันบีบออกเหมือนบีบอ้อย ตาแห้ง ๆ ก็บีบออกให้เป็นน้ำไหลออกมา ไม่รู้มันมาจากไหน มันเจ็บใจแค้นใจสารพัดอย่าง มันทุกข์ เลยรวมทุกข์ บีบออกมาเป็น น้ำทุกข์ อันนี้ให้โยมทั้งหลายเข้าใจ ถ้ายังไม่ผ่านมัน จะผ่านอยู่ข้างหน้า บางคนอาจจะผ่านมาบ้างแล้วเล็ก ๆ น้อย ๆ บางคนก็เต็มที่แล้ว จะอยู่ หรือจะไปหนอ โยมผู้หญิงเคยมาหาหลวงพ่อ "หลวงพ่อ แหม ถ้าดิฉันไม่มีบุตร ดิฉันจะไปแล้ว" "เออ อยู่นั่นแหละ เรียนให้จบเสียก่อน เรียนตรงนั้น อยากจะไปก็อยากจะไป ไม่อยากจะอยู่ ถึงขนาดนั้นก็ยังหนีไม่ได้" วัดป่าพงสร้างกุฏิเล็กๆไว้ตั้ง ๗๐-๘๐ หลัง บางทีจะมีพระเณรมาอยู่บรรจุเต็ม บางทีก็มีเหลือ ๒-๓ หลัง .... อาตมาถามว่า "กุฏิยังเหลือว่างไหม" พวกชีบอก "มีบ้าง ๒-๓ หลัง" "เออ เก็บเอาไว้เถอะ บางทีพ่อบ้านแม่บ้านเขาทะเลาะกัน เอาไว้ให้เขามานอนสักหน่อย" แน่ะ มาแล้ว โยมผู้หญิง สะพายของมาแล้ว ถามว่า "โยมมาจากไหน" "มากราบหลวงพ่อ ดิฉันเบื่อโลก" "โอย! อย่าว่าเลย อาตมากลัวเหลือเกิน" พอผู้ชายมาบ้าง ก็เบื่ออีกแล้ว นั่นมาอยู่ ๒-๓ วัน ก็หายเบื่อไปแล้ว โยมผู้หญิงมาก็เบื่อ โกหกเจ้าของ โยมผู้ชายมาก็เบื่อ โกหกเจ้าของ ไปนั่งอยู่กุฏิเล็กๆ เงียบๆ คิดแล้ว "เมื่อไหร่หนอแม่บ้านจะมาเรียกเรากลับ" "เมื่อไหร่หนอพ่อบ้านจะมาเรียกเรากลับ" แน่ะ ไม่รู้อะไร มันเบื่ออะไรกัน มันโกรธแล้ว มันก็เบื่อแล้วก็กลับอีก เมื่ออยู่ในบ้านผิดทั้งนั้นล่ะ พ่อบ้านผิดทั้งนั้น แม่บ้านผิดทั้งนั้น มานั่งภาวนาได้ ๓ วัน "เออ! แม่บ้านเขาถูกเว้ย เรามันผิด" "พ่อบ้านเขาถูก เราซิผิด" มันจะกลับ มันเปลี่ยนเอาเอง ของมันอย่างนั้น ก็กลับไปเลยทั้งนั้นแหละ นี้ความจริงมันเป็นอย่างนั้นนะโลกนี้ อาตมาจึงไม่วุ่นวายอะไรกันมาก รู้ต้นรู้ปลายมันแล้ว ฉะนั้น จึงมาบวชอยู่อย่างนี้

เทศนาเรื่องครอบครัว โดยหลวงพ่อชา

เรื่องนี้อาตมาเล่าไปหรอก ตัวเองไม่เคยมีครอบครัว ทำไมไม่มีครอบครัว คืออ่านคำว่าครอบครัว
มันก็รู้แล้ว ครอบครัว คืออะไร

ครอบมันก็คืออย่างนี้ ถ้าเรานั่งอยู่เฉย ๆ ก็เอาอะไรมาครอบลงนี้จะเป็นอย่างไร เรานั่งอยู่ไม่มีอะไร มาครอบมันก็พอทนได้ ถ้าเอาอะไรมาครอบลง ก็เรียกว่าครอบแล้ว มันเป็นอย่างไรครอบ ก็เป็นอย่างนั้น มันมีวงจำกัดแล้ว

ผู้ชายก็อยู่ในวงจำกัด ผู้หญิงก็อยู่ในวงจำกัด อาตมาไปอ่านแล้ว

ครอบครัวโอยหนัก ศัพท์ตายนี่ คำนี้ไม่ใช่ศัพท์เล่น ๆ ศัพท์ที่ว่า

ครอบ นี้ศัพท์ทุกข์ ไปไม่ได้มันมีจำกัดแล้ว ต่อไปอีก
ครัว ก็หมายถึงการก่อกวนแล้ว ทิ่มแทงแล้ว

โยมผู้หญิงเคยเข้าครัว เคยโขลกพริกคั่ว พริกแห้งไหม ไอ จาม ทั้งบ้านเลย

ศัพท์ครอบครัวมันวุ่น ไม่น่าอยู่หรอก อาตมาอาศัยสองศัพท์นี่แหละจึงบวชไม่สึก

ครอบครัวนี่น่ากลัว ขังไว้จะไปไหนก็ไม่ได้ ลำบากเรื่องลูกบ้าง เรื่องเงินเรื่องทองบ้าง

สารพัดอย่างอยู่ในนั้น ไม่รู้จะไปที่ไหน มันผูกไว้แล้ว ลูกผู้หญิงก็มี ลูกผู้ชายก็มี

มันวุ่นวายเถียงกันอยู่นั่นแหละ จนตายไม่ต้องไปไหนกันละ

เจ็บใจขนาดไหนก็ไม่ว่า น้ำตามันไหลออกก็ไหลอยู่นั่นแหละ

เออ น้ำตามันไม่หมดนะโยมครอบครัวนี่นะ
ถ้าไม่มีครอบครัวน้ำตามันหมดเป็น ถ้ามีครอบครัว น้ำตามันหมดยาก

หมดไม่ได้ โยมเห็นไหม มันบีบออกเหมือนบีบอ้อย
ตาแห้ง ๆ ก็บีบออกให้เป็นน้ำไหลออกมา

ไม่รู้มันมาจากไหน มันเจ็บใจแค้นใจสารพัดอย่าง มันทุกข์ เลยรวมทุกข์ บีบออกมาเป็น น้ำทุกข์

อันนี้ให้โยมทั้งหลายเข้าใจ ถ้ายังไม่ผ่านมัน จะผ่านอยู่ข้างหน้า

บางคนอาจจะผ่านมาบ้างแล้วเล็ก ๆ น้อย ๆ
บางคนก็เต็มที่แล้ว จะอยู่ หรือจะไปหนอ โยมผู้หญิงเคยมาหาหลวงพ่อ

"หลวงพ่อ แหม ถ้าดิฉันไม่มีบุตร ดิฉันจะไปแล้ว"
"เออ อยู่นั่นแหละ เรียนให้จบเสียก่อน เรียนตรงนั้น อยากจะไปก็อยากจะไป ไม่อยากจะอยู่ ถึงขนาดนั้นก็ยังหนีไม่ได้"

วัดป่าพงสร้างกุฏิเล็กๆไว้ตั้ง ๗๐-๘๐ หลัง บางทีจะมีพระเณรมาอยู่บรรจุเต็ม
บางทีก็มีเหลือ ๒-๓ หลัง .... อาตมาถามว่า

"กุฏิยังเหลือว่างไหม"
พวกชีบอก "มีบ้าง ๒-๓ หลัง"
"เออ เก็บเอาไว้เถอะ บางทีพ่อบ้านแม่บ้านเขาทะเลาะกัน เอาไว้ให้เขามานอนสักหน่อย"

แน่ะ มาแล้ว โยมผู้หญิง สะพายของมาแล้ว
ถามว่า "โยมมาจากไหน"
"มากราบหลวงพ่อ ดิฉันเบื่อโลก"
"โอย! อย่าว่าเลย อาตมากลัวเหลือเกิน"

พอผู้ชายมาบ้าง ก็เบื่ออีกแล้ว นั่นมาอยู่ ๒-๓ วัน ก็หายเบื่อไปแล้ว
โยมผู้หญิงมาก็เบื่อ โกหกเจ้าของ โยมผู้ชายมาก็เบื่อ โกหกเจ้าของ

ไปนั่งอยู่กุฏิเล็กๆ เงียบๆ คิดแล้ว "เมื่อไหร่หนอแม่บ้านจะมาเรียกเรากลับ" "เมื่อไหร่หนอพ่อบ้านจะมาเรียกเรากลับ"

แน่ะ ไม่รู้อะไร มันเบื่ออะไรกัน มันโกรธแล้ว มันก็เบื่อแล้วก็กลับอีก

เมื่ออยู่ในบ้านผิดทั้งนั้นล่ะ พ่อบ้านผิดทั้งนั้น แม่บ้านผิดทั้งนั้น

มานั่งภาวนาได้ ๓ วัน
"เออ! แม่บ้านเขาถูกเว้ย เรามันผิด" "พ่อบ้านเขาถูก เราซิผิด"
มันจะกลับ มันเปลี่ยนเอาเอง ของมันอย่างนั้น ก็กลับไปเลยทั้งนั้นแหละ

นี้ความจริงมันเป็นอย่างนั้นนะโลกนี้
อาตมาจึงไม่วุ่นวายอะไรกันมาก
รู้ต้นรู้ปลายมันแล้ว ฉะนั้น จึงมาบวชอยู่อย่างนี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น