วันเสาร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2560

มีคนกี่มากน้อย ที่จะรู้ความขมขื่นของคุณแม่ สิ่งที่แม่ให้ลูก ล้วนเป็นประโยคที่ว่า ขอให้มีความสุขทุกๆวัน ไม่ต้องคำนึงถึงแม่. ครอบครัวที่มีความสุขครอบครัวหนึ่ง เป็นเพราะคุณพ่อได้จากไป เสาหลักของครอบ ครัวไม่มีแล้ว คงเหลือสองแม่ลูกซึ่งไร้ที่พักพิง เด็กน้อยวัยเพียงสิบสองขวบ แต่..สภาพปัญหาที่อยู่ซึ่งหน้า คุณแม่เลือกที่จะเข้มแข็ง ใช้บ่าสองข้างของเธอ แบก รับภาระอันหนักอึ้ง เริ่มตั้งแผงขายผักดอง ไปเช้ากลับค่ำ อีกทั้งอบรมสั่งสอนลูกชาย ลูกชายก็เข้าใจสถานะการณ์ดี รู้ว่าคุณแม่เหนื่อยยากลำบาก จึงตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ผลการเรียนอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างดี เพื่อช่วยลดความเหนื่อยยากของคุณแม่ ลูกชายหัดเรียนรู้การซักผ้า หุงหาอาหาร อีก ทั้งยังช่วยคุณแม่ คัดผัก ล้างผัก หมักผัก จากการดิ้นรน ความพยายามของคุณแม่ ความเป็นอยู่ในครอบครัวเริ่มดีขึ้น คุณแม่รู้ สึกว่า การอบรมสั่งสอนลูกชาย เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ตนเองเช้าออกไป กลับมาค่ำ จะทำให้ละเลยการอบรมสั่งสอนลูกชาย ดังนั้น จึงเลิกขายผักดอง เลือกที่จะเปิดร้านเสริมสวย ด้วยความที่คุณแม่ดำเนินงาน ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต จากแรกเริ่มที่เปิดเพียงร้านเดียว จึงขยายใหญ่ขึ้น เป็นสาม ร้านติดต่อกัน จนกลายเป็นร้านเสริมสวยที่กว้างใหญ่โอ่อ่า ทรัพย์สินมีมูลค่าสูงกว่า หนึ่งล้าน แต่ในยามที่คุณแม่ กำลังปลื้มอกปลื้มใจ แต่กลับพบเห็นว่า ผลการเรียนของลูกชาย กลับตกต่ำลงอย่างมาก อีกทั้งติดนิสัยบุตรหลานคนรวย เช่นนี้แล้ว เหมือนดั่งเสียงฟ้าร้องคำราม ลงกลางกระหม่อม ทำให้เธอตื่นจากภวังค์ คุณแม่ไตร่ตรองแล้ว ตัดสินใจด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว ปิดกิจการลง เธอ..รู้ดีว่า ไม่มีอะไรสำคัญกว่า การอบรมสั่งสอนลูกของตนเอง แรกเริ่ม หาเงินแทบ เป็นแทบตายเพื่อลูก ยามมีเงินแล้ว ลูกกลับตกต่ำย่ำแย่ ทั้งหมดนี้ ล้วนไม่ใช่สิ่งที่คุณ แม่ต้องการ หลังจากปิดกิจการแล้ว คุณแม่นำเงินทั้งหมด ไปฝากไว้กับธนาคาร เธอบอกกับลูก ชายว่า เป็นเพราะคุณแม่บริหารกิจการไม่ดี ธุรกิจขาดทุน อีกทั้งยังเป็นหนี้ด้วย เพื่อ เป็นการจ่ายหนี้ จึงต้องขายทั้งร้านและบ้าน