วันอังคารที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2560

เราเรียนรู้หลักการกันไปทำไม? . . เคยมีน้องวัยรุ่นคนหนึ่งถามผมทำนองว่า ทำไมเรายังต้องเรียนตำรา ในเมื่อทุกวันนี้หลายต่อหลายครั้งสิ่งที่ได้จากตำราก็เอาไปใช้ในชีวิตจริงไม่ได้ โดยหนึ่งในสิ่งที่น้องคนนี้ยกขึ้นมาเป็นเหตุผลนั้นทำเอาผมต้องหยุดเพื่อคิดตามเลยว่ามันจริงไหม . เค้าบอกว่า “ตอนเรียนจบ สิ่งที่สอนกันมามันก็ล้าหลังไปแล้วอย่างน้อยครึ่งนึง แบบนี้ออกลองมาลุยงานเองเลยดีไหม” . . ถ้าผมเข้าใจน้องเค้าไม่ผิด ผมคิดว่า น้องเค้าคงจะหมายถึงว่า ทำไมเรายังต้องเรียนพวกหลักการทฤษฎี ทั้งที่ภาคปฏิบัติดูจะเอาไปใช้ได้จริงและได้น้ำได้เนื้อมากกว่า . . จริงๆ ในความเห็นผม ผมคิดว่าภาคปฏิบัติก็สำคัญจริงๆ อย่างที่น้องเค้าคิดแหละครับ แต่ว่าการรู้หลักกการนั้นก็มีประโยชน์มากเช่นกัน แค่เราต้องเลือกว่าจะเอาอะไรมาใช้เท่านั้นเอง . . ประกอบกับช่วงนี้ได้รับ inbox มาในเพจ Mission to the Moon เกี่ยวกับเรื่องนี้เยอะมาก หลายคนกำลังสับสนเรื่องเรียนต่อ หลายคนกำลังอยากหยุดเรียน ป. ตรี เพื่ออยากออกมาทำงาน ฯลฯ . วันหยุดชิลๆ แบบนี้เลยอยากเขียนถึงเรื่องนี้สักหน่อย . . เคยได้ยินเรื่อง “กระบวนท่าแบบไร้กระบวนท่า” ของเล่งฮู้ชง ในกระบี่เย้ยยุทธจักรไหมครับ ผมเองก็จำได้ไม่หมด แต่เรื่องคร่าวๆ ที่จำได้มีประมาณนี้ ถ้าผิดพลาดต้องขออภัยด้วยนะครับ . กระบวนท่าของเล่งฮู้ชง ถ้าอธิบายง่ายๆ มันเป็นกระบวนท่ากระบี่ที่ไม่มีแบบแผนครับ . คือในยุทธจักรจะมีสำนักกระบี่หลายๆ สำนักที่มีเพลงดาบเป็นของตัวเอง คนในแต่ละสำนักก็ต้องหัดเรียนเพลงดาบของตัวเอง แต่ถ้าคนไหนรู้เพลงดาบของสำนักอื่นก็จะได้เปรียบกว่า เพราะสามารถอ่านเพลงดาบหรือแบบแผนของคู่ต่อสู้ล่วงหน้าได้ และยังสามารถนำไปปรับปรุงเพลงดาบเพื่อสร้างความได้เปรียบเหนือเพลงดาบอื่นๆ ได้อีก . แต่สำหรับเล่งฮู้ชง เค้าโชคดีมากที่เผอิญไปพบถ้ำลับที่จดบันทึกเพลงดาบของทุกสำนักไว้ แถมยังพบผู้เฒ่าที่เป็นสุดยอดมือกระบี่ที่ช่วยถ่ายทอดวิชาให้เค้าฟัง ทำให้เล่งฮู้ชงได้รู้จักทั้งเพลงดาบของทุกสำนัก และยังรู้วิธีนำเพลงดาบมาปรับเป็น “สไตล์” ของตัวเอง หรือที่เรียกว่า “ไร้กระบวนท่า” นั่นเอง . ดังนั้น เวลาที่เล่งฮู้ชงปะมือกับคู่ต่อสู้ นอกจากเค้าจะอ่านออกล่วงหน้าว่าคู่ต่อสู้จะใช้กระบวนท่าอะไรต่อจากนี้ สิ่งที่ทำให้เค้าเหนือขึ้นไปอีก คือ คู่ต่อสู้ไม่สามารถคาดเดาแบบแผนกระบวนท่ากระบี่ของเค้าได้เลย และนั่นทำให้คู่ต่อสู้งงเป็นไก่ตาแตก เพราะไม่รู้จะหาท่าดาบใดมาเอาชนะเค้าดี . แต่กว่าที่เล่งฮู้ชงจะเก่งการใช้ “กระบวนท่าแบบไร้กระบวนท่า” เค้าก็ต้องฝึกกับผู้เฒ่าและลองมือกับหลายคนมาก่อน กว่าที่วิชาดาบของเค้าจะเจนจัดขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่าแค่ดูบันทึกบนผนังถ้ำและฟังผู้เฒ่าจะเข้าใจได้เลย . . . ผมว่าที่น้องคนนั้นสงสัยก็คงคล้ายๆ เรื่องนี้ครับ คือ ถ้าลองเทียบกัน สมมติเล่งฮู้ชงได้ยินแต่เรื่องวิธีการสร้าง “กระบวนท่าแบบไร้กระบวนท่า” โดยที่เค้าไม่ค่อยรู้เพลงดาบของสำนักอื่น เค้าก็จะมีกระบวนท่าที่จะเอาไปพลิกแพลงต่อยอดได้น้อยครับ ทางกลับกันพอรู้เยอะ ก็มีหลายท่าไปพลิกแพลงต่อยอดได้มากกว่า . . สำหรับผม การรู้หลักการ ทฤษฎีก็มีประโยชน์คล้ายๆ แบบนี้แหละครับ คือถ้าเรารู้หลักการก่อน เวลาเราจะไปพลิกแพลงหรือสร้างให้เป็นสไตล์ตัวเอง ก็จะทำได้ง่าย เร็ว และหลากหลาย เพราะเราไม่ต้องมานั่งคลำหาวิธีเอง . . ยิ่งถ้าเรายังไม่แม่น การรู้หลักการก่อนยิ่งทำให้เราเข้าใจเรื่องราวเหล่านั้นได้ง่ายขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมก็ไม่ได้หมายว่า การเรียนรู้แบบครูพักลักจำ หรือการฝึกฝนนั้นไม่สำคัญนะครับ จริงๆ สำคัญเหมือนกัน เพียงแต่ผมอยากยกให้เห็นว่า การเรียนรู้จากตำราหรือหลักการนั้นก็มีประโยชน์ . อย่าง Picasso ในช่วงเริ่มต้น เค้าเองก็ใช้วิธีศึกษาและทำตามแนวศิลปะของคนอื่นก่อน แต่เมื่อทำไปเรื่อยๆ เค้าถึงค่อยๆ เริ่มสร้าง“สไตล์” ที่เป็นตัวเองขึ้นมา ซึ่งแนวศิลปะของ Picasso ก็เป็นการผสมผสานแนวคิดศิลปะอื่นๆ มาเป็นแบบของเค้า . . . เมื่อพูดถึงเรื่องหลักการ ก็มีอีกเรื่องหนึ่งครับ เป็นเรื่องการเรียนรู้หลักการเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ผ่านตำรา แต่ผ่าน “สำนักงาน” . สำนักงาน หรือบริษัทจริงๆ ก็เป็นเหมือนโรงเรียนเลยนะครับ ยกตัวอย่าง ถ้าบริษัทค้าปลีก CP Central ก็คงเป็นชื่อแรกๆ ที่คนนึกถึง หรือถ้าเป็นบริษัทพวก FMCG ก็เช่น Unilever, P&G, Nestle หรือเอเยนซี่โฆษณา ก็เช่น Ogilvy, BBDO, TBWA หรือถ้าเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ ก็เช่น ไทยรัฐ มติชน ผู้จัดการ เป็นต้น . . ซึ่งบริษัทใหญ่ๆ ก็จะมีหลักการทำงาน แบบแผนหรือสไตล์ที่เป็นของตัวเอง ที่เป็น system มี logic และกระบวนการที่ค่อนข้างชันเจน มีหลักการ . . ในขณะเดียวกันบริษัทขนาดย่อมลงมา กระบวนการ process system protocol ต่างๆ ย่อมยากที่จะแม่นยำและมีความถูกต้องสูงแบบบริษัทใหญ่ แต่ในข้อจำกัดเหล่านี้ก็สามารถช่วยสอนหลักการอีกอย่างให้กับเราได้เหมือนกัน คือหลักการในการหาทางออกจากปัญหาในสภาวะที่ทรัพยากรมีจำกัด เป็นต้น . . เวลาน้องผมมาถามว่าอยู่บริษัทเล็กๆ จะเป็นอะไรไหม เพราะทรัพยากรเหมือนจะสู้บริษัทใหญ่ไม่ได้ ผมมักจะตอบเสมอว่า บริษัทเล็กหรือใหญ่ ไม่สำคัญ ขอให้ทั้งเราและบริษัทมีศักยภาพในการเติบโต (มากๆ) แค่นี้ก็น่าทำงานด้วยแล้ว . . อันนี้ยกตัวอย่างแค่แง่มุมเดียวนะครับ จริงๆ แล้วบริษัทเล็กกับใหญ่นั้นยังมีอะไรที่แตกต่างกันอีกมาก . . ซึ่งเทียบแล้ว เรื่องนี้ไม่ต่างอะไรกับสำนักกระบี่เลยครับ . ฉะนั้น เวลามีใครมาคุยกับผมว่า อยากเปิดบริษัทหรืออยากทำอะไรเป็นของตัวเอง ถ้าผมเห็นท่าว่าเค้ายังดูไม่มั่นใจนัก ผมมักจะแนะนำให้เค้าไปลองฝึกกระบวนท่ากับสำนักงานต่างๆ ก่อน . เพราะอย่างน้อยสิ่งที่ได้ คือได้เรียนรู้แบบแผนของที่นั่นเพื่อนำมาปรับใช้ในอนาคต แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การจะเรียนรู้แบบแผนจากบริษัทก็ต้องอาศัยวิธีแบบครูพักลักจำและช่างสังเกตด้วย เพราะบริษัทไม่ใช่โรงเรียนที่จะมาสอนตรงๆ เป๊ะๆ . . . ถ้าถามผม ผมว่าคนเราต้องอาศัยการเรียนรู้หลายๆ แบบครับ และวิธีการเรียนรู้แต่ละแบบก็ให้ประโยชน์แตกต่างกัน แต่สิ่งที่สำคัญสุดๆ คือ การรู้จัก “บูรณาการ” ความรู้ที่ได้ หรือสร้างสไตล์ของตัวเองขึ้นมาครับ ซึ่งนั่นจะทำให้เราแข็งแกร่งและรับมือกับปัญหาหรือคู่แข่งได้ดีที่สุด . ก็เหมือนกระบวนท่าไร้กระบวนของ เล่งฮู้ชง นั่นเองครับ . . #missiontothemoon

เราเรียนรู้หลักการกันไปทำไม?
.
.
เคยมีน้องวัยรุ่นคนหนึ่งถามผมทำนองว่า ทำไมเรายังต้องเรียนตำรา ในเมื่อทุกวันนี้หลายต่อหลายครั้งสิ่งที่ได้จากตำราก็เอาไปใช้ในชีวิตจริงไม่ได้ โดยหนึ่งในสิ่งที่น้องคนนี้ยกขึ้นมาเป็นเหตุผลนั้นทำเอาผมต้องหยุดเพื่อคิดตามเลยว่ามันจริงไหม
.
เค้าบอกว่า “ตอนเรียนจบ สิ่งที่สอนกันมามันก็ล้าหลังไปแล้วอย่างน้อยครึ่งนึง แบบนี้ออกลองมาลุยงานเองเลยดีไหม”
.
.
ถ้าผมเข้าใจน้องเค้าไม่ผิด ผมคิดว่า น้องเค้าคงจะหมายถึงว่า ทำไมเรายังต้องเรียนพวกหลักการทฤษฎี ทั้งที่ภาคปฏิบัติดูจะเอาไปใช้ได้จริงและได้น้ำได้เนื้อมากกว่า
.
.
จริงๆ ในความเห็นผม ผมคิดว่าภาคปฏิบัติก็สำคัญจริงๆ อย่างที่น้องเค้าคิดแหละครับ แต่ว่าการรู้หลักกการนั้นก็มีประโยชน์มากเช่นกัน แค่เราต้องเลือกว่าจะเอาอะไรมาใช้เท่านั้นเอง
.
.
ประกอบกับช่วงนี้ได้รับ inbox มาในเพจ Mission to the Moon เกี่ยวกับเรื่องนี้เยอะมาก หลายคนกำลังสับสนเรื่องเรียนต่อ หลายคนกำลังอยากหยุดเรียน ป. ตรี เพื่ออยากออกมาทำงาน ฯลฯ
.
วันหยุดชิลๆ แบบนี้เลยอยากเขียนถึงเรื่องนี้สักหน่อย
.
.
เคยได้ยินเรื่อง “กระบวนท่าแบบไร้กระบวนท่า” ของเล่งฮู้ชง ในกระบี่เย้ยยุทธจักรไหมครับ ผมเองก็จำได้ไม่หมด แต่เรื่องคร่าวๆ ที่จำได้มีประมาณนี้ ถ้าผิดพลาดต้องขออภัยด้วยนะครับ 
.
กระบวนท่าของเล่งฮู้ชง ถ้าอธิบายง่ายๆ มันเป็นกระบวนท่ากระบี่ที่ไม่มีแบบแผนครับ
.
คือในยุทธจักรจะมีสำนักกระบี่หลายๆ สำนักที่มีเพลงดาบเป็นของตัวเอง คนในแต่ละสำนักก็ต้องหัดเรียนเพลงดาบของตัวเอง แต่ถ้าคนไหนรู้เพลงดาบของสำนักอื่นก็จะได้เปรียบกว่า เพราะสามารถอ่านเพลงดาบหรือแบบแผนของคู่ต่อสู้ล่วงหน้าได้ และยังสามารถนำไปปรับปรุงเพลงดาบเพื่อสร้างความได้เปรียบเหนือเพลงดาบอื่นๆ ได้อีก
.
แต่สำหรับเล่งฮู้ชง เค้าโชคดีมากที่เผอิญไปพบถ้ำลับที่จดบันทึกเพลงดาบของทุกสำนักไว้ แถมยังพบผู้เฒ่าที่เป็นสุดยอดมือกระบี่ที่ช่วยถ่ายทอดวิชาให้เค้าฟัง ทำให้เล่งฮู้ชงได้รู้จักทั้งเพลงดาบของทุกสำนัก และยังรู้วิธีนำเพลงดาบมาปรับเป็น “สไตล์” ของตัวเอง หรือที่เรียกว่า “ไร้กระบวนท่า” นั่นเอง
.
ดังนั้น เวลาที่เล่งฮู้ชงปะมือกับคู่ต่อสู้ นอกจากเค้าจะอ่านออกล่วงหน้าว่าคู่ต่อสู้จะใช้กระบวนท่าอะไรต่อจากนี้ สิ่งที่ทำให้เค้าเหนือขึ้นไปอีก คือ คู่ต่อสู้ไม่สามารถคาดเดาแบบแผนกระบวนท่ากระบี่ของเค้าได้เลย และนั่นทำให้คู่ต่อสู้งงเป็นไก่ตาแตก เพราะไม่รู้จะหาท่าดาบใดมาเอาชนะเค้าดี
.
แต่กว่าที่เล่งฮู้ชงจะเก่งการใช้ “กระบวนท่าแบบไร้กระบวนท่า” เค้าก็ต้องฝึกกับผู้เฒ่าและลองมือกับหลายคนมาก่อน กว่าที่วิชาดาบของเค้าจะเจนจัดขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่าแค่ดูบันทึกบนผนังถ้ำและฟังผู้เฒ่าจะเข้าใจได้เลย
.
.
.
ผมว่าที่น้องคนนั้นสงสัยก็คงคล้ายๆ เรื่องนี้ครับ คือ ถ้าลองเทียบกัน สมมติเล่งฮู้ชงได้ยินแต่เรื่องวิธีการสร้าง “กระบวนท่าแบบไร้กระบวนท่า” โดยที่เค้าไม่ค่อยรู้เพลงดาบของสำนักอื่น เค้าก็จะมีกระบวนท่าที่จะเอาไปพลิกแพลงต่อยอดได้น้อยครับ ทางกลับกันพอรู้เยอะ ก็มีหลายท่าไปพลิกแพลงต่อยอดได้มากกว่า
.
.
สำหรับผม การรู้หลักการ ทฤษฎีก็มีประโยชน์คล้ายๆ แบบนี้แหละครับ คือถ้าเรารู้หลักการก่อน เวลาเราจะไปพลิกแพลงหรือสร้างให้เป็นสไตล์ตัวเอง ก็จะทำได้ง่าย เร็ว และหลากหลาย เพราะเราไม่ต้องมานั่งคลำหาวิธีเอง
.
.
ยิ่งถ้าเรายังไม่แม่น การรู้หลักการก่อนยิ่งทำให้เราเข้าใจเรื่องราวเหล่านั้นได้ง่ายขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมก็ไม่ได้หมายว่า การเรียนรู้แบบครูพักลักจำ หรือการฝึกฝนนั้นไม่สำคัญนะครับ จริงๆ สำคัญเหมือนกัน เพียงแต่ผมอยากยกให้เห็นว่า การเรียนรู้จากตำราหรือหลักการนั้นก็มีประโยชน์
.
อย่าง Picasso ในช่วงเริ่มต้น เค้าเองก็ใช้วิธีศึกษาและทำตามแนวศิลปะของคนอื่นก่อน แต่เมื่อทำไปเรื่อยๆ เค้าถึงค่อยๆ เริ่มสร้าง“สไตล์” ที่เป็นตัวเองขึ้นมา ซึ่งแนวศิลปะของ Picasso ก็เป็นการผสมผสานแนวคิดศิลปะอื่นๆ มาเป็นแบบของเค้า
.
.
.
เมื่อพูดถึงเรื่องหลักการ ก็มีอีกเรื่องหนึ่งครับ เป็นเรื่องการเรียนรู้หลักการเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ผ่านตำรา แต่ผ่าน “สำนักงาน”
.
สำนักงาน หรือบริษัทจริงๆ ก็เป็นเหมือนโรงเรียนเลยนะครับ ยกตัวอย่าง ถ้าบริษัทค้าปลีก CP Central ก็คงเป็นชื่อแรกๆ ที่คนนึกถึง หรือถ้าเป็นบริษัทพวก FMCG ก็เช่น Unilever, P&G, Nestle หรือเอเยนซี่โฆษณา ก็เช่น Ogilvy, BBDO, TBWA หรือถ้าเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ ก็เช่น ไทยรัฐ มติชน ผู้จัดการ เป็นต้น
.
.
ซึ่งบริษัทใหญ่ๆ ก็จะมีหลักการทำงาน แบบแผนหรือสไตล์ที่เป็นของตัวเอง ที่เป็น system มี logic และกระบวนการที่ค่อนข้างชันเจน มีหลักการ
.
.
ในขณะเดียวกันบริษัทขนาดย่อมลงมา กระบวนการ process system protocol ต่างๆ ย่อมยากที่จะแม่นยำและมีความถูกต้องสูงแบบบริษัทใหญ่ แต่ในข้อจำกัดเหล่านี้ก็สามารถช่วยสอนหลักการอีกอย่างให้กับเราได้เหมือนกัน คือหลักการในการหาทางออกจากปัญหาในสภาวะที่ทรัพยากรมีจำกัด เป็นต้น
.
.
เวลาน้องผมมาถามว่าอยู่บริษัทเล็กๆ จะเป็นอะไรไหม เพราะทรัพยากรเหมือนจะสู้บริษัทใหญ่ไม่ได้ ผมมักจะตอบเสมอว่า บริษัทเล็กหรือใหญ่ ไม่สำคัญ ขอให้ทั้งเราและบริษัทมีศักยภาพในการเติบโต (มากๆ) แค่นี้ก็น่าทำงานด้วยแล้ว
.
.
อันนี้ยกตัวอย่างแค่แง่มุมเดียวนะครับ จริงๆ แล้วบริษัทเล็กกับใหญ่นั้นยังมีอะไรที่แตกต่างกันอีกมาก
.
.
ซึ่งเทียบแล้ว เรื่องนี้ไม่ต่างอะไรกับสำนักกระบี่เลยครับ
.
ฉะนั้น เวลามีใครมาคุยกับผมว่า อยากเปิดบริษัทหรืออยากทำอะไรเป็นของตัวเอง ถ้าผมเห็นท่าว่าเค้ายังดูไม่มั่นใจนัก ผมมักจะแนะนำให้เค้าไปลองฝึกกระบวนท่ากับสำนักงานต่างๆ ก่อน
.
เพราะอย่างน้อยสิ่งที่ได้ คือได้เรียนรู้แบบแผนของที่นั่นเพื่อนำมาปรับใช้ในอนาคต แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การจะเรียนรู้แบบแผนจากบริษัทก็ต้องอาศัยวิธีแบบครูพักลักจำและช่างสังเกตด้วย เพราะบริษัทไม่ใช่โรงเรียนที่จะมาสอนตรงๆ เป๊ะๆ
.
.
.
ถ้าถามผม ผมว่าคนเราต้องอาศัยการเรียนรู้หลายๆ แบบครับ และวิธีการเรียนรู้แต่ละแบบก็ให้ประโยชน์แตกต่างกัน แต่สิ่งที่สำคัญสุดๆ คือ การรู้จัก “บูรณาการ” ความรู้ที่ได้ หรือสร้างสไตล์ของตัวเองขึ้นมาครับ ซึ่งนั่นจะทำให้เราแข็งแกร่งและรับมือกับปัญหาหรือคู่แข่งได้ดีที่สุด
.
ก็เหมือนกระบวนท่าไร้กระบวนของ เล่งฮู้ชง นั่นเองครับ
.
.
#missiontothemoon

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น