สิ่งที่เฟซบุ๊คพรากจากเราไป
เมื่อวานนี้นอกจากจะเป็นวันเกิดของผมแล้ว ยังเป็นวันทำงานวันสุดท้ายของน้องคนนึงที่ผมสนิทด้วย
น้องคนนี้ชื่อกิ่ง เป็นมือกีต้าร์ประจำวงดนตรีของบริษัท
นี่เป็นการลาออกครั้งที่สองของกิ่ง
การลาออกครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อปี 2012 ที่กิ่งยอมทิ้งงานด้านซอฟท์แวร์เพื่อไปเรียนกีตาร์ที่อังกฤษเป็นเวลาหนึ่งปีกว่า (ติดตามการผจญภัยของกิ่งในลอนดอนได้ที่ Gink Guitarist ขอบอกว่าเล่าสนุกมาก)
หลังจากเรียนจบกลับมา กิ่งก็กลับมาทำงานที่ทอมส้นรอยเตอร์และเล่นดนตรีด้วยกันอีกครั้ง
แต่เมื่อวานนี้ก็ถึงคราวต้องลาจากกันเป็นครั้งที่สอง
สิ่งที่ผมสังเกตเห็นก็คือ นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่มีคนในวงดนตรีลาออกแล้วพวกเราไม่ได้มีการเลี้ยงส่ง
เหตุผลหนึ่งอาจะเป็นเพราะเป็นการออกครั้งที่สอง พวกเราเลย “หายตื่นเต้น” กันแล้ว
ก่อนกลับบ้าน ผมจึงแค่เดินไปหากิ่งที่โต๊ะ แล้วถ่ายเซลฟี่ด้วยกันก่อนอัพขึ้นเฟซบุ๊ค
แล้วผมก็ได้คำตอบ
ผมว่าเฟซบุ๊คนี่แหละคือตัวการ
—–
ผมสงสัยมานานแล้วว่าเด็กสมัยนี้ยังเขียนเฟรนด์ชิพกันอยู่รึเปล่า
หรือยังเอาปากกาเขียนเสื้อกันและกัน ในวันสุดท้ายของการเรียนจบป.6 ม.3 และ ม.6 รึเปล่า
ก่อนจะมีเฟซบุ๊ค หรืออินเตอร์เน็ต การเรียนจบ การไปเรียนต่อเมืองนอก การย้ายงาน ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก
เพราะมันหมายความว่าเราจะไม่เจอกันอีกหลายปี หรือแม้กระทั่งตลอดชีวิต
แต่มายุคนี้ ไม่ว่าคนที่เรารู้จักจะจากเราไปไหน (ทางกายภาพ) เราก็รู้ว่าเดี๋ยวก็ได้เห็นเขาผ่านทางมือถืออยู่ดี เผลอๆ ได้คุยกันบ่อยกว่าตอนอยู่ที่เดียวกันด้วยซ้ำ
ความรู้สึก “อาลัยอาวรณ์” กับเพื่อนที่กำลังจะจากไปเลยลดลงจนเกือบเหลือศูนย์
และผมเองก็อดเสียดายไม่ได้ ที่เด็กรุ่นใหม่จะไม่ได้สัมผัสบรรยากาศแบบนี้อีกแล้ว
—–
ย้อนกลับไปเมื่อปี 1996 สมัยผมยังเรียนหนังสืออยู่ที่เมืองเทมูก้า ประเทศนิวซีแลนด์
สมัยที่ประชากรส่วนใหญ่ยังไม่เคยใช้อินเตอร์เน็ต และมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์กยังหัวเกรียน (ถ้าเรียนโรงเรียนไทย)
ผมเองเพิ่งเรียนจบ Form 6
มีเพื่อนคนไทยสามคนที่เพิ่งจบ Form 7 ได้แก่ โจ สมบูรณ์ และกวิน
โจจะไปเรียนต่อมหาล้ยที่เมืองไครส์เชิร์ช ส่วนสมบูรณ์กับกวินจะกลับเมืองไทย
นอกจากนี้ยังมี ฟิลลิป จิมมี่ และเจมมี่ เพื่อนชาวฮ่องกงที่จะไม่อยู่แล้วเหมือนกัน
โดยเฉพาะฟิลลิปที่อยู่บ้านเดียวกับผมมาสองปีครึ่ง ที่ต้องย้ายไปอยู่แคนาดากับครอบครัวหลังจากที่อังกฤษคืนเกาะฮ่องกงให้ประเทศจีน (ตอนนั้นมีครอบครัวจากฮ่องกงย้ายไปแคนาดาเยอะมาก เพราะไม่มั่นใจว่าจีนจะจัดการฮ่องกงแบบไหน)
เราจึงมีงานเลี้ยงอำลากันที่แฟลตของโจ โดยพวกเราไปซื้อขนม ซื้อเบียร์กันมา แล้วก็ทำอาหารกินกันเองด้วย
สิ่งที่ขาดไม่ได้คือกีต้าร์สองตัวที่เราผลัดกันเล่นและร้องเพลงตลอดทั้งคืน ทั้งเพลงฝรั่ง หรือแม้กระทั่งเพลงไทยที่เพื่อนช่าวฮ่องกงก็ดันร้องได้ด้วย
ที่สำคัญ เรามีเพลงที่แต่งกันขึ้นมาเอง เพื่อที่จะร่วมร้องในคืนสุดท้ายที่เราจะอยู่ได้กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
ชื่อเพลงว่า Goodbye (ถ้าจำไม่ผิด)
The year is gone by
And now it’s time to say goodbye
Remember happiness and sorrow
We’ll never let it die
And now it’s time to say goodbye
Remember happiness and sorrow
We’ll never let it die
[Pre-chorus]
You’ll never leave my mind no matter
How fast the time goes by
Enjoy the final moments we spend together
Until we will meet again someday
You’ll never leave my mind no matter
How fast the time goes by
Enjoy the final moments we spend together
Until we will meet again someday
[Chorus]
I wish you luck my friends
I hope you’ll get everything that you could ever dream of
I’ll never forget about you
Until the day I die, I will be with you all the way
I wish you luck my friends
I hope you’ll get everything that you could ever dream of
I’ll never forget about you
Until the day I die, I will be with you all the way
The time won’t bring us back together
But I know if I look down into my heart
I will find that you’ll always be there
But I know if I look down into my heart
I will find that you’ll always be there
โชคดีที่สมัยนั้นมีเครื่องอัดเทปแล้ว (ขอบคุณ Sony Walkman) ผมก็เลยเอาไฟล์ลง Soundcloud มาเปิดให้ฟังได้วันนี้
นั่งฟังเพลงแล้วก็ทั้งขำ ทั้งตื้นตัน
ความรู้สึกที่ “จะเป็นเพื่อนกันไปจนตาย” นี่ ใครมาพูดตอนนี้คงจั๊กจี้ แต่ย้อนกลับไปสมัยนั้น พวกเรารู้สึกแบบนั้นจริงๆ
ถือว่าโชคดีมาก ที่ผมได้ใช้ชีวิตช่วงวัยรุ่นโดยที่ไม่มีอินเตอร์เน็ตและเฟซบุ๊ค
ไม่อย่างนั้น เพลงนี้จะไม่มีวันได้ถูกแต่งขึ้นมาแน่ๆ
—-
ภาพประกอบถ่ายจากห้องดนตรีที่ Opihi College (Temuka High School)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น