ตอนนี้พวกเราไม่เหลืออะไรแล้ว หนึ่งเดือนต่อมา คุณแม่พาลูกชายกลับมาที่ชนบท เริ่มใช้ชีวิตที่ลำบากอีกครั้ง คุณแม่ ทุกๆวัน ต้องทำนา เลี้ยงหมู เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในครอบครัว ตั้งแต่นั้นมา บนโต๊ะอาหาร จะมีเพียงผัก หัวไชท้าว เต้าหู้ ไม่เห็นแม้แต่เงาของไก่ เป็ด ปลาและเนื้อ เป็นเช่นนี้ผ่านไปหลายปี ลูกชายได้สอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ใฝ่ฝัน คุณแม่ใช้เวลายาม ว่างก็ศึกษาเล่าเรียน ได้รับจดหมายแจ้งข่าวดีจากมหาวิทยาลัยสำหรับผู้ใหญ่เช่นกัน แต่ทว่า..ในยามที่ความสุขมาเยือน ภัยวิบัติก็มาเยือนเช่นกัน วันหนึ่ง คุณแม่กำลังทำ นาอยู่ในนา เกิดสลบไปกระทันหัน ชาวบ้านใกล้เคียงได้มาช่วยอุ้มเธอส่งโรงพยาบาล จากการตรวจเช็คอย่างละเอียด ผลปรากฎว่า เป็นมะเร็งในตับ ข่าวนี้เหมือนดั่งสายฟ้า ฟาดใส่ คุณแม่กลัวว่า จะกระทบกระเทือนลูกชายที่กำลังศึกษาเล่าเรียนอยู่ จึงปกปิด อาการป่วยไข้ของตนเองไว้ ปิดเทอมภาคฤดูร้อน ลูกชายกลับมาบ้าน สังเกตุเห็นว่า สีหน้าของคุณแม่เหนื่อยล้า ร่างกายซูบผอม เส้นผมบางลง จึงถามคุณแม่ว่า "มีอาการป่วยไข้ใช่หรือไม่" คุณแม่ตอบว่า "เธอไม่ต้องเป็นห่วงกังวล ร่างกายของคุณแม่แข็งแรงดี อาจเป็น เพราะทำงานเหนื่อยเกินไป" ลูกชายหลั่งน้ำตาออกมา แล้วพูดว่า "คุณแม่ ผมจะไม่เรียนแล้ว ผมจะออกมาหางาน ทำ เพื่อเลี้ยงและดูแลคุณแม่ จะไม่ปล่อยให้ท่านต้องลำบากเหนื่อยยากอีกแล้ว " คุณแม่ซึ่งไม่เคยตีลูก แต่เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าวนี้แล้ว ใช้มือตบไปที่ใบหน้าของลูก ชายอย่างแรง พูดทั้งน้ำตาว่า " คุณแม่เหนื่อยยากลำบากเช่นนี้ ก็เพื่อต้องการให้ลูกประสบความสำเร็จ วันนี้ ลูก กลับมาพูดว่า จะไม่เรียนแล้ว ทำให้แม่เจ็บปวดใจยิ่งนัก " พูดจบ คุณแม่ก็เดินเข้าห้อง ทั้งๆที่น้ำตายังไหลรินอยู่ ลูกชายคุกเข่าอยู่หน้าประตูห้องคุณแม่ คุกเข่าอยู่เช่นนั้นทั้งคืน เขาได้เข้าใจและรู้ซึ้ง ถึงจิตใจคุณแม่ ที่ปราถนาดีต่อเขาแล้ว หลังจากเปิดเทอมได้หนึ่งเดือน ลูกชายได้รับโทรศัพท์จากคนใกล้บ้านว่า คุณแม่ได้ จากไปจากการป่วยไข้แล้ว ลูกชายรีบกลับมา คุกเข่าอยู่หน้าโลงศพ ร่ำร้องไห้ดั่งหัวใจฉีกขาด ญาติและเพื่อน บ้านต่างมาปลอบใจเขาว่า "อย่าเสียใจมากไปเลย ลองหาดูซิว่า คุณแม่ฝากจดหมาย หรืออะไรไว้ให้หรือเปล่า " สุดท้าย ก็เจอจดหมายและสมุดเงินฝาก ในลิ้นชักตนเอง จดหมายซึ่งคุณแม่ได้เขียน ไว้ ตั้งแต่เมื่อทราบข่าว อาการป่วยไข้ของตนเอง ภายในเนื้อหาจดหมาย..... " ลูกเอ๋ย ให้อภัยที่แม่ใจร้าย ธุรกิจของพวกเราไม่ได้ขาดทุน เป็นเพราะแม่เห็นลูก ความเป็นอยู่ดีขึ้นแล้ว ลูกกลับใช้ชีวิตออกนอกลู่นอกทาง เพื่อชีวิตในอนาคตของลูก แล้ว แม่จึงจำเป็นต้องคิดหาวิธีนี้ออกมาใช้ ลูกเอ๋ย.. ยามที่ลูกอ่านจดหมายฉบับนี้ แม่ได้จากลูกไปแล้ว เพื่อไม่กระทบกระเทือน กับการเรียนของลูก แม่จึงไม่ได้บอกลูกว่า แม่เป็นโรคมะเร็งในตับ ลูกอย่าเสียใจไป เลย ต้องเข้มแข็งและกล้าหาญ กับการดำรงชีวิตต่อไป คุณแม่ที่รักลูกตลอดไป....... อ่านจดหมายของคุณแม่แล้ว เขาเสียใจเจ็บปวดรวดร้าวยิ่ง คุกเข่าอยู่หน้าโลงศพคุณ แม่ สามวันสามคืน สำนึกผิดต่อคุณแม่ ที่เขาไร้ความกตัญญู ______________________________________________________________________ สงสารหัวอกผู้เป็นคุณพ่อคุณแม่ทั่วหล้า ชั่วชีวิต ผู้ที่มีบุญคุณใหญ่หลวงสุด ไม่มีใคร เหนือกว่าคุณพ่อคุณแม่ พ่อแม่ให้ชีวิตแก่เรา เลี้ยงดูเราจนเติบใหญ่ ปกป้องดูแลให้ ความรักแก่ลูก ด้วยความลำบากตรากตร่ำ ทุกข์ยากแสนเข็ญ แต่ทว่า...ในสังคมปัจจุบัน ที่ให้ความสำคัญ และมุ่งเน้นไปทางวัตถุ มีคนกี่มากน้อยที่ สามารถวางลงได้ ในเวลาที่เหมาะสม ฉกฉวยทะนุถนอมไว้เพียงปัจจุบัน เพื่อหาเงินมาสนองกิเลส ความอยาก ความต้องการที่ไม่มีที่สิ้นสุด พวกเราทุกคน ทุกๆวันต่างดิ้นรนใฝ่หา ด้วยความเหนื่อยยากแสนเข็ญ ยามที่ยังไม่ได้มา กลุ้มใจ เหนื่อยกาย ทุกๆวัน ต่อสู้แทบเป็นแทบตายเพื่อให้ได้มา แต่...ในยามที่ได้มาแล้ว กลับเป็นห่วงและกังวลว่า จะสูญเสียไป ดำรงชีวิตอยู่ในท่าม กลางวังวน เดี๋ยวได้เดี๋ยวเสีย นานวันเข้า จิตใจเราเริ่มเย็นชา โดยไม่รู้ตัว ความผูกพันกับญาติเริ่มจืดจาง การดำรง ชีวิต โดยมีเงินเป็นตัวบงการ แล้วความสุขมันอยู่ตรงไหนล่ะ ? กลับถึงบ้าน ได้เรียก " คุณพ่อ คุณแม่ " นี่จึงจะเป็นความสุขที่แท้จริง เวลาช่างสั้นนัก ชีวิตคนเรามีจำกัด ผู้ที่มีสติปัญญาจริงๆ ล้วนรู้ที่จะฉกฉวย ทะนุถนอมโอกาส ณ ปัจจุบัน กตัญญูต่อพ่อแม่ ให้ความรัก ใส่ใจดูแลผู้แก่เฒ่า ค่อยๆซึมซับความรักที่บริสุทธิ์ บนโลกใบนี้ กระทำตนให้เป็นผู้มีความอบอุ่น ไม่เย็นชา ให้สังคมเห็นว่า มีน้ำใจ มีความรัก และมีความจริงใจ Niwat Rungvicha

