วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

เห็นมาก็ว่าไป ใครเขียนก็ไม่รู้ จะจริงหรือไม่จริงอยู่ที่เห็นด้วย หรือไม่ด้วยเท่านั้นเอง ขออนุโมทนาผู้เขียน มา ณ ที่นี้ด้วย "๑๐ ข้อความจริงของชีวิต" ๑. ศีลไม่ได้อยู่ที่พระ ธรรมะไม่ได้อยู่ที่วัด เงินไม่ได้อยู่ที่เศรษฐี แต่ศีลอยู่ที่กายใจของเรา ธรรมะอยู่ที่สติ และเงินอยู่ทุกที่ ที่มีความขยัน ๒. โลกเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับว่า เราใส่แว่นตาสีอะไรมองโลก หากมองโลกดี ชีวิตจะมีแต่สิ่งรื่นรมย์ หากมองโลกร้าย ชีวิตจะมีแต่วุ่นวายและทุกข์ระทม ๓. จงดึงเอาความรู้สึกผิดที่เรามี มาเป็นแรงบันดาลใจให้ทำดียิ่งๆขึ้น อย่าจมอยู่กับอดีต มีแต่การสร้างตัวเองใหม่เท่านั้นที่จะหลุดพ้นจากความรู้สึกผิด ๔. ความสุขไม่ได้ขึ้นอยู่กับความมี แต่อยู่ที่เราค้นพบว่า อะไรคือแก่นแท้ของชีวิต แล้วอยู่กับสิ่งนั้นด้วยความรักและพอใจ คนนั้นก็คือคนมีความสุข ๕. ยามใดที่ชีวิตพบกับความทุกข์ หากไม่มัวแต่เป็นทุกข์ ทว่าเรียนรู้ที่จะมองดูความทุกข์อย่างมีสติ อย่างแยบคาย อย่างเป็นผู้ดู ไม่ได้เป็นผู้เป็น ความทุกข์ก็จะทอประกายแห่งความสุขออกมาให้เห็น ๖. ในเมื่อไม่มีสิ่งที่เราชอบ เราก็ควรชอบสิ่งที่เรามี เพราะในโลกนี้ไม่มีใครได้ทุกสิ่งอย่างใจหวัง และจะไม่มีใครพลาดหวังทุกอย่างไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราจะทำ มีแง่ดีแง่งามอยู่เสมอขอให้เรามองให้เห็น ถ้ามองเห็นเราก็จะเป็นสุขกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ๗. ในโลกแห่งความเป็นจริง คนทุกคนก็เป็นครูได้ คนเก่ง ไม่เก่ง ฉลาดรู้หนังสือ ไม่รู้หนังสือ ยากดีมีจน สัตว์ ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมเหตุการณ์ ดิน ฟ้า อากาศ ความผิดหวัง ความสมหวัง ความรัก ความชัง ฯลฯ เหล่านี้ คือ ครูในมหาวิทยาลัยชีวิต ที่ทุกคนจะต้องเรียนรู้ ศึกษากันไปอย่างไม่มีวันจบ ๘. อย่าแบกอะไรที่เกินกำลังของตัวเอง เพราะไม่เพียงแต่ มันจะทำให้เราหนักและเป็นทุกข์ แต่บางทีอาจมีผลต่อการยืนตรงๆ อย่างยาวนานของเราด้วย ๙. เรื่องบางเรื่องไม่ใช่เรื่องที่ควรทุกข์ แต่พอเราไม่ยอมปล่อยวาง ทุกข์ก็รุกคืบเข้ามา เรื่องบางเรื่องใครต่อใครก็เห็นอยู่ว่า ทุกข์หนักหนาสาหัส แต่สำหรับคนที่ปล่อยวางเป็นก็เป็นสุข ความสุขหรือความทุกข์ บางครั้งอยู่ที่ “ท่าที” ในการเผชิญของเราเป็นสำคัญ ถ้า “รู้เท่าทัน” สิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างมีสติ ทุกข์อาจกลายเป็นสุข, ปัญหาอาจกลายเป็นปัญญา, วิกฤติอาจถูกแปรเป็นโอกาสที่นำสู่ความสำเร็จในชีวิตได้ ๑๐. ความล้มเหลว เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตซึ่งขาดไม่ได้ของคนทำงาน คนที่ไม่เคยล้มเหลว คือคนที่ไม่เคยทำอะไร ด้วยข้อเท็จจริงเช่นนี้ คนที่กำลังคิดการใหญ่ทุกคน จึงมองความล้มเหลว ด้วยสายตาที่เป็นบวก เพราะเขารู้อยู่แก่ใจว่า ความล้มเหลว เป็นคู่กับความสำเร็จได้มาทุกโอกาสนั่นเอง เห็นมาก็ว่าไป ท่านคมสรณ์ พระธรรมทูตอินเดีย

เห็นมาก็ว่าไป ใครเขียนก็ไม่รู้
จะจริงหรือไม่จริงอยู่ที่เห็นด้วย หรือไม่ด้วยเท่านั้นเอง ขออนุโมทนาผู้เขียน มา ณ ที่นี้ด้วย

"๑๐ ข้อความจริงของชีวิต"

๑. ศีลไม่ได้อยู่ที่พระ ธรรมะไม่ได้อยู่ที่วัด เงินไม่ได้อยู่ที่เศรษฐี แต่ศีลอยู่ที่กายใจของเรา ธรรมะอยู่ที่สติ และเงินอยู่ทุกที่ ที่มีความขยัน

๒. โลกเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับว่า เราใส่แว่นตาสีอะไรมองโลก หากมองโลกดี ชีวิตจะมีแต่สิ่งรื่นรมย์ หากมองโลกร้าย ชีวิตจะมีแต่วุ่นวายและทุกข์ระทม

๓. จงดึงเอาความรู้สึกผิดที่เรามี มาเป็นแรงบันดาลใจให้ทำดียิ่งๆขึ้น อย่าจมอยู่กับอดีต มีแต่การสร้างตัวเองใหม่เท่านั้นที่จะหลุดพ้นจากความรู้สึกผิด

๔. ความสุขไม่ได้ขึ้นอยู่กับความมี แต่อยู่ที่เราค้นพบว่า อะไรคือแก่นแท้ของชีวิต แล้วอยู่กับสิ่งนั้นด้วยความรักและพอใจ คนนั้นก็คือคนมีความสุข

๕. ยามใดที่ชีวิตพบกับความทุกข์ หากไม่มัวแต่เป็นทุกข์ ทว่าเรียนรู้ที่จะมองดูความทุกข์อย่างมีสติ อย่างแยบคาย อย่างเป็นผู้ดู ไม่ได้เป็นผู้เป็น ความทุกข์ก็จะทอประกายแห่งความสุขออกมาให้เห็น

๖. ในเมื่อไม่มีสิ่งที่เราชอบ เราก็ควรชอบสิ่งที่เรามี เพราะในโลกนี้ไม่มีใครได้ทุกสิ่งอย่างใจหวัง และจะไม่มีใครพลาดหวังทุกอย่างไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราจะทำ มีแง่ดีแง่งามอยู่เสมอขอให้เรามองให้เห็น ถ้ามองเห็นเราก็จะเป็นสุขกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

๗. ในโลกแห่งความเป็นจริง คนทุกคนก็เป็นครูได้ คนเก่ง ไม่เก่ง ฉลาดรู้หนังสือ ไม่รู้หนังสือ ยากดีมีจน สัตว์ ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมเหตุการณ์ ดิน ฟ้า อากาศ ความผิดหวัง ความสมหวัง ความรัก ความชัง ฯลฯ เหล่านี้ คือ ครูในมหาวิทยาลัยชีวิต ที่ทุกคนจะต้องเรียนรู้ ศึกษากันไปอย่างไม่มีวันจบ

๘. อย่าแบกอะไรที่เกินกำลังของตัวเอง เพราะไม่เพียงแต่ มันจะทำให้เราหนักและเป็นทุกข์ แต่บางทีอาจมีผลต่อการยืนตรงๆ อย่างยาวนานของเราด้วย

๙. เรื่องบางเรื่องไม่ใช่เรื่องที่ควรทุกข์ แต่พอเราไม่ยอมปล่อยวาง ทุกข์ก็รุกคืบเข้ามา เรื่องบางเรื่องใครต่อใครก็เห็นอยู่ว่า ทุกข์หนักหนาสาหัส แต่สำหรับคนที่ปล่อยวางเป็นก็เป็นสุข ความสุขหรือความทุกข์ บางครั้งอยู่ที่ “ท่าที” ในการเผชิญของเราเป็นสำคัญ ถ้า “รู้เท่าทัน” สิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างมีสติ ทุกข์อาจกลายเป็นสุข, ปัญหาอาจกลายเป็นปัญญา, วิกฤติอาจถูกแปรเป็นโอกาสที่นำสู่ความสำเร็จในชีวิตได้

๑๐. ความล้มเหลว เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตซึ่งขาดไม่ได้ของคนทำงาน คนที่ไม่เคยล้มเหลว คือคนที่ไม่เคยทำอะไร ด้วยข้อเท็จจริงเช่นนี้ คนที่กำลังคิดการใหญ่ทุกคน จึงมองความล้มเหลว ด้วยสายตาที่เป็นบวก เพราะเขารู้อยู่แก่ใจว่า ความล้มเหลว เป็นคู่กับความสำเร็จได้มาทุกโอกาสนั่นเอง

เห็นมาก็ว่าไป

ท่านคมสรณ์ พระธรรมทูตอินเดีย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น