วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

โทรศัพท์ให้พ่อ พ่อของผมอายุ 60 ปีแล้ว บ้านเราอยู่ต่างจังหวัดและเข้าป่าไป ค่อนข้างลึก การติดต่อไม่ค่อยสะดวกนัก พ่อไม่ยอมที่จะย้ายมา อยู่ในเมืองกับผมอีก ตอนที่ผมกับน้องสาวจะซื้อมือถือไปให้พ่อ พ่อบอกกับผมและน้องสาวว่า “พ่อแก่จนจะเข้าโลงแล้วนะ ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ของทันสมัย แบบนี้หรอก” ผมกับน้องสาวมาทำงานในเมืองหลวง ปล่อยให้พ่ออยู่ที่บ้าน นอกเพียงลำพัง แม้จะไม่วางใจ แต่เราก็ไม่รู้จะทำยังไง! ต้นปี ก่อนผมกับน้องสาวพากันกลับบ้านไปเยี่ยมพ่อ เราซื้อมือถือไป ให้พ่อด้วย แม้ปากท่านจะบอกว่า “ไม่เอาๆ มันสิ้นเปลืองเปล่าๆ” แต่ก็รับไปพร้อมกับหัวเราะและยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ทีเดียว ทำให้เรารู้ ว่าพ่อพอใจกับสิ่งนี้เพียงใด แม้จะอยากจะอยู่กับพ่อนานเพียงใด แต่ก็ไม่เกิน3วันก็ต้องกลับ เช้าวันทำงานวันแรกของปี ผมตื่นมาเพราะเสียงของข้อความ “อากาศหนาว ใส่เสื้อให้หนาหน่อยนะ หาอะไรกินก่อนไปทำงาน” มันเป็นข้อความที่คุ้นมากๆ ผมจ้องดูหมายเลขโทรศัพท์ตั้งนาน จึงจำได้ว่าเป็นหมายเลขที่ซื้อให้พ่อนั่นเอง เพราะตอนกลับบ้าน เมมแต่ชื่อของพวกเราลงเครื่องของพ่อจนลืมเมมหมายเลขของ พ่อลงเครื่องของตัวเอง จากนั้นเป็นต้นมา ผมก็จะได้รับข้อความจากพ่ออยู่เสมอไม่ขาด พ่อเรียนหนังสือไม่จบ ป.4 เสียด้วยซ้ำ แต่พ่อก็มีความพยายาม ในการสะกดข้อความส่งให้ผมและน้องอยู่เสมอ ทุกครั้งที่ได้รับ ข้อความก็อยากจะโทรหาพ่อในทันที แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ โทร เพราะได้รับข้อความในเวลาทำงานเสมอ ก็คงเป็นข้ออ้าง ที่เรามักจะพูดกันอยู่เสมอว่า “เรายุ่ง!” ยุ่งกับงาน ยุ่งกับเงิน ยุ่ง กับความรัก ยุ่งกับความเหงา ฯลฯ ยุ่งจนเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ผม กับน้องสาวได้พากันกลับไปเยี่ยมพ่ออีกครั้ง ผมเห็นพ่อเอาแต่จ้องมองโทรศัพท์ น้องสาวผมบอกว่าโทรศัพท์ คงไม่มีเงิน หรือไม่ก็โทรศัพท์เสีย ผมว่าคงไม่ใช่ เพราะสองวัน ก่อนผมก็เพิ่งได้รับข้อความจากพ่อมาหมาดๆ “เอ็งบอกพ่อว่า ส่งข้อความประหยัดกว่าโทร พ่อก็ส่งข้อความ ให้พวกแกเสมอ แกใช้กันเป็นหรือเปล่า ทำไมไม่ค่อยมีใครตอบ ข้อความกลับมาหาพ่อเลยล่ะ?” ผมฟังเสร็จก็หน้าแดงด้วยความรู้สึกละอาย ไม่อยากให้พ่อรู้สึก เสียใจไปมากกว่านี้ จึงได้แต่พูดปลอบใจแกไปว่า “คงเป็นเพราะเคลื่องไม่ค่อยดีครับพ่อ” พ่อได้แต่พยักหน้ารับเหมือนจะเข้าใจ แต่ก็ไม่พูดอะไรอีก หลังกลับจากบ้านนอกสิ่งที่ผมทำในเช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากตื่นนอน ก็คือโทรศัพท์กลับไปหาพ่อ “พ่อครับ ผมถึงกรุงเทพเมื่อคืนดึกๆ ไม่กล้าโทรหาพ่อเพราะเกรง ว่าพ่อจะนอนแล้ว กลับบ้านคราวหน้าผมจะซื้อมือถือเครื่องใหม่ ให้พ่อนะครับ เอาที่ดีๆหน่อย” “ไม่ต้องหรอก เครื่องนี้ก็ดีอยู่แล้ว เสียงของเอ็งชัดมาก เหมือน เอ็งกำลังพูดอยู่ข้างๆพ่อเลย ” “แต่รุ่นใหม่นี้พูดผ่านวีดีโอได้ด้วยนะครับพ่อ เวลาผมคุยกับพ่อก็ จะได้เห็นหน้าพ่อด้วยไงครับ” “ไม่ต้องหรอกแค่พ่อได้ยินเสียงของเอ็งพ่อก็ดีใจแล้ว เหมือนเอ็ง อยู่กับพ่อเลยนะวัฒน์” ผมต้องรีบตัดบทบอกพ่อว่าผมต้องรีบแต่งตัวไปทำงานแล้ว เดี๋ยวจะไปทำงานสาย ที่จริงผมกลัวว่าพ่อจะได้ยินเสียงสะอื้นของผม ต่างหาก ................................. เมื่อพ่อแก่ตัวลง สิ่งที่พ่อแก่ๆหวังก็คือ ลูกๆหลานๆอยู่กันอย่างปลอดภัยและสุข สบาย โทรหาท่านบ้าง บอกกับท่านว่าคุณสบายดี นี่คือของขวัญอย่างดีที่คุณให้ท่านได้ หากสิ่งเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ ผู้เป็นลูกยังให้ท่านไม่ได้ ทุกครั้งที่ผมนึกถึงพ่อขึ้นมา คลื่นของ ความละอายใจก็ถาโถมซัดหัวใจผมครั้งแล้วครั้งเล่า