มีคนกี่มากน้อย ที่จะรู้ความขมขื่นของคุณแม่

สิ่งที่แม่ให้ลูก ล้วนเป็นประโยคที่ว่า ขอให้มีความสุขทุกๆวัน ไม่ต้องคำนึงถึงแม่.

ครอบครัวที่มีความสุขครอบครัวหนึ่ง เป็นเพราะคุณพ่อได้จากไป เสาหลักของครอบ
ครัวไม่มีแล้ว คงเหลือสองแม่ลูกซึ่งไร้ที่พักพิง เด็กน้อยวัยเพียงสิบสองขวบ

แต่..สภาพปัญหาที่อยู่ซึ่งหน้า คุณแม่เลือกที่จะเข้มแข็ง ใช้บ่าสองข้างของเธอ แบก
รับภาระอันหนักอึ้ง เริ่มตั้งแผงขายผักดอง ไปเช้ากลับค่ำ อีกทั้งอบรมสั่งสอนลูกชาย

ลูกชายก็เข้าใจสถานะการณ์ดี รู้ว่าคุณแม่เหนื่อยยากลำบาก จึงตั้งใจศึกษาเล่าเรียน
ผลการเรียนอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างดี

เพื่อช่วยลดความเหนื่อยยากของคุณแม่ ลูกชายหัดเรียนรู้การซักผ้า หุงหาอาหาร อีก
ทั้งยังช่วยคุณแม่ คัดผัก ล้างผัก หมักผัก

จากการดิ้นรน ความพยายามของคุณแม่ ความเป็นอยู่ในครอบครัวเริ่มดีขึ้น คุณแม่รู้
สึกว่า การอบรมสั่งสอนลูกชาย เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ตนเองเช้าออกไป กลับมาค่ำ
จะทำให้ละเลยการอบรมสั่งสอนลูกชาย

ดังนั้น จึงเลิกขายผักดอง เลือกที่จะเปิดร้านเสริมสวย ด้วยความที่คุณแม่ดำเนินงาน
ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต จากแรกเริ่มที่เปิดเพียงร้านเดียว จึงขยายใหญ่ขึ้น เป็นสาม
ร้านติดต่อกัน จนกลายเป็นร้านเสริมสวยที่กว้างใหญ่โอ่อ่า ทรัพย์สินมีมูลค่าสูงกว่า
หนึ่งล้าน

แต่ในยามที่คุณแม่ กำลังปลื้มอกปลื้มใจ แต่กลับพบเห็นว่า ผลการเรียนของลูกชาย
กลับตกต่ำลงอย่างมาก อีกทั้งติดนิสัยบุตรหลานคนรวย

เช่นนี้แล้ว เหมือนดั่งเสียงฟ้าร้องคำราม ลงกลางกระหม่อม ทำให้เธอตื่นจากภวังค์
คุณแม่ไตร่ตรองแล้ว ตัดสินใจด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว ปิดกิจการลง

เธอ..รู้ดีว่า ไม่มีอะไรสำคัญกว่า การอบรมสั่งสอนลูกของตนเอง แรกเริ่ม หาเงินแทบ
เป็นแทบตายเพื่อลูก ยามมีเงินแล้ว ลูกกลับตกต่ำย่ำแย่ ทั้งหมดนี้ ล้วนไม่ใช่สิ่งที่คุณ
แม่ต้องการ

หลังจากปิดกิจการแล้ว คุณแม่นำเงินทั้งหมด ไปฝากไว้กับธนาคาร เธอบอกกับลูก
ชายว่า เป็นเพราะคุณแม่บริหารกิจการไม่ดี ธุรกิจขาดทุน อีกทั้งยังเป็นหนี้ด้วย เพื่อ
เป็นการจ่ายหนี้ จึงต้องขายทั้งร้านและบ้าน ตอนนี้พวกเราไม่เหลืออะไรแล้ว

หนึ่งเดือนต่อมา คุณแม่พาลูกชายกลับมาที่ชนบท เริ่มใช้ชีวิตที่ลำบากอีกครั้ง คุณแม่
ทุกๆวัน ต้องทำนา เลี้ยงหมู เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในครอบครัว

ตั้งแต่นั้นมา บนโต๊ะอาหาร จะมีเพียงผัก หัวไชท้าว เต้าหู้ ไม่เห็นแม้แต่เงาของไก่
เป็ด ปลาและเนื้อ

เป็นเช่นนี้ผ่านไปหลายปี ลูกชายได้สอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ใฝ่ฝัน คุณแม่ใช้เวลายาม
ว่างก็ศึกษาเล่าเรียน ได้รับจดหมายแจ้งข่าวดีจากมหาวิทยาลัยสำหรับผู้ใหญ่เช่นกัน

แต่ทว่า..ในยามที่ความสุขมาเยือน ภัยวิบัติก็มาเยือนเช่นกัน วันหนึ่ง คุณแม่กำลังทำ
นาอยู่ในนา เกิดสลบไปกระทันหัน ชาวบ้านใกล้เคียงได้มาช่วยอุ้มเธอส่งโรงพยาบาล

จากการตรวจเช็คอย่างละเอียด ผลปรากฎว่า เป็นมะเร็งในตับ ข่าวนี้เหมือนดั่งสายฟ้า
ฟาดใส่ คุณแม่กลัวว่า จะกระทบกระเทือนลูกชายที่กำลังศึกษาเล่าเรียนอยู่ จึงปกปิด
อาการป่วยไข้ของตนเองไว้

ปิดเทอมภาคฤดูร้อน ลูกชายกลับมาบ้าน สังเกตุเห็นว่า สีหน้าของคุณแม่เหนื่อยล้า
ร่างกายซูบผอม เส้นผมบางลง จึงถามคุณแม่ว่า "มีอาการป่วยไข้ใช่หรือไม่"

คุณแม่ตอบว่า "เธอไม่ต้องเป็นห่วงกังวล ร่างกายของคุณแม่แข็งแรงดี อาจเป็น
เพราะทำงานเหนื่อยเกินไป"

ลูกชายหลั่งน้ำตาออกมา แล้วพูดว่า "คุณแม่ ผมจะไม่เรียนแล้ว ผมจะออกมาหางาน
ทำ เพื่อเลี้ยงและดูแลคุณแม่ จะไม่ปล่อยให้ท่านต้องลำบากเหนื่อยยากอีกแล้ว "

คุณแม่ซึ่งไม่เคยตีลูก แต่เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าวนี้แล้ว ใช้มือตบไปที่ใบหน้าของลูก
ชายอย่างแรง พูดทั้งน้ำตาว่า

" คุณแม่เหนื่อยยากลำบากเช่นนี้ ก็เพื่อต้องการให้ลูกประสบความสำเร็จ วันนี้ ลูก
กลับมาพูดว่า จะไม่เรียนแล้ว ทำให้แม่เจ็บปวดใจยิ่งนัก " พูดจบ คุณแม่ก็เดินเข้าห้อง ทั้งๆที่น้ำตายังไหลรินอยู่

ลูกชายคุกเข่าอยู่หน้าประตูห้องคุณแม่ คุกเข่าอยู่เช่นนั้นทั้งคืน เขาได้เข้าใจและรู้ซึ้ง
ถึงจิตใจคุณแม่ ที่ปราถนาดีต่อเขาแล้ว

หลังจากเปิดเทอมได้หนึ่งเดือน ลูกชายได้รับโทรศัพท์จากคนใกล้บ้านว่า คุณแม่ได้
จากไปจากการป่วยไข้แล้ว

ลูกชายรีบกลับมา คุกเข่าอยู่หน้าโลงศพ ร่ำร้องไห้ดั่งหัวใจฉีกขาด ญาติและเพื่อน
บ้านต่างมาปลอบใจเขาว่า "อย่าเสียใจมากไปเลย ลองหาดูซิว่า คุณแม่ฝากจดหมาย
หรืออะไรไว้ให้หรือเปล่า "

สุดท้าย ก็เจอจดหมายและสมุดเงินฝาก ในลิ้นชักตนเอง จดหมายซึ่งคุณแม่ได้เขียน
ไว้ ตั้งแต่เมื่อทราบข่าว อาการป่วยไข้ของตนเอง ภายในเนื้อหาจดหมาย.....

" ลูกเอ๋ย ให้อภัยที่แม่ใจร้าย ธุรกิจของพวกเราไม่ได้ขาดทุน เป็นเพราะแม่เห็นลูก
ความเป็นอยู่ดีขึ้นแล้ว ลูกกลับใช้ชีวิตออกนอกลู่นอกทาง เพื่อชีวิตในอนาคตของลูก
แล้ว แม่จึงจำเป็นต้องคิดหาวิธีนี้ออกมาใช้

ลูกเอ๋ย.. ยามที่ลูกอ่านจดหมายฉบับนี้ แม่ได้จากลูกไปแล้ว เพื่อไม่กระทบกระเทือน
กับการเรียนของลูก แม่จึงไม่ได้บอกลูกว่า แม่เป็นโรคมะเร็งในตับ ลูกอย่าเสียใจไป
เลย ต้องเข้มแข็งและกล้าหาญ กับการดำรงชีวิตต่อไป คุณแม่ที่รักลูกตลอดไป.......

อ่านจดหมายของคุณแม่แล้ว เขาเสียใจเจ็บปวดรวดร้าวยิ่ง คุกเข่าอยู่หน้าโลงศพคุณ
แม่ สามวันสามคืน สำนึกผิดต่อคุณแม่ ที่เขาไร้ความกตัญญู
______________________________________________________________________

สงสารหัวอกผู้เป็นคุณพ่อคุณแม่ทั่วหล้า ชั่วชีวิต ผู้ที่มีบุญคุณใหญ่หลวงสุด ไม่มีใคร
เหนือกว่าคุณพ่อคุณแม่ พ่อแม่ให้ชีวิตแก่เรา เลี้ยงดูเราจนเติบใหญ่ ปกป้องดูแลให้
ความรักแก่ลูก ด้วยความลำบากตรากตร่ำ ทุกข์ยากแสนเข็ญ

แต่ทว่า...ในสังคมปัจจุบัน ที่ให้ความสำคัญ และมุ่งเน้นไปทางวัตถุ มีคนกี่มากน้อยที่
สามารถวางลงได้ ในเวลาที่เหมาะสม ฉกฉวยทะนุถนอมไว้เพียงปัจจุบัน

เพื่อหาเงินมาสนองกิเลส ความอยาก ความต้องการที่ไม่มีที่สิ้นสุด พวกเราทุกคน
ทุกๆวันต่างดิ้นรนใฝ่หา ด้วยความเหนื่อยยากแสนเข็ญ ยามที่ยังไม่ได้มา กลุ้มใจ
เหนื่อยกาย ทุกๆวัน ต่อสู้แทบเป็นแทบตายเพื่อให้ได้มา

แต่...ในยามที่ได้มาแล้ว กลับเป็นห่วงและกังวลว่า จะสูญเสียไป ดำรงชีวิตอยู่ในท่าม
กลางวังวน เดี๋ยวได้เดี๋ยวเสีย

นานวันเข้า จิตใจเราเริ่มเย็นชา โดยไม่รู้ตัว ความผูกพันกับญาติเริ่มจืดจาง การดำรง
ชีวิต โดยมีเงินเป็นตัวบงการ แล้วความสุขมันอยู่ตรงไหนล่ะ ?

กลับถึงบ้าน ได้เรียก " คุณพ่อ คุณแม่ " นี่จึงจะเป็นความสุขที่แท้จริง เวลาช่างสั้นนัก
ชีวิตคนเรามีจำกัด

ผู้ที่มีสติปัญญาจริงๆ ล้วนรู้ที่จะฉกฉวย ทะนุถนอมโอกาส ณ ปัจจุบัน กตัญญูต่อพ่อแม่
ให้ความรัก ใส่ใจดูแลผู้แก่เฒ่า

ค่อยๆซึมซับความรักที่บริสุทธิ์ บนโลกใบนี้ กระทำตนให้เป็นผู้มีความอบอุ่น ไม่เย็นชา
ให้สังคมเห็นว่า มีน้ำใจ มีความรัก และมีความจริงใจ

Niwat Rungvicha

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น