วันเสาร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2560

บุญ กับ คำอธิษฐาน เราตั้งจิตอธิฐานอย่างไร พลังบุญซึ่งเป็นกระแสบุญธาตุอันบริสุทธิ์ ก็จะส่งเอาไปใช้ให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ตามความปรารถนาของเรา ถ้าเราตั้งความปรารถนาใหญ่ กำลังบุญก็จะต้องพอเหมาะพอสมกัน เช่น ปรารถนาจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กำลังบุญก็ต้องเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ทั้ง ๓๐ ทัศ จึงจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ เพราะฉะนั้น พระบรมโพธิสัตว์จึงไม่ได้ทำบุญครั้งเดียว อธิษฐานครั้งเดียว แต่ทำนับครั้งไม่ถ้วน นับชาติไม่ถ้วน ซึ่งก็แล้วแต่ว่าสิ่งที่เราปรารถนานั้นมันเล็ก ปานกลาง หรือยิ่งใหญ่ขนาดไหนที่จะพอเหมาะพอดีกัน เหมือนเรามีเงินนิดหน่อย แต่อยากจะซื้อบ้านหลังใหญ่ หรือรถเก๋งหรู ๆ มันก็ยังซื้อไม่ได้ เพราะฉะนั้นของที่เราอยากได้ต้องพอเหมาะกับเงินที่เรามี บุญก็เช่นเดียวกันจะต้องพอเหมาะ กับสิ่งที่เราได้ตั้งความปรารถนาเอาไว้ เมื่อบุญยังมีไม่พอ ก็ต้องค่อย ๆ สั่งสมกันไป

บุญ กับ คำอธิษฐาน

เราตั้งจิตอธิฐานอย่างไร
พลังบุญซึ่งเป็นกระแสบุญธาตุอันบริสุทธิ์
ก็จะส่งเอาไปใช้ให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้
ตามความปรารถนาของเรา

ถ้าเราตั้งความปรารถนาใหญ่
กำลังบุญก็จะต้องพอเหมาะพอสมกัน
เช่น ปรารถนาจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
กำลังบุญก็ต้องเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ทั้ง ๓๐ ทัศ
จึงจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้
เพราะฉะนั้น พระบรมโพธิสัตว์จึงไม่ได้ทำบุญครั้งเดียว
อธิษฐานครั้งเดียว แต่ทำนับครั้งไม่ถ้วน นับชาติไม่ถ้วน
ซึ่งก็แล้วแต่ว่าสิ่งที่เราปรารถนานั้นมันเล็ก ปานกลาง
หรือยิ่งใหญ่ขนาดไหนที่จะพอเหมาะพอดีกัน

เหมือนเรามีเงินนิดหน่อย แต่อยากจะซื้อบ้านหลังใหญ่
หรือรถเก๋งหรู ๆ มันก็ยังซื้อไม่ได้
เพราะฉะนั้นของที่เราอยากได้ต้องพอเหมาะกับเงินที่เรามี
บุญก็เช่นเดียวกันจะต้องพอเหมาะ
กับสิ่งที่เราได้ตั้งความปรารถนาเอาไว้
เมื่อบุญยังมีไม่พอ ก็ต้องค่อย ๆ สั่งสมกันไป

จะเลือกทางไหน มีวันหนึ่ง พนักงานเล็กๆคนหนึ่ง เร่งรีบที่จะไปทำงาน วันนี้ทางบริษัทฯ มีนัดการประ ชุมที่สำคัญอย่างยิ่ง ในการประชุมครั้งนี้ เกี่ยวพันถึงดวงชะตาของของเขา จะได้ เลื่อนตำแหน่งหรือไม่ ฉะนั้นแล้ว เขาจึงไปสายไม่ได้ เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่ นาฬิกาปลุกของเขาบังเอิญมาเสียในเช้าวันนี้ แย่ยิ่งไปกว่านั้น เขาคงเหลือเวลายี่สิบนาที การประชุมก็จะเริ่มขึ้นแล้ว พนักงานเล็กๆผู้นี้ จึงจำต้องเปลี่ยนเป็นไปรถแท็กซี่แทน หวังว่าจะไปทันการประชุม ไม่ง่ายเลย กว่าเขาจะโบกแท็กซี่ได้คันหนึ่ง กุลีกุจอขึ้นรถ แล้วรีบบอกคนขับว่า " โชเฟอร์ ผมเร่งรีบ กำลังแข่งกับเวลา ไหว้วานคุณวิ่งในเส้นทางที่สั้นที่สุด " โชเฟอร์ถามกลับว่า " คุณครับ จะวิ่งในเส้นทางที่สั้นที่สุด หรือจะวิ่งในเส้นทางที่เร็ว ที่สุด " พนักงานเล็กๆประหลาดใจกับคำถามของโชเฟอร์ จึงถามว่า " เส้นทางที่สั้นที่สุด ก็ เป็นเส้นทางที่เร็วที่สุดไม่ใช่หรือ ?" " ไม่ใช่แน่นอน ตอนนี้เป็นช่วงเวลาเร่งด่วน เส้นทางที่สั้นที่สุด มักจะจราจรติดขัดมาก ที่สุด หากคุณต้องการทำเวลาแล้ว คุณจะต้องอ้อมไปอีกเส้นทางหนึ่ง แม้ระยะทางจะ ไกลขึ้น แต่ก็เป็นวิธีที่ถึงเร็วที่สุด " หลังจากได้รับฟังคำแนะนำของโชเฟอร์แล้ว พนักงานเล็กๆผู้นี้จึงได้เลือกเส้นทางที่ เร็วที่สุด ระหว่างทาง เขาได้มองไปที่ถนนเส้นหนึ่ง จราจรติดขัดมาก รถไม่สามารถขยับไปข้าง หน้าได้เลย โชเฟอร์ได้อธิบายว่า ถนนเส้นนั้นก็คิอเส้นทางที่สั้นที่สุด ไม่ผิดแม้แต่น้อย ใช้ถนนอีกเส้นหนึ่ง แม้ระยะทางไกลขึ้น แต่สามารถไปได้อย่าง คล่องแคล่ว ถึงจุดหมายอย่างรวดเร็ว พนักงานเล็กๆนั้น สุดท้ายก็ทันการประชุม อีกทั้งได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าแผนก คนเรามักชอบใช้เส้นทางลัด หวังจะได้มาโดยง่ายดายไม่ต้องออกแรงหรือเปลื่องแรง น้อยนิด มักจะคิดว่าการใช้ทางลัด จะถึงเป้าหมายได้เร็วที่สุด นักพนัน... คุณเคยเห็นนักพนันกี่มากน้อยที่ ไม่เคยทำงาน แต่เพราะเล่นการพนันแล้ว กลายเป็นเศรษฐี ศูนย์กวดวิชา ทุกแห่ง ล้วนไม่เคยกังวลจะไม่มีนักเรียน นักศึกษามาอุดหนุน คุณเคยเห็น นักเรียน นักศึกษากี่มากน้อยที่ ไม่เข้าเรียนที่โรงเรียน แต่เรียนที่ศูนย์ กวดวิชาเพียงที่เดียวแล้ว สามารถจะได้ผลสอบที่โดดเด่นเป็นเลิศ ในมุมกลับกัน เป็นเพราะเดินทางลัดแล้ว ต้องใช้เวลามากขึ้น บุคคลที่เห็นเงินทอง เหมือนดั่งชีวิต เรากับพบเห็นได้มากมาย ฉะนั้นแล้ว ทางลัดย่อมไม่ใช่หนทางที่เดินได้สะดวก ไม่เพียงขวากหนามมากมาย อีก ทั้งเพรียบพร้อมภัยอันตราย ไม่มีใครกล้ารับประกันได้ว่า เส้นทางลัดที่คุณเดินอยู่ จะ ถึงจุดหมายปลายทางได้แน่นอน เดินบนเส้นทางที่ยาวไกลขึ้น แม้จะเหนื่อยมากขึ้น ความลำบากเพิ่มขึ้น แต่ก็เป็นหน ทางเพียงหนึ่งเดียวที่ถึงจุดมุ่งหมายเร็วที่สุด ชีวิตคนเรา ก้าวย่างแต่ละก้าว ด้วยความรอบคอบมั่นคงแน่วแน่ จึงเป็นสิ่งที่ประเสริฐ สุด เวลาของชีวิตมีจำกัด โอกาสก็มีจำกัดเช่นกัน ผู้คนมากมาย เป็นเพราะชั่วชีวิตใช้แต่เส้นทางลัด ผลสุดท้าย มักจะเดินไปในทางตัน ใช้เวลาส่วนมาก อีกทั้ง วัยยามหนุ่มสาวไปอย่างสิ้นเปลื่อง

จะเลือกทางไหน

มีวันหนึ่ง พนักงานเล็กๆคนหนึ่ง เร่งรีบที่จะไปทำงาน วันนี้ทางบริษัทฯ มีนัดการประ
ชุมที่สำคัญอย่างยิ่ง ในการประชุมครั้งนี้ เกี่ยวพันถึงดวงชะตาของของเขา จะได้
เลื่อนตำแหน่งหรือไม่ ฉะนั้นแล้ว เขาจึงไปสายไม่ได้

เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่ นาฬิกาปลุกของเขาบังเอิญมาเสียในเช้าวันนี้ แย่ยิ่งไปกว่านั้น
เขาคงเหลือเวลายี่สิบนาที การประชุมก็จะเริ่มขึ้นแล้ว

พนักงานเล็กๆผู้นี้ จึงจำต้องเปลี่ยนเป็นไปรถแท็กซี่แทน หวังว่าจะไปทันการประชุม
ไม่ง่ายเลย กว่าเขาจะโบกแท็กซี่ได้คันหนึ่ง กุลีกุจอขึ้นรถ แล้วรีบบอกคนขับว่า

" โชเฟอร์ ผมเร่งรีบ กำลังแข่งกับเวลา ไหว้วานคุณวิ่งในเส้นทางที่สั้นที่สุด "

โชเฟอร์ถามกลับว่า " คุณครับ จะวิ่งในเส้นทางที่สั้นที่สุด หรือจะวิ่งในเส้นทางที่เร็ว
ที่สุด "

พนักงานเล็กๆประหลาดใจกับคำถามของโชเฟอร์ จึงถามว่า " เส้นทางที่สั้นที่สุด ก็
เป็นเส้นทางที่เร็วที่สุดไม่ใช่หรือ ?"

" ไม่ใช่แน่นอน ตอนนี้เป็นช่วงเวลาเร่งด่วน เส้นทางที่สั้นที่สุด มักจะจราจรติดขัดมาก
ที่สุด หากคุณต้องการทำเวลาแล้ว คุณจะต้องอ้อมไปอีกเส้นทางหนึ่ง แม้ระยะทางจะ
ไกลขึ้น แต่ก็เป็นวิธีที่ถึงเร็วที่สุด "

หลังจากได้รับฟังคำแนะนำของโชเฟอร์แล้ว พนักงานเล็กๆผู้นี้จึงได้เลือกเส้นทางที่
เร็วที่สุด

ระหว่างทาง เขาได้มองไปที่ถนนเส้นหนึ่ง จราจรติดขัดมาก รถไม่สามารถขยับไปข้าง
หน้าได้เลย โชเฟอร์ได้อธิบายว่า ถนนเส้นนั้นก็คิอเส้นทางที่สั้นที่สุด

ไม่ผิดแม้แต่น้อย ใช้ถนนอีกเส้นหนึ่ง แม้ระยะทางไกลขึ้น แต่สามารถไปได้อย่าง
คล่องแคล่ว ถึงจุดหมายอย่างรวดเร็ว

พนักงานเล็กๆนั้น สุดท้ายก็ทันการประชุม อีกทั้งได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าแผนก

คนเรามักชอบใช้เส้นทางลัด หวังจะได้มาโดยง่ายดายไม่ต้องออกแรงหรือเปลื่องแรง
น้อยนิด มักจะคิดว่าการใช้ทางลัด จะถึงเป้าหมายได้เร็วที่สุด

นักพนัน... คุณเคยเห็นนักพนันกี่มากน้อยที่ ไม่เคยทำงาน แต่เพราะเล่นการพนันแล้ว
กลายเป็นเศรษฐี

ศูนย์กวดวิชา ทุกแห่ง ล้วนไม่เคยกังวลจะไม่มีนักเรียน นักศึกษามาอุดหนุน คุณเคยเห็น นักเรียน นักศึกษากี่มากน้อยที่ ไม่เข้าเรียนที่โรงเรียน แต่เรียนที่ศูนย์
กวดวิชาเพียงที่เดียวแล้ว สามารถจะได้ผลสอบที่โดดเด่นเป็นเลิศ

ในมุมกลับกัน เป็นเพราะเดินทางลัดแล้ว ต้องใช้เวลามากขึ้น บุคคลที่เห็นเงินทอง
เหมือนดั่งชีวิต เรากับพบเห็นได้มากมาย

ฉะนั้นแล้ว ทางลัดย่อมไม่ใช่หนทางที่เดินได้สะดวก ไม่เพียงขวากหนามมากมาย อีก
ทั้งเพรียบพร้อมภัยอันตราย ไม่มีใครกล้ารับประกันได้ว่า เส้นทางลัดที่คุณเดินอยู่ จะ
ถึงจุดหมายปลายทางได้แน่นอน

เดินบนเส้นทางที่ยาวไกลขึ้น แม้จะเหนื่อยมากขึ้น ความลำบากเพิ่มขึ้น แต่ก็เป็นหน
ทางเพียงหนึ่งเดียวที่ถึงจุดมุ่งหมายเร็วที่สุด

ชีวิตคนเรา ก้าวย่างแต่ละก้าว ด้วยความรอบคอบมั่นคงแน่วแน่ จึงเป็นสิ่งที่ประเสริฐ
สุด เวลาของชีวิตมีจำกัด โอกาสก็มีจำกัดเช่นกัน

ผู้คนมากมาย เป็นเพราะชั่วชีวิตใช้แต่เส้นทางลัด ผลสุดท้าย มักจะเดินไปในทางตัน
ใช้เวลาส่วนมาก อีกทั้ง วัยยามหนุ่มสาวไปอย่างสิ้นเปลื่อง

เรื่องเล่า ซึ้งๆ “กาแฟ… ใส่เกลือ” เขาเจอเธอในงานเลี้ยงแห่งหนึ่ง เธอดูโดดเด่นมาก และมีคนมากมายรุมล้อมเธอ ในขณะที่เขาดูเป็นผู้ ชายธรรมดาคนหนึ่ง ไม่มีใครใส่ใจเขาเลย และหลัง งานเลี้ยงเลิก เขาได้มีโอกาสชวนเธอไปทานกาแฟ ต่อ เธอประหลาดใจมาก แต่ท่าทีที่สุภาพของเขา ทำให้เธอตอบตกลง พวกเขานั่งในร้านกาแฟดีๆแห่งหนึ่ง เขาดูประหม่า จนพูดอะไรไม่ออก เธอรู้สึกอึดอัดมาก จนคิดในใจ ว่า ได้โปรดให้ฉันกลับบ้านเหอะ แต่ทันใดนั้น.. เขา ถามบ๋อยว่า ขอเกลือป่นได้ไหมอยากเอามาใส่ในกา แฟ ทุกคนในร้านหันมาจ้องเขาด้วยความประหลาด ใจ เขาอายจนต้องก้มหน้า แต่ก็ยังเติมเกลือลงในกา แฟและก็ดื่มมันเสียด้วย ทำให้เธอต้องถามเขาอย่างอดไม่ได้ว่า ทำไมชอบ กาแฟรสชาติแบบนี้ เขาตอบว่า เมื่อเขายังเด็ก บ้าน เกิดเขาอยู่ริมทะเล เขาเป็นลูกน้ำเค็ม เล่นกับทะเล ทุกวันเคยชินกับรสเค็มของเกลือ เหมือนกับรสชาติ ของกาแฟเค็ม เพราะฉะนั้นเมื่อทุกครั้งที่เขาได้ลิ้ม รสกาแฟเค็มๆ เขาก็จะคิดถึงวัยเด็ก คิดถึงบ้านเกิด เขาคิดถึงพ่อแม่ทียังอยู่ที่นั่น เธอก็เริ่มประทับใจในตัวเขา เริ่มชวนเขาคุย เล่าถึง บ้านเกิดของเธอบ้างชีวิตในวัยเด็ก ครอบครัวของ เธอ เธอกับเขาคุยกันถูกคอมากขึ้นเรื่อยๆ และจาก การเริ่มต้นที่ดีทำให้เขากับเธอคืบหน้าความสัมพันธ์ ต่อไปจนทีสุด เธอก็ค้นพบว่า เขาคือผู้ชายแบบที่ เธอต้องการอย่างแท้จริง เขาใจกว้าง อ่อนโยน อบ อุ่นและดูแลเป็นอย่างดี เขาเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบ แต่เธอเกือบจะมองข้ามเขาไป! หลังจากนั้นอีกสี่สิบปี เขาก็จากเธอไป ทิ้งจดหมาย ไว้ให้เธอฉบับหนึ่ง ข้างในมีใจความว่า ที่รัก อภัยให้ ผมด้วย ที่ต้องโกหกคุณชั่วชีวิต มีเรื่องเดียวเท่านั้น ที่ผมโกหกคุณ เรื่องกาแฟเค็มนั่น จำวันแรกที่เรามี นัดกันได้ไหม ผมประหม่ามากในตอนนั้น จริงๆแล้ว ผมต้องการน้ำตาล แต่ผมพูดผิดเป็นขอเกลือ ซึ่งมัน ยากที่จะกลับคำในตอนนั้น ผมจึงต้องปล่อยมันไป ซึ่งผมไม่คิดว่า นั่นจะทำให้เราได้เริ่มต้นการพูดคุย กัน ผมพยายามที่จะสารภาพกับคุณหลายต่อหลาย ครั้ง แต่ผมก็ไม่กล้าที่จะสารภาพออกไป ทำให้ผม สัญญากับตัวเองว่า จะไม่โกหกอะไรคุณอีก แม้แต่ ครั้งเดียว ตอนนี้ผมจากไปแล้ว ผมไม่ต้องหวาดกลัวอะไรอีก ดังนั้น จึงเล่าความจริงในจดหมายฉบับนี้ แท้จริง แล้ว ผมไม่ได้ชอบทานกาแฟรสเค็มเลยแม้แต่น้อย มันรสชาติค่อนข้างแย่ทีเดียวแต่ว่าผมทานมันตลอด ทั้งชีวิตตั้งแต่ได้รู้จักคุณ ผมไม่เคยนึกเสียใจในสิ่งที่ ทำเพื่อคุณเลย การได้พบคุณ เป็นความสุขอันยิ่งใหญ่ที่สุดตลอด ชีวิตของผม ถ้าผมได้มีโอกาสมีชีวิตอีกครั้ง ผมก็ยัง อยากจะได้พบคุณ และมีคุณเป็นภรรยาผมอีกครั้ง เช่นกัน แม้ว่าผมจะต้องดื่มกาแฟรสเค็มอีกตลอด ชีวิตก็ตาม! น้ำตาของเธอหยด ใส่กระดาษจดหมาย จนเปียกชุ่ม และหลังจากนั้นหากมีใครถามเธอกาแฟรสเติมเกลือ รสชาติเป็นเช่นไร เธอก็จะตอบเสมอว่า “มันหวาน” นำเสนอโดย #เรื่องดีๆมีข้อคิด Line : ts2502 Instagram : th.thamma ที่มา : https://my.dek-d.com/6-27mayo1/blog/?blog_id=10088903

เรื่องเล่า ซึ้งๆ “กาแฟ… ใส่เกลือ”

เขาเจอเธอในงานเลี้ยงแห่งหนึ่ง เธอดูโดดเด่นมาก
และมีคนมากมายรุมล้อมเธอ   ในขณะที่เขาดูเป็นผู้
ชายธรรมดาคนหนึ่ง ไม่มีใครใส่ใจเขาเลย และหลัง
งานเลี้ยงเลิก เขาได้มีโอกาสชวนเธอไปทานกาแฟ
ต่อ   เธอประหลาดใจมาก  แต่ท่าทีที่สุภาพของเขา
ทำให้เธอตอบตกลง

พวกเขานั่งในร้านกาแฟดีๆแห่งหนึ่ง    เขาดูประหม่า
จนพูดอะไรไม่ออก   เธอรู้สึกอึดอัดมาก จนคิดในใจ
ว่า ได้โปรดให้ฉันกลับบ้านเหอะ   แต่ทันใดนั้น.. เขา
ถามบ๋อยว่า ขอเกลือป่นได้ไหมอยากเอามาใส่ในกา
แฟ  ทุกคนในร้านหันมาจ้องเขาด้วยความประหลาด
ใจ เขาอายจนต้องก้มหน้า แต่ก็ยังเติมเกลือลงในกา
แฟและก็ดื่มมันเสียด้วย

ทำให้เธอต้องถามเขาอย่างอดไม่ได้ว่า   ทำไมชอบ
กาแฟรสชาติแบบนี้  เขาตอบว่า เมื่อเขายังเด็ก บ้าน
เกิดเขาอยู่ริมทะเล   เขาเป็นลูกน้ำเค็ม  เล่นกับทะเล
ทุกวันเคยชินกับรสเค็มของเกลือ  เหมือนกับรสชาติ
ของกาแฟเค็ม    เพราะฉะนั้นเมื่อทุกครั้งที่เขาได้ลิ้ม
รสกาแฟเค็มๆ    เขาก็จะคิดถึงวัยเด็ก คิดถึงบ้านเกิด
เขาคิดถึงพ่อแม่ทียังอยู่ที่นั่น

เธอก็เริ่มประทับใจในตัวเขา  เริ่มชวนเขาคุย   เล่าถึง
บ้านเกิดของเธอบ้างชีวิตในวัยเด็ก     ครอบครัวของ
เธอ   เธอกับเขาคุยกันถูกคอมากขึ้นเรื่อยๆ  และจาก
การเริ่มต้นที่ดีทำให้เขากับเธอคืบหน้าความสัมพันธ์
ต่อไปจนทีสุด   เธอก็ค้นพบว่า   เขาคือผู้ชายแบบที่
เธอต้องการอย่างแท้จริง   เขาใจกว้าง อ่อนโยน อบ
อุ่นและดูแลเป็นอย่างดี เขาเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบ
แต่เธอเกือบจะมองข้ามเขาไป!

หลังจากนั้นอีกสี่สิบปี   เขาก็จากเธอไป ทิ้งจดหมาย
ไว้ให้เธอฉบับหนึ่ง ข้างในมีใจความว่า ที่รัก อภัยให้
ผมด้วย ที่ต้องโกหกคุณชั่วชีวิต   มีเรื่องเดียวเท่านั้น
ที่ผมโกหกคุณ เรื่องกาแฟเค็มนั่น   จำวันแรกที่เรามี
นัดกันได้ไหม  ผมประหม่ามากในตอนนั้น จริงๆแล้ว
ผมต้องการน้ำตาล แต่ผมพูดผิดเป็นขอเกลือ ซึ่งมัน
ยากที่จะกลับคำในตอนนั้น   ผมจึงต้องปล่อยมันไป
ซึ่งผมไม่คิดว่า   นั่นจะทำให้เราได้เริ่มต้นการพูดคุย
กัน   ผมพยายามที่จะสารภาพกับคุณหลายต่อหลาย
ครั้ง   แต่ผมก็ไม่กล้าที่จะสารภาพออกไป  ทำให้ผม
สัญญากับตัวเองว่า   จะไม่โกหกอะไรคุณอีก  แม้แต่
ครั้งเดียว

ตอนนี้ผมจากไปแล้ว   ผมไม่ต้องหวาดกลัวอะไรอีก
ดังนั้น  จึงเล่าความจริงในจดหมายฉบับนี้     แท้จริง
แล้ว   ผมไม่ได้ชอบทานกาแฟรสเค็มเลยแม้แต่น้อย
มันรสชาติค่อนข้างแย่ทีเดียวแต่ว่าผมทานมันตลอด
ทั้งชีวิตตั้งแต่ได้รู้จักคุณ ผมไม่เคยนึกเสียใจในสิ่งที่
ทำเพื่อคุณเลย

การได้พบคุณ    เป็นความสุขอันยิ่งใหญ่ที่สุดตลอด
ชีวิตของผม ถ้าผมได้มีโอกาสมีชีวิตอีกครั้ง ผมก็ยัง
อยากจะได้พบคุณ    และมีคุณเป็นภรรยาผมอีกครั้ง
เช่นกัน     แม้ว่าผมจะต้องดื่มกาแฟรสเค็มอีกตลอด
ชีวิตก็ตาม!

น้ำตาของเธอหยด ใส่กระดาษจดหมาย จนเปียกชุ่ม
และหลังจากนั้นหากมีใครถามเธอกาแฟรสเติมเกลือ
รสชาติเป็นเช่นไร    เธอก็จะตอบเสมอว่า “มันหวาน”

นำเสนอโดย
#เรื่องดีๆมีข้อคิด
Line : ts2502
Instagram : th.thamma

ที่มา : https://my.dek-d.com/6-27mayo1/blog/?blog_id=10088903

วันศุกร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2560

นิทานสอนใจ ครูกับนักเรียน คุณครูทอมป์สัน โกหกนักเรียนชั้น ป.5 ของครูทั้งชั้น ซะแล้ว ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มสอนเลยด้วยซ้ำ คุณครูบอก ว่า ครูรักเด็กเท่ากันหมดทุกคนเลย แต่นั่นก็เป็นไปไม่ ได้ เพราะว่ามีเด็กตัวเล็กๆ ท่าทางขี้เกียจคนหนึ่งชื่อ เท็ดดี้ สต๊อดดารด์ ครูทอมป์สันได้จับตาดูเท็ดดี้มาปี นึง และสังเกตว่าเขาไม่ค่อยเล่นดีๆ กับเด็กคนอื่นเท่า ไหร่ เสื้อผ้าของเขาสกปรก และเค้าตัวเหม็นหึ่งอยู่ ตลอดเวลาด้วยแหละ และบางทีเท็ดดี้ก็เกเร ถึงขั้นที่ ว่า ครูทอมป์สันสนุกกับการตรวจงานของเท็ดดี้ด้วย หมึกสีแดง กากบาทไปหนาๆ และใส่ตัว F ตัวใหญ่ๆลง ไปบนหัวกระดาษ โรงเรียนที่คุณครูทอมป์สันสอน คุณครูทุกคนต้องทบ ทวนประวัติของเด็กแต่ละคนด้วย แต่คุณครูก็ไม่ยอม ตรวจประวัติของเท็ดดี้ จนกระทั่งเหลือแฟ้มสุดท้ายแต่ ทันใดนั้นเมื่อคุณครูตรวจแฟ้มเข้า ครูทอมป์สันก็แปลก ใจใหญ่ เมื่อพบว่าครูชั้น ป.1 ของเท็ดดี้วิจารณ์มาว่า “ น้องเท็ดดี้เป็นเด็กที่ฉลาดและร่าเริง ทำงานเรียบร้อย มารยาทดี เป็นเด็กที่น่ารักมากทีเดียว” ส่วนคุณครูที่สอนเท็ดดี้ตอน ป.2 เขียนว่า “ เท็ดดี้เป็นเด็กที่เรียนเก่งมาก เพื่อนๆ ชอบกันทุกคน แต่กำลังมีปัญหาเพราะแม่ของเท็ดกำลังป่วยหนัก และ ชีวิตทางบ้านต้องลำบากมากแน่ๆ ” คุณครูที่สอนเท็ดดี้ตอน ป.3 เขียนว่า “ เขาเสียใจมากที่เสียแม่ไป เขาพยายามเต็มที่แล้ว แต่ คุณพ่อก็ไม่ค่อยให้ความรักความสนใจเขาเท่าไหร่ และ ชีวิตที่บ้านเขาต้องส่งผลกระทบต่อเขาแน่ๆ ถ้าไม่มีคน ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ” คุณครูที่สอนเท็ดดี้ตอน ป.4 เขียนว่า “ เท็ดดี้ไม่ยอมเข้าสังคม และไม่ค่อยสนใจการเรียนเท่า ที่ควร ไม่ค่อยมีเพื่อนและหลบหนีจากห้องเรียน ” ตอนนี้คุณครูทอมป์สันรู้ถึงปัญหาแล้วและอับอายในการ กระทำของตนเองมาก ครูรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิมอีก เมื่อนัก เรียนในห้องซื้อของขวัญวันคริสต์มาสมาให้ ห่อในกระ ดาษสีสดๆ พร้อมผูกโบว์อย่างดี ยกเว้นแต่ของเท็ดดี้ ของขวัญของเท็ดดี้ถูกห่ออย่างหยาบๆในกระดาษลูกฟูก หนาๆ ที่ได้มาจากถุงใส่กับข้าว ครูทอมป์สันกัดฟัน เปิด กล่องของเท็ดดี้ดูกลางกองของขวัญอื่น ๆ เด็กบางคน เริ่มหัวเราะเมื่อเห็นว่า เท็ดดี้ให้กำไลลูกปัดที่ไม่ครบเส้น และขวดน้ำหอมที่เหลือน้ำอยู่ก้นขวดแก่เธอ แต่ครูก็ หยุดเสียหัวเราะของเด็กๆ เมื่อครูเอ่ยขึ้นว่ากำไลเส้นนั้น สวยเพียงใด สวมมันไว้ที่ข้อมือและฉีดน้ำหอมไปบนข้อ มือด้วย เท็ดดี้ สต๊อดดารด์เฝ้ารออยู่จนเย็นให้นานพอที่ จะพูดว่า “ ครูทอมป์สันครับ วันนี้ครูตัวหอมเหมือนที่แม่ผมเคย หอมเลยครับ ” หลังจากที่นักเรียนทุกคนกลับบ้านครูทอมป์สันก็ร้องไห้ เป็นชั่วโมง หลังจากวันนั้นเอง คุณครูเลิกสอนหนังสือ เลิกสอนการเขียนและเลิกสอนเลขคณิต แต่คุณครูเริ่ม สอนเด็กๆ แทน คุณครูทอมป์สันเอาใจใส่เท็ดดี้เป็นพิ เศษ เมื่อครูพยายามช่วยเขา จิตใจของเขาก็กลับมามี ชีวิตชีวาอีกครั้ง ยิ่งครูให้กำลังใจเท็ดดี้เท่าไหร่ เขาก็ยิ่ง ตอบรับเร็วขึ้นเท่านั้น ภายในสิ้นปีนั้นเองเท็ดดี้ได้กลาย เป็นเด็กที่ฉลาดที่สุดในห้อง และถึงวันนี้แม้ว่าคุณครูจะ บอกว่าครูรักเด็กทุกคนเท่ากัน แต่ความจริง เท็ดดี้ก็ได้ กลายไปเป็น “ ศิษย์โปรด ” ของครูไปแล้ว หนึ่งปีต่อมา คุณครูพบจดหมายอยู่ใต้ประตู จดหมายนั้น มาจากเท็ดดี้ บอกครูว่า คุณครูยังเป็นครูที่ดีที่สุดที่เขา เคยมี หกปีต่อมาครูก็ได้จดหมายจากเท็ดดี้อีก บอกว่าเขาเรียน จบม.ปลายแล้ว ได้ที่สามในทั้งระดับ และคุณครูยังคง เป็นครูที่ดีที่สุดที่เขาเคยเจอมาในชีวิต สี่ปีหลังจากนั้นคุณครูก็ได้จดหมายอีก บอกว่าแม้ว่าชีวิต เขาจะลำบากบ้างเขาก็ไม่ได้เลิกเรียนหนังสือและจะจบ ปริญญาตรีในเร็วๆ นี้ด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง(เหรียญ ทอง) และยังย้ำกับครูทอมป์สันว่า คุณครูเป็นครูที่ดีที่ สุดและเป็นครูคนโปรดในชีวิตของเขา จากนั้นสี่ปีผ่านไปจดหมายอีกฉบับหนึ่งก็มา ครั้งนี้เขา อธิบายว่าหลังจากที่เขาได้รับปริญญาตรีแล้ว เขาตัด สินใจที่จะเรียนต่ออีกนิด จดหมายนั้นอธิบายว่า คุณครู ยังเป็นครูคนที่ดีที่สุดที่เขาเคยมี ครั้งนี้เขาลงชื่อในจม. ของเขายาวขึ้นอีกหน่อย จดหมายนั้นลงชื่อว่า “ นพ. ทีโอดอร์ เอฟ. สต๊อดดารด์ ” เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลินั้นก็ยังมีจดหมายมาอีก เท็ดดี้บอกว่า เขาได้เจอสาวคนหนึ่งและก็จะแต่งงานกัน เขาบอกมา ในจม.ว่าพ่อของเขาได้เสียไปเมื่อสองสามปีก่อน และ เขาสงสัยว่าคุณครูทอมป์สัน จะตกลงมานั่งในที่นั่งสำ หรับพ่อเจ้าบ่าวในงานแต่งงานหรือไม่ แน่นอนที่สุด ครู ทอมป์สันมา และทายสิว่าเกิดอะไรขึ้น คุณครูใส่กำไล ข้อมือเส้นนั้น เส้นที่มีลูกปัดหายไปหลายลูก และต้อง ฉีดน้ำหอมที่เท็ดดี้จำได้ว่า แม่เขาฉีดตอนที่ฉลองเทศ กาลคริสต์มาสครั้งสุดท้ายด้วยกัน ครูกับศิษย์กอดกันกลมเลย และคุณหมอเท็ดก็กระซิบใน หูคุณครูทอมป์สันว่า “ ขอบคุณมากนะครับคุณครูที่เชื่อในตัวผม ขอบคุณครู มาก ที่ทำให้ผมรู้สึกสำคัญ และแสดงให้ผมเห็นว่าผมสา มารถที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆได้ ” ครูทอมป์สันกระซิบตอบพร้อมน้ำตานองหน้าว่า “ หมอเท็ดจ๊ะ เธอเข้าใจผิดแล้วแหละเธอต่างหากที่สอน ครูว่าครูสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ได้ ครูไม่รู้จักการ สอนที่แท้จริง จนกระทั่งครูได้พบได้รู้จักเธอนั่นแหละ” ที่มา : http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9520000151752 ภาพ : http://oservice.skru.ac.th/ebook/lesson.asp?title_code=1265

นิทานสอนใจ ครูกับนักเรียน

คุณครูทอมป์สัน   โกหกนักเรียนชั้น ป.5 ของครูทั้งชั้น
ซะแล้ว ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มสอนเลยด้วยซ้ำ คุณครูบอก
ว่า ครูรักเด็กเท่ากันหมดทุกคนเลย  แต่นั่นก็เป็นไปไม่
ได้  เพราะว่ามีเด็กตัวเล็กๆ   ท่าทางขี้เกียจคนหนึ่งชื่อ
เท็ดดี้ สต๊อดดารด์   ครูทอมป์สันได้จับตาดูเท็ดดี้มาปี
นึง  และสังเกตว่าเขาไม่ค่อยเล่นดีๆ กับเด็กคนอื่นเท่า
ไหร่    เสื้อผ้าของเขาสกปรก    และเค้าตัวเหม็นหึ่งอยู่
ตลอดเวลาด้วยแหละ   และบางทีเท็ดดี้ก็เกเร ถึงขั้นที่
ว่า     ครูทอมป์สันสนุกกับการตรวจงานของเท็ดดี้ด้วย
หมึกสีแดง กากบาทไปหนาๆ และใส่ตัว F ตัวใหญ่ๆลง
ไปบนหัวกระดาษ

โรงเรียนที่คุณครูทอมป์สันสอน   คุณครูทุกคนต้องทบ
ทวนประวัติของเด็กแต่ละคนด้วย    แต่คุณครูก็ไม่ยอม
ตรวจประวัติของเท็ดดี้ จนกระทั่งเหลือแฟ้มสุดท้ายแต่
ทันใดนั้นเมื่อคุณครูตรวจแฟ้มเข้า ครูทอมป์สันก็แปลก
ใจใหญ่ เมื่อพบว่าครูชั้น ป.1 ของเท็ดดี้วิจารณ์มาว่า
“ น้องเท็ดดี้เป็นเด็กที่ฉลาดและร่าเริง ทำงานเรียบร้อย
มารยาทดี เป็นเด็กที่น่ารักมากทีเดียว”

ส่วนคุณครูที่สอนเท็ดดี้ตอน ป.2 เขียนว่า
“ เท็ดดี้เป็นเด็กที่เรียนเก่งมาก   เพื่อนๆ ชอบกันทุกคน
แต่กำลังมีปัญหาเพราะแม่ของเท็ดกำลังป่วยหนัก  และ
ชีวิตทางบ้านต้องลำบากมากแน่ๆ ”

คุณครูที่สอนเท็ดดี้ตอน ป.3 เขียนว่า
“ เขาเสียใจมากที่เสียแม่ไป เขาพยายามเต็มที่แล้ว แต่
คุณพ่อก็ไม่ค่อยให้ความรักความสนใจเขาเท่าไหร่ และ
ชีวิตที่บ้านเขาต้องส่งผลกระทบต่อเขาแน่ๆ  ถ้าไม่มีคน
ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ”

คุณครูที่สอนเท็ดดี้ตอน ป.4 เขียนว่า
“ เท็ดดี้ไม่ยอมเข้าสังคม และไม่ค่อยสนใจการเรียนเท่า
ที่ควร ไม่ค่อยมีเพื่อนและหลบหนีจากห้องเรียน ”

ตอนนี้คุณครูทอมป์สันรู้ถึงปัญหาแล้วและอับอายในการ
กระทำของตนเองมาก   ครูรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิมอีก เมื่อนัก
เรียนในห้องซื้อของขวัญวันคริสต์มาสมาให้   ห่อในกระ
ดาษสีสดๆ พร้อมผูกโบว์อย่างดี     ยกเว้นแต่ของเท็ดดี้
ของขวัญของเท็ดดี้ถูกห่ออย่างหยาบๆในกระดาษลูกฟูก
หนาๆ ที่ได้มาจากถุงใส่กับข้าว ครูทอมป์สันกัดฟัน เปิด
กล่องของเท็ดดี้ดูกลางกองของขวัญอื่น ๆ   เด็กบางคน
เริ่มหัวเราะเมื่อเห็นว่า เท็ดดี้ให้กำไลลูกปัดที่ไม่ครบเส้น
และขวดน้ำหอมที่เหลือน้ำอยู่ก้นขวดแก่เธอ      แต่ครูก็
หยุดเสียหัวเราะของเด็กๆ เมื่อครูเอ่ยขึ้นว่ากำไลเส้นนั้น
สวยเพียงใด สวมมันไว้ที่ข้อมือและฉีดน้ำหอมไปบนข้อ
มือด้วย เท็ดดี้ สต๊อดดารด์เฝ้ารออยู่จนเย็นให้นานพอที่
จะพูดว่า
“ ครูทอมป์สันครับ    วันนี้ครูตัวหอมเหมือนที่แม่ผมเคย
หอมเลยครับ ”

หลังจากที่นักเรียนทุกคนกลับบ้านครูทอมป์สันก็ร้องไห้
เป็นชั่วโมง หลังจากวันนั้นเอง   คุณครูเลิกสอนหนังสือ
เลิกสอนการเขียนและเลิกสอนเลขคณิต  แต่คุณครูเริ่ม
สอนเด็กๆ แทน   คุณครูทอมป์สันเอาใจใส่เท็ดดี้เป็นพิ
เศษ เมื่อครูพยายามช่วยเขา   จิตใจของเขาก็กลับมามี
ชีวิตชีวาอีกครั้ง ยิ่งครูให้กำลังใจเท็ดดี้เท่าไหร่ เขาก็ยิ่ง
ตอบรับเร็วขึ้นเท่านั้น ภายในสิ้นปีนั้นเองเท็ดดี้ได้กลาย
เป็นเด็กที่ฉลาดที่สุดในห้อง และถึงวันนี้แม้ว่าคุณครูจะ
บอกว่าครูรักเด็กทุกคนเท่ากัน  แต่ความจริง เท็ดดี้ก็ได้
กลายไปเป็น “ ศิษย์โปรด ” ของครูไปแล้ว

หนึ่งปีต่อมา คุณครูพบจดหมายอยู่ใต้ประตู จดหมายนั้น
มาจากเท็ดดี้ บอกครูว่า  คุณครูยังเป็นครูที่ดีที่สุดที่เขา
เคยมี

หกปีต่อมาครูก็ได้จดหมายจากเท็ดดี้อีก บอกว่าเขาเรียน
จบม.ปลายแล้ว ได้ที่สามในทั้งระดับ    และคุณครูยังคง
เป็นครูที่ดีที่สุดที่เขาเคยเจอมาในชีวิต

สี่ปีหลังจากนั้นคุณครูก็ได้จดหมายอีก บอกว่าแม้ว่าชีวิต
เขาจะลำบากบ้างเขาก็ไม่ได้เลิกเรียนหนังสือและจะจบ
ปริญญาตรีในเร็วๆ นี้ด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง(เหรียญ
ทอง)  และยังย้ำกับครูทอมป์สันว่า   คุณครูเป็นครูที่ดีที่
สุดและเป็นครูคนโปรดในชีวิตของเขา

จากนั้นสี่ปีผ่านไปจดหมายอีกฉบับหนึ่งก็มา   ครั้งนี้เขา
อธิบายว่าหลังจากที่เขาได้รับปริญญาตรีแล้ว    เขาตัด
สินใจที่จะเรียนต่ออีกนิด จดหมายนั้นอธิบายว่า  คุณครู
ยังเป็นครูคนที่ดีที่สุดที่เขาเคยมี  ครั้งนี้เขาลงชื่อในจม.
ของเขายาวขึ้นอีกหน่อย  จดหมายนั้นลงชื่อว่า
“ นพ. ทีโอดอร์ เอฟ. สต๊อดดารด์ ”

เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลินั้นก็ยังมีจดหมายมาอีก เท็ดดี้บอกว่า
เขาได้เจอสาวคนหนึ่งและก็จะแต่งงานกัน   เขาบอกมา
ในจม.ว่าพ่อของเขาได้เสียไปเมื่อสองสามปีก่อน   และ
เขาสงสัยว่าคุณครูทอมป์สัน   จะตกลงมานั่งในที่นั่งสำ
หรับพ่อเจ้าบ่าวในงานแต่งงานหรือไม่  แน่นอนที่สุด ครู
ทอมป์สันมา และทายสิว่าเกิดอะไรขึ้น   คุณครูใส่กำไล
ข้อมือเส้นนั้น เส้นที่มีลูกปัดหายไปหลายลูก    และต้อง
ฉีดน้ำหอมที่เท็ดดี้จำได้ว่า   แม่เขาฉีดตอนที่ฉลองเทศ
กาลคริสต์มาสครั้งสุดท้ายด้วยกัน

ครูกับศิษย์กอดกันกลมเลย และคุณหมอเท็ดก็กระซิบใน
หูคุณครูทอมป์สันว่า
“ ขอบคุณมากนะครับคุณครูที่เชื่อในตัวผม   ขอบคุณครู
มาก ที่ทำให้ผมรู้สึกสำคัญ และแสดงให้ผมเห็นว่าผมสา
มารถที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆได้ ”
ครูทอมป์สันกระซิบตอบพร้อมน้ำตานองหน้าว่า
“ หมอเท็ดจ๊ะ เธอเข้าใจผิดแล้วแหละเธอต่างหากที่สอน
ครูว่าครูสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ได้  ครูไม่รู้จักการ
สอนที่แท้จริง จนกระทั่งครูได้พบได้รู้จักเธอนั่นแหละ”

ที่มา : http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9520000151752
ภาพ : http://oservice.skru.ac.th/ebook/lesson.asp?title_code=1265

ลองคิดถึงคนอื่นด้วยบ้าง มีคู่รักคู่หนึ่งนั่งรถเมล์ที่กำลังตรงไปในเมือง ในหุบเขา ทั้งคู่ได้ลงรถกลางทาง หลังจากนั้นรถเมล์ก็วิ่งต่อไป แต่เพียงไม่นาน ก็มีหินก้อนขนาดมหึมาตกลงมาจากที่สูงมาก และทับรถเมล์คันนั้นพังยับเยิน ทุกคนที่อยู่ในรถในเวลานั้นเสียชีวิตทั้งหมด คู่รักคู่นั้นเมื่อได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็พูดขึ้นว่า " ถ้าพวกเรายังอยู่ในรถคันนั้นก็ดีน่ะซิ !" คนส่วนใหญ่น่าจะคิดว่า "ยังดีนะที่เราลงจากรถก่อน !" แต่คู่รักคู่นี้กลับพูดสิ่งที่ต่างจากคนส่วนใหญ่ คุณคิดว่าเพราะอะไร ? ? ? ถ้าพวกเขาไม่ได้ลงจากรถ รถเมล์คันนั้น ก็จะไม่ต้องจอดเพื่อส่งเขาลง แต่จะขับเลยตำแหน่งที่หินถล่มลงมา !! ในชีวิตของพวกเรานั้น ให้ลองมองด้วยมุมมองที่ต่างจากของตัวเอง พยายามเข้าใจ และช่วยเหลือผู้อื่นให้มากขึ้น อย่าได้ใช้ชีวิตอย่างขาดสติและเฉยเมย ทำเพื่อตัวเองอีกต่อไปเลย คุณตอบปริศนาข้างบนถูกมั้ยครับ ? ถ้าคุณตอบถูก (โดยไม่เคยอ่านที่อื่นมาก่อนนะ ) แปลว่าผมตาถึงมากที่ได้คุณมาเป็นเพื่อน แต่ถ้าคุณตอบผิด ก็ยินดีกับคุณด้วยที่เป็นเหมือนผม ที่มา : http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=chularaa&month=15-11-2007&group=6&gblog=13 ภาพ : http://imeconference.org/

ลองคิดถึงคนอื่นด้วยบ้าง

มีคู่รักคู่หนึ่งนั่งรถเมล์ที่กำลังตรงไปในเมือง
ในหุบเขา ทั้งคู่ได้ลงรถกลางทาง
หลังจากนั้นรถเมล์ก็วิ่งต่อไป แต่เพียงไม่นาน
ก็มีหินก้อนขนาดมหึมาตกลงมาจากที่สูงมาก
และทับรถเมล์คันนั้นพังยับเยิน
ทุกคนที่อยู่ในรถในเวลานั้นเสียชีวิตทั้งหมด
คู่รักคู่นั้นเมื่อได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็พูดขึ้นว่า

" ถ้าพวกเรายังอยู่ในรถคันนั้นก็ดีน่ะซิ !"
คนส่วนใหญ่น่าจะคิดว่า
"ยังดีนะที่เราลงจากรถก่อน !"

แต่คู่รักคู่นี้กลับพูดสิ่งที่ต่างจากคนส่วนใหญ่
คุณคิดว่าเพราะอะไร ? ? ?
ถ้าพวกเขาไม่ได้ลงจากรถ รถเมล์คันนั้น
ก็จะไม่ต้องจอดเพื่อส่งเขาลง
แต่จะขับเลยตำแหน่งที่หินถล่มลงมา !!

ในชีวิตของพวกเรานั้น
ให้ลองมองด้วยมุมมองที่ต่างจากของตัวเอง
พยายามเข้าใจ และช่วยเหลือผู้อื่นให้มากขึ้น
อย่าได้ใช้ชีวิตอย่างขาดสติและเฉยเมย
ทำเพื่อตัวเองอีกต่อไปเลย

คุณตอบปริศนาข้างบนถูกมั้ยครับ ?
ถ้าคุณตอบถูก (โดยไม่เคยอ่านที่อื่นมาก่อนนะ )
แปลว่าผมตาถึงมากที่ได้คุณมาเป็นเพื่อน
แต่ถ้าคุณตอบผิด ก็ยินดีกับคุณด้วยที่เป็นเหมือนผม

ที่มา : http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=chularaa&month=15-11-2007&group=6&gblog=13
ภาพ : http://imeconference.org/

แว่นตาชีวิต อภิมหาเศรษฐีเกือบจะชราผู้หนึ่ง สุดแสนจะภูมิใจ ที่ ลูกชายวันห้าขวบของเขา กำลังจะได้เข้าเรียนในโรง เรียนชื่อดัง ซึ่งระดับเศรษฐีอย่างพวกเขาเท่านั้นจึงจะ มีปัญญาส่งลูกหลานเข้าเรียนในโรงเรียนนี้ได้ โดย ส่วนตัวของเขาเองก็อยากจะสอนให้ลูกชาย รู้จักกับ ชีวิตจริงในโลกควบคู่ไปกับการสอนทฤษฏีในโรงเรียน ในวันหยุด เขาจะตระเวนพาลูกชายคนเดียว ไปท่อง เที่ยวในสถานที่ต่างๆ แล้ววันหนึ่งเขาก็คิดถึงหัวข้อการ สอนเรื่องความยากจน เพราะเขามีความเชื่อว่าลูกชาย ของเขา คงไม่มีวันรู้จักแน่นอน เขาจึงพาลูกชายไป เยี่ยมครอบครัวชาวนาครอบครัวหนึ่งและพักอยู่กับชาว นาเป็นเวลา1 วัน 1 คืนกลับถึงคฤหาสน์ของเขา ในวันต่อมา มหาเศรษฐีก็จะทดสอบว่าลูกชายได้อะไร บ้าง จากการไปพักแรมกับชาวนาผู้ยากจน ลูกชายตอบ คำถามผู้เป็นบิดาว่า เขาขอขอบคุณเป็นอย่างมากที่ได้ พาเขาไปพบกับชาวนาและพักแรมที่นั่น ซึ่งทำให้เขา ได้พบว่า…. ….ชาวนามีที่ทำงานเป็นท้องนาที่กว้างใหญ่ ในขณะที่ พ่อมีเพียงห้องสี่เหลี่ยมที่ว่ากว้าง แต่ก็ยังน้อยกว่าห้อง ทำงานของชาวนา ….อาหารที่ชาวนารับประทาน สามารถหาได้ตลอดเว ลารอบๆบริเวณบ้านโดยไม่ต้องซื้อหา ในขณะที่บ้าน ของเรามีตู้เย็นเท่านั้นที่เป็นที่เก็บอาหาร ….เวลารับประทานอาหารก็มีเพื่อนคุยอย่างพร้อมหน้า พร้อมตาพ่อแม่ลูกในขณะที่ตัวเองก็ต้องนั่งทานอาหาร กับโต๊ะอาหาร ที่ยาวเกือบสิบเมตร และมีเก้าอี้ว่างเปล่า ทั้งสองด้าน …ลูกชาวนาที่ซ้อนท้ายจักรยานของพ่อเขา ต้องกอด เอวพ่อให้แน่นเพื่อจะได้ไม่ตกจากจักรยาน แต่เขาเอง ต้องนั่งในรถที่ใหญ่โตอยู่ข้างหลังเพียงลำพัง โดยมีคน ขับรถพาไปทุกที่ …ชาวนามีแสงดาวแสงจันทร์ เป็นโคมไฟส่องสว่าง ตลอดเวลาในเวลากลางคืนโดยไม่ขาดแคลน แต่เขาก็ มีเพียงแสงจากโคมไฟที่ต้องซื้อด้วยเงิน ...ชาวนามีรั้วบ้านเป็นแม่น้ำ ภูเขา ที่กว้างสุดลูกหูลูกตา แต่เขาเองกลับมีเพียงแค่กำแพงบล๊อคในพื้นที่ไม่กี่ไร่ …ลูกชาวนาได้มีเพื่อนเล่นเป็นจิ้งหรีด หิ่งห้อย นับร้อย นับพัน แต่เขาเองกลับไม่มีใครเลย ผู้เป็นพ่อฟังแล้ว เงียบงัน ลูกชายสบตาพ่อเต็มตาแล้วจบว่า “ขอบคุณมากครับพ่อ ที่ช่วยให้ผมได้สำนึกว่า เราจน ขนาดไหน” คุณเห็นด้วยไหมว่า “แว่นตาชีวิต” นี่ช่างเป็นสิ่งน่าอัศ จรรย์ยิ่งนัก คิดดูสิว่าโลกจะเปลี่ยนไปสักเพียงใด ถ้าเรา ทุกคนเปลี่ยนมาเป็นปลื้มและพอใจในทุกสิ่งที่เรามีแทน ที่จะดิ้นรนไขว่คว้าเพื่อสิ่งที่เรายังไม่ได้มา ขอจงพอใจ ในสิ่งที่เรามีอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนชีวิตหนึ่งของ เรานั้นสั้นนัก และเรามีเพื่อนได้น้อยมาก ที่มา : http://www.kwamru.com/174 ภาพ : https://www.youtube.com/watch?v=nexQcdpQR6g

แว่นตาชีวิต

อภิมหาเศรษฐีเกือบจะชราผู้หนึ่ง    สุดแสนจะภูมิใจ ที่
ลูกชายวันห้าขวบของเขา   กำลังจะได้เข้าเรียนในโรง
เรียนชื่อดัง  ซึ่งระดับเศรษฐีอย่างพวกเขาเท่านั้นจึงจะ
มีปัญญาส่งลูกหลานเข้าเรียนในโรงเรียนนี้ได้       โดย
ส่วนตัวของเขาเองก็อยากจะสอนให้ลูกชาย     รู้จักกับ
ชีวิตจริงในโลกควบคู่ไปกับการสอนทฤษฏีในโรงเรียน

ในวันหยุด  เขาจะตระเวนพาลูกชายคนเดียว    ไปท่อง
เที่ยวในสถานที่ต่างๆ แล้ววันหนึ่งเขาก็คิดถึงหัวข้อการ
สอนเรื่องความยากจน เพราะเขามีความเชื่อว่าลูกชาย
ของเขา  คงไม่มีวันรู้จักแน่นอน     เขาจึงพาลูกชายไป
เยี่ยมครอบครัวชาวนาครอบครัวหนึ่งและพักอยู่กับชาว
นาเป็นเวลา1 วัน 1 คืนกลับถึงคฤหาสน์ของเขา

ในวันต่อมา  มหาเศรษฐีก็จะทดสอบว่าลูกชายได้อะไร
บ้าง จากการไปพักแรมกับชาวนาผู้ยากจน ลูกชายตอบ
คำถามผู้เป็นบิดาว่า เขาขอขอบคุณเป็นอย่างมากที่ได้
พาเขาไปพบกับชาวนาและพักแรมที่นั่น    ซึ่งทำให้เขา
ได้พบว่า….

….ชาวนามีที่ทำงานเป็นท้องนาที่กว้างใหญ่ ในขณะที่
พ่อมีเพียงห้องสี่เหลี่ยมที่ว่ากว้าง  แต่ก็ยังน้อยกว่าห้อง
ทำงานของชาวนา
….อาหารที่ชาวนารับประทาน   สามารถหาได้ตลอดเว
ลารอบๆบริเวณบ้านโดยไม่ต้องซื้อหา    ในขณะที่บ้าน
ของเรามีตู้เย็นเท่านั้นที่เป็นที่เก็บอาหาร
….เวลารับประทานอาหารก็มีเพื่อนคุยอย่างพร้อมหน้า
พร้อมตาพ่อแม่ลูกในขณะที่ตัวเองก็ต้องนั่งทานอาหาร
กับโต๊ะอาหาร ที่ยาวเกือบสิบเมตร และมีเก้าอี้ว่างเปล่า
ทั้งสองด้าน
…ลูกชาวนาที่ซ้อนท้ายจักรยานของพ่อเขา   ต้องกอด
เอวพ่อให้แน่นเพื่อจะได้ไม่ตกจากจักรยาน   แต่เขาเอง
ต้องนั่งในรถที่ใหญ่โตอยู่ข้างหลังเพียงลำพัง โดยมีคน
ขับรถพาไปทุกที่
…ชาวนามีแสงดาวแสงจันทร์     เป็นโคมไฟส่องสว่าง
ตลอดเวลาในเวลากลางคืนโดยไม่ขาดแคลน แต่เขาก็
มีเพียงแสงจากโคมไฟที่ต้องซื้อด้วยเงิน
...ชาวนามีรั้วบ้านเป็นแม่น้ำ ภูเขา ที่กว้างสุดลูกหูลูกตา
แต่เขาเองกลับมีเพียงแค่กำแพงบล๊อคในพื้นที่ไม่กี่ไร่
…ลูกชาวนาได้มีเพื่อนเล่นเป็นจิ้งหรีด หิ่งห้อย  นับร้อย
นับพัน   แต่เขาเองกลับไม่มีใครเลย    ผู้เป็นพ่อฟังแล้ว
เงียบงัน ลูกชายสบตาพ่อเต็มตาแล้วจบว่า

“ขอบคุณมากครับพ่อ  ที่ช่วยให้ผมได้สำนึกว่า    เราจน
ขนาดไหน”

คุณเห็นด้วยไหมว่า  “แว่นตาชีวิต”   นี่ช่างเป็นสิ่งน่าอัศ
จรรย์ยิ่งนัก คิดดูสิว่าโลกจะเปลี่ยนไปสักเพียงใด ถ้าเรา
ทุกคนเปลี่ยนมาเป็นปลื้มและพอใจในทุกสิ่งที่เรามีแทน
ที่จะดิ้นรนไขว่คว้าเพื่อสิ่งที่เรายังไม่ได้มา  ขอจงพอใจ
ในสิ่งที่เรามีอยู่  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนชีวิตหนึ่งของ
เรานั้นสั้นนัก และเรามีเพื่อนได้น้อยมาก

ที่มา : http://www.kwamru.com/174
ภาพ : https://www.youtube.com/watch?v=nexQcdpQR6g

"จูถิง" นักวอลเลย์บอลหญิงมือหนึ่งของจีน มาดูเธอ"ละเลง"เงินร่วม 100 ล้านบาทให้หมดไปภายในเวลาครึ่งปี ********** แฟนพันธ์ุแท้ของวอลเลย์บอลชาวไทยคงไม่มีใครไม่รู้จักชื่อ "จูถิง" นักวอลเลย์หญิงมือหนึ่งของจีน ผู้ซึ่งเคยทำให้ทีมวอลเลย์สาวไทยกำสรวลมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว ปัจจุบันเธอมีอายุเพียง 23 ปี ด้วยส่วนสูงถึง 198 ซม. ประกอบกับความสามารถในเชิงตบที่หาตัวจับยาก เธอถูกยกย่องให้เป็นนักวอลเลย์สาวทรงคุณค่าที่สุดระดับ 1 ใน 3 ของโลกเลยทีเดียว ความสามารถในเชิงวอลเลย์บอลย่อมเป็นที่ประจักษ์ชัดอยู่แล้ว ลองมาดูความสามารถด้านการหาและการใช้จ่ายเงินทองของสาวน้อยผู้นี้ เชื่อหรือไม่ เธอสามารถหาเงินได้ร่วม 20 ล้านหยวน หรือ 100 ล้านบาทไทยภายในเวลาหนึ่งปี และก็สามารถ"ละเลง"ให้มันหายวับไปกับตาชั่วระยะเวลาเพียง 6เดือน เธอได้เงินรางวัลจากรัฐบาลจีนในฐานะแชมป์โอลิมปิค 2016 เป็นเงิน 1 ล้านบาท รายได้จากการออกสื่อและโฆษณาสินค้า 8 ล้านบาท รายได้จากการเป็นนักวอลเลย์อาชีพที่ตุรกี 55 ล้านบาท รายได้จากงานโฆษณาและงานออกสื่อหลังกลับสู่ประเทศจีน 40 ล้านบาท รวมรายได้ในปี 2016 อันถือว่าเป็นปีทองของเธอ ก็ร่วม 100 ล้านบาท จูถิงเป็นเด็กบ้านนอกจากมณฑลเหอหนาน น่าจะเป็นเด็กที่รู้จักประหยัดมัธยัสถ์ แต่ไฉนเธอสามารถ "ละเลง" เงิน 100 ล้านให้หายเกือบหมดภายในระยะเวลาแค่ 6 เดือน มาดูการใช้จ่ายเงินของจูถิง เธอเป็นเด็กกตัญญู ยากจนมาแต่กำเนิด สิ่งแรกที่เธอทำก็คือ ซื้อบ้านให้พ่อแม่ในถิ่นบ้านเกิดเป็นเงิน 3 ล้านบาท เพื่อความเจริญของหมู่บ้าน เธอบริจาคเงินสร้างถนนนระยะทาง 20 กม. เป็นเงิน 45 ล้านบาท บริจาคเงินสร้างบ้านพักคนชรา เป็นเงิน 6 ล้านบาท บริจาคเงินสร้างโรงเรียนสองแห่ง แห่งแรกเป็นโรงเรียนประถมสำหรับเด็กยากจน อีกแห่งเป็นโรงเรียนการกีฬาเน้นสอนวอลเลย์บอลโดยเฉพาะ เพื่อสร้างนักวอลเลย์รุ่นต่อไป เงินที่ใช้จ่ายสำหรับสองโรงเรียนนี้รวมเป็นเงินร่วม 20 ล้านบาท เจ้าหน้าที่จะขอนำชื่อ "จูถิง" ไปใช้เป็นชื่อโรงเรียนหรือบ้านพักคนชรา เธอปฏิเสธทันทีโดยไม่ต้องไตร่ตรอง "ใช้ชื่อฉันทำไม ใช้ชื่อของทางการก็แล้วกัน" วิธีการ"ละเลง"เงินของจูถิง สร้างความประทับใจให้กับทุกคนที่รับรู้ และถูกคารวะด้วยใจจริง เงินที่จูถิงหาได้ด้วยความสามารถอันมาจากหยาดเหงื่อและแรงงานของเธอ เธอไม่ได้นำไปซื้อคฤหาสน์หรูหราเพียงเพื่อไว้เสพสุขส่วนตัว ไม่ได้ซื้อเครื่องบินส่วนตัวเพื่อเสริมบารมี ไม่ได้ซื้อซุปเปอร์คาร์เพื่อเพิ่มรัศมีให้ตนเอง แต่เธอเลือกที่จะมอบเงินให้แผ่นดินอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของเธอ เพื่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกให้พ่อแม่พี่น้องร่วมธรณี เพื่อความก้าวหน้าของประเทศชาติ อยากถามว่าจะมีสักกี่คนที่ทำได้อย่างเธอ ในสังคมที่บูชาเงินทองเป็นพระเจ้าอย่างทุกวันนี้ แม้จะมีมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยระดับประเทศอันมีเงินทองมากมายกว่าเธอเยอะ แต่ต้องยอมรับว่าเธอคือ "ผู้ที่ร่ำรวยที่สุด"......... แน่นอน เราคงไม่ได้วัดกันที่ตัวเลขของเงินทอง แต่เราเทียบกันที่ "น้ำใจ" ขอคารวะด้วยความจริงใจ........ "จูถิง" สุดยอดคนรวย "น้ำใจ" "ขจรศักดิ์" แปลและเรียบเรียง 30/9/17 www.facebook.com/Flintlibrary

"จูถิง" นักวอลเลย์บอลหญิงมือหนึ่งของจีน
มาดูเธอ"ละเลง"เงินร่วม 100 ล้านบาทให้หมดไปภายในเวลาครึ่งปี

        **********

แฟนพันธ์ุแท้ของวอลเลย์บอลชาวไทยคงไม่มีใครไม่รู้จักชื่อ "จูถิง"  นักวอลเลย์หญิงมือหนึ่งของจีน  ผู้ซึ่งเคยทำให้ทีมวอลเลย์สาวไทยกำสรวลมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว  ปัจจุบันเธอมีอายุเพียง 23 ปี  ด้วยส่วนสูงถึง 198 ซม. ประกอบกับความสามารถในเชิงตบที่หาตัวจับยาก  เธอถูกยกย่องให้เป็นนักวอลเลย์สาวทรงคุณค่าที่สุดระดับ 1 ใน 3 ของโลกเลยทีเดียว

ความสามารถในเชิงวอลเลย์บอลย่อมเป็นที่ประจักษ์ชัดอยู่แล้ว  ลองมาดูความสามารถด้านการหาและการใช้จ่ายเงินทองของสาวน้อยผู้นี้  เชื่อหรือไม่  เธอสามารถหาเงินได้ร่วม 20 ล้านหยวน หรือ 100 ล้านบาทไทยภายในเวลาหนึ่งปี  และก็สามารถ"ละเลง"ให้มันหายวับไปกับตาชั่วระยะเวลาเพียง 6เดือน

เธอได้เงินรางวัลจากรัฐบาลจีนในฐานะแชมป์โอลิมปิค 2016 เป็นเงิน 1 ล้านบาท
รายได้จากการออกสื่อและโฆษณาสินค้า  8 ล้านบาท
รายได้จากการเป็นนักวอลเลย์อาชีพที่ตุรกี 55 ล้านบาท
รายได้จากงานโฆษณาและงานออกสื่อหลังกลับสู่ประเทศจีน 40 ล้านบาท
รวมรายได้ในปี 2016 อันถือว่าเป็นปีทองของเธอ ก็ร่วม 100 ล้านบาท

จูถิงเป็นเด็กบ้านนอกจากมณฑลเหอหนาน  น่าจะเป็นเด็กที่รู้จักประหยัดมัธยัสถ์ แต่ไฉนเธอสามารถ "ละเลง" เงิน 100 ล้านให้หายเกือบหมดภายในระยะเวลาแค่ 6 เดือน

มาดูการใช้จ่ายเงินของจูถิง
เธอเป็นเด็กกตัญญู  ยากจนมาแต่กำเนิด สิ่งแรกที่เธอทำก็คือ  ซื้อบ้านให้พ่อแม่ในถิ่นบ้านเกิดเป็นเงิน 3 ล้านบาท
เพื่อความเจริญของหมู่บ้าน เธอบริจาคเงินสร้างถนนนระยะทาง 20 กม. เป็นเงิน 45 ล้านบาท
บริจาคเงินสร้างบ้านพักคนชรา เป็นเงิน 6 ล้านบาท
บริจาคเงินสร้างโรงเรียนสองแห่ง
แห่งแรกเป็นโรงเรียนประถมสำหรับเด็กยากจน
อีกแห่งเป็นโรงเรียนการกีฬาเน้นสอนวอลเลย์บอลโดยเฉพาะ  เพื่อสร้างนักวอลเลย์รุ่นต่อไป
เงินที่ใช้จ่ายสำหรับสองโรงเรียนนี้รวมเป็นเงินร่วม 20 ล้านบาท

เจ้าหน้าที่จะขอนำชื่อ "จูถิง" ไปใช้เป็นชื่อโรงเรียนหรือบ้านพักคนชรา  เธอปฏิเสธทันทีโดยไม่ต้องไตร่ตรอง
"ใช้ชื่อฉันทำไม  ใช้ชื่อของทางการก็แล้วกัน"

วิธีการ"ละเลง"เงินของจูถิง  สร้างความประทับใจให้กับทุกคนที่รับรู้  และถูกคารวะด้วยใจจริง

เงินที่จูถิงหาได้ด้วยความสามารถอันมาจากหยาดเหงื่อและแรงงานของเธอ  เธอไม่ได้นำไปซื้อคฤหาสน์หรูหราเพียงเพื่อไว้เสพสุขส่วนตัว  ไม่ได้ซื้อเครื่องบินส่วนตัวเพื่อเสริมบารมี  ไม่ได้ซื้อซุปเปอร์คาร์เพื่อเพิ่มรัศมีให้ตนเอง  แต่เธอเลือกที่จะมอบเงินให้แผ่นดินอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของเธอ  เพื่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกให้พ่อแม่พี่น้องร่วมธรณี  เพื่อความก้าวหน้าของประเทศชาติ  อยากถามว่าจะมีสักกี่คนที่ทำได้อย่างเธอ

ในสังคมที่บูชาเงินทองเป็นพระเจ้าอย่างทุกวันนี้  แม้จะมีมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยระดับประเทศอันมีเงินทองมากมายกว่าเธอเยอะ  แต่ต้องยอมรับว่าเธอคือ "ผู้ที่ร่ำรวยที่สุด"......... แน่นอน  เราคงไม่ได้วัดกันที่ตัวเลขของเงินทอง  แต่เราเทียบกันที่ "น้ำใจ"

ขอคารวะด้วยความจริงใจ........
"จูถิง" สุดยอดคนรวย "น้ำใจ"

"ขจรศักดิ์"
แปลและเรียบเรียง
30/9/17
www.facebook.com/Flintlibrary