โทรศัพท์ให้พ่อ

พ่อของผมอายุ 60 ปีแล้ว บ้านเราอยู่ต่างจังหวัดและเข้าป่าไป
ค่อนข้างลึก การติดต่อไม่ค่อยสะดวกนัก พ่อไม่ยอมที่จะย้ายมา
อยู่ในเมืองกับผมอีก ตอนที่ผมกับน้องสาวจะซื้อมือถือไปให้พ่อ
พ่อบอกกับผมและน้องสาวว่า

“พ่อแก่จนจะเข้าโลงแล้วนะ ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ของทันสมัย
แบบนี้หรอก”

ผมกับน้องสาวมาทำงานในเมืองหลวง ปล่อยให้พ่ออยู่ที่บ้าน
นอกเพียงลำพัง แม้จะไม่วางใจ แต่เราก็ไม่รู้จะทำยังไง! ต้นปี
ก่อนผมกับน้องสาวพากันกลับบ้านไปเยี่ยมพ่อ เราซื้อมือถือไป
ให้พ่อด้วย แม้ปากท่านจะบอกว่า

“ไม่เอาๆ มันสิ้นเปลืองเปล่าๆ”

แต่ก็รับไปพร้อมกับหัวเราะและยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ทีเดียว ทำให้เรารู้
ว่าพ่อพอใจกับสิ่งนี้เพียงใด แม้จะอยากจะอยู่กับพ่อนานเพียงใด
แต่ก็ไม่เกิน3วันก็ต้องกลับ

เช้าวันทำงานวันแรกของปี ผมตื่นมาเพราะเสียงของข้อความ
“อากาศหนาว ใส่เสื้อให้หนาหน่อยนะ หาอะไรกินก่อนไปทำงาน”
มันเป็นข้อความที่คุ้นมากๆ ผมจ้องดูหมายเลขโทรศัพท์ตั้งนาน
จึงจำได้ว่าเป็นหมายเลขที่ซื้อให้พ่อนั่นเอง เพราะตอนกลับบ้าน
เมมแต่ชื่อของพวกเราลงเครื่องของพ่อจนลืมเมมหมายเลขของ
พ่อลงเครื่องของตัวเอง

จากนั้นเป็นต้นมา ผมก็จะได้รับข้อความจากพ่ออยู่เสมอไม่ขาด
พ่อเรียนหนังสือไม่จบ ป.4 เสียด้วยซ้ำ แต่พ่อก็มีความพยายาม
ในการสะกดข้อความส่งให้ผมและน้องอยู่เสมอ ทุกครั้งที่ได้รับ
ข้อความก็อยากจะโทรหาพ่อในทันที แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้
โทร เพราะได้รับข้อความในเวลาทำงานเสมอ ก็คงเป็นข้ออ้าง
ที่เรามักจะพูดกันอยู่เสมอว่า “เรายุ่ง!” ยุ่งกับงาน ยุ่งกับเงิน ยุ่ง
กับความรัก ยุ่งกับความเหงา ฯลฯ ยุ่งจนเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ผม
กับน้องสาวได้พากันกลับไปเยี่ยมพ่ออีกครั้ง

ผมเห็นพ่อเอาแต่จ้องมองโทรศัพท์ น้องสาวผมบอกว่าโทรศัพท์
คงไม่มีเงิน หรือไม่ก็โทรศัพท์เสีย ผมว่าคงไม่ใช่ เพราะสองวัน
ก่อนผมก็เพิ่งได้รับข้อความจากพ่อมาหมาดๆ

“เอ็งบอกพ่อว่า ส่งข้อความประหยัดกว่าโทร พ่อก็ส่งข้อความ
ให้พวกแกเสมอ แกใช้กันเป็นหรือเปล่า ทำไมไม่ค่อยมีใครตอบ
ข้อความกลับมาหาพ่อเลยล่ะ?”

ผมฟังเสร็จก็หน้าแดงด้วยความรู้สึกละอาย ไม่อยากให้พ่อรู้สึก
เสียใจไปมากกว่านี้ จึงได้แต่พูดปลอบใจแกไปว่า
“คงเป็นเพราะเคลื่องไม่ค่อยดีครับพ่อ”
พ่อได้แต่พยักหน้ารับเหมือนจะเข้าใจ แต่ก็ไม่พูดอะไรอีก

หลังกลับจากบ้านนอกสิ่งที่ผมทำในเช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากตื่นนอน
ก็คือโทรศัพท์กลับไปหาพ่อ

“พ่อครับ ผมถึงกรุงเทพเมื่อคืนดึกๆ ไม่กล้าโทรหาพ่อเพราะเกรง
ว่าพ่อจะนอนแล้ว กลับบ้านคราวหน้าผมจะซื้อมือถือเครื่องใหม่
ให้พ่อนะครับ เอาที่ดีๆหน่อย”
“ไม่ต้องหรอก เครื่องนี้ก็ดีอยู่แล้ว เสียงของเอ็งชัดมาก เหมือน
เอ็งกำลังพูดอยู่ข้างๆพ่อเลย ”
“แต่รุ่นใหม่นี้พูดผ่านวีดีโอได้ด้วยนะครับพ่อ เวลาผมคุยกับพ่อก็
จะได้เห็นหน้าพ่อด้วยไงครับ”
“ไม่ต้องหรอกแค่พ่อได้ยินเสียงของเอ็งพ่อก็ดีใจแล้ว เหมือนเอ็ง
อยู่กับพ่อเลยนะวัฒน์”

ผมต้องรีบตัดบทบอกพ่อว่าผมต้องรีบแต่งตัวไปทำงานแล้ว เดี๋ยวจะไปทำงานสาย ที่จริงผมกลัวว่าพ่อจะได้ยินเสียงสะอื้นของผม
ต่างหาก
.................................
เมื่อพ่อแก่ตัวลง
สิ่งที่พ่อแก่ๆหวังก็คือ ลูกๆหลานๆอยู่กันอย่างปลอดภัยและสุข
สบาย โทรหาท่านบ้าง บอกกับท่านว่าคุณสบายดี

นี่คือของขวัญอย่างดีที่คุณให้ท่านได้ หากสิ่งเล็กๆน้อยๆเหล่านี้
ผู้เป็นลูกยังให้ท่านไม่ได้ ทุกครั้งที่ผมนึกถึงพ่อขึ้นมา คลื่นของ
ความละอายใจก็ถาโถมซัดหัวใจผมครั้งแล้วครั้งเล่า